Prediction , Texts & Paper วุ่นรักนักข่าว
เขียนโดย Littlepeacee
วันที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 เวลา 23.11 น.
แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558 23.27 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) บทที่สี่
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ4
‘อเล็กซ์? สบจ.? ย้ายบ้าน? ยังไง? เล่า!!!
-ล.ด.’
บางครั้งฉันก็รู้สึกสงสารยูจีนขึ้นมาจับใจ ฉันหมายถึง ในกรณีที่เขาไม่ได้อยากจะตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ เป็นที่พูดถึงไปทั่ว หรือเป็นหนึ่งในหน้าหนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ และไม่ได้ตั้งใจจะสร้างกระแสเพื่อทำให้เหล่าบรรดาผู้กำกับหันมาสนใจแล้วจ้างเขาไปเล่นละครน่ะนะ ฉันกล้าพูดเลยว่า คุณจะไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของใครสักคนอย่างถ่องแท้เป็นแน่ ตราบใดที่คุณไม่ได้เป็นเขาคนใดคนหนึ่งเข้าจริงๆ หรือได้รับประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกับคนๆ นั้นอย่างที่ฉันกำลังผจญอยู่
ในฐานะของสมาชิกสังคมแสตนเบิร์กนั้นฉันไม่ได้มีหน้าที่แค่เรียนหนังสือ ท่องตำรา และเข้าห้องสอบเท่านั้น แต่ยังมีกิจกรรมอีกหนึ่งอย่างที่ฉันได้สวมบทอยู่ นั่นก็คือนักข่าว และการที่ฉันเป็นนักข่าวนั่นก็หมายความว่าหน้าที่ของฉันคือการไปสืบหาความจริง ก่อนจะเสนอสิ่งเหล่านั้นสู่สังคมให้ชาวแสตนเบิร์กทุกคนได้รับรู้ ฉันมีความสุขและสนุกกับหน้าที่ตรงนั้นอยู่พอตัวเลยล่ะ แต่ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งเมื่อฉันถูกสลับบทให้กลายเป็นฝ่ายถูกจ้องมองและสืบสาวหาข้อเท็จจริงเสียเอง มันกลับทำให้ฉันตกที่นั่งลำบากเสียขนาดนี้!
ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วใครเป็นคนโพสต์ข่าวเรื่องที่ประธานชมรมแสตนเบิร์กเจอร์นัลย้ายบ้านมาอยู่ข้างๆ กับสมาชิกคนหนึ่งของชมรมหนังสือพิมพ์รายวันแคทส์ อายลงในเว็บบอร์ดของโรงเรียน แต่ถ้าให้ฉันเดานะ ฉันว่าคนคนนั้นจะต้องมีเจตนาไม่ดีแน่ๆ ไม่ว่าแง่ไหนก็แง่หนึ่งล่ะ เพราะเพียงแค่ข่าวนี้ถูกแพร่กระจายออกไป ไม่กี่วินาทีต่อมา (ข้อย้ำนะว่าไม่กี่ ‘วินาที’) ฉันก็ได้รับข้อความจำนวนมากจากสมาชิกในชมรมและคนรอบข้างเกือบทุกคนที่ฉันรู้จัก
โจเป็นคนแรกที่ส่งข้อความมาถามหาข้อเท็จจริงจากฉัน ฉันไม่แปลกใจสักเท่าไหร่ที่ผู้ครองอันดับหนึ่งด้านความไวต่อข่าวสารจะเป็นเขา เพราะคุณต้องเข้าใจว่าในฐานะของประธานชมรมหนังสือพิมพ์ คุณจำเป็นที่จะต้องมีทั้งสายสืบจากคนวงใน หูที่ว่องไวราวสุนัขจิ้งจอก และสายตาอันกว้างขวางพอที่จะมองเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่รอบตัวคุณ รวมไปถึงเวลาอันมากพอสำหรับการนั่งเช็คเว็บบอร์ดและโซเชียลเน็ตเวิร์คส่วนบุคคลของสมาชิกทุกคนในโรงเรียนทั้งวันทั้งคืน…ถึงแม้ว่าชมรมหนังสือพิมพ์ที่คุณเป็นประธานอยู่จะเป็นชมรมที่ใกล้จะถูกยุบแล้วก็เถอะ
