ดวงใจในสงคราม [Yaoi]
เขียนโดย Metzine
วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 23.39 น.
แก้ไขเมื่อ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 20.29 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) เฮลรัส
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความณ เมืองเฮลรัส
แสงแดดเวลาเที่ยงตรงสาดส่องลงมายังเมืองใหญ่ตรงหน้า แผ่นดินกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ส่วนหนึ่งนั้นเต็มไปด้วยป่าไม้ อีกส่วนเป็นบ้านเรือนที่มีผู้คนอยู่กับคับคั่ง รถม้าที่วิ่งกันพลุกพล่านบนท้องถนนแสดงให้เห็นถึงความเจริญของเมืองใหญ่ ผู้คนในเมืองแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราราวกับต้องการโอ้อวดฐานะ อีกทั้งยังมีกลุ่มพ่อค้าทาสที่คอยตะโกนเรียกแขกให้เข้ามาประมูลทาสที่ตนเพิ่งได้มา ไม่ไกลนักตรงมุมถนนมีหญิงสาวนุ่งอาภรณ์น้อยชิ้นสีสันแสบตายืนเรียกลูกค้าอยู่ เมืองที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและยังเป็นเมืองมหาอำนาจแห่งนี้คือ 'เฮลรัส'
ความคิดของบุรุษร่างใหญ่บนหลังม้าแวบขึ้นมาระหว่างที่ตนและสหายร่วมทางอีกสองคนควบม้าคู่ใจผ่านชุมชนและย่านตลาดที่มีคนหลายเชื้อชาติเดินกันขวักไขว่ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังปราสาทสีดำทะมึนตรงหน้า
ประตูเหล็กใหญ่ถูกยกขึ้นเมื่อนายทวารเห็นคนทั้งสามควบม้าเข้าไปใกล้ ประตูใหญ่ค่อยๆถูกยกขึ้นอย่างช้าๆเผยให้เห็นตัวปราสาทตั้งตะหง่านอยู่ตรงหน้า เมื่อมองขึ้นไปบนยอดปราสาทจะเห็นธงรูปราชสีห์ผืนใหญ่โบกสะบัดไปตามแรงลม ผนังกำแพงทุกด้านทำด้วยหินสีดำก้อนหนาเรียงต่อกัน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและดูน่าเกรงขาม ส่วนตัวปราสาทนั้นล้อมรอบไปด้วยน้ำ อีกทั้งยังมีหน้าผาใหญ่ตั้งอยู่เบื้องหลังราวกับกำลังโอบปราสาทไว้ก็ไม่ปาน โดยรวมแล้วมันดูคล้ายกับที่คุมขังที่ไร้ทางหนีเสียมากกว่า.....ไม่รอช้าบุรุษทั้งสามก็รีบลงจากหลังม้าคู่ใจ ก่อนจะก้าวยาวเข้าไปยังตัวปราสาท
.....................
บุรุษผู้มีใบหน้างดงามราวอิสตรีซึ่งขัดกับรูปร่างสูงโปร่งนั้น กำลังผุดลุกผุดนั่งอยู่ภายในห้องอย่างคนร้อนใจ เกศาดำขลับยาวประบ่าสะบัดไปตามจะหวังการเคลื่อนไหว ทั้งนัยย์ตาสีดำสนิทราวกับความมืดยามรัตติกาลที่กำลังเพ่งมองบางสิ่งที่ตนเฝ้ารอภายนอกหน้าต่าง จนกระทั่งสายตาพลันเหลือบไปเห็นกลุ่มคนที่ค่อยๆควบม้าเข้ามายังปราสาท ภาพต่อมาคือบุรุษสามคนที่ตนต้องการพบที่สุดกำลังลงจากหลังม้าและเดินตรงมายังทางที่เป็นห้องทรงงานของตน
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดนั้นปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นมาที่มุมปากก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉยแทบจะทันที
"เข้ามาสิ" เสียงภายในห้องเรียกคนทั้งสามทันที ราวกับกำลังเฝ้ารอเหล่าผู้มาใหม่อยู่ก็ไม่ปาน
"ฝ่าบาท" ประตูถูกผลักออกทันที ก่อนจะตามด้วยเสียงของบุรุษทั้งสามที่กำลังโค้งคำนับต่อบุคคลตรงหน้า
"เล่าเรื่องการส่งสาส์นไปคาร์มาร์ให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ ข้าอยากฟังคำตอบของพวกมัน" เสียงของคนตรงหน้าถามขึ้นอย่างตรงประเด็นโดยไม่แม้แต่จะเอ่ยถามถึงสาระทุกข์สุกดิบคนทั้งสาม
