Creepypasta Family The Broken Myth
เขียนโดย Leragan
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
8) [ตอนพิเศษ 2] Go To Sleep
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความในสถานที่คุมขังเยาวชนแห่งหนึ่งในเมืองที่ผมอยู่ ตอนนี้อยู่ในช่วงชุลมุนวุ่นวาย ทั้งตำรวจ และเหล่าเยาวชนที่หลงผิดต่างก้าวเท้ากันออกไปในต่างทิศทาง บางคนก็ถูกส่งไปที่ห้องดัดนิสัย บางคนก็ได้กลับไปที่ห้องพัก ...แต่สำหรับผม วันนี้กลับเป็นวันโชคดีและโชคร้ายในคราเดียวกัน เรื่องดีในวันนี้ของผมคือ ผมจะถูกปล่อยตัวออกจากที่แห่งนี้ แต่สำหรับข่าวร้าย เจฟ..น้องชายของผม ถูกไฟคลอกบาดเจ็บสาหัส จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้สติ
ผมเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งไป เขาพาผมเดินออกมาจากห้องพักรวมมาจนถึงจุดหนึ่ง ระยะทางเกือบร้อยเมตร ผมเดินมาถึงที่นี้ก็พบคนสองคนที่ผมรู้จักและรักเขา...พ่อกับแม่ เพียงแรกตาเห็นผมก็รีบวิ่งไปกอดพวกเขาทันที
“พ่อกับแม่มารับลูกแล้วนะ..ลูว์” พ่อเอ่ยออกมาแล้วยิ้มให้กับผม พวกเขาผละผมออกมาจากอ้อมกอด ก่อนที่จะจับมือของผมและจูงไปทางประชาสัมพันธ์ของที่นี่ พ่อกับแม่เซ็นชื่อไปในแผ่นกระดาษแผ่นหนึ่ง พวกเขาเซ็นเสร็จก็หันมาที่ผม “ก่อนจะกลับบ้าน เราไปเยี่ยมน้องชายของลูกกันก่อนนะ”
พ่อของผมยื่นใบที่ลงชื่อแล้วให้กับทางประชาสัมพันธ์ แล้วพาผมออกมาจากสถานกักกันนั้นมุ่งตรงสู่โรงพยาบาลที่น้องชายของผมอยู่ ในขณะที่รถกำลังแล่นอยู่ ผมได้กวาดตามองผ่านหน้าต่างรถ มองโลกภายนอกที่ไม่ได้พบเห็นมานานเกือบ 1 ปี ผมชื่นชมทัศนยภาพของเมืองได้ไม่นานรถของพ่อก็จอดหน้าโรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
“แม่..เดี๋ยวพาลูว์ขึ้นไปหาเจฟก่อนนะ เดี๋ยวพ่อไปหาที่จอดก่อน” หลังจากนั้นพ่อก็ขับรถออกห่างไปจนเกินสายตาจะมองเห็น ผมกับแม่จึงเดินไปในโรงพยาบาลเพียงแค่สองคน แม่เดินไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลเพื่อถามบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
“ขออนุญาตนะค่ะ..ไม่ทราบว่าผู้ป่วยที่ชื่อ เจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ได้ย้ายห้องหรือยังค่ะ” แม่เอ่ยถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ “เมื่อวาน..อยู่ห้องไอซียูค่ะ”
“ผู้ป่วยชื่อ เจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ...เจฟเฟอรี่ วู้ดส์ ...” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เช็คข้อมูลของเจฟด้วยคอมพิวเตอร์ “อ่อ.. ใช่เจฟเฟอรี่ วู้ดส์ที่ถูกไฟคลอกหรือเปล่าค่ะ”
“ใช่ค่ะ” แม่ตอบกลับไป
