Creepypasta Family The Broken Myth
9.5
เขียนโดย Leragan
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.
24 chapter
9 วิจารณ์
41.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ภารกิจช่วยองค์หญิง (The Princess Rescue Mission)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “เฮ้! เจฟคุง นายเห็นอะไรบ้างมั้ย” สุนัขปีศาจจากด้านล่างพูดกับเจฟ เดอะ คิลเลอร์ที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูงกว่า 10 เมตรเพื่อสอดส่องบางอย่างจากบนต้นไม้
“ชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย” ชายปากฉีกบอกอสูรสุนัขถึงความไร้ผู้คนบนถนนทางด้านหน้าของพวกเขา เจฟจึงตัดสินใจกดเครื่องสื่อสารไร้สายที่หู เพื่อติดต่อไปหาคนๆหนึ่งที่รู้จักดี “ฮัลโหล..สเลนเดอร์ ทางชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย…แล้วทางนายล่ะ..เจออะไรบ้างมั้ย”
“ก็เจอบ้าง..แต่ไม่มากน่ะครับ..ผมวาร์ปไปทั้งในป่าเกือบทุกที่ในเมืองนี้ ชานเมืองอีกหลายแห่ง และวาร์ปในตัวเมืองอีกก็ยังไม่เจอเลย..แต่ผมก็ได้เบาะแสใหญ่ๆ มา 2 อย่าง…” สเลนเดอร์แมนเว้นระยะคำพูด พร้อมกับกด ‘โฟนออน’ เพื่อสร้างห้องสื่อสารรวมให้ทุกคนได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด “เบาะแสที่หนึ่ง..ผมได้ไปพบครูอาจารย์จากโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังเดินมาคนเดียว ผมจึงแปลงกายและถามเขาจนได้เบาะแสมาว่า คนที่เราตามหาน่ะ คือ เด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘โอริซิส ริกะ’ เธอคนนี้เป็นลูกครึ่งชาวเอเชีย เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติที่ชื่อ ‘อินเตอร์เนชชั่นแนลโนเลดจ์’ และเบาะแสที่สอง..ผมได้ไปเจอเด็กสาวคนหนึ่งที่บอกมาว่าเป็นเพื่อนของริกะ เธอบอกมาว่า..ริกะมักจะชอบเข้าไปในป่าทางเหนือบ่อยๆ โอเค..ตอนนี้ใครอยูที่ป่าทางทิศเหนือบ้างครับ”
“ชั้นอยู่…” ลาอ้อนที่ตอนนี้อยู่ที่ป่าทางทิศเหนือ เห็นอะไรบางอย่างทางด้านหน้าจึงเคลื่อนตัวมาหลบอยู่ทางด้านหลังของต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนจะปิดระบบสื่อสาร “แล้วชั้นก็เจออะไรบางอย่างด้วย..ตัดสายล่ะ”
ลาอ้อนชะโงกหน้าออกมาจากที่กำบังเพื่อแอบมองบางอย่าง และเขาก็พบกับคนที่น่าจะเป็นเธอคนนั้น!!! หญิงสาวผู้มีผมสีชมพูดั่งดอกซากุระยามบาน ตอนนี้เธอกำลังถูกกลุ่มคนในเครื่องแบบผู้คุมขององค์กรเอสซีพีปิดล้อมอยู่ ชายในชุดผู้คุมคนหนึ่งทำท่าทีเสนอบางอย่าง ลาอ้อนจึงตัดสินใจใช้พลัง‘ล่องหน’ เพื่อทำให้ตัวของเขาไม่สามารถถูกมองเห็นได้ พร้อมกับย่องอย่างแนบเนียนไปที่ข้างหลังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างช้าๆ จนถึงจุดหมาย
“...สาวน้อย ได้โปรดส่งเจ้าสมุดเล่มนั้นมาให้ลุงหน่อยนะ แล้วลุงจะไม่ทำอะไรหนู” ชายวัยกลางคนๆหนึ่ง ผู้เป็นหนึ่งในหัวหน้าผู้คุมของหน่วยงานเอสซีพีพูดให้ข้อเสนอเด็กสาวผมชมพู
“ไม่ได้หรอกค่ะ..นี่มันสมุดที่แม่ของหนูให้ก่อนท่านจะจากไป ...มันคือสิ่งที่แม่ของหนูเหลือให้เพียงสิ่งเดียว ขอโทษนะค่ะ..หนูคงให้สมุดนี้กับคุณไม่ได้จริงๆ อย่าทำอะไรหนูเลยนะค่ะ” หญิงสาวในชุดนักเรียนพูดอ้อนวอน เพื่อไม่ให้กลุ่มคนตรงหน้านำของสำคัญของเธอไป
“ยัยเด็กนี่..พูดดีด้วยก็ไม่ยอมฟัง ให้ตายเถอะ..อุตส่าห์จะปล่อยไปดีๆอยู่แล้วนะ สงสัยจะต้องสั่งสอนยัยพวกเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่ซะหน่อยแล้ว” ชายผู้คุมอีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชักปืนพกกระบอกหนึ่งขึ้นมาจ่อไปที่ศีรษะของเด็กสาวคนนั้นก่อนจะลั่นไก โดยที่ผู้ถูกจ่อยิงยังไม่ทันตั้งตัว
เมื่อลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงปลดสภาพล่องหนก่อนที่จะวิ่งเข้าไปบังที่วิถีกระสุนที่ถูกยิงออกมา เมื่อมันเข้ามาใกล้ร่างของลาอ้อน กระสุนก็อันตรธานหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นและพุ่งทะลุศีรษะของผู้ยิง ทำให้เลือดและสมองบางส่วนกระจายออกมาด้านนอก ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะล้มลง นี่ทำให้กลุ่มคนขององค์กรเอสซีพีนั้นแตกตื่นเป็นอย่างมาก ยกเว้น..หัวหน้าผู้คุมคนนั้นที่ไม่มีทีท่าแตกตื่นเลย ลาอ้อนหันไปมองเด็กสาวคนนั้นก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกให้เธอวิ่งออกจากบริเวณนี้ หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าก่อนจะหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ทำให้ลาอ้อนเกิดความงุนงงและกังวล
“นี่! ทำไมไม่รีบไปล่ะครับ..องค์หญิง หรือต้องให้กระผมอุ้มไป” ลาอ้อนหันมาพูดกวนประสาทกับริกะ แต่สาวผมชมพูก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด จนกระทั่งวาดรูปในสมุดนั้นเสร็จ ก็หันหน้ามายิ้มอย่างมีเล่ห์กลให้ลาอ้อน แต่แล้วดวงตาของลาอ้อนก็เกิดวงแหวนเวทย์สีชมพู พร้อมกับพูดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษครับ..องค์หญิง กระผมจะไม่พูดสิ่งที่ไร้การศึกษาอย่างนี้อีกแล้วครับ..องค์หญิงริกะ”
‘นี่ตูพูดอะไรไปฟะเนี่ย’ ลาอ้อนพูดกับตนเองในใจ แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยตอนนี้
“องค์หญิงขอรับ..ได้โปรดให้กระผมช่วยเถอะนะครับ” ลาอ้อนเปล่งเสียงอย่างไร้การควบคุม หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ย หญิงสาวก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้า หลังจากปฏิกิริยาของหญิงสาวเกิดขึ้น แขนที่ไร้การควบคุมของชายหนุ่มจึงช้อนตัวเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาอุ้ม ตามด้วยการวิ่งอันรวดเร็ว ซึ่งลาอ้อนก็ไม่ได้ทำด้วยตนเองเช่นเดิม
ลาอ้อนที่กำลังอุ้มเด็กสาวผมชมพูวิ่งซิกแซ็กหลบกระสุนปืน เลเซอร์ และมีดของเหล่าผู้คุมขององค์กรเอสซีพีที่กำลังตามมาข้างหลังอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่ลาอ้อนวิ่งอยู่ เขาก็เหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมอก เธอกำลังเขียนอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นตา
......เธอกำลังวาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตของเธอ
“นะ..นี่...องค์หญิงกำลังเขียนอะไรขอรับ” ลาอ้อนเอ่ยถามริกะ แต่ด้วยมนตร์สะกดของเธอ ทำให้สรรพนามและลักษณะการพูดผิดแปลกไปจากที่เขาต้องการจะพูด
“ชั้นกำลังจะให้ดาบกับเธออยู่น่ะ..อัศวินของชั้น” ริกะตอบด้วยน้ำเสียงใสไพเราะดั่งเทพธิดา โดยไม่ได้หันหน้ามาที่ลาอ้อนแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเธอทำให้ผู้ฟังเกือบจะหลงเชื่อว่าตนเองเป็นอัศวินของเธอ หลังจากที่เธอจบบทสนทนากับชายหนุ่ม เธอก็วาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตเสร็จพอดี และตามด้วยการวาดดาบคาตานะอันเรียวยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงใสของเธออีกครั้ง “อัศวินของชั้น..หยุดอยู่ตรงนี้เลยค่ะ”
“ตามการบัญชาของท่านขอรับ..องค์หญิง” ลาอ้อนที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ค่อยๆชะลอความเร็วของเขาลง ก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังของเขาที่ตอนนี้คนเหล่านั้นก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ลาอ้อนยกตัวของริกะลงก่อนจะตั้งท่าเตรียมการต่อสู้ “แล้วองค์หญิงจะให้กระผมทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นต่อครับ”
“จงใช้ดาบ...” คำว่า ‘ดาบ’ ทำให้ลาอ้อนเกิดความงงงวย เพราะตอนนี้ตัวเค้าไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าดาบแม้แต่เล่มเดียว ...ยกเว้นบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดาบ’
“สงสัยอะไรเหรออัศวิน..ข้าสั่งให้ท่านใช้ดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่ท่านมีในตอนนี้ยังไงล่ะ” ลาอ้อนมองหน้าขององค์หญิงผมชมพู และแสดงสีหน้าเหมือนกำลังจะพูดว่า ‘เอาจริงดิ’ เมื่อริกะเห็นเช่นนั้นจึงมองหน้าลาอ้อนด้วยความสงสัย แต่แล้วเธอก็คิดขึ้นได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีใครสนับสนุนจากทางด้านหลัง เธอจึงเอ่ยออกปากไป “ไม่ต้องกลัวหรอกอัศวิน..ข้าจะเป็นเกราะให้ท่านเอง ดังนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลาอ้อนจึงทำหน้าแหยเหมือนกำลังจะสื่อว่า ‘ไม่เข้าใจตูเลย’ หลังจากนั้นสัญชาตญาณของอัศวินพร้อมกับความคิดบางอย่างก็พลุ่งพล่าน ลาอ้อนเตรียมท่าชักดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีในตอนนี้...ดาบที่ตัวเขามีมาแต่กำเนิด มือของเขาขยับลงจนถึงส่วนขา พร้อมกับปลดพันธนาการของปลอกดาบ ก่อนจะจับไปที่ปลายซิปกางเกงและรูดลง เมื่อริกะเห็นกิริยาของลาอ้อน ทำให้เธอต้องหน้าแดงมากก่อนจะตั้งสติและรีบห้ามสิ่งน่าอายที่ลาอ้อนกำลังจะทำ