สำหรับรองประธานอย่างลอนดอนเองก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังที่อุตส่าห์ลงหนึ่งคะแนนเสียงโหวตให้เธอได้ครองตำแหน่งนี้ ลอนดอนตามโจมาติดๆ ในอีกสามสิบสี่วินาทีต่อมา แต่ความรุนแรงและรังสีอำมหิตที่จัดว่าอยู่ในขั้นสูงสุดของเธอนั้นมาแรงแซงทางโค้งโจเชียวล่ะ ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่หรอกนะที่ลอนดอนจะตกใจจนถึงขั้นลนลานกับข่าวที่เกิดขึ้น เพราะเธอเองก็เคยประกาศกร้าวในการประชุมของเราครั้งหนึ่งแล้วว่า เธอจะไม่มีวันยอมแพ้ให้แก่แสตนเบิร์กเจอร์นัลเด็ดขาด และการที่แสตนเบิร์กเจอร์นัลมาแย่งนักข่าวฝีมือดีไปจากชมรมเราก็ถือว่าเป็นการหยามเกียรติลูกผู้หญิงอย่างลอนดอนจนไม่น่าให้อภัย (ถึงแม้ว่าสำหรับลอนดอนแล้วฉันจะไม่ได้ถูกจัดว่าเป็นนักข่าวฝีมือฉมังก็ตาม) แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะต้องตื่นเต้นจนส่งข้อความหาฉันถึงยี่สิบห้าข้อความภายในไม่กี่นาที พร้อมกับโทรศัพท์หาฉันจนคนไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันเลยนี่นา
แม็กซ์กับคนอื่นไม่ได้ระดมยิงคำถามใส่ฉันเหมือนอย่างที่ลอนดอนทำ แต่จำนวนข้อความที่ถูกส่งมาก็มากพอที่จะทำให้โทรศัพท์ของฉันรวนไปพักใหญ่เลยล่ะ แม็กซ์พยายามส่งข้อความเป็นทำนองที่ว่า อย่าได้ไปคุยกับอเล็กซ์เด็ดขาด เพราะเขาอาจจะมีแผนอะไรบางอย่างที่แฝงไปด้วยคำพูดที่ทำเอาฉันไม่อาจจะยับยั้งตัวเอง แล้วเผลอไผลไปเข้ากับฝ่ายนั้นได้ ฉันก็ได้แต่ส่งข้อความกลับไปขอบคุณอีกฝ่ายอย่างเรียบง่ายโดยไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อคืนเลยแม้แต่นิด ก็แหม…จะให้ฉันตอบกลับไปว่าอะไรล่ะ‘อ๋อ ไม่ทันแล้วล่ะ ฉันปูทางสำหรับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของเราเรียบร้อยแล้ว’ อย่างนี้น่ะเหรอ
“ถ้ามากันครบแล้ว ฉันว่าเรามาเข้าเรื่องกันดีกว่า” โจเปิดประเด็นทันทีที่สมาชิกคนสุดท้ายของชมรมอย่างแอลลี่เดินเข้ามาในห้อง
พูดถึงแอลลี่ วันนี้ฉันได้รับข้อความจากคนจำนวนมากก็จริง แต่ฉันไม่ยักกะได้รับแม้แต่หนึ่งข้อความสั้นๆ จากเธอเลย อย่างที่เคยบอกไปว่าแอลลี่เองก็ใช่ว่าจะต่างจากลอนดอนนัก ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ อย่าว่าแต่ข้อความเป็นสิบเลย สายโทรศัพท์ฉันนี่คงไหม้เป็นจุณเลยทีเดียวหากเธอยังไม่ได้รับคำตอบที่แท้จริง ครั้งนี้จึงดูแปลกไม่น้อยที่แอลลี่กลับไม่สนใจกับข่าวล่ามาไวเหมือนกับคนอื่นๆ เอ…หรือว่าบางที แอลลี่อาจจะกำลังเตรียมแผนลอบทำร้ายยูจีนแผนสองอยู่จนไม่มีเวลามานั่งอัพเดทสถานการณ์ปัจจุบันก็เป็นได้
เตือนตัวเองเอาไว้ว่า อย่าให้ยูจีนอยู่ใกล้แอลลี่เด็ดขาดเชียว!