“ตอนนี้เจฟอยู่ที่ชั้น 4 ห้อง 433 ค่ะ แล้วคุณหมอแบรี่ก็มีนัดเข้าพบด้วยค่ะ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ตอบคำถามของแม่กลับไป
“ขอบคุณมากค่ะ” แม่กล่าวขอบคุณกับพนักงานคนนั้น ก่อนจะมุ่งไปที่บันได เพื่อจะขึ้นไปที่ชั้น 4 พร้อมกับพ่อและผม เราเดินกันได้ไม่นานก็มาถึงห้องที่เจฟพักอยู่ พ่อจับลูกบิดเพื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพที่พวกเราได้เห็น คือ ห้องสีขาวขนาดกลางที่มีสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่จำเป็น รวมทั้งโทรทัศน์ด้วย แต่ที่โดดเด่นไปกว่านั้นคือคนทั้งสองคนที่อยู่กันต่างกริยาบถ นั่นคือชายในชุดกาวกับเอกสารบนมือเขา..คุณหมอแบรี่ กับชายหนุ่มที่นอนอยู่ยนเตียงคนไข้ในลักษณะที่มีผ้าพันแผลเต็มตัว
“สวัสดีครับ/ค่ะ คุณหมอแบรี่ เจฟเป็นยังไงบ้างครับ/ค่ะ” พ่อกับแม่เอ่ยถามความคืบหน้าจากแพทย์ผู้มีรูปร่างอ้วนท้วม เขาใส่แว่นสีขาวกับผ้าปิดปากอนามัย
“สวัสดีครับ มิสเตอร์และมิสต์ซิสวู้ดส์ ผมมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายสำหรับอาการของเจฟเฟอรี่” คำพูดของหมอแบรี่ ทำให้พ่อแม่ของผมต้องสลดไปในทันที “พวกคุณจะเอาเรื่องไหนก่อนละครับ”
“ผมขอเรื่องร้ายก่อนครับ..ยังไงผมก็พบเรื่องร้ายมาเกือบทั้งปีแล้ว พบอีกสักครั้งคงจะไม่หนักหนามากไปกว่าที่เคยเจอ” ผมเอ่ยก่อนที่พ่อกับแม่จะตัดสินใจ
“ถ้าอย่างนั้น..ก็ได้ สำหรับเรื่องร้ายของเจฟก็...” หมอแบรี่เอ่ยจบก็คลายผ้าพันแผลที่พันหน้าเจฟแล้วถอดออกมา ทำให้ทุกคนเห็นใบหน้าของเจฟที่ผิดไปจากเดิม “เนื่องด้วยเหตุไฟไหม้ ทำให้เซลล์สีผิวเสื่อมสภาพ ผิวของเจฟจึงเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด..อย่างถาวร เช่นเดียวกับสีผมและสีของนัยน์ตาที่เปลี่ยนเป็นสีดำ และอีกอย่างในระหว่างที่ถูกไฟคลอก เจฟอาจจะเกิดความกลัวอย่างสุดขีด ทำให้ม่านตาและรูม่านต่าของเขาหดเล็กลงไปมาก สรุปรวมๆแล้ว ลูกคุณอาจจะดูน่ากลัวขึ้นไปหน่อย แต่สำหรับสมองหรือส่วนอื่นๆก็ยังคงเป็นปกติ
“มาที่ข่าวดีกันบ้าง” ชายในเสื้อกาวทำหน้าเหมือนจะยิ้ม “ลูกของคุณสามารถพาไปพักผ่อนที่บ้านได้เลยทันทีที่เขาตื่น เพราะลูกของคุณฟื้นฟูร่างกายได้เร็วมากจนน่าทึ่ง เพียงแค่มาอยู่ที่โรงพยาบาลในสภาพที่มีแต่แผลไฟไหม้เต็มตัวไม่กี่วัน ร่างกายกลับซ่อมแซมกลับมาเกือบจะปกติได้ ...น่าทึ่งจริงๆ มีแค่นี้แหละครับ ส่วนนี้ค่าใช้จ่ายครับ อ่อ..ผิวสีขาวซีดของเจฟทำให้เขาอยู่ภายใต้แสงแดดนานเกิน 15 นาทีไม่ได้ เพราะจะเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนอย่างมหาศาล”