“ไม่ใช่ดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลังเล่มนั้น..ข้าหมายถึงดาบคาตานะตรงพื้นเล่มนั้น” ริกะพูดในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำ เพราะความอาย เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปทางที่ริกะชี้ เมื่อเห็นมัน เค้าจึงเก็บและมองริกะก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย ไม่นานก็หันกลับมาหาศัตรูก่อนจะชักดาบคาตานะออกจากปลอกดาบ เขาตั้งท่าเตรียมรบ ทำให้เหล่าผู้คุมรอบข้างต้องตั้งท่าตาม ทันใดนั้นลาอ้อนก็เขวี้ยงปลอกดาบคาตานะไปในทางของผู้คุมคนหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนเหมือนสามารถวาร์ปได้ แต่ตัวเค้าไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเค้าลืมบางอย่าง...บางอย่างที่สำคัญมาก
...เค้าลืมไปว่า ในตอนที่เค้ากำลังจะชักดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลัง เค้าปลดเข็มขัดที่พันธนาการปลอกดาบเล่มนั้นอยู่ออกไป
...แน่นอนว่า กางเกงต้องหลุดแน่ๆ
เมื่อลมมหาศาลกระแทกกับชายกางเกงที่บานออกทำให้เกิดแรงประทะมหาศาลจนทำให้ป้อมปราการสุดยอดของเค้าหลุดออก ใช่..มันคือกางเกง แต่เค้าก็ไม่ยังไม่รู้ว่าเกืดอะไรขึ้นกับส่วนล่างของเขา เพราะตัวเขากำลังยุ่งกับการวางแผนต่อสู้ เมื่อปลอกดาบกระทบพื้น หัวของผู้คุมที่เป็นเป้าหมายของลาอ้อนก็หลุดออกจากบ่า ตามด้วยสายฝนโลหิตและร่างไร้วิญญาณของผู้คุมไร้หัวที่ร่วงลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ลาอ้อนหันไปทางศพของผู้คุมพร้อมกับสะบัดเลือดที่ติดกับใบดาบออกแล้วหันมองไปทางด้านหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นมีดที่กำลังจะฟาดฟันใส่ตัวเขา แต่ด้วยสัญชาตญาณ..เค้าจึงถอยร่างออกหนึ่งก้าว ทำให้เขาถูกปลายมีดฟันแค่เพียงชายเสื้อเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเทพยังไงก็ไม่รอดพ้นไปได้ทุกอย่าง ลำแสงเลเซอร์ก็พุ่งมาจากที่ใดที่หนึ่งพุ่งมาทางลาอ้อนในขณะที่ตัวเขายังไม่ตั้งตัว ทำให้ร่างของลาอ้อนถูกเลเซอร์ยิงเข้าไปเต็มหน้าอก แต่ด้วยพลังของเรียลลิตี้เบนเดอร์ชั้นสูง ทำให้เขาสามารถทนทานต่อแสงเลเซอร์นี้ได้ในระดับหนึ่ง ..แต่เสื้อผ้าน่ะมันไม่ทนทานไปกลับผู้สวมหรอกนะ เสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงบอกเซอร์ของเขาถูกเผาไหม้ด้วยแสงเลเซอร์ของฝ่ายผู้คุมเอสซีพี จนในสภาพนี้ของลาอ้อน สามารถใช้คำว่า ‘เปลือย’ ได้เลย ลาอ้อนเคลื่อนตัวหลบลำแสงเพื่อหยุดการสร้างความเสียหาย ในขณะที่ตัวเค้าขยับเค้าก็รู้สึกถึงความเย็นตรงหว่างขา เค้าจึงหันไปมองส่วนล่าง แน่นอน..จะมีอะไรเหลือล่ะ ลาอ้อนรีบกุมส่วนล่างเอาไว้ ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปหาองค์หญิงผมชมพูที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ ในลักษณะที่ว่าเห็นแล้วอึ้ง
“องค์หญิง!!! ..อย่ามัวแต่มองดาบอันทรงพลังของกระผม กระผมก็อายเป็นนะองค์หญิง.. ท่านช่วยเสกชุดมาให้กระผมจะได้มั้ยขอรับ ได้โปรด” ลาอ้อนพูดในขณะที่ใบหน้าของเค้านั้นแดงก่ำ ในตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขานั้นรับภาระหนักเพราะต้องกุมดาบทั้งสองเล่มไว้ในคราเดียวกัน เมื่ออัศวินเปลือยกายพูดขอร้องกับองค์หญิง เธอจึงไม่รอช้า..เธอรีบตั้งสติก่อนจะวาดชุดที่เธอคิดได้ในตอนนี้
ถึงแม้จะถึงคราวเสียเปรียบชายหนุ่มก็ไม่หวาดหวั่น ลาอ้อนมองไปทางฝ่ายศัตรูที่ตอนนี้มีอยู่ราวห้าสิบคนด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นถึงแม้ว่าจะเปลือยอยู่ก็ตาม หลังจากที่สายตาของเหล่าผู้คุมหันมาที่ลาอ้อนเป็นจุดเดียวกัน ลาอ้อนจึงใช้โอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าผู้คุมด้วยการโยนดาบคาตานะขึ้นกลางอากาศ ผู้คุมหันมองใบดาบที่พุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างจดจ่อจนเปิดช่องโหว่ ลาอ้อนจึงรีบเคลื่อนตัวไปด้านหลังของเหล่าผู้คุมก่อนจะลงมือปิดชีพอย่างรวดเร็วด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการล้วงและกระชากหัวใจ หักคอ ใช้มีดของผู้คุมคนอื่นแทงใส่หลังศีรษะของผู้คุมผู้โชคร้ายจนใบมีดทะลุไปอีกด้าน เพียงไม่กี่วินาทีจำนวนของผู้คุมจากห้าสิบกว่าคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่สามคน ชายหนุ่มพุ่งกลับมาตรงจุดเดิม พร้อมกับยื่นมือขวารับดาบที่ตกลงมา โดยที่มือข้างซ้ายยังคงปิดบังบางอย่างอยู่ภายใน
“เสร็จแล้วล่ะ..อัศวิน” ริกะพูดด้วยความดีใจ เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองร่างของตน ซึ่งตอนนี้ร่างของเขากำลังเปล่งแสงสีเหลืองอยู่..เพียงเสี้ยววินาทีแสงสีเหลืองนั้นก็ดับลง ตามด้วยร่างในชุดสูทสีดำ เนกไทสีแดง รองเท้าผ้าใบสีดำขาว เมื่อลาอ้อนเห็นเช่นนั้นจึงเปล่งรอยยิ้มขึ้น พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหัวหน้าผู้คุมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟันกลางหน้าอกของหัวหน้าผู้คุมนับไม่ถ้วน ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกใส่หน้าของหัวหน้าผู้คุมทำให้ตัวของหัวหน้าผู้คุมกระเด็นออกไปในพุ่มไม้ แต่แล้วร่างที่กระเด็นไปนั้นกลับระเบิดร่างออกก่อนจะตกถึงพื้น แทนที่เลือดจะกระเด็นออกมา กลับกลายเป็นควันสีดำ กระจายและร่วงหล่นลงมาบนพื้นแทน ก่อนจะเกาะกลุ่มรวมตัวกลายเป็นรูปร่างของบางสิ่ง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความกดดันอันมหาศาลขึ้นมาทันที
“ฮึ..ฮึ นี่แหละพลังอันไร้เทียมทานของหัวหน้าผู้คุมสโมค ในร่างนี้แกทอะไรหัวหน้าของพวกเราไม่ได้หรอก..นอกจากว่าแกจะจับต้องควันได้อ่ะนะ” หนึ่งในสองผู้คุมที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความมั่นใจ
หลังจากผู้คุมคนนั้นพูดจบ กลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวจนเป็นรูปร่างของมนุษย์ได้สำเร็จ ตรงส่วนที่น่าจะเป็นส่วนของใบหน้าของกลุ่มควันเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหัวกะโหลกมนุษย์ ที่ภายในดวงตาของหัวกะโหลกนั้นมีแสงสีแดงดั่งโลหิตบังเกิดขึ้น แต่มันยังคงทอดสายตาลงบนพื้นดินเช่นเดิม ซึ่งมันทำให้เกิดความกดดันและความเครียดแก่ชายหนุ่มขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น!!! มันก็ทอดสายตามาทางลาอ้อนอย่างรวดเร็วและกะทันหันจนน่ากลัว ก่อนที่มันจะยกมือที่เต็มไปด้วยควันทมิฬของมันขึ้นมาในทิศทางของลาอ้อน ก่อนจะยิ้มให้กับลาอ้อน และแตกกระจายเป็นกลุ่มควันหกสายพุ่งเข้าใส่ร่างกายของลาอ้อนอย่างรวดเร็ว กลุ่มควันเหล่านั้นพุ่งทะลุร่างกายของลาอ้อนโดยไร้ร่องรอยของเสื้อที่ฉีกขาด แต่กลับสร้างความเสียหายภายในร่างกายของลาอ้อนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งทำให้ลาอ้อนนั้นกระอักโลหิตจากปากของเขาลงบนพื้นมากจนทำให้ริกะที่อยู่ทางด้านหลังของลาอ้อนตกใจมาก
“อัศวิน!!!” ริกะตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอจึงได้รีบวิ่งไปหาลาอ้อนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่แล้วมือข้างหนึ่งกางออก ลาอ้อนกางมือเพื่อบอกกับหญิงสาวว่าตนนั้นยังไม่เป็นอะไร ทั้งๆที่ตนต้องใช้ดาบคาตานะค้ำดินเพื่อยันตัวเองขึ้นมายืนเช่นเดิม
“ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ..องค์หญิง กระผมยังคงต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นได้อยู่ขอรับ” ลาอ้อนตอบด้วยน้ำเสียงอันห้าวหาญ ก่อนจะตั้งดาบในท่าตั้งโจมตี
ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวกลับมาเป็นร่างของปีศาจควันเช่นเดิม ไม่ทันที่ปีศาจควันจะรวมร่างสำเร็จ ดาบคาตานะก็ฟาดฟันใส่ร่างของมันจนขาดครึ่ง แต่ทันทีที่ร่างของมันถูกตัดออก ร่างของมันก็กลับมาเชื่อมเช่นเดิม แต่ถ้าพูดตามจริงล่ะก็มันเหมือนกับใช้ดาบตัดควันซะมากกว่า ซึ่งแน่นอน...ฟันให้ตายก็ไม่ขาด แต่ไม่ใช่แค่นั้น..ด้วยการฟันของลาอ้อนนั้นออกแรงไปเต็มแรง การที่ฟันไม่โดนร่างศัตรูจึงทำให้เขาเสียการทรงตัวและเปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ เมื่อร่างควันของผู้คุมสโมคเห็นดังนั้นจึงแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมกับรวบรวมพลังหมัดควันเพื่อต่อยไปที่หัวใจของลาอ้อน แต่ทันใดนั้น..ดาบขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 50 เมตรก็พุ่งลงมาตรงจุดที่มนุษย์ควันอยู่พอดี การลงของดาบยักษ์นั้นทำให้เกิดแรงลมปะทะใส่ร่างของมนุษย์ควัน จนทำให้การโจมตีของสโมคนั้นพลาดเป้าไปโดยกลางท้องของลาอ้อน ทำให้กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และกระดูกสันหลังของเขานั้นขาดและหัก จนเลือดที่อยู่ภายในท้องนั้นพุ่งออกมาจากรอยฉีกขาดของผิวหนัง จนทำให้ลาอ้อนต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นสติ เพราะเสียเลือดจากรอยฉีกขาดภายในท้องมากเกินไป
“อัศวิน!!!” ริกะที่อยู่ทางด้านหลังถึงกับกรีดร้องทั้งน้ำตา เมื่อเห็นร่างของลาอ้อนที่นอนแน่นิ่ง จากแววตาโศกเศร้า เพียงพริบตาแววตาของเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น เธอมองค้อนไปที่สโมคอย่างโกรธแค้น “แก!!! แกบังอาจมาฆ่าอัศวินของชั้น...อย่าอยู่เล้ยยยย!”