"พะยะค่ะท่านจาฟา" ทีมัสบุรุษวัยกลางคนหนึ่งในผู้ส่งสาส์นเอ่ยตอบอย่างรู้นิสัยบุรุษเบื้องหน้า ก่อนจะเล่าเรื่องราวต่างๆในคาร์มาร์ รวมทั้งท่าทีและคำตอบของกษัตริย์เรดมอนด์เมื่อเห็นสาส์นนั้น โดยไม่ลืมที่จะเล่าถึงเด็กน้อยตัวเล็กขี้สงสัยที่ตนได้พูดคุยด้วย ให้คนตรงหน้าที่กำลังจ้องตนอย่างไม่วางตาฟัง
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ "เสียงหัวเราะที่ราวกับเป็นผู้ชนะดังออกมากจากผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า ท่าทีของกษัตริย์จาฟาตอนนี้ดูราวกับราชสีห์ที่กำลังจะได้เหยื่อตัวใหญ่มาไว้ในกำมือก็ไม่ปาน
"ฝ่าบาททรงพระสรวลเรื่องอันใดรึพะยะค่ะ" เฮริงชายที่ดูผอมแห้งกว่าคนทั่วไปเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นท่าทีบุรุษตรงหน้า
"ข้ากำลังรู้สึกถึงชัยชนะในอีกไม่ช้าไงล่ะเฮริง" กษัตริย์หนุ่มเอ่ยพร้อมฉีกยิ้มกว้างจนดูน่ากลัวกว่าปกติ
"ชัยชนะ? ฝ่าบาท คือข้าไม่เห็นว่าท่านเรดมอนด์จะตอบตกลงกับข้อเสนอนั่นเลยนะพะยะค่ะ" เฮริงยังคงสงสัยในรอยยิ้มของคนตรงหน้า
"ข้ารู้เฮริง แล้วข้าก็รู้นิสัยเรดมอนด์ด้วยเจ้านั่นน่ะรักอลิเซียมาก แล้วยังจะโอรสตัวน้อยนั่นอีกล่ะ แต่หน้าที่กษัตริย์จะต้องไม่ทำให้ประชาชนของตนต้องเข้าสู่สงครามแน่ เจ้านั่นจะต้องกำลังคลั่งกับข้อเสนอของข้าอยู่แน่ๆ ฮ่าๆ"กษัตริย์หนุ่มยังคงเอ่ยราวกับรู้ถึงความคิดของอีกคน ก่อนจะหัวเราะกับผลลัพธ์ที่ตนคาดเดาไว้
"เฮริง เบรส พวกเจ้าสองคนออกไปก่อนข้ามีเรื่องอยากคุยกับฝ่าบาท ..ตามลำพัง" ทีมัสบุรุษร่างใหญ่ออกคำสั่งกับชายทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างตน
เสียงประตูเบื้องหน้าปิดลงหลังจากที่บุรุษทั้งสองเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ชายวัยกลางคนกับกษัตริย์หนุ่มอยู่ตามลำพัง
"เฮ้อออ.. จาฟาข้าอยากให้เจ้าคิดดูอีกที เจ้าทั้งสองเป็นสหายกันมาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าไม่อยากให้พวกเจ้าต้องมาสู้รบกันเพียงเพราะเรื่องไร้สาระในตอนนั้น" ชายร่างใหญ่เอ่ยด้วยคำพูดที่ดูสนิทสนม
"ไร้สาระงั้นรึ ..เจ้าจะไปรู้อะไรทีมัส คนที่มีหน้าที่แค่คอยดูแลข้าอย่างเจ้าจะไปรู้อะไร ในเมื่อคนที่ถูกแย่งของที่รักไปมันคือข้า ทั้งๆที่อลิเซียจะต้องเป็นราชินีของข้าแท้ๆ แต่มัน มันที่เคยเป็นเพื่อนรักของข้ากลับมาหักหลังข้า" ราชาหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต มือเรียวกำหมัดแน่นราวกับพยายามสะกดกลั้นอารมณ์โกรธไว้
"แต่จาฟา เจ้าก็เห็นว่าท่านหญิงอลิเซียรักเรดมอนด์มากแค่ไหน ต่อให้ท่านหญิงถูกกำหนดให้อภิเษกกับเจ้าก็ตาม แต่เราไม่อาจบังคับหัวใจใครได้หรอก" บุรุษร่างใหญ่เอ่ยพลางเดินเข้ามาหาคนตรงหน้าก่อนจะวางมือหนาลงบนบ่าคนที่โกรธจนตัวสั่นราวกับต้องการให้อีกคนผ่อนคลายลงบ้าง
"นี่เจ้าอยู่ข้างใครกันแน่ทีมัส" กษัตริย์หนุ่มถามก่อนจะจ้องอีกคนอย่างต้องการหาคำตอบ
"ข้าเป็นคนของฝ่าบาท ไม่ว่าถูกหรือผิด ข้าจะอยู่ข้างท่านเสมอพะยะค่ะ" ทีมัสหันไปจ้องตาตอบคนตรงหน้ากลับราวกับต้องการจะสื่อให้คนตรงหน้ารู้ถึงความภักดีของตน
"ดี เพราะข้าตัดสินใจไปแล้ว และข้าจะไม่เลิกล้มเด็ดขาด"กษัตริย์หนุ่มสะบัดมือคนตรงหน้าออกอย่างไม่สนใจนักก่อนจะเดินฮัมเพลงพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้มออกจากห้องไป ทิ้งให้บุรุษร่างใหญ่ที่ไม่เคยเกลี้ยกล่อนตนได้เลยยืนกุมขมับอยู่
.......................................................