หลังจากที่คุณหมอแบรี่เอ่ยจนจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป ทางเราก็ได้แต่รอเวลาให้เจฟตื่นขึ้นมาจากการหลับไหลอันยาวนาน เรารอมาเกือบ 2 ชั่วโมง สุดท้ายเจฟก็ลืมตาตื่นขึ้น เขากวาดตามองไปที่พ่อ แม่ จนสุดท้ายมาทางผม ทันใดนั้นต่อมน้ำตาแตกทันที เจฟรีบดีดตัวออกจากเตียงนอนแล้ววิ่งมาทางผมโดยไม่ได้ดูเลยว่าสายน้ำเกลือพันขา เขาจึงหงายหน้าล้มลงไปทันทีผมจึงเดินไปหาน้องชายที่ตอนนี้ทำตัวเหมือนเด็กขี้แยถึงแม้ว่าจะอายุ 16 แล้วก็ตาม
“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้น้องพี่..พี่ไม่หนีไปไหนหรอก” เจฟหันหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมา แล้วกอดผมไว้แน่น ทางพ่อกับแม่ก็ยิ้มปริ่มๆ
“ทำไมพี่ต้องทำอย่างนี้ด้วย..ทำไมพี่ต้องรับผิดแทนผมด้วย ฮือฮือฮือ” เจฟพูดทั้งน้ำตาที่ไหลหนองเต็มใบหน้าสีขาวซีดของเขา “พี่อย่าทิ้งผมไปอย่างนี้อีกนะครับ”
“พี่สัญญา..แล้วนายล่ะ เจฟ จะสัญญามั้ยว่าจะไม่ทิ้งพี่ไปเหมือนกัน” ผมเอ่ยด้วยความห่วงใยของพี่ต่อน้อง
“ผมสัญญาครับพี่” เจฟเอ่ยมาด้วยเสียงสั่นๆ ผมจึงยกแขนของผมที่ยังแนบไว้ข้างกายมาโอบรอบร่างของน้องชายขี้แย
หลังจากที่พวกเรากอดกันเสร็จ พ่อกับแม่ก็เก็บข้าวของเจฟจนหมด ในขณะเดียวกันเจฟก็ไปเปลี่ยนเสื้อเช่นกัน เขาเปลี่ยนจากชุดผู้ป่วยเป็นเสื้อเชิ้ตสีดำ กับกางเกงยีนส์สีดำ และรองเท้าผ้าใบสีแดงขาว เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเราก็ออกจากห้อง แล้วลงไปสู่ชั้นล่าง เพื่อไปแจ้งกับประชาสัมพันธ์และเสียค่าใช้จ่าย
“พ่อครับ..ก่อนกลับบ้าน ผมขอไปร้านเสื้อผ้าก่อนนะครับ” เมื่อพ่อหันมา ผมจึงขยิบตาข้างซ้ายให้พ่อเห็น เขาจึงมองไปทางนั้น เมื่อพ่อเห็นเจฟในเสื้อเชิ้ร์ตสีดำ พ่อก็เข้าใจในทันที
“ได้เลย..ลูว์” เมื่อพ่อเอ่ยจบ ก็ชำระเงินเสร็จพอดี พวกเราจึงมุ่งตรงไปที่รถของพ่อ ก่อนจะเดินทางไปที่ร้านเสื้อผ้า เนื่องด้วยเซอร์ไพรซ์บางอย่างที่ผมจะมอบให้น้องชาย พวกเราเดินทางมาได้สักพักก็มาถึงร้านเสื้อผ้าที่หวังไว้
“อ้าว! ทำไมเราถึงมาที่นี่ล่ะครับ” เจฟเอ่ยถามด้วยหน้าตาซื่อๆ
“พอดีพี่ต้องมาซื้อเสื้อให้คนรู้จักน่ะ” ผมตอบกลับโดยไม่ได้บอกไปว่าคนๆนั้นเป็นใคร “นายก็มาดูด้วยกันสิ..เจฟ”
ผมจับข้อมือของเจฟแล้วกระชากร่างของเขาออกมาอย่างแรงจนเจฟกระเด็นตกจากที่นั่ง เจฟที่ล้มรีบหันหน้ามาที่ผม แล้ววิ่งไล่ผมวนกันไปก็วนกันมา
“เจ้าพวกนี้..ไม่รู้จักโตสักที” พ่อเอ่ยออกมาในขณะที่เขากำลังลงมาจากรถ แม่ที่ได้ยินก็หัวเราะเบาๆ