“ความกระหายเลือด..ความโกรธแค้น..ความชิงชัง..ความอิจฉา..ความริษยา..การทรยศ ดาบต้องคำสาปแห่งการล้างแค้น..มุรามาสะ” ริกะร่ายคถาอัญเชิญดาบในตำนานของญี่ปุ่นนาม ‘มุรามาสะ’ ที่ปรากฏออกมาจากประกายไฟไร้เจ้าของจนหลอมรวมกลายเป็นใบดาบสีเงินคมกริบ พร้อมยังมีคราบเลือดติดอยู่ที่ปลายของใบดาบ เธอคว้าดาบต้องคำสาปที่ลอยอยู่กลางอากาศมา เธอหยุดนิ่งไปนาน จนทำให้สโมคผิดสังเกต เขาจึงไม่ลีลาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ พุ่งไปด้วยความเร็วสูงไปทางของริกะ ภายในระยะไม่มาก หญิงสาวผมชมพูก็หันมามองศัตรูที่สีหน้ามุ่งมั่นก่อนจะใช้มุรามาสะฟันอากาศธาตุ การฟันนี้ ทำให้เกิดคลื่นสีโลหิตออกไปกระทบกับร่างของสโมค โดยที่ตัวปีศาจควันไม่หลบหลีกใดๆ แทนที่คลื่นนั้นจะผ่านร่างของมนุษย์ควัน แต่มันกลับลากตัวมนุษย์ควันไปด้วย ทำให้ตัวของมนุษย์ควันกระเด็นถอยหลังไปกระทบกับต้นไม้ทางด้านหลังจนร่วงลงไปนอนแน่นิ่ง เธอกลับมายืนตามปกติเช่นเดิม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างของสโมค แต่ทันใดนั้น!?!
“อ๊าาาาาาาาาา!!!” สาวผมชมพูกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับล้มลงและหมดสติไป
“เธอลืมพวกเราไปได้ยังไงเนี่ย..ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายในชุดผู้คุมองค์กรเอสซีพีพูดออกมาพร้อมหัวเราะ
“ทำยังไงกับเด็กคนนี้ต่อดีค่ะ..หัวหน้า” หนึ่งในนักวิจัยสาวคนนึงที่เหลือรอดจากการไล่ฆ่าของลาอ้อนพูดขึ้น
“ฝ่ายลำดับสูงสุดขององค์กรของเรา..O5 บอกให้พวกเราจับตัวเด็กคนนี้ไปแบบยังมีชีวิต เรากลับไปที่ไซต์ 44 กันก่อนค่อยแจ้งทาง O5” ปีศาจควันที่ตอนนี้กลับร่างมาเป็นมนุษย์เช่นเดิมพูดตามคำสั่งของ O5 ก่อนจะสั่งอีกสองคนให้จับร่างไร้สติของริกะและเดินตามเขาไป
ในความมืดในจิตใจของลาอ้อนที่ใกล้จะตายเต็มทน..พลังของเค้าช่วยอะไรเค้าไม่ได้ในตอนนี้..ความหวังที่มีเพียงหริบหรี่..โชคชะตาที่พยายามจะฆ่าผู้เป็นนาย ทันใดนั้น!! ก็เกิดแสงในความมืด ทำให้ลาอ้อนที่กำลังจะจมอยู่ในความตายแหงนหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้ความหวัง หลังจากที่แสงนั้นบังเกิดขึ้น สตรีปริศนาก็ปรากฏตัว ในขณะนั้นแสงที่บังเกิดขึ้นก็ดับลง ทำให้ลาอ้อนสามารถมองเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นอย่างชัดเจน เธอเหมือนกับเจน เดอะ คิลเลอร์ ผู้ที่ช่วยชีวิตเค้าไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งดวงตาและสีผมที่ดำสนิท สีผิวขาวซีด และทรวดทรงหุ่นที่ดี ไร้ส่วนเกินของเนื้อหนัง เธอสวมใส่เพียงแค่ชุดราตรีสีดำสนิทเพียงสิ่งเดียว เธอเดินออกจากมิติแสงมาทางลาอ้อนอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ใกล้กับลาอ้อน เธอก็หยุดเดินลง ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาทางของลาอ้อน แล้วมองหน้าลาอ้อนด้วยสีหน้าเป็นห่วง ลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงยื่นมาของไปจับมือของเธอ หญิงสาวนิรนามจึงดึงมือของลาอ้อนออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง เมื่อลาอ้อนคลานออกมาได้สำเร็จ เขาก็ชันตัวลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณคุณมากนะครับ..ที่ช่วยผมออกมาจากวังวนบ้าๆนี่” กล่าวขอบคุณแก่หญิงสาวนิรนาม แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเศร้าหมอง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความสงสัยและเป็นห่วง เขาจึงถามเธอไป “คุณเป็นอะไรไปเหรอครับ..ทำไมถึงทำหน้าอย่างนี้ล่ะ”
“ขอ..ขอร้องล่ะ ท่านได้โปรดเถอะ ได้โปรดช่วยน้องสาวของเราจากเหล่าทรชนพวกนั้นด้วยเถิด” หญิงสาวนิรนามพูดขอร้องกับลาอ้อน ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าโศกเศร้า
“น้องสาวของคุณเป็นใครเหรอครับ..” ลาอ้อนที่ยังงงกับสถานการณ์ ถามหญิงสาวผมดำออกไป
“น้องสาว..น้องสาวของเราคือ..โอริซิส ริกาเนะ” ชื่อน้องสาวของหญิงสาวนิรนาม ทำให้ลาอ้อนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาจึงเข้าไปประกบมือของหญิงสาวเข้ากับมือของเขา
“ผมจะไปช่วยเธอแน่นอนครับ..คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ” ลาอ้อนพูดให้ความหวังกับหญิงสาวในชุดราตรีสีทมิฬ ทำให้เธอนั้นเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเธอ ยามที่เธอยิ้มช่างงดงามดั่งนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะมีเพียงแค่สีดำกับสีขาว
“ขอบคุณท่านมากนะค่ะ...ลาอ้อน แม็กซิมัส” หญิงสาวกล่าวขอบคุณแก่ชายตรงหน้าก่อนจะเดินถอยหลังเข้าไปในประตูมิติแห่งแสงที่บังเกิดขึ้นภายหลัง ปล่อยให้ลาอ้อนยืนงงกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาพยายามตั้งคำถามกับตนเองว่า ‘เธอรู้จักชื่อเราได้ยังไง’ แต่ถึงจะคิดมากแค่ไหนก็หาคำตอบไม่พบ แต่แล้วในพริบตาที่มิติแห่งแสงปิดลง มันก็เกิดระเบิดขึ้น ทำลายมิติแห่งความสิ้นหวังจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแต่ความขาวโพลน ก่อนที่เขาจะตั้งสติ รวบรวมสมาธิ ใช้นิ้วมือของเขาแหวกมิติขาวโพลนนี้ออกไปสู่ความเป็นจริง
“คุ..คุณลาอ้อน ตื่นแล้วเหรอครับคุณลาอ้อน” เด็กผู้ชายดวงตาสีเลือด ในชุดที่เหมือนกับตัวละครเอกในเกมๆหนึ่งพูดขึ้น..หรือว่าเขาจะเป็นคอสเพลย์!?
“นี่!..นายใครกัน” ลาอ้อนถามเด็กผู้ชายปริศนาเบื้องหน้า “แล้วยัยหัวชมพูล่ะ”
“ผมชื่อเบนครับ..เบน ดราวน์” เด็กชายผมสีทองพูดออกมา ก่อนจะยิ้มให้ลาอ้อน “และถ้าคุณคนที่หัวชมพูคนนั้น..หมายถึงคุณโอริซิส ริกะล่ะก็..คุณมาสกี้กับคุณฮู้ดดี้กำลังติดตามกลุ่มคนที่ลักพาตัวคุณริกะไปอยู่น่ะครับ คุณลาอ้อน..ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ”
“เฮ้อ..ก็หวังว่างั้น” ลาอ้อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ‘ขอให้ไม่เป็นอะไรนะ..ยัยหัวชมพู’
ณ ศูนย์ควบคุม 25b ในไซต์ 44 ขององค์กรเอสซีพีที่อยู่ลึกลงไป 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล และยังอยู่ใต้ชั้นหินที่มีความทนทานสูง ทางเข้าศูนย์นั้นเป็นลิฟท์ที่มีประตูไททาเนียมหนา 20 ซม. กั้นทุกๆ 50 เมตร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการใช้งานลิฟต์นี้จึงถูกปล่อยให้น้ำทะเลท่วมขังไว้ข้างใน และในทางเดินเข้าศูนย์หัวหน้าผู้คุมสโมค และลูกทีมอีกสองคนได้นำพาเด็กสาวผมสีชมพูเข้ามาในศูนย์ พวกเขาเดินตรงไปในห้องวิจัยใหญ่ในศูนย์นี้ สโมคที่แบกริกะอยู่นั้น วางร่างของริกะลงบนโต๊ะวิจัย แต่ด้วยความที่ร่างของสโมคนั้นยังไม่กลับมาเป็นดังเดิม ทำให้ร่างของริกะกระแทกเข้ากับโต๊ะจนเธอได้สติ แต่เธอยังคงทำเป็นว่ายังไม่ได้สติ
“เจ้าบ้าสโมค!!..นี่แกระวังบ้างไม่เป็นหรือไงฟ่ะ” นักวิจัยคนหนึ่งตะโกนด่าหัวหน้าผู้คุมเสียงดัง
“ก็ร่างกายข้ายังไม่เสถียรนี่..ทำไงได้เล่า” สโมคตะโกนตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะด่ากลับไปกลับมาไม่หยุด โดยที่คนอื่นรอบๆ ไม่มีทีท่าจะห้ามปราม เหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเสียง..เสียงที่ทำให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกัน..เสียงที่ทำให้ทุกคนต้องฟัง..เสียงที่ทุกคนหวั่นเกรง
...เสียงระบบรักษาความปลอดภัยแจ้งเตือนการแหกที่คุมขังของ SCP-076-2...