“ที่ฉันเรียกทุกคนมาประชุมในวันนี้ก็เพราะเรื่องงานการกุศลที่กำลังจะมาถึง” โจเริ่มเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการกับสมาชิกในชมรมทั้งหมดเพียงแค่สี่คน อันได้แก่โจ ลอนดอน แอลลี่ และฉัน “อย่างที่ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าเราจะทำโฟโต้บุ๊คออกมาขาย และเราก็เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งเดือนกับงบที่มีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้นเราจำเป็นที่จะต้องเริ่มงานนี้ก่อนคนอื่น”
วันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่จะใช้เวลาตรงนี้สำหรับการเตรียมงานล่าหาไข่ในวันอีสเตอร์ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ชาวแสตนเบิร์กแน่ๆ เพราะพวกเรามีงานที่ใหญ่กว่ารออยู่
งานการกุศลประจำปีของโรงเรียนเราจัดว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งานพรอมหรืองานคืนสู่เยาว์เลยล่ะ โดยเฉพาะถ้าคุณถูกจัดอยู่ในห้าจำพวกที่ฉันกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้
ประเภทที่หนึ่งคือ คุณไม่ได้โตพอที่จะเป็นเด็กจูเนียร์ หรือซีเนียร์ หรือแม้กระทั่งศิษย์เก่า ประเภทที่สอง คุณเป็นเพียงแค่เด็กใหม่หรือไม่ก็เด็กปีสองธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ฮ็อตจนมีรุ่นพี่มาขอควงไปงานพรอม ประเภทที่สาม คุณไม่ใช่พวกเอลิสต์ ประเภทที่สี่ คุณมีชมรมเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน และประเภทสุดท้ายที่น่าเศร้าที่สุดเท่าที่เคยมีการแบ่งจำพวกมาก็คือ ชมรมของคุณกำลังจะถูกยุบ
งานการกุศลของโรงเรียนจัดขึ้นเพื่อที่จะระดมเงินจากทั้งนักเรียน ศิษย์เก่า คุณครู และบุคคลากรคนอื่นๆ ในโรงเรียน ก่อนที่จะนำเงินตรงนั้นไปบริจาคต่อให้แก่มูลนิธิต่างๆ แต่ประเด็นหลักมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอก คนภายนอกมองว่างานนี้เป็นแค่งานการกุศลธรรมดาๆ ที่ผู้ใหญ่ใจดีแสนมีเมตตาอย่างครูใหญ่โฮซี่เลือกที่จะจัดขึ้นเพื่อคืนกำไรให้แก่สังคม แต่คนภายในอย่างพวกเรานี่สิที่เห็นต่าง…
งานการกุศลคือ งานที่จะให้ชมรมต่างๆ ภายในโรงเรียนผลิตสินค้าออกมาจำหน่าย แล้วแข่งกันว่าใครจะสามารถหาเงินบริจาคได้มากที่สุด คุณอาจจะกำลังสงสัยว่า ในเมื่องานนี้ขึ้นชื่อว่า ‘การกุศล’ แล้วทำไมถึงจะต้องมีการแข่งขันหาเงินบริจาคที่มากที่สุดกันด้วย ลองคิดดูนะ ถ้าหากว่ามีข่าวแพร่ออกไปว่า‘โรงเรียนมัธยมปลายแสตนเบิร์กจัดงานการกุศลขึ้นเพื่อบริจาคเงินให้แก่มูลนิธิต่างๆ’ กับ ‘สุดยอดแห่งความใจบุญ! ครูใหญ่โฮซี่และคณะร่วมกันบริจาคเงินกว่าห้าพันเหรียญเข้ามูลนิธิ!’…ต่างกันลิบลับเชียวล่ะ