ณ สนามฝึก
ลานกว้างกลางแจ้งที่เต็มไปด้วยทหารจากหลายหน่วยกำลังฝึกฝนร่างกายและซ้อมต่อสู้ มีทั้งที่สู้ด้วยดาบไม้ กระบอง หรือแม้แต่มือเปล่า แต่แม้จะมีทหารมากเพียงใด แทบจะทุกสายตากลับจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผมดำขลับสีเดียวกับนัยต์ตาทั้งรูปร่างสูงโปร่งดูแข็งแรงต่างกับเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นขณะที่มือเรียวกำดาบสีเงินเงาปลาบแน่น เสียงเหล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะพร้อมกันกับที่ดาบของเด็กหนุ่มฟันลงยังโล่ห์บนแขนบุรุษที่เป็นคู่ซ้อมตรงหน้า ซึ่งดูยังไงเด็กหนุ่มก็เป็นฝ่ายได้เปรียบในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะจัดการปิดฉากการแสดงที่น่าสนุกนี้ สายตาเด็กชายพลันเหลือบไปเห็นคนที่ตนเองรอที่จะพบอยู่นาน จนทำให้เผลอหันไปมองชายร่างใหญ่ที่กำลังเดินผ่านไปอย่างลืมตัว ขณะนั้นคู่ซ้อมที่กำลังจะพ่ายแพ้กลับใช้โอกาสนี้ ใช้โล่ห์ของตนปัดดาบของเด็กหนุ่มออกก่อนจะกระแทกเด็กหนุ่มให้ล้มลง พร้อมจ่อดาบเล่มยาวที่คอคนตรงหน้าที่ล้มไม่เป็นท่าอยู่กับพื้น ก่อนที่กรรมการจะเข้ามาชูมือคู่ซ้อมของเด็กหนุ่มขึ้นเพื่อเป็นการประกาศว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชนะในครั้งนี้
"ฝ่าบาทเล่นเอาข้าเหนื่อยเลยพะยะค่ะ" ทหารคู่ซ้อมที่ตอนนี้หายใจแทบไม่ทันเพราะเหนื่อยหอบกันการซ้อมเมื่อครู่เอ่ยพลางยื่นมือไปฉุดตัวคนตรงหน้าที่นั่งแปะอยู่กับพื้น
"แต่ข้าก็ยังแพ้อยู่ดี" เด็กหนุ่มตอบพลางเอื้อมมือไปจับมือนายทหารตรงหน้าที่ยื่นมา ก่อนจะรีบหันไปทางบุรุษที่ทำให้ตนเสียสมาธิ โดยไม่สนใจคู่ซ้อมที่เอ่ยชมตนไม่หยุดหย่อนราวกับต้องการเอาใจเด็กชาย
"ทีมัส!" เด็กหนุ่มเรียกบุรุษร่างใหญ่ที่กำลังผ่านมาทางที่ตนฝึกซ้อม ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา
"ฝีมือท่านพัฒนาไปมากเลยพะยะค่ะองค์รัชทายาท" บุรุษร่างสูงใหญ่เอ่ยขึ้นหลังจากที่เห็นฝีมือการต่อสู้ของคนตรงหน้า ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินผละจากสนามซ้อมออกไปตามทางเดินในปราสาท
"พัฒนางั้นหรอ เมื่อกี๊ข้าเพิ่งแพ้นะทีมัส ..และข้าว่าท่านพ่อคงไม่คิดอย่างเจ้า" เด็กหนุ่มเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แฝงด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจอย่างเห็นได้ชัด
"องค์ชายยังทรงเยาว์ชรรษาแต่กลับมีฝีมือดาบถึงขนาดนี้ ข้าว่าอีกไม่นานท่านจะต้องเป็นกษัตริย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแน่ๆ" ทีมัสยังคงเอ่ยชมฝีมือคนตัวเล็กกว่าที่ตนเอ็นดูราวกับเป็นบุตรชายแท้ๆก็ไม่ปาน