“เจ้าเอเบิล..มันแหกคุกอีกแล้วเหรอฟ้ะ” นักวิจัยที่ด่ากับสโมคอยู่นั้นพูดขึ้นด้วยเสียงดังลั่น ก่อนจะเกิดเสียงประตูไทเทเนียมแตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเศษซากศพและกองเลือดของนักวิจัยและเหล่าผู้คุม
“เจ้าพวกโง่!!! ข้าถามพวกแกว่าเจ้าลอสต์มันอยู่ไหน..หูหนวกกันหรือไง” ชายเชื้อสายเซมิติกผู้ที่มีรอยสักรูปปีศาจอยู่เต็มตัวพูดขึ้น ก่อนจะเขวี้ยงหัวของผู้คุมคนหนึ่งใส่ผนังเหล็กกล้าเต็มแรงจนหัวนั้นทะลุเข้าไปในผนังเหล็กทันที
“เจ้าลอสต์มันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ..เอเบิล งั้นมาเล่นกับคอนดรากีคนนี้กับเจ้าลมควันหน้าโง่นี่..ไปก่อนละกัน” ชายนามคอนดรากีพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน
ในขณะที่ทั้งสามเผชิญหน้ากัน นักวิจัยและผู้คุมคนอื่นๆต่างหนีออกจากห้องนั้นอย่างเร็วไว..เหมือนรู้หน้าที่ ทำให้ในห้องนั้นเหลือเพียงคอนดรากี สโมค และเอเบิล โดยเมื่อริกะเห็นสถานการณ์ก็รีบวิ่งตามเหล่านักวิจัยไป คอนดรากีที่อยู่ในห้องหยิบปืนลูกซองสองกระบอกจากในกระเป๋าเขาขึ้นมาถือ ทางด้านของสโมคก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นปีศาจควัน ส่วนเอเบิลนั้นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาแหวกมือในอากาศก่อให้เกิดมิติสีดำขึ้น และเอื้อมมือเข้าไปคว้าดาบคู่ในมิติทมิฬนั้นออกมา ก่อนที่ทั้งสามจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“คงจะได้เวลาสนุกกันแล้วสิ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า” คอนดรากีหัวเราะออกมา
“สนุกไปคนเดียวเฮอะ..เจ้ากล๊วก..‘คนเด้าขี้’..” สโมคพูดล้อเลียนชื่อของคอนดรากี ก่อนที่เขาจะขำ
“นี่!!..พวกแกหูหนวกกันใช่มั้ย ชั้นถามว่าเจ้าลอสต์! มัน! อยู่! น้ะ....” ไม่ทันที่เอเบิลจะพูดจบก็ถูกกระสุนปืนลูกซองของคอนดรากียัดใส่หน้าของเขาจนมันสมองกระจายออกมาด้านนอก แต่เอเบิลก็ยังคงยืนอยู่ได้
“ไอ้@#$!!! มันเจ็บนะเฟ้ย!!!” ประโยคสุดท้ายของเอเบิลคือจุดเริ่มต้นของการตะลุมบอน เมื่อทั้งสามพุ่งเข้าใส่กัน
ทางด้านของริกะนั้น..เธอยังคงวิ่งหนีออกมาจากห้องวิจัยใหญ่ เธอวิ่งออกมาอย่างไม่สนใจใครจนเดินไปชนเข้ากับใครบางคน
“ว้ายยย!!!..” ริกะและหญิงสาวอีกคนต่างร้องเสียงหลงทั้งคู่
“ขอโทษค่ะ..ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะ..เอ๋ ว้าย” ริกะพยายามจะกล่าวขอโทษหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เธอกลับไปพบกับบางอย่างข้างหลังหญิงสาวคนนั้น ทำให้ริกะเกิดกลัวขึ้นมา นั่นคือ ‘รยางค์เทนทา เคิลสีดำ’
“นี่เธอ..ไม่ต้องกลัวชั้นหรอก เจ้าพวกนี้น่ะ..ผมของชั้นเอง” หญิงสาวผมสีดำเบื้องหน้าอธิบายถึงรยางค์แปลกๆข้างหลังของเธอ นั่นทำให้ริกะทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘นั่น! ผมเหรอ’ แต่หญิงสาวนิรนามเหมือนจะเข้าใจ เธอจึงปัดผมที่ปิดหน้าเธออยู่ออก ก่อนจะแนะนำตัว “ชั้น!! หนึ่งในนักมายากลเส้นผมชื่อก้องโลก...ฮีโรอิค อเล็กซานดร้า”
“อีโรติกเหรอ..ว้าย!! อย่าบอกนะว่าเธอ..” ริกะทำท่าทางสะดุ้งโหยงกับความหมายของ ‘อีโรติก’
“ใช่..ชั้นเป็นดาราหนังประเภทนั้นแหละ...จะบ้าเหรอ ชั้น ‘ฮีโรอิค’ ไม่ใช่ ‘อีโรติก’ ย่ะ” อเล็กซานดร้าพูดแก้มุขของริกะ ทำให้ริกะยิ้มอย่างผ่อนคลายก่อนจะเดินพูดคุยตามประสาผู้หญิงกะผู้หญิงจนลืมไปว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง
“ปั้ง!!!” เสียงเศษผนังเหล็กกระจายออก พร้อมกับร่างปีศาจควันของสโมค โดยผู้ที่ออกมานั้นคือ เอเบิล!!! ที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรูพรุนจากกระสุนปืน รอยขีดข่วน รอยเลือด และกระดูกที่โผล่ออกมาจากกล้ามเนื้อ เอเบิลเดินออกมาจากช่องโหว่นั้นก่อนจะหันมาทางหญิงสาวทั้งสอง
“ว่าไง..ฮ่าฮ่าฮ่า” เอเบิลหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในสภาพที่ดูไม่ได้
“เละเทะซะเหมือนหมาขี้เรื้อนเลยยังจะยืนอยู่ได้อีก..ถึกอย่างกับแมลงสาบ” อเล็กซานดร้าพูดออกมาอย่างลืมตัว ทำให้เอเบิลโมโหขึ้นมาทันที
“เมื่อกี้แกว่าใครกันฟ่ะ” เอเบิลหยิบดาบคู่จากห้วงมิติ ก่อนจะกระโดดพุ่งมาทางอเล็กซานดร้าเพื่อที่จะฆ่าเธอ เหมือนกับเจ้าตัวที่ก็คิดว่าตนไม่รอดแน่ๆ แต่ทว่า...
“ตุ้บ!!!” เกิดแรงกระแทกมหาศาลกลางอากาศ ทำให้ร่างของเอเบิลกระเด็นออกไปไกลกว่าสามสิบเมตร ซึ่งมันมาพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษในฮู้ดสีดำกับชุดนักวิจัยที่ออกมาจากรอยแยกของมิติไร้ที่มา
“เป็นอะไรกันบ้างมั้ย..เด็กๆ” ชายนิรนามพูดขึ้นมา “เดี๋ยวชั้นจะพาพวกเธอออกจากที่นี่เอง แต่ก่อนอื่น..ชั้นขอสะสางบางอย่างให้เสร็จก่อนละกัน”
“ลอสต์..ลอสต์ ข้าอยากจะสู้กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว” เอเบิลที่กระเด็นออกไปจากแรงกระแทก กลับยืนขึ้นมาดังเดิม พร้อมกับหักกระดูกตามส่วนต่างๆที่บิดเบี้ยวให้กลับเข้าที่ รวมถึงบาดแผลต่างๆก็สมานอย่างรวดเร็วเกินคน
“ท่าทางฉากต่อสู้จะยาวน่าดู..ท่าปล่อยให้เจ้านั่นเขียนต่อเรื่อยๆ เจ้านั่นคงจะเซ็งน่าดู งั้น...” เมื่อนักวิจัยไร้หน้าพูดจบ เขาก็ทำการดีดนิ้ว ทำให้มิติด้านหลังของเขาฉีกขาดโดยภายในมีทิวทัศน์ภายนอกศูนย์ปรากฏอยู่ “พวกเธอทั้งสองคนเข้าไปในประตูมิตินั้นก่อน เดี๋ยวชั้นตรึงเจ้าบ้านี่ไว้ให้”
“แล้วเราจะเชื่อใจคุณได้ยังไงกัน..” ริกะพูดแทนเพื่อนของเธอ “..พอเราเข้าไปในเจ้าประตูมิตินั่น คุณอาจจะให้พวกของคุณลักพาตัวไปก็ได้”
‘เฮ้อ!..ชั้นอยากจะด่าไอ้คนเขียนที่ใส่นิสัยไม่ไว้วางใจใครเข้าไปในตัวละคร อย่าให้เจอนะ..เจอเมื่อไหร่พ่อสับเละแน่’ ลอสต์คิดในใจก่อนจะพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังหันมองไปทางเอเบิล ซึ่งเขากำลังวิ่งมาหาลอสต์ด้วยความเร็วสูง “ชั้นให้พวกเธอเลือกนะว่าจะยืนรอให้เจ้าบ้านี่มาฆ่าหรือจะเชื่อใจชั้นแล้วเข้าประตูมิตินั้นไป ...ตอนนี้พวกเธอเหลือเวลาอีกสามวินาทีก่อนที่เจ้าบ้านี่จะพุ่งมาถึงชั้น”
“ไปกันเถอะ..ริกะ เส้นผมของชั้นบอกว่าชายคนนี้ไว้ใจได้” อเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับดึงมือของริกะเพื่อเข้าประตูมิติ แต่ริกะกลับคัดค้าน
“เธอไว้ใจคนง่ายเกินไปรึเปล่า..ซานดร้าจัง” ริกะโต้คำพูดกับอเล็กซานดร้าที่เธอคิดว่าเธอเชื่อคนโดยไม่มีเหตุผล
“ริกะ..” อเล็กซานดร้าจับมือริกะไว้ก่อนจะชี้ไปทางลอสต์ที่กำลังรวบรวมพลังหมัดเพื่อที่จะต่อยไปทางเอเบิลที่อยู่เบื้องหน้า อเล็กซานดร้าพูดบางอย่างขึ้นมา ทำให้ริกะเข้าใจหลายๆสิ่ง “ชายคนนี้น่ะคือพ่อของชั้นเอง ดังนั้นริกะ..เธอเชื่อใจเขาได้”
“เอ่อ..” ลอสต์เปล่งเสียงขึ้น ทำให้หญิงสาวทั้งสองคนหันไปทางเขา ซึ่งตัวลอสต์นั้น เขากำลังเอามือของเขาจับดาบคู่ของเอเบิลอย่างเกร็งๆ “เร็วๆหน่อยก็ดีนะ..สาวๆ”
“เร็ว..ริกะ ไปกันเถอะ” อเล็กซานดร้าจับข้อมือของริกะก่อนจะจูงเธอเข้าประตูมิติไป เมื่อพวกเธอเข้าไปแล้ว ประตูนั้นก็อันตรธานหายไป
เมื่อลอสต์เห็นดังนั้นจึงผลักเอเบิลที่เข้าปะทะออกไปจากตัว พร้อมกับต่อยหน้าของเอเบิลที่ยังไม่ทันตั้งตัวจนเอเบิลกระเด็นออกไปหลายสิบเมตร แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เอเบิลใช้มือเช็ดเลือดที่ไหลมาจากปากออก
“เรามาจบเรื่องตรงนี้กัน..ดีมั้ย เอเบิลคุง” ลอสต์พูดออกไปในขณะที่เขากำลังเอามือล้วงกระเป๋าด้วยความมั่นใจ ส่วนทางด้านผู้ฟังก็หยิบดาบที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา
“ข้าก็คิดอย่างเจ้า...ช่างน่ายินดียิ่งนักที่นักรบอย่างเราทั้งสองจะมาสู้กันอย่างสมเกียรติกันที่แห่งนี่ งั้นอย่ารอช้าอยู่เลย..เรามาจบเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเสียที” เอเบิลพูดขึ้นในขณะที่ตนกำลังยืนกอดอกอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าเตรียมสู้
“งั้นจะรออะไรเข้ามาเลย...” ลอสต์ตะโกนออกไป ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปทางเอเบิล ส่วนทางเอเบิลเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็พุ่งไปทางลอสต์เช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง
ทางด้านของอเล็กซานดร้าและริกะที่ออกมาจากประตูมิตินั้น ก็สำรวจว่าพวกตนอยู่ที่ใด เมื่อพวกเธอหันหลังไป พวกเธอก็ได้รู้ว่าพวกเธออยู่ภายนอกสถาบันของเอสซีพีแล้ว ก่อนที่พวกเธอจะหันมาคุยกัน เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ถูกเปล่งขึ้น
“คุณครับ..คุณใช่คุณโอริซิส ริกะหรือเปล่าครับ” ริกะรีบหันไปทางต้นเสียงก็พบบุรุษสองคน คนที่พูดนั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กะทัดรัด เขาใส่เสื้อโค้ดสีน้ำตาลทึบพร้อมถุงมือสีดำและกางเกงยีนสีดำ แต่ที่น่าสังเกตที่สุดคือหน้ากากสีขาวที่ปรากฏเพียงดวงตาและปากที่มีสีดำสนิทซึ่งทั้งสองอย่างนั้นไม่มีการแสดงถึงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกคนนั้นใส่เสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีส้ม เขาสวมฮู้ดอยู่ แต่ด้วยแสงที่สาดส่องไปทำให้ริกะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นคือความมืดและส่วนของดวงตากลมโตสีแดงกับปากที่บึ้งตึงสีแดงเท่านั้น
“ใช่ค่ะ..ชั้นคือคนที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ ทำไมเหรอค่ะ” ริกะตอบกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย
“พวกเราได้รับคำขอจาก ดร.ลอสต์ เซเคร็ต ให้พาคุณไปที่ปลอดภัยน่ะครับ” ชายใส่หน้ากากไร้ความรู้สึกสีขาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม พร้อมกับโค้งคำนับสักพักก่อนจะกลับขึ้นมายืนเช่นเดิม
“ใครคือ ดร.ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..อเล็กซานดร้าจัง” ริกะหันหน้าไปถามเพื่อนของเธอ
“ก็คือคนที่ช่วยเราจากคนที่มีรอยสักเต็มตัวนั่นแหละ..พูดง่ายๆก็พ่อชั้นเองนั่นแหละนะ” หญิงสาวผมสีดำพูดตอบเพื่อนของเธอที่กำลังทำหน้าสงสัย
“พ่อของเธอชื่อ ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..ทำไมนามสกุลไม่เหมือนเธอล่ะ” หญิงสาวขี้สงสัยยังคงถามเพื่อนอยู่
“ชั้นใช้นามสกุลของแม่น่ะ..ส่วนพ่อชั้นไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล” คำตอบสั้นๆของอเล็กซานดร้าทำให้ริกะ สาวขี้สงสัยได้เข้าใจ “แล้วพ่อของชั้นให้พาพวกเราไปที่ไหนล่ะ”
“พ่อก็จะพาพวกหนูไปที่บ้านของพวกเขาไงล่ะ..บ้านของพวกเขาน่ะเป็นถึงคฤหาสน์เลยเชียวนะ” ลอสต์ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ปรากฏทางด้านหลังของริกะและอเล็กซานดร้าอย่างกระทันหันจนทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจ
“โธ่! พ่อชอบโผล่มาแบบนี้ตลอดเลย..รู้มั้ยหนูตกใจนะ” หญิงสาวผมดำวิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดกับชายทั้งสอง “แล้วอยู่ไหนกันล่ะ..ที่ๆนั่นน่ะ”
“คฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าอยู่ในป่าสเลนเดอร์ฟอเรสต์ทางใต้ของเมืองนี้..ถ้าจะไปที่นั่นคงจะต้องรีบกันหน่อย ไม่เช่นนั้นเราจะหลงป่าในเวลากลางคืน” ชายที่สวมหน้ากากสีขาวพูดเช่นเดิม ส่วนคนที่สวมชุดกันหนาวสีส้มนั้นก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
“มีชั้นอยู่ก็ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” พ่อของอเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับปรากฏกล่องข้อความขึ้นบนอากาศ ซึ่งมีรูปอีโมติคอนเคลื่อนไหวได้กำลังทำสีหน้าภาคภูมิใจขึ้น ก่อนที่เขาจะดีดนิ้ว ทำให้เกิดออร่าสีขาวกระจายออกจากตัวของเขาปกคลุมร่างของคนทั้งห้า หลังจากนั้นไม่นานแสงนั้นก็ดับลง ริกะจึงลืมตาขึ้นพร้อมทั้งประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเธอนั้นมาปรากฏตัวหน้าประตูของคฤหาสน์หลังใหญ่มหึมาตรงหน้าเธอ แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ริกะต้องประหลาดใจที่สุด
“ยินดีต้อนรับกลับครับ..ท่านองค์หญิงโอริซิส ริกะ” เสียงของชายคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือเธอจากผู้คุมของเอสซีพี เสียงนี้ทำให้หัวใจของริกะเต้นแรง พร้อมทั้งน้ำตาที่หลั่งไหลอย่างห้ามไม่ได้ “กระผมอัศวินลาอ้อน แม็กซิมัสจะปกป้องท่านองค์หญิงเฉกเช่นเดิม แต่กระผมจะทำให้ดีกว่าเดิมนะขอรับ”
“ละ..ลาอ้อน!!!” เสียงหวานของริกะถูกเปล่งออกมา ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปกอดลาอ้อนทั้งน้ำตา แต่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหน้ามามองกันแล้วยิ้มให้กัน
“ยินต้อนรับนะครับ คุณริก้าาาาาา! ..โอ้ย!!!” เบน ดราวน์ที่วิ่งอย่างดีใจโดยไม่ดูตาม้าตาเรือพุ่งเข้าชนใส่ลาอ้อนกับริกะที่กำลังยิ้มให้กันอยู่ ทำให้ลาอ้อนเสียหลักล้มลง จึงพลอยทำให้ริกะที่อยู่ในอ้อมอกล้มลงไปด้วย แล้วริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบกันจนสนิท ดวงตาของทั้งคู่เบิกกว้าง แต่พวกเขาก็ยังคงปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปโดยไม่สนใจใครที่มอง
เบน ดราวน์ที่กุมหัวตนเองเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับตาโบกกว้าง กับเลิฟซีนตรงหน้า ส่วนคนอื่นๆทั้งอเล็กซานดร้า ลอสต์ มาสกี้ต่างตกตะลึง มีแต่เพียงฮู้ดดี้เท่านั้นที่กำลังถือกล้องถ่ายวิดีโอ พร้อมกับปากที่เปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นรอยยิ้ม ส่วนทางด้านของเจฟและเจน กับโทบี้และคล็อคเวิร์คต่างหน้าแดงกันหมด ในขณะนั้นมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าก็นั่งรถเข็นมาถึงพอดี โดยเขามาพร้อมกับสเลนเดอร์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของสเปลนเดอร์ จำอวดตัวสูงใหญ่ที่ใบหน้ามีเพียงแค่ดวงตาที่เป็นวงกลมสีดำ รอยยิ้มเบิกกว้างที่เป็นสีดำ กับผิวสีเนื้อ และซัลโก้ในร่างมนุษย์ เมื่อพวกเขาทั้งสามมาเห็นฉากเลิฟซีนเบื้องหน้า พวกเขาก็อดอมยิ้มไม่ได้
“ช่างเป็นภาพที่น่าอภิรมย์จริงๆเลย..คุริ..คุริ..คุริ” สเปลนเดอร์แมนพูดออกมา พร้อมกับเอามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาด้วยภาษาแปลกๆ
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ..ถึงข้าจะเป็นถึงจ้าวแห่งความชั่วและความทุกข์ทั้งปวง แต่เมื่อมาเห็นภาพเช่นนี้ข้าก็รู้สึกมีความสุขยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า” มนุษย์ผิวสีแดงสลับดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
ผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นลาอ้อนและริกะที่ล้มลงจูบกันอย่างดูดดื่มนั้นก็ผละปากออก ก่อนจะรีบลุกขึ้นมายืนในลักษณะที่เขินอายกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันเช่นเดิม
“Yes! แน่นอนนะครับคู่นี้ ..Yes! แน่นอน” โทบี้ตะโกนหยอกล้อคู่รักคู่ใหม่ของครอบครัวครีปปี้พาสต้า ทำให้ทั้งคู่นั้นยิ่งอายมากขึ้นไปอีก โดยริกะนั้นรีบเอามือทั้งสองปิดใบหน้าที่แดงก่ำของเธอด้วยความเขินอายมากๆ