“ถึงเขาจะโตกันขนาดไหน..เราก็ยังเห็นเขาเล็กอยู่ดีล่ะค่ะ ที่รัก” แม่เอ่ยออกมาด้วยเสียงหวาน ถึงแม้ว่าท่านจะอายุ 40 แล้วก็ตาม แต่ถ้าดูเพียงแค่ใบหน้าและรูปลักษณ์ภายนอกก็จะคิดกันว่าท่านอายุเพียง 20 ปลายๆเท่านั้น แต่สำหรับพ่อก็ยังคงมีใบหน้าตามอายุ พ่อเป็นผู้ชายไว้หนวดรูปร่างสูงใหญ่ ชอบทำหน้าเข้มอยู่ตลอด แต่จริงๆแล้วท่านก็เป็นคนใจดีไม่แพ้แม่เช่นกัน
พวกเราสองพี่น้องวิ่งกวดกันไปมาจนสุดท้ายก็เข้ามาในร้าน แล้วสงบลงทั้งผมและเจฟ ผมที่เห็นว่าเจฟหันไปสนใจหมวกผ้าแล้ว ก็รีบปลีกตัวไปทางส่วนของเสื้อกันหนาวทันที ผมเลือกหาได้ไม่นานก็เจอกับสิ่งที่ต้องการ มันคือเสื้อกันหนาวสีขาวมีฮู้ด เนื้อผ้าของมันหนาแต่กลับนุ่มอย่างไม่น่าเชื่อ ผมนำเสื้อนี้ไปที่เคาเตอร์พร้อมกับชำระเงินเสร็จสับ ผมก็เรียกน้องชายให้ออกมาจากร้าน เมื่อออกมาเจฟก็ทำหน้างงๆ เหมือนกำลังจะบอกว่ายังไม่ได้ซื้ออะไรเลย ผมจึงนำเสื้อที่ซื้อโชว์ให้น้องชายแสนซื่อได้เห็น
“ทาาาาา..ด้าาาาาา!!!” เจฟที่เห็นเสื้อตัวนี้ก็ยังทำหน้างงงวยเช่นเดิม อารมณ์ของการอยากเซอร์ไพรซ์คนอื่นหมดไปในทันที ใบหน้าเปี่ยมความสุขของผมเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันที เหมือนแสดงความหมายว่า ‘เอ็งไม่เก็ตเหรอว่ะ”
“เสื้อสวยดีนะครับ..คนที่พี่ซื้อให้คงจะมีความสุขแน่ๆเลยครับ” เจฟยังคงซื่อจนบื้อเช่นเดิม ผมได้แต่ตบหน้าผากตัวเองเบาๆ ส่วนทางพ่อกับแม่หัวเราะกันอย่างมีความสุข
“ก็เอ็งนั่นแหละที่ตูจะซื้อให้น่ะ” เจฟยังคงอ้ำอึ้ง ทำให้ผมรู้สึกเริ่มหมันไส้ขึ้นมา “ไม่เอาใช่มั้ย..จะได้เอาไปใส่เอง”
“เอาครับ..ผมเอาครับ” เจฟรีบเอ่ยอย่างทันทีทันใด พร้อมกับกระชากเสื้อนั้นจากมือผมไปเลย ก่อนจะยิ้มให้ผม “ขอบคุณครับพี่”
“เออๆ ..กลับบ้านเหอะ พี่อยากจะไปนอนเต็มแก่แล้ว” ผมบิดขี้เกียจสักพัก จึงค่อยขึ้นรถของพ่อแล้วมุ่งสู่บ้านของเรา
พวกเราเดินทางด้วยรถของพ่อเพื่อกลับบ้าน ผมและเจฟต่างยื่นหน้าไปทางกระจกรถเพื่อชมทัศนียภาพของเมือง ถึงแม้ว่าฤดูหนาวจะผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยของหิมะตามขอบถนน บนต้นไม้ และที่อื่นๆ ถึงแม้ว่ามันจะมีติดอยู่ไม่มากนัก แต่กลับสร้างบรรยากาศของเมืองที่ไร้ซึ่งความสงบ ให้เปลี่ยนเป็นสรวงสวรรค์บนผืนแผ่นดิน หลังจากที่เราเชยชมบรรยากาศของเมืองนี้ได้ไม่นานก็ถึงบ้านเสียแล้ว พวกเราเดินลงมาจากรถของพ่อก่อนจะย่างก้าวเข้าไปในบ้าน ตามความจริงแล้วผมก็อยากจะอยู่กับครอบครัวที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้ามาเนิ่นนาน แต่ด้วยความง่วงที่สะสมมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกส่งไปสถานคุมขังเยาวชนกลับเข้ามาคุกคามจนเปลือกตาไม่สามารถจะต้านทานต่อไปได้
“พ่อครับ แม่ครับ ..ผมไปนอนก่อนนะครับ” ผมเอ่ยปากออกพร้อมกับปลีกตัวออกห่างจากพวกเค้า แต่ผมต้องชะงักหยุด เพราะลืมบอกกับน้องชายไป “เจฟ พี่นอนละ..เจอกันพรุ่งนี้เช้า”