และแน่นอนว่า ทางโรงเรียนจะต้องมีรางวัลสำหรับผู้ที่สามารถทำยอดบริจาคได้มากที่สุดเป็นผลตอบแทน เพราะไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่มีเด็กนักเรียนคนไหนยอมสละเวลาว่างของพวกเขามาทุ่มทุนสร้างหน้าตาในแก่ครูใหญ่เอชเป็นแน่ ซึ่งของรางวัลก็ได้แก่เงินก้อนหนึ่งที่มากพอที่จะทำให้แคทส์ อายฟื้นตัวกลับมาต่อสู้กับแสตนเบิร์กเจอร์นัลอย่างสมฐานะได้อีกครั้งหนึ่ง ฉะนั้นต่อให้คนภายนอกมองว่ามันเป็นเพียงงานการกุศลธรรมดาๆ หรือกิจกรรมสร้างหน้าสร้างตาครั้งใหญ่ให้แก่ครูใหญ่เอชในสายตาของพวกเรา แต่สำหรับโจแล้ว เขากลับมองว่ามันเป็นโอกาสครั้งแรกและครั้งเดียวที่จะไม่ทำให้แสตนเบิร์กเจอร์นัลต้องผาดหัวข่าวว่า ‘แคทส์ อายกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับ!’
“ฉันได้ทำข้อตกลงเรื่องการสัมภาษณ์ยูจีนกับครูใหญ่เอชเอาไว้แล้ว ฉะนั้นถ้างานนี้ไม่มีอะไรผิดพลาด พวกเราเตรียมตัวขึ้นไปรับรางวัลกันได้เลย!” โจกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจในมาดของผู้บริหารพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูมีเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ
ฉันไม่เถียงเขาหรอกนะ เพราะอย่างที่เคยบอกไป ใครๆ ก็ต้องอยากรู้เรื่องของยูจีน โคลแมนด้วยกันทั้งนั้น และยิ่งเป็นเรื่องฉาวที่ไม่มีใครเคยรู้ ไม่มีนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเคยบอกคุณ มันยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่
“ต้องยอมรับว่างานนี้พวกเรามีกันแค่สี่คน ก็คงจะต้องเหนื่อยกันสักหน่อย” ท่านประธานที่เคารพกล่าวเรียบๆ “ฉันจะจัดการเรื่องถ่ายแบบ สถานที่ และรีทัชภาพทั้งหมด ในส่วนของบทสัมภาษณ์และข่าวที่จะเขียนลงในโฟโต้บุ๊คจะเป็นหน้าที่ของลอนดอน ส่วนแอลลี่—”
แอลลี่ที่นั่งขมวดคิ้วอยู่นานก็ลุกพรวดขึ้นมา ก่อนจะเริ่มอ้าปากพูด “เราไม่ทำโฟโต้บุ๊คของหมอนั่นไม่ได้เหรอ”
โอเค ดูเหมือนว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่จบง่ายๆ เสียแล้ว
“ฉันมองเห็นว่านั่นเป็นเพียงโอกาสเดียวที่จะไม่ทำให้ชมรมนี้ถูกยุบ” โจยังคงควบคุมน้ำเสียงให้อยู่ในระดับเดิมในขณะที่สองหัวคิ้วของลอนดอนเริ่มที่จะผูกเข้าหากัน