"เจ้าเลิกยอข้าได้แล้ว ข้าอยากรู้เรื่องที่เจ้าไปคาร์มาร์" คนหนุ่มตรงหน้าที่นิสัยดูจะไม่ต่างกับบิดาเลยแม้แต่น้อยเอ่ยขัดขึ้น
ก่อนจะเดินก้าวยาวให้ทันคนตัวสูงที่เดินเร็วกว่า
"พะยะค่ะ" คนตัวโตตอบรับก่อนจะค่อยๆเล่าเรื่องต่างๆระหว่างที่เดินไปตามทางในปราสาท โดยมีสายตาเด็กหนุ่มที่ลอบมองตนเป็นระยะ
"ข้าไม่เข้าใจว่าท่านพ่อสนใจเมืองเล็กๆนั่นไปทำไม ..ทรัพยากรเราก็มีมากกว่า หรือจะกำลังทหารที่มากพอจะยึดคาร์มามาตอนนี้ได้เลยด้วยซ้ำ" เด็กหนุ่มตั้งข้อสงสัย ก่อนจะหยุดเดินแล้วครุ่นคิดบางอย่าง
"นั่นสิ 'โจสิส' ตอนนี้เฮลรัสมีทุกอย่างจนไม่จำเป็นต้องสนใจเมืองเล็กๆนั่นเลยด้วยซ้ำ" เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังเอ่ยกับเจ้าชายหนุ่ม ราวกับต้องการไขข้อสงสัย
"พระบิดา" เจ้าชายเอ่ยสั้นๆพลางโค้งศีรษะลงเพื่อทักทายตามมารยาท
"เจ้าควรจะรู้ไว้ ที่ข้าทำทั้งหมดนี่ เพราะข้าเกลียดพวกมัน เกลียดที่มันแย่งสิ่งที่ข้ารักไป.... ดังนั้นเจ้าไม่ต้องหาเหตุผลในเรื่องนี้หรอก เจ้ามีหน้าที่แค่ฝึกฝนตัวเองให้เก่งกาจเพื่อจะได้แก้แค้นพวกมันให้ข้าก็พอ" พูดจบกษัตริย์ที่มีใบหน้าเรียบเฉยเช่นเดียวกับเจ้าชายน้อยก็เดินผ่านไป ทิ้งความสงสัยเพิ่มมากขึ้นให้คนหนุ่มที่ยังคงงงกับคำพูดนั้น
"ทีมัส ข้าไม่เข้าใจ ข้าเป็นแค่เครื่องมือแก้แค้นสำหรับท่านพ่อแค่นั้นรึ" เจ้าชายหนุ่มหันมาถามคนที่ยังคงยืนอยู่ไม่ไปไหน
"พระองค์อย่าทรงกริ้วหรือน้อยพระทัยพระบิดาของพระองค์เลย ท่านจาฟาแค่ต้องการจะเอาชนะท่านเรดมอนด์ก็เท่านั้น ข้าไม่อยากให้ท่านเกลียดคนพวกนั้นเพราะคำสั่งของพระบิดา เมื่อพระองค์โตขึ้นพระองค์ก็จะเข้าใจพะยะค่ะ" พูดจบมือหนาค่อยๆลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าตรงหน้าอย่างเอ็นดูก่อนจะคำนับเล็กน้อยแล้วเดินจากไปทิ้งให้เจ้าชายหนุ่มยืนครุ่นคิดเพียงลำพัง
คิ้วคมได้รูปรับกับนัยส์ตาสีดำขลับ ขมวดเป็นปม ใบหน้าที่เรียบเฉยขัดกับความคิดที่วุ่นวายสับสนภายในจิตใจ 'ที่ข้าต้องฝึกฝนอย่างหนักตั้งแต่ยังเด็กและการที่บิดาไม่เคยสนใจข้าเลยตั้งแต่ข้าเกิดมาบนโลกใบนี้ ทั้งยังทิ้งให้มารดาของข้าตรอมใจจนสิ้นพระชนม์ไป ทั้งหมดเป็นความผิดของคนพวกนั้น แล้วทำไมทีมัสถึงบอกให้ข้าแยกแยะเรื่องนี้ด้วยตนเอง แล้วคำสั่งของท่านพ่อมันไม่ถูกต้องรึ ข้าจะต้องทำเช่นไร .......แต่ตอนนี้ พวกมันจะต้องชดใช้ ยังไงข้าก็ยังเกลียดพวกมัน' เจ้าชายสับสนกันความคิดในหัวของตน ก่อนจะเดินกลับไปยังทางที่ตนเดินมา ทางเดินที่ทอดยาวไปยังสนามฝึกซ้อมในปราสาท ความคิดที่ผุดขึ้นของเจ้าชายหนุ่มมีเพียง 'ฝึกฝนตนเองเพื่อแก้แค้น แล้วซักวันพระบิดาจะหันมารักตนบ้าง'
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