ทันทีที่ผมเอ่ยลาทุกคน ขาทั้งสองก็ก้าวเดินสู่ห้องที่อยู่บนชั้นสอง โดยห้องของผมนั้นถูกละทิ้งไว้อย่างโดดเดี่ยวไว้นานถึง 1 ปีเต็ม เมื่อผมเปิดประตูออกไปก็ต้องประหลาดใจ นั่นเป็นเพราะห้องที่ถูกละทิ้งไปเป็นเวลาหนึ่งปี กลับยังคงสภาพดูดีเช่นเดิม ซึ่งเป็นเพราะพ่อกับแม่ของผมแน่นอนที่ดูแลเอาใจใส่ห้องไว้เป็นอย่างดี เพื่อหวังจะรอการกลับมา น้ำตาแห่งความดีใจได้ก่อตัวขึ้นบริเวณดวงตาอย่างเอ่อล้นจนต้องล่วงหล่นลงมาพื้น แต่เนื่องด้วยความง่วงที่ถาถมกันอย่างยาวนาน ผมจึงรีบเข้านอนอย่างเร็วไว ถึงแม้ว่าจะได้นอนบนเตียงนุ่มๆแล้ว แต่ความซาบซึ้งยังคงไม่เลือนหาย แต่สิ่งที่เริ่มเจือจางคือภาพเบื้องหน้าและสติของผมเท่านั้น ก่อนทั้งหมดจะดำมืดจนไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ผมไม่อาจทราบได้ ผมนั้นรู้แค่เพียงว่าผมได้ตื่นขึ้นมาเพราะหน้าต่างในห้องนั้นถูกเปิดออก ทำให้แรงลมจากภายนอกแล่นพลิ้วไหวพัดใส่ร่างของผมจนรู้สึกเย็นวาบ ทันทีที่ระลอกลมพัดถาโถมใส่ ร่างกายก็รู้สึกสั่นสะท้านแปลกๆ ไม่ได้เป็นเพราะความหนาวจากระลอกลม
...แต่นั่นเป็นเพราะความกลัวต่างหาก
ผมจำได้อย่างแม่นยำว่าตอนที่เข้ามาในห้องหน้าต่างนั้นถูกปิดอย่างสนิทอยู่แล้ว แต่ทำไมหน้าต่างจึงกลับเปิดขึ้นได้ล่ะ ผมลุกขึ้นมาจากเตียงพยายามคิดว่าสิ่งที่ทำให้หน้าต่างเปิดเป็นเพียงแค่เพราะแรงลมเพื่อเป็นการเพิ่มขวัญกำลังใจแก่ตน ทันที่เลื่อนปิดบานหน้าต่างลง ผมรีบล็อคมันทันทีเพื่อไม่ให้เปิดขึ้นอีก ผมเดินกลับไปที่เตียงเพื่อจะนอนหลับ แต่เมื่อใบหน้าได้หันขึ้นสู่เบื้องบนก็พบกับบางสิ่งที่ผิดปกติเป็นอย่างมาก สิ่งมีชีวิตบางอย่าง..มันกำลังไต่เพดานห้องของผม แต่ด้วยความมืดภายในห้องทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นได้ชัดเจนนัก แต่ที่พอสังเกตได้นั่นคือ ดวงตากลมโตผิดมนุษย์กับรอยยิ้มซึ่งเกิดขึ้นมาจากปากที่มีลักษณะคล้ายซิป ทั้งสองสิ่งนั้นมีสีขาวเรืองแสง เพียงชั่วพริบตามันก็พุ่งเข้ามาที่ผมอย่างรวดเร็วหวังจะนำสิ่งในมือของมันทำร้ายผม แต่ผมกลับดีดตัวหนีไปทางประตูได้ทันท่วงที แต่เมื่อหันไปดูที่เตียงกลับไม่พบร่องรอยของมันอีกแล้ว ผมรีบมองหาตัวมันอย่างร้อนรน สุดท้ายเมื่อผมหันไปทางด้านหลังก็พบกับมัน ซึ่งตรงบริเวณนั้นมีแสงสาดส่องเข้ามาในห้องพอดี ทำให้ผมได้เห็นตัวมันอย่างชัดเจน ตัวของมันนั้นเป็นสีดำสนิท แต่ที่แปลกกว่านั้นคือร่างของมันคล้ายกับควันหรือเงา แต่แสงนั้นก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมเห็นหน้าของมันอย่างชัดเจนได้ ส่วนสิ่งของในมือของมันนั้นคือมีดอันคมกริบ หลังจากนั้นเพียงชั่วพริบตานั้นมันก็ผลักผมจนร่างของผมกระเด็นกลับไปล้มอยู่บนเตียง ทันทีที่ผมเสียท่าล้มลงไปนอนบนที่นอน มันก็เคลื่อนที่มาอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว มันมองมาที่ผมด้วยรอยยิ้มอันสยดสยอง พร้อมกับหันคมมีดมาที่บริเวณท้องของผม ทันใดนั้นก็มีแสงจากรถยนต์ที่อยู่ภายนอกห้องขึ้นมา แสงนั้นสาดส่องใส่ที่ใบหน้าของสัตว์ประหลาดตนนั้นจนผมสามารถมองเห็นใบหน้าของมันได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้ผมเกิดความฉงนและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เพราะสิ่งที่ผมเห็นคือใบหน้าของมัน..มันเป็นใบหน้าของผู้เป็นน้องชายของผม เจฟเฟอรี่ ที่มีรอยยิ้มที่เกิดจากปากที่ฉีกจนถึงใบหู ผมตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“ชู่!!! โก...ทู...สลีป” ทันทีที่มันเอ่ยปากเสร็จสิ้น มันก็ใช้มีดในมือของมันฟันใส่ผมที่กลางหน้าอก ผมกรีดร้องออกมาแต่กลับถูกมันปิดปากเอาไว้จนไม่สามารถออกเสียงได้ หลังจากนั้นมันก็จับหัวของผมแล้วกรีดปากจนฉีกออกไปถึงกลางแก้ม น้ำตาของผมไหลพรากออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะเริ่มละเลงฟันใส่ทั่วร่างจนผมทนพิษบาดแผลความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาไม่ไหว สติของผมเลือนลางและสุดท้ายก็จางหายไป
“อ๊ากก!!!” เสียงกรีดร้องของพ่อดังขึ้นทำให้สติที่หายไปกลับคืนมา ผมสำรวจรอบตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั่วร่าง เลือดไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ผมตั้งสติก่อนจะใช้แขนทั้งสองข้างยันตัวขึ้นมา แต่ผมลุกขึ้นยืนไปเดินได้ไม่นาน กลับล้มลงไปนอนกองกลับพื้น ผมจึงใช้วิธีคลานไปจนถึงหน้าประตู แล้วยันกายขึ้นไปบิดลูกบิดประตู เมื่อเปิดสำเร็จผมก็พยายามจะยืนอีกครั้งแต่ไม่สำเร็จ ทำให้ผมตกบันไดลงมาหน้ากระแทกพื้น
“แม่ครับ!!!” เสียงกรีดร้องของเจฟดังขึ้นมาจากเบื้องหน้า ผมจึงตั้งสติอีกครั้งแล้วมองไปที่เบื้องหน้า ทำให้ผมเห็นถึงสิ่งที่น่าเศร้าที่สุดในชีวิตของผม..พ่อกับแม่นอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นห้อง มีเพียงเจ้าฆาตกรกับเจฟเท่าที่ยังยืนอยู่ได้