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคนอื่นจะทำอย่างไรในเวลานี้ คุณอาจจะลุกขึ้นแล้วช่วยแอลลี่คัดค้านในฐานะของเพื่อนสนิทที่แสนดี หรือจะเป็นอีกหนึ่งเสียงให้แก่โจและลอนดอนที่พร้อมจะเกลี้ยกล่อมให้แอลลี่ยอมทำงานนี้อย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่ถ้าเป็นฉัน คนฉลาดๆ อย่างฉันจะไม่ยอมเป็นลูกแพะรอบที่สองให้ใครเด็ดขาด ฉะนั้นแล้วฉันจึงเลือกที่จะนั่งนิ่งๆ อย่างสงบปากสงบคำอยู่ในตำแหน่งของตัวเองจะดีกว่า
“ให้ตายเถอะ! เรามีวิธีอีกมากมายที่จะเรียกเงินเข้าชมรม ฉันเชื่อว่าจะต้องมีคนที่ไม่อยากให้แคทส์ อายถูกยุบแล้วพร้อมที่จะบริจาคเงินให้เรา” แอลลี่เสนอ “ศิษย์เก่าเป็นไง นายก็รู้ว่าพวกรุ่นพี่ต้องช่วยเราแน่ๆ พวกเขาไม่อยากให้ชมรมที่พวกเขาสร้างมากับมือต้องถูกยุบหรอก!”
โอ๊ยตายแล้ว! เผื่อฉันยังไม่ได้บอกคุณน่ะนะ นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งคำพูดที่สามารถฆ่าคนให้ตายได้เลยล่ะ คือจะว่าอย่างไรดีล่ะ แม้ฉันจะไม่เคยประสบปัญหา (หรืออันที่จริงอาจจะเรียกว่าวิกฤตการณ์เลยก็ได้) อย่างที่โจกำลังประสบอยู่ แต่ฉันก็พอจะจินตนาการความรู้สึกและภาระที่เขาต้องแบกรับไว้ได้เป็นอย่างดีเชียว แคทส์ อายเป็นชมรมที่เก่าแก่มากพอตัวชมรมหนึ่ง และความเก่าแก่นั้นก็เป็นเหมือนแรงกดดันที่ทำให้ประธานชมรมรุ่นต่อๆ ไปรู้ว่า พวกเขา ‘ห้าม’ ทำให้ชมรมนี้พังพินาศลงในรุ่นของตัวเองเด็ดขาด! และประธานผู้อ่อนแอจนไม่อาจประครองชมรมให้อยู่ต่อไปได้จะต้องถูกจารึกชื่อเอาไว้ในประวัติศาสตร์ของชมรมหนังสือพิมพ์รายวันแคทส์ อาย หรือเผลอๆ อาจจะเป็นประวัติศาสตร์ของโรงเรียนมัธยมปลายแสตนเบิร์กก็ได้!
ดังนั้นแล้วการที่โจจะออกไปเรี่ยไรเงินกับพวกรุ่นพี่น่ะ มันไม่ต่างอะไรกับการเอาป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนว่า ‘ผมมันไอ้ขี้แพ้’ มาแขวนคอเลยสักนิด! ทีนี้คุณเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังจะสื่อไหม? มันเป็นเรื่องของอะไรสักอย่างที่ลอนดอนมักจะเรียกว่า ‘ศักดิ์ศรีของผู้นำ’ น่ะ
“แคทส์ อายจะไม่ถูกยุบเด็ดขาด!!” ลอนดอนโพล่งขึ้นมาเสียงดังพร้อมกับเอาฝามือสองข้างฟาดลงบนโต๊ะประชุมอย่างแรงเพื่อดันตัวขึ้นมา เธอจ้องหน้าแอลลี่เขม็ง ในขณะที่ฝ่ายถูกถลึงตาใส่กลับยังคงมองเธออย่างไม่สะทกสะทาน ต่างจากฉันที่ตอนนี้แทบจะมุดตัวลงไปใต้โต๊ะแล้วหายออกจากห้องไปอยู่แล้ว! “และเราก็จะไม่มีทางที่จะไปขอเศษเงินจากใครด้วย!”