“โทบี้! ..นี่ก็ชอบล้อคนอื่นเค้า เนี่ย! ดูสิ! นายทำเจ้าสาวอายม้วนต้วนหมดแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เจฟที่เหมือนพยายามจะว่าโทบี้ที่ล้อ แต่เขาก็กลับเป็นคนล้อแทน ก่อนที่โทบี้และเจฟจะหัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า..อั้ก!!!” เจฟและโทบี้ที่หัวเราะลั่น กลับลงไปนอนกองกลับพื้นในท่ากุมส่วนล่างของเขาไว้ เพราะถูกสองสาวนั่นคือ เจน เดอะ คิลเลอร์ และคล็อคเวิร์คเตะเข้าไปที่กล่องดวงใจ ทั้งเจฟและโทบี้ต่างเจ็บปวด แต่เจฟนั้นก็ยังคงไม่หยุด “เจนจ๋า..ทำอย่างนี้กับท่านสามี ระวังจะร้องทั้งคืนนะจ๊ะ”
“ตาเจฟฟฟฟ!!!..เดี๋ยวครั้งนี้ชั้นจะเอาไม่ให้เหลือแม้แต่เจ้าแท่งนั้นเล้ยยย” เจนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เกรี้ยวกราดจนน่าหวาดผวา
“เมียจ๋า..เค้าขอโทษน้าาาาา” เจฟพนมมือก่อนจะพูดออกมาด้วยลักษณะกวนๆ
“ใครเมียแกย่ะ!!!” เจนตะโกนออกมาดังลั่น
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกันอยู่นั้น ลอสต์พูดออกมาดังลั่น
“ซวยแล้ว...” เสียงของลอสต์ทำให้ทุกคนหันไปทางเขากันหมด “วันนี้มันวันเกิดของยัยพิงก์นี่นา”
“ลูก! อยู่กับพวกเขาที่นี่ไปก่อนนะเดี๋ยวพ่อมารับ” เมื่ออเล็กซานดร้าได้ยิน เธอก็เข้าใจที่พ่อของเธอพูด แล้วจึงพยักหน้าขึ้นลง และเมื่อลอสต์เห็นปฏิกิริยาของลูกของเธอ เขาก็กลับหลังหันเดินไปก่อนจะยกมือขวาขึ้นสูง
“ลาก่อนพวก!!!” ลอสต์พูดบอกลาทุกๆคน แล้วจึงอันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน และทันทีทันใดที่ลอสต์หายตัวไป ก็มีกลุ่มเดินเข้ามาหน้าประตูของคฤหาสน์ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพวกเขารู้ ชายคนนึงในกลุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“สวัสดีทุกๆคน..จำพวกเราได้หรือเปล่า” ชายในชุดของตัวตลกจมูกทรงกรวยสีขาวสลับดำทั้งตัว
“ลาฟฟิ้ง แจ็ค!!!” อสูรสุนัขสีชาดตะโกนออกมาอย่างมีความสุขกับการกลับมาของเพื่อน มันรีบวิ่งเข้าไป ก่อนจะกระโดดใส่ลาฟฟิ้ง แจ็ค พร้อมกับเลียหน้าของเขา
“สวัสดีครับ..คุณลาฟฟิ้ง แจ็ค ..แซลลี่ ..และคุณมิลโร่” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้ากล่าวทักทายแขกทั้งสามคนที่ประกอบไปด้วยตัวตลกขาวดำ..ลาฟฟิ้งแจ็ค เด็กหญิงที่ใบหน้าถูกอาบไปด้วยเลือด ซึ่งเธออยู่ในชุดเดรสสีชมพูกับตุ๊กตาหมีที่อยู่ข้างกายเธอ..แซลลี่ และคนสุดท้าย เธอเหมือนกับเจฟ เดอะ คิลเลอร์มาก เพียงแต่เธอเป็นผู้หญิงเท่านั้น..มิลโร่ “ว่าแต่...ทำไมคุณถึงกลับมาก่อนละครับ ไม่ใช่ว่าคุณจะกลับมาเดือนหน้าเหรอครับ”
“จริงๆแล้ว..เราก็ว่าจะกลับมาที่นี่ตอนเดือนหน้าแหละครับ แต่พอดีพวกเรานึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้มีวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะครับ..พวกเราเลยรีบกลับมากันเร็ว เพราะวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะคือวันพรุ่งนี้แล้วครับ” ลาฟฟิ้งแจ็คพูดกับมิสเตอร์ครีปปี้หลังจากที่เขากับแซลลี่เดินเข้ามาถึงด้านหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแล้ว
ส่วนมิลโร่นั้นก็วิ่งเข้าไปกระโดดกอดเจน เดอะ คิลเลอร์ ก่อนจะพูดกับเธอต่อ
“แม่จ๋าจำหนูได้รึเปล่าค่ะ..ว่าแต่พ่อเป็นอะไรไปเหรอค่ะ ทำไมถึงไปนอนที่พื้นล่ะค่ะ” มิลโร่ทำหน้าสงสัยกับท่าทางของเจฟ ซึ่งเธอเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ทั้งๆที่เจฟและเจนนั้นพ่อแม่ของเธอเลย
“พ่อน่ะชอบทำเรื่องไม่ดีน่ะ แม่ก็เลยต้องสั่งสอนน่ะ” เจนพูดออกมาพร้อมกับเชิดหน้าให้กับเจฟ
“พอดีพ่อกำลังคุยกับแม่เรื่องที่จะให้น้องกับหนูน่ะ” เจฟพูดพร้อมกับยืนขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับมองไปที่เจนที่กำลังอึ้งกับคำพูดของเจฟ
“จริงเหรอค่ะ..เย้! หนูอยากได้น้องเร็วๆจังเลย พ่อค่ะ..เร็วๆนะค่ะ” มิลโร่แสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก
“ลูกพูดซะขนาดนี้..เห็นทีพ่อจะต้องจัดให้เต็มที่ซะแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ..ที่รัก” เจฟกวาดสายตายียวนไปทางเจน ทำให้เจนทำหน้าเซ็งกับความพ่ายแพ้ที่ตนได้รับ ก่อนจะจูงมือมิลโร่เข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเดินมาที่ทิศทางของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่กำลังพูดคุยกับสเปลนเดอร์แมนอยู่ เพื่อที่จะมาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด
“คุณสเปลนเดอร์แมนครับ..มีใครบ้างครับที่จะมาในวัน ‘รียูเนี่ยน’ครับ” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าบนรถเข็นหันไปมองชายจำอวดทางด้านหลัง ชายจำอวดเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็อันตรธานหายไปก่อนจะปรากฏกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอกสารปึกหนา
“สำหรับคนที่มาแน่นอนก็จะมีคุณโซนิคดอทอีเอ็กอี คุณลอสต์ซิลเวอร์ คุณพัพเพ็ทเทียร์ คุณบลัดดี้เพนท์ คุณเจสัน คุณแคนดี้ ป็อป คุณซีโร่ คุณฮีโร่บราย คุณพิงกาเมน่า และคุณโฮมมิไซเดิล ลูน่ะคุริ คุริ...” เมื่อชื่อสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้น มันก็ทำให้เจฟเดอะคิลเลอร์ตกตะลึงไปในทันที
“พี่ลู...พี่ชายของชั้นเป็นครีปปี้พาสต้าด้วยเหรอ!!!!!!!!” เจฟ เดอะ คิลเลอร์ตะโกนออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบลงโดยคนที่ชอบมีส่วนร่วมกับทุกงาน
“ก็ใช่น่ะสิ!..นายนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” ลอสต์แหวกมิติออกมาพูด ก่อนจะหุบมิตินั้นลงจนไร้ร่องลอยของรอยฉีกขาดของมิติ โดยที่หลายคนที่เห็น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขา..แล้วยังจะมาด่าอีก'
แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม ก่อนที่ทุกคนจะเข้าคฤหาสน์ไปและเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นก่อนที่ประตูคฤหาสน์จะถูกปิดลงนั่นคือ
"น้องชายตู!!!" โทบี้ตะโกนออกมาด้วยเสียงดังลั่นในขณะที่เขากำลังกุมเป้าอยู่
“ชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย” ชายปากฉีกบอกอสูรสุนัขถึงความไร้ผู้คนบนถนนทางด้านหน้าของพวกเขา เจฟจึงตัดสินใจกดเครื่องสื่อสารไร้สายที่หู เพื่อติดต่อไปหาคนๆหนึ่งที่รู้จักดี “ฮัลโหล..สเลนเดอร์ ทางชั้นไม่เห็นใครอยู่เลย…แล้วทางนายล่ะ..เจออะไรบ้างมั้ย”
“ก็เจอบ้าง..แต่ไม่มากน่ะครับ..ผมวาร์ปไปทั้งในป่าเกือบทุกที่ในเมืองนี้ ชานเมืองอีกหลายแห่ง และวาร์ปในตัวเมืองอีกก็ยังไม่เจอเลย..แต่ผมก็ได้เบาะแสใหญ่ๆ มา 2 อย่าง…” สเลนเดอร์แมนเว้นระยะคำพูด พร้อมกับกด ‘โฟนออน’ เพื่อสร้างห้องสื่อสารรวมให้ทุกคนได้ยินในสิ่งที่เขากำลังจะพูด “เบาะแสที่หนึ่ง..ผมได้ไปพบครูอาจารย์จากโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังเดินมาคนเดียว ผมจึงแปลงกายและถามเขาจนได้เบาะแสมาว่า คนที่เราตามหาน่ะ คือ เด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘โอริซิส ริกะ’ เธอคนนี้เป็นลูกครึ่งชาวเอเชีย เธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนนานาชาติที่ชื่อ ‘อินเตอร์เนชชั่นแนลโนเลดจ์’ และเบาะแสที่สอง..ผมได้ไปเจอเด็กสาวคนหนึ่งที่บอกมาว่าเป็นเพื่อนของริกะ เธอบอกมาว่า..ริกะมักจะชอบเข้าไปในป่าทางเหนือบ่อยๆ โอเค..ตอนนี้ใครอยูที่ป่าทางทิศเหนือบ้างครับ”