เพียงชั่วพริบตาที่พวกเขาทั้งยืนอยู่ พวกเขาทั้งสองก็เริ่มต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว สายตาที่อ่อนล้ามากของผมไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของทั้งสองได้ การต่อสู้ดำเนินไปได้ไม่นานก็หยุดลง ทางเจ้าปีศาจไม่มีรอยขีดข่วนใดๆอยู่เลย ส่วนทางเจฟนั้นมีรอยแผลเต็มใบหน้าแต่เพียงชั่วอึดใจแผลของเขาก็สมานกลับมาเช่นเดิม เจ้าฆาตกรที่เห็นดังนั้นก็หยุดนิ่งไป เมื่อเจฟสังเกตเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบพุ่งตัวพร้อมกับใช้มีดในมือกวัดแกว่งใส่ศัตรูเบื้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว แต่เจ้าปีศาจกลับดีดตัวหลบการโจมตีได้ ทำให้เจฟเสียศูนย์ล้มลงไปนอนกับพื้น ผมมองไปทางเจ้าปีศาจ มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปหยิบถังน้ำมันสำรองจากในห้องเก็บของออกมาอย่างรวดเร็ว ..เหมือนมันรู้ว่าสิ่งนี้อยู่ที่ไหนอยู่ก่อนแล้ว ทันใดนั้นมันก็หยิบไฟแช็กจากบนโต๊ะขึ้นมา มันหันไปยิ้มอย่างสยดสยองให้กับเจฟก่อนจะจุดเพลิงนั้นขึ้นมา มันโยนไปในอีกทิศทางนึง ทันทีที่ถังกระแทกพื้นมันก็ระเบิดออก เปลวเพลิงเคลื่อนที่ไปทุกหนแห่งในบ้าน เจ้าปีศาจที่เห็นผลงานของตนก็ยิ้มอีกครั้ง แล้ววิ่งออกจากบ้านด้วยความเร็วสูง
“ไอ้สารเลว..ชั้นจะฆ่าแก!!!” เจฟตะโกนออกมาด้วยความโกรธอย่างสุดขีด แล้วออกฝีเท้าวิ่งตามเจ้าปีศาจนั้นไป
“เจฟ...” ผมเรียกหาน้องชาย แต่เสียงอันแผ่วเบาของผมกลับไม่ไปถึงหูของน้องชาย ความร้อนเริ่มถาโถมเข้ามาใกล้ร่างของผม สติของผมเริ่มจะเลือนรางอีกครั้งเนื่องด้วยเพราะแผลและเลือดที่ไหลไม่หยุด ชิ้นส่วนของบ้านที่ถูกไฟไหม้เริ่มจะหลุดร่วงลงมาในบ้าน แต่ผมกลับฝืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว สติของผมหลุดลอยออกไปในทันที และนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้
ผมลืมตาขึ้นมาหลังจากการราลึกถึงความหลังเพื่อค้นหาความจริง ในขณะนี้ผมอยู่ในห้องนอนที่มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าได้จัดไว้ให้ผมกับน้องชาย สำหรับซูซาน..พยาบาลประจำตัวของผม เธอได้พักอาศัยอยู่ในข้างเคียงโดยมีเจน เดอะ คิลเลอร์ กับ มิลโร่พักอาศัยอยู่ก่อนแล้ว แต่ในตอนนี้ทั้งเจฟ เจน และซูซานต่างยืนอยู่เบื้องหน้าผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมหันหน้าไปทางน้องชายของผม ทำให้นึกได้ถึงบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต
“ชั้นจำได้แล้ว เจฟ..ชั้นขอโทษ” น้องชายแสดงสีหน้าฉงนในสิ่งที่ผมเอ่ยขึ้น ผมจึงเอ่ยต่อ “ชั้นจำได้แล้วล่ะ..นายไม่ได้ฆ่าพ่อกับแม่ของเราจริงๆ”
“ไม่ใช่หรอกครับ มันเป็นเพราะผมนั่นแหละ..ผมละสายตาท่านไปเข้าครัว ทำให้พวกท่านต้องตาย ถ้าผมไม่เข้าครัวไป..ใน..ตอน..นั้น..ละ..ก้อออ- ฮึก ฮึก” น้องชายขี้แยเริ่มสะอื้นไห้ เจนที่อยู่เคียงข้างจึงใช้แขนทั้งสองโอบร่างของเขาไว้ เจฟที่สัมผัสถึงความอบอุ่นที่หญิงสาวนัยน์ตาสีดำทมิฬหันไปมองหน้าของเจนอย่างช้าๆ “เจน...”