“แล้วการที่พวกนายหลอกใช้ยูจีนนี่มันต่างจากการไปขอเศษเงินนั่นหรือไง?” แอลลี่ตั้งประเด็น
“การทำโฟโต้บุ๊คของยูจีนก็ไม่ต่างอะไรกับการทำสกู๊ปข่าวสกู๊ปหนึ่ง” โจพูดด้วยน้ำเสียงปกติที่ฟังดูปกติจนฉันแอบประหลาดใจ ก่อนที่สายตาของเขาจะหันไปมองแอลลี่ด้วยแววตาที่เริ่มเปลี่ยนไป “เราเป็นนักข่าว มีหน้าที่เสนอข่าว…มันผิดตรงไหนเหรอ อลิสัน?”
แอลลี่ชะงักไปกับคำถามที่โจตั้งขึ้น เธอหลบสายตาของเขา พลางขมวดคิ้วอย่างกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ฟังจากการที่โจเริ่มเปลี่ยนชื่อเรียกจาก ‘แอลลี่’ เป็น ‘อลิสัน’ แล้ว ฉันว่าถ้าแอลลี่ยังไม่ยอมนั่งลงดีๆ ล่ะก็ เธอต้องถูกโจกับลอนดอนฆ่าให้ตายไม่ทางคำพูดก็ทางสายตาทางใดทางหนึ่งเป็นแน่
“และเราก็ไม่ได้หลอกใช้ใครด้วย” ใบหน้าที่เรียบเฉยของโจหันมาสบตากับฉัน ก่อนที่แปรเปลี่ยนเป็นหน้าเปื้อนรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์จนฉันต้องแอบสะดุ้งเล็กน้อยถึงรางสังหรณ์ไม่ดีที่มาพร้อมกับรอยยิ้มนั่น “ไม่เชื่อก็ถามลีอาห์สิ”
“ฉันเนี่ยนะ?” ฉันรีบพูดขึ้นพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างร้อนตัวที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวในสงครามน้ำลายของพวกเขา
โจนะโจะ ฉันว่าฉันกำลังสลายตัวหายไปจากเก้าอี้ตัวนี้อยู่แล้วเชียว!
“ก็ใช่น่ะสิ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูราวกับว่ากำลังจะเปลี่ยนสถานการณ์ตึงเครียดนี่ให้กลายเป็นมุกตลก “เธอเป็นคนดูแลยูจีนแลกกับการสัมภาษณ์เขาไม่ใช่เหรอ ไม่ได้มาฟรีๆ และก็ไม่ได้หลอกใช้ใครด้วย”
แหงล่ะ! พวกเขาไม่ได้หลอกใช้ยูจีน แต่กำลัง ‘ใช้’ ฉันต่างหาก!
ห้องทั้งห้องกลับเงียบลงทันทีที่สิ้นเสียงของโจ ทุกสายตามองมาที่ฉันอย่างกับว่ากำลังรอคำตอบ รออะไรกันอยู่เล่า? อยากจะเฉียดคอแพะตัวนี้ก็รีบทำเลยสิ!