“ชั้นอยู่…” ลาอ้อนที่ตอนนี้อยู่ที่ป่าทางทิศเหนือ เห็นอะไรบางอย่างทางด้านหน้าจึงเคลื่อนตัวมาหลบอยู่ทางด้านหลังของต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนจะปิดระบบสื่อสาร “แล้วชั้นก็เจออะไรบางอย่างด้วย..ตัดสายล่ะ”
ลาอ้อนชะโงกหน้าออกมาจากที่กำบังเพื่อแอบมองบางอย่าง และเขาก็พบกับคนที่น่าจะเป็นเธอคนนั้น!!! หญิงสาวผู้มีผมสีชมพูดั่งดอกซากุระยามบาน ตอนนี้เธอกำลังถูกกลุ่มคนในเครื่องแบบผู้คุมขององค์กรเอสซีพีปิดล้อมอยู่ ชายในชุดผู้คุมคนหนึ่งทำท่าทีเสนอบางอย่าง ลาอ้อนจึงตัดสินใจใช้พลัง‘ล่องหน’ เพื่อทำให้ตัวของเขาไม่สามารถถูกมองเห็นได้ พร้อมกับย่องอย่างแนบเนียนไปที่ข้างหลังกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างช้าๆ จนถึงจุดหมาย
“...สาวน้อย ได้โปรดส่งเจ้าสมุดเล่มนั้นมาให้ลุงหน่อยนะ แล้วลุงจะไม่ทำอะไรหนู” ชายวัยกลางคนๆหนึ่ง ผู้เป็นหนึ่งในหัวหน้าผู้คุมของหน่วยงานเอสซีพีพูดให้ข้อเสนอเด็กสาวผมชมพู
“ไม่ได้หรอกค่ะ..นี่มันสมุดที่แม่ของหนูให้ก่อนท่านจะจากไป ...มันคือสิ่งที่แม่ของหนูเหลือให้เพียงสิ่งเดียว ขอโทษนะค่ะ..หนูคงให้สมุดนี้กับคุณไม่ได้จริงๆ อย่าทำอะไรหนูเลยนะค่ะ” หญิงสาวในชุดนักเรียนพูดอ้อนวอน เพื่อไม่ให้กลุ่มคนตรงหน้านำของสำคัญของเธอไป
“ยัยเด็กนี่..พูดดีด้วยก็ไม่ยอมฟัง ให้ตายเถอะ..อุตส่าห์จะปล่อยไปดีๆอยู่แล้วนะ สงสัยจะต้องสั่งสอนยัยพวกเด็กไม่ฟังผู้ใหญ่ซะหน่อยแล้ว” ชายผู้คุมอีกคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างหงุดหงิด ก่อนจะชักปืนพกกระบอกหนึ่งขึ้นมาจ่อไปที่ศีรษะของเด็กสาวคนนั้นก่อนจะลั่นไก โดยที่ผู้ถูกจ่อยิงยังไม่ทันตั้งตัว
เมื่อลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงปลดสภาพล่องหนก่อนที่จะวิ่งเข้าไปบังที่วิถีกระสุนที่ถูกยิงออกมา เมื่อมันเข้ามาใกล้ร่างของลาอ้อน กระสุนก็อันตรธานหายไป ก่อนจะปรากฏขึ้นและพุ่งทะลุศีรษะของผู้ยิง ทำให้เลือดและสมองบางส่วนกระจายออกมาด้านนอก ก่อนที่ร่างไร้วิญญาณจะล้มลง นี่ทำให้กลุ่มคนขององค์กรเอสซีพีนั้นแตกตื่นเป็นอย่างมาก ยกเว้น..หัวหน้าผู้คุมคนนั้นที่ไม่มีทีท่าแตกตื่นเลย ลาอ้อนหันไปมองเด็กสาวคนนั้นก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกให้เธอวิ่งออกจากบริเวณนี้ หลังจากนั้นเธอก็พยักหน้าก่อนจะหยิบสมุดเล่มนั้นขึ้นมา ทำให้ลาอ้อนเกิดความงุนงงและกังวล
“นี่! ทำไมไม่รีบไปล่ะครับ..องค์หญิง หรือต้องให้กระผมอุ้มไป” ลาอ้อนหันมาพูดกวนประสาทกับริกะ แต่สาวผมชมพูก็ยังไม่มีท่าทีจะหยุด จนกระทั่งวาดรูปในสมุดนั้นเสร็จ ก็หันหน้ามายิ้มอย่างมีเล่ห์กลให้ลาอ้อน แต่แล้วดวงตาของลาอ้อนก็เกิดวงแหวนเวทย์สีชมพู พร้อมกับพูดบางอย่างโดยไม่รู้ตัว “ขอโทษครับ..องค์หญิง กระผมจะไม่พูดสิ่งที่ไร้การศึกษาอย่างนี้อีกแล้วครับ..องค์หญิงริกะ”
‘นี่ตูพูดอะไรไปฟะเนี่ย’ ลาอ้อนพูดกับตนเองในใจ แต่เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยตอนนี้
“องค์หญิงขอรับ..ได้โปรดให้กระผมช่วยเถอะนะครับ” ลาอ้อนเปล่งเสียงอย่างไร้การควบคุม หลังจากที่ชายหนุ่มเอ่ย หญิงสาวก็ยิ้มก่อนจะพยักหน้า หลังจากปฏิกิริยาของหญิงสาวเกิดขึ้น แขนที่ไร้การควบคุมของชายหนุ่มจึงช้อนตัวเด็กสาวผมชมพูขึ้นมาอุ้ม ตามด้วยการวิ่งอันรวดเร็ว ซึ่งลาอ้อนก็ไม่ได้ทำด้วยตนเองเช่นเดิม
ลาอ้อนที่กำลังอุ้มเด็กสาวผมชมพูวิ่งซิกแซ็กหลบกระสุนปืน เลเซอร์ และมีดของเหล่าผู้คุมขององค์กรเอสซีพีที่กำลังตามมาข้างหลังอย่างกระชั้นชิด ในขณะที่ลาอ้อนวิ่งอยู่ เขาก็เหลือบมองเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมอก เธอกำลังเขียนอะไรบางอย่างที่ดูคุ้นตา
......เธอกำลังวาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตของเธอ
“นะ..นี่...องค์หญิงกำลังเขียนอะไรขอรับ” ลาอ้อนเอ่ยถามริกะ แต่ด้วยมนตร์สะกดของเธอ ทำให้สรรพนามและลักษณะการพูดผิดแปลกไปจากที่เขาต้องการจะพูด
“ชั้นกำลังจะให้ดาบกับเธออยู่น่ะ..อัศวินของชั้น” ริกะตอบด้วยน้ำเสียงใสไพเราะดั่งเทพธิดา โดยไม่ได้หันหน้ามาที่ลาอ้อนแม้แต่น้อย แต่น้ำเสียงของเธอทำให้ผู้ฟังเกือบจะหลงเชื่อว่าตนเองเป็นอัศวินของเธอ หลังจากที่เธอจบบทสนทนากับชายหนุ่ม เธอก็วาดร่างของลาอ้อนลงในสมุดโน้ตเสร็จพอดี และตามด้วยการวาดดาบคาตานะอันเรียวยาว ก่อนจะเอ่ยเสียงใสของเธออีกครั้ง “อัศวินของชั้น..หยุดอยู่ตรงนี้เลยค่ะ”
“ตามการบัญชาของท่านขอรับ..องค์หญิง” ลาอ้อนที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ค่อยๆชะลอความเร็วของเขาลง ก่อนจะหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับศัตรูที่อยู่ทางด้านหลังของเขาที่ตอนนี้คนเหล่านั้นก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ลาอ้อนยกตัวของริกะลงก่อนจะตั้งท่าเตรียมการต่อสู้ “แล้วองค์หญิงจะให้กระผมทำอย่างไรกับคนเหล่านั้นต่อครับ”
“จงใช้ดาบ...” คำว่า ‘ดาบ’ ทำให้ลาอ้อนเกิดความงงงวย เพราะตอนนี้ตัวเค้าไม่มีสิ่งที่ถูกเรียกว่าดาบแม้แต่เล่มเดียว ...ยกเว้นบางสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า ‘ดาบ’
“สงสัยอะไรเหรออัศวิน..ข้าสั่งให้ท่านใช้ดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่ท่านมีในตอนนี้ยังไงล่ะ” ลาอ้อนมองหน้าขององค์หญิงผมชมพู และแสดงสีหน้าเหมือนกำลังจะพูดว่า ‘เอาจริงดิ’ เมื่อริกะเห็นเช่นนั้นจึงมองหน้าลาอ้อนด้วยความสงสัย แต่แล้วเธอก็คิดขึ้นได้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่มีใครสนับสนุนจากทางด้านหลัง เธอจึงเอ่ยออกปากไป “ไม่ต้องกลัวหรอกอัศวิน..ข้าจะเป็นเกราะให้ท่านเอง ดังนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นลาอ้อนจึงทำหน้าแหยเหมือนกำลังจะสื่อว่า ‘ไม่เข้าใจตูเลย’ หลังจากนั้นสัญชาตญาณของอัศวินพร้อมกับความคิดบางอย่างก็พลุ่งพล่าน ลาอ้อนเตรียมท่าชักดาบ..ดาบที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขามีในตอนนี้...ดาบที่ตัวเขามีมาแต่กำเนิด มือของเขาขยับลงจนถึงส่วนขา พร้อมกับปลดพันธนาการของปลอกดาบ ก่อนจะจับไปที่ปลายซิปกางเกงและรูดลง เมื่อริกะเห็นกิริยาของลาอ้อน ทำให้เธอต้องหน้าแดงมากก่อนจะตั้งสติและรีบห้ามสิ่งน่าอายที่ลาอ้อนกำลังจะทำ
“ไม่ใช่ดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลังเล่มนั้น..ข้าหมายถึงดาบคาตานะตรงพื้นเล่มนั้น” ริกะพูดในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นแดงก่ำ เพราะความอาย เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นจึงหันไปทางที่ริกะชี้ เมื่อเห็นมัน เค้าจึงเก็บและมองริกะก่อนจะยิ้มอย่างเขินอาย ไม่นานก็หันกลับมาหาศัตรูก่อนจะชักดาบคาตานะออกจากปลอกดาบ เขาตั้งท่าเตรียมรบ ทำให้เหล่าผู้คุมรอบข้างต้องตั้งท่าตาม ทันใดนั้นลาอ้อนก็เขวี้ยงปลอกดาบคาตานะไปในทางของผู้คุมคนหนึ่ง ก่อนจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงจนเหมือนสามารถวาร์ปได้ แต่ตัวเค้าไม่รู้แม้แต่น้อยว่าเค้าลืมบางอย่าง...บางอย่างที่สำคัญมาก
...เค้าลืมไปว่า ในตอนที่เค้ากำลังจะชักดาบอันแข็งแกร่งและทรงพลัง เค้าปลดเข็มขัดที่พันธนาการปลอกดาบเล่มนั้นอยู่ออกไป
...แน่นอนว่า กางเกงต้องหลุดแน่ๆ