“อะไรเหรอ..เจฟ” หญิงสาวผู้ที่กำลังโอบกอดเจฟได้เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหวาน พร้อมกับแสดงสีหน้าสงสัย ทั้งที่ยังยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่
“ขอจับนมหน่อยสิ”
“ไม่ให้โว้ยยย!!!” เจนเปลี่ยนสีหน้าและท่าทางจากนางฟ้าผู้แสนดีเป็นนางพญาปีศาจ ก่อนที่เธอจะผลักร่างเจฟให้กระเด็นออก ก่อนจะยกฝ่าเท้าขึ้น แล้วจึงถีบร่างของเจฟอย่างรุนแรงจนกระเด็นทะลุกำแพงไป ในตอนนี้ทั้งผมและซูซานต่างยืนขำกับสิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นเบื้องหน้า แต่จู่ๆสังหรณ์บางอย่างก็บังเกิดขึ้นในจิตใจของผม ทำให้อารมณ์ขันของผมหายไป ผมรีบเบือนหน้าไปในทิศทางที่ลางสังหรณ์ของผมบอก มันคือประตูบานหนึ่งที่ภายในมีแต่ความมืดมิด แต่ถ้าหากสังเกตดีๆจะเห็นเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีดำสนิทไร้ผู้สวมใส่ ใช่แล้วผมว่านั่นคือลอสต์ ชายลึกลับปริศนาที่คอยช่วยพวกเรา เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามาช่วยพวกเราทำไม เพราะตามหลักแล้วเขาน่ะอยู่ฝั่งศัตรู และอีกอย่างถ้าเขาคิดกำจัดพวกเรา แค่เค้าคิดเราก็สูญสลายแล้ว คิดแค่จะเล่นงานเจ้าไร้หน้านั่นก็เป็นไปไม่ได้แล้ว เจ้านี่อึดเหลือเชื่อ ทั้งที่มันโดนผมอัดไปเต็มแรงจนกระเด็นขึ้นฟ้า แต่กลับโผล่มาในสภาพปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้านี่เป็นใครกันแน่...
“ผู้หญิงในบ้านที่ถูกไฟไหม้ ในฤดูกาลต้นร้อนปลายหนาว บ้าน่า..ไม่น่าเป็นไปได้” เสียงคำพูดพึมพำของชายลึกลับถูกเอ่ยขึ้น เขาทำท่าทีสับสน ...ผู้หญิงในบ้านที่ถูกไฟไหม้ ในฤดูกาลต้นร้อนปลายหนาว... เฮ้ย!! บ้าน่า นี่มันพูดถึงแม่อยู่นี่ มันอ่านความทรงจำเราเหรอ จะเหนือคนเกินไปแล้ว ยังงี้มันต้องถามให้รู้เรื่องแล้ว..
‘เฮ้ย..มันหายไปไหน แค่คลาดสายตาแปปเดียวเองนี่’ เมื่อผมกลับมาจากห้วงแห่งความคิด ภายในประตูมืดนั่นก็ไร้วี้แววของชายปริศนานั่นแล้ว ผมคิดทบทวนไปมา จนคิดบางอย่างขึ้นได้
‘อย่าบอกนะว่า..แม่ยังไม่ตาย’
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