“เอ่อ…ก็…ฉันว่าเรากลับมาที่เรื่องโฟโต้บุ๊คดีไหม” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้
“เราไม่เหมือนพวกขี้ขลาดพวกนั้นหรอกนะ ที่วันๆ เอาแต่คิดแผนจะแย่งคนไปจากชมรมเรา!” ลอนดอนที่ไม่ไหลไปตามน้ำที่ฉันได้สาดเอาไว้ก่นด่าพวกแสตนเบิร์กเจอร์นัล
ฉันได้แต่กลืนน้ำลายดังเอื้อกพลางนึกหาคำพูดดีๆ มาพูด เพราะรู้ดีว่าถ้าหากได้เปิดปากแผลที่ถูกพวกแสตนเบิร์กเจอร์นัลกรีดเอาไว้อย่างเจ็บปวดแสนสาหัสแล้วล่ะก็ ลอนดอนไม่มีทางยอมกลับไปทำแผลง่ายๆ แน่ เธอจะต้องเปิดประเด็นอะไรสักอย่างขึ้นมาอีกแล้วท้ายที่สุดการประชุมครั้งนี้จากเดิมที่เคยมีหัวข้อการประชุมว่า ‘การเตรียมความพร้อมสำหรับงานการกุศลครั้งที่สอง’ ก็จะกลายเป็น ‘การนินทา ว่าร้าย และสาปแชงพวกแสตนเบิร์กเจอร์นัลครั้งที่ห้าสิบกว่าๆ ’ แทน
“ว่าแต่ฉันมีหน้าที่ต้องทำอะไรนะ” ฉันยังคงพยายามเบี่ยงเบบนความสนใจของสมาชิกที่กำลังมีน้ำร้อนจัดอยู่ในอก…
“ตราบใดที่ผลงานของพวกเรายังมีชื่ออีตาซูเปอร์สตาร์ขี้เก๊กนั่นอยู่ล่ะก็ ฉันไม่มีวันร่วมมือด้วยแน่!!”
…แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่
“แล้วเธอจะทำอย่างไรล่ะแม่คนเก่ง” ลอนดอนโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ทำอย่างกับว่าเธอมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้”
“ฉันไม่มี! แล้วก็ไม่รู้ด้วยเธอเป็นรองประธานไม่ใช่เหรอ? ก็คิดวิธีมาสิ!”
“แอลลี่!” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจในคำพูดของเธอ
ฝ่ายที่ถูกเรียกหันขวับมามองฉัน “อะไร หรือว่าไม่จริง”
ฉันกำลังอ้าปากจะบอกให้เธอหยุดความคิดที่จะเถียงพวกเขาหัวชนฝาไปซะ เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้แอลลี่ก็ช่างดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ต่อให้ฉันจะรักแอลลี่ขนาดไหน แต่เมื่อแคทส์ อายมาถึงตาจนและวิธีของโจกับลอนดอนก็ดูจะเข้าท่าที่สุดแล้ว ฉันก็จำเป็นที่จะต้องเห็นด้วยกับพวกเขา แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไปเสียงถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ของลอนดอนก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“เธอนี่มันโตแต่ตัวจริงๆ เลยนะแอลลี่ หัดแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวซะบ้าง! ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเกลียดเขานักหนา แต่ในเมื่อเราจำเป็นต้องทำงานร่วมกันเพื่อความอยู่รอด เราก็ต้องทำ! อย่างี่เง่านักเลย!!” ลอนดอนด่ากราดใส่อีกฝ่ายก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องประชุมไปโดยไม่ลืมที่จะกระแทกประตูลงดัง ปัง! ใหญ่ๆ
แอลลี่ได้แต่อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก ก่อนที่โจจะหันมายิ้มให้ฉันแล้วพูดขึ้นว่า
“หน้าที่ของเธอก็คือดูแลยูจีนให้ดีที่สุดไง ชเลนเดอร์”
“ลอนดอนไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้นหรอกน่า” โอเค ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าเธอตั้งใจ แต่แหม ในขณะที่แอลลี่กำลังร้อนเป็นไฟ ฉันคิดว่านี่คงเป็นคำพูดที่ดีที่สุดแล้ว
“ไม่ได้ตั้งใจอย่างนั้นเหรอ เขาด่าว่าฉันโตแต่ตัว! แยกแยะไม่เป็น! และก็งี่เง่า!!” อีกฝ่ายพูดอย่างใส่อารมณ์ระหว่างเราเดินออกจากห้องประจำชมรมไปตามทางโถงจนคนรอบข้างเริ่มหันมามองกันเล็กน้อย
ฉันไม่อยากจะขัดหรอกนะ เพราะถ้าฉันเป็นแอลลี่ ฉันเองก็คงจะรู้สึกอึดอัดน่าดูถ้าต้องมาใช้เวลาช่วงสั้นๆ ของชีวิตอยู่กับคนที่เราเกลียดขี้หน้า แถมยังต้องเอาใจราวกับว่าเขาเป็นพระเจ้าอีกต่างหาก แต่ใช่ว่าการที่แอลลี่ไม่รู้จักปรับตัวและมองในแง่ดี (ที่ตอนนี้ฉันยังไม่เห็น) ของยูจีนเสียบ้างจะเป็นเรื่องที่ถูก พนันกันไหมล่ะว่า กว่าโฟโต้บุ๊คเล่มนี้จะออกมาเป็นรูปเป็นร่างเราคงต้องเหนื่อยกันอีกเยอะทีเดียว
“ไม่เอาน่าแอลลี่ เขายังไม่ได้ทำอะไรให้เธอเลยสักนิด” ฉันชี้แจง “เธอเป็นฝ่ายไปเกลียดเขาก่อน ทั้งๆ ที่เขากับเธอไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แถมวันนั้นเธอก็เป็นคนไปปาไข่ใส่เขาอีก”
“นี่เธอเขาข้างหมอนั่นเหรอ!”
“เปล่าซะหน่อย” ฉันรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน “ฉันแค่บอกว่าให้เธอทำใจเย็นๆ เข้าไว้ หลับตาสักข้าง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สนใจเขาก็ได้” ฉันยักไหล่อย่างสบายๆ ก่อนจะพูดต่อ “แค่เดือนเดียวเอง แอลลี่”
และในจังหวะนั้นที่แอลลี่เริ่มถอนหายอย่างคนกำลังจะปลงตก ซึ่งถ้ามองในแง่ดีก็คือ คำพูดของฉันเริ่มใช้ได้ผล แต่น่าเสียได้ที่ทุกอย่างยังไม่ทันจะดีขึ้นเลยสักนิด กลับมีผู้ชายคนหนึ่งเดินหน้าระรื่นเข้ามาหาฉันพร้อมกับแจ็คเก็ตหนังหนึ่งตัวและกระเป๋าเป้ที่สะพายอยู่บนไหล่ข้างเดียวของเขา
“ไงลีอาห์”
“ยะ…ยูจีน…” ฉันเรียกชื่ออีกฝ่ายทั้งๆ ที่ในลำคอกำลังแห้งผากราวกับมีซาฮาราอยู่ในนั้น
โอ๊ยแย่แล้ว! แย่แน่ๆ! แย่เสียยิ่งกว่าสงครามน้ำลายของลอนดอนกับแอลลี่เมื่อตะกี้เสียอีก!!
“เธอไปไหนมาน่ะ ฉันหาเธอทั่วไปหมดเลยรู้ไหม” ยูจีนพูดก่อนจะมองหน้าฉันเหยเก “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ทำหน้าอย่างเห็นตัวประหลาด แต่ก็เอาเถอะ ฉันจะมาถามว่าเย็นนี้เธอว่างไหม เราอาจจะไปนั่งเล่นกันสักหน่อย…เธอก็รู้ในฐานะของเพื่อนใหม่น่ะ ดีไหม”
“เอ่อ…ฉันว่า…” ฉันอ้ำอึ้งพลางเสตามองแอลลี่กำลังจ้องพ่อหนุ่มซูเปอร์สตาร์อย่างพร้อมที่จะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ เสียให้ได้
“เดือนเดียวงั้นเหรอ” เสียงเย็นยะเยือกดังออกมาจากผู้หญิงที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ฉัน “แค่วันเดียวฉันก็ทนไม่ได้แล้ว!!!”
“เฮ้ย!!—”
“แอลลี่อย่า!!!”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