เมื่อลมมหาศาลกระแทกกับชายกางเกงที่บานออกทำให้เกิดแรงประทะมหาศาลจนทำให้ป้อมปราการสุดยอดของเค้าหลุดออก ใช่..มันคือกางเกง แต่เค้าก็ไม่ยังไม่รู้ว่าเกืดอะไรขึ้นกับส่วนล่างของเขา เพราะตัวเขากำลังยุ่งกับการวางแผนต่อสู้ เมื่อปลอกดาบกระทบพื้น หัวของผู้คุมที่เป็นเป้าหมายของลาอ้อนก็หลุดออกจากบ่า ตามด้วยสายฝนโลหิตและร่างไร้วิญญาณของผู้คุมไร้หัวที่ร่วงลงบนพื้นตามแรงโน้มถ่วงของโลก ลาอ้อนหันไปทางศพของผู้คุมพร้อมกับสะบัดเลือดที่ติดกับใบดาบออกแล้วหันมองไปทางด้านหน้า แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นมีดที่กำลังจะฟาดฟันใส่ตัวเขา แต่ด้วยสัญชาตญาณ..เค้าจึงถอยร่างออกหนึ่งก้าว ทำให้เขาถูกปลายมีดฟันแค่เพียงชายเสื้อเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเทพยังไงก็ไม่รอดพ้นไปได้ทุกอย่าง ลำแสงเลเซอร์ก็พุ่งมาจากที่ใดที่หนึ่งพุ่งมาทางลาอ้อนในขณะที่ตัวเขายังไม่ตั้งตัว ทำให้ร่างของลาอ้อนถูกเลเซอร์ยิงเข้าไปเต็มหน้าอก แต่ด้วยพลังของเรียลลิตี้เบนเดอร์ชั้นสูง ทำให้เขาสามารถทนทานต่อแสงเลเซอร์นี้ได้ในระดับหนึ่ง ..แต่เสื้อผ้าน่ะมันไม่ทนทานไปกลับผู้สวมหรอกนะ เสื้อกันหนาวสีดำและกางเกงบอกเซอร์ของเขาถูกเผาไหม้ด้วยแสงเลเซอร์ของฝ่ายผู้คุมเอสซีพี จนในสภาพนี้ของลาอ้อน สามารถใช้คำว่า ‘เปลือย’ ได้เลย ลาอ้อนเคลื่อนตัวหลบลำแสงเพื่อหยุดการสร้างความเสียหาย ในขณะที่ตัวเค้าขยับเค้าก็รู้สึกถึงความเย็นตรงหว่างขา เค้าจึงหันไปมองส่วนล่าง แน่นอน..จะมีอะไรเหลือล่ะ ลาอ้อนรีบกุมส่วนล่างเอาไว้ ด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะหันไปหาองค์หญิงผมชมพูที่ตอนนี้หน้าแดงก่ำ ในลักษณะที่ว่าเห็นแล้วอึ้ง
“องค์หญิง!!! ..อย่ามัวแต่มองดาบอันทรงพลังของกระผม กระผมก็อายเป็นนะองค์หญิง.. ท่านช่วยเสกชุดมาให้กระผมจะได้มั้ยขอรับ ได้โปรด” ลาอ้อนพูดในขณะที่ใบหน้าของเค้านั้นแดงก่ำ ในตอนนี้มือทั้งสองข้างของเขานั้นรับภาระหนักเพราะต้องกุมดาบทั้งสองเล่มไว้ในคราเดียวกัน เมื่ออัศวินเปลือยกายพูดขอร้องกับองค์หญิง เธอจึงไม่รอช้า..เธอรีบตั้งสติก่อนจะวาดชุดที่เธอคิดได้ในตอนนี้
ถึงแม้จะถึงคราวเสียเปรียบชายหนุ่มก็ไม่หวาดหวั่น ลาอ้อนมองไปทางฝ่ายศัตรูที่ตอนนี้มีอยู่ราวห้าสิบคนด้วยดวงตาที่มุ่งมั่นถึงแม้ว่าจะเปลือยอยู่ก็ตาม หลังจากที่สายตาของเหล่าผู้คุมหันมาที่ลาอ้อนเป็นจุดเดียวกัน ลาอ้อนจึงใช้โอกาสนี้เบี่ยงเบนความสนใจของเหล่าผู้คุมด้วยการโยนดาบคาตานะขึ้นกลางอากาศ ผู้คุมหันมองใบดาบที่พุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างจดจ่อจนเปิดช่องโหว่ ลาอ้อนจึงรีบเคลื่อนตัวไปด้านหลังของเหล่าผู้คุมก่อนจะลงมือปิดชีพอย่างรวดเร็วด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการล้วงและกระชากหัวใจ หักคอ ใช้มีดของผู้คุมคนอื่นแทงใส่หลังศีรษะของผู้คุมผู้โชคร้ายจนใบมีดทะลุไปอีกด้าน เพียงไม่กี่วินาทีจำนวนของผู้คุมจากห้าสิบกว่าคน ตอนนี้เหลือเพียงแค่สามคน ชายหนุ่มพุ่งกลับมาตรงจุดเดิม พร้อมกับยื่นมือขวารับดาบที่ตกลงมา โดยที่มือข้างซ้ายยังคงปิดบังบางอย่างอยู่ภายใน
“เสร็จแล้วล่ะ..อัศวิน” ริกะพูดด้วยความดีใจ เมื่อลาอ้อนได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองร่างของตน ซึ่งตอนนี้ร่างของเขากำลังเปล่งแสงสีเหลืองอยู่..เพียงเสี้ยววินาทีแสงสีเหลืองนั้นก็ดับลง ตามด้วยร่างในชุดสูทสีดำ เนกไทสีแดง รองเท้าผ้าใบสีดำขาว เมื่อลาอ้อนเห็นเช่นนั้นจึงเปล่งรอยยิ้มขึ้น พร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาหัวหน้าผู้คุมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับฟันกลางหน้าอกของหัวหน้าผู้คุมนับไม่ถ้วน ก่อนจะใช้หลังมือกระแทกใส่หน้าของหัวหน้าผู้คุมทำให้ตัวของหัวหน้าผู้คุมกระเด็นออกไปในพุ่มไม้ แต่แล้วร่างที่กระเด็นไปนั้นกลับระเบิดร่างออกก่อนจะตกถึงพื้น แทนที่เลือดจะกระเด็นออกมา กลับกลายเป็นควันสีดำ กระจายและร่วงหล่นลงมาบนพื้นแทน ก่อนจะเกาะกลุ่มรวมตัวกลายเป็นรูปร่างของบางสิ่ง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความกดดันอันมหาศาลขึ้นมาทันที
“ฮึ..ฮึ นี่แหละพลังอันไร้เทียมทานของหัวหน้าผู้คุมสโมค ในร่างนี้แกทอะไรหัวหน้าของพวกเราไม่ได้หรอก..นอกจากว่าแกจะจับต้องควันได้อ่ะนะ” หนึ่งในสองผู้คุมที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในตอนนี้พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีความมั่นใจ
หลังจากผู้คุมคนนั้นพูดจบ กลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวจนเป็นรูปร่างของมนุษย์ได้สำเร็จ ตรงส่วนที่น่าจะเป็นส่วนของใบหน้าของกลุ่มควันเหล่านั้นถูกแทนที่ด้วยหัวกะโหลกมนุษย์ ที่ภายในดวงตาของหัวกะโหลกนั้นมีแสงสีแดงดั่งโลหิตบังเกิดขึ้น แต่มันยังคงทอดสายตาลงบนพื้นดินเช่นเดิม ซึ่งมันทำให้เกิดความกดดันและความเครียดแก่ชายหนุ่มขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น!!! มันก็ทอดสายตามาทางลาอ้อนอย่างรวดเร็วและกะทันหันจนน่ากลัว ก่อนที่มันจะยกมือที่เต็มไปด้วยควันทมิฬของมันขึ้นมาในทิศทางของลาอ้อน ก่อนจะยิ้มให้กับลาอ้อน และแตกกระจายเป็นกลุ่มควันหกสายพุ่งเข้าใส่ร่างกายของลาอ้อนอย่างรวดเร็ว กลุ่มควันเหล่านั้นพุ่งทะลุร่างกายของลาอ้อนโดยไร้ร่องรอยของเสื้อที่ฉีกขาด แต่กลับสร้างความเสียหายภายในร่างกายของลาอ้อนเป็นอย่างมาก จนกระทั่งทำให้ลาอ้อนนั้นกระอักโลหิตจากปากของเขาลงบนพื้นมากจนทำให้ริกะที่อยู่ทางด้านหลังของลาอ้อนตกใจมาก
“อัศวิน!!!” ริกะตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจ เธอจึงได้รีบวิ่งไปหาลาอ้อนด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ แต่แล้วมือข้างหนึ่งกางออก ลาอ้อนกางมือเพื่อบอกกับหญิงสาวว่าตนนั้นยังไม่เป็นอะไร ทั้งๆที่ตนต้องใช้ดาบคาตานะค้ำดินเพื่อยันตัวเองขึ้นมายืนเช่นเดิม
“ไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ..องค์หญิง กระผมยังคงต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นได้อยู่ขอรับ” ลาอ้อนตอบด้วยน้ำเสียงอันห้าวหาญ ก่อนจะตั้งดาบในท่าตั้งโจมตี
ในขณะเดียวกันนั้นกลุ่มควันเหล่านั้นก็รวมตัวกลับมาเป็นร่างของปีศาจควันเช่นเดิม ไม่ทันที่ปีศาจควันจะรวมร่างสำเร็จ ดาบคาตานะก็ฟาดฟันใส่ร่างของมันจนขาดครึ่ง แต่ทันทีที่ร่างของมันถูกตัดออก ร่างของมันก็กลับมาเชื่อมเช่นเดิม แต่ถ้าพูดตามจริงล่ะก็มันเหมือนกับใช้ดาบตัดควันซะมากกว่า ซึ่งแน่นอน...ฟันให้ตายก็ไม่ขาด แต่ไม่ใช่แค่นั้น..ด้วยการฟันของลาอ้อนนั้นออกแรงไปเต็มแรง การที่ฟันไม่โดนร่างศัตรูจึงทำให้เขาเสียการทรงตัวและเปิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ เมื่อร่างควันของผู้คุมสโมคเห็นดังนั้นจึงแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พร้อมกับรวบรวมพลังหมัดควันเพื่อต่อยไปที่หัวใจของลาอ้อน แต่ทันใดนั้น..ดาบขนาดใหญ่ที่ยาวกว่า 50 เมตรก็พุ่งลงมาตรงจุดที่มนุษย์ควันอยู่พอดี การลงของดาบยักษ์นั้นทำให้เกิดแรงลมปะทะใส่ร่างของมนุษย์ควัน จนทำให้การโจมตีของสโมคนั้นพลาดเป้าไปโดยกลางท้องของลาอ้อน ทำให้กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน และกระดูกสันหลังของเขานั้นขาดและหัก จนเลือดที่อยู่ภายในท้องนั้นพุ่งออกมาจากรอยฉีกขาดของผิวหนัง จนทำให้ลาอ้อนต้องส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นสติ เพราะเสียเลือดจากรอยฉีกขาดภายในท้องมากเกินไป
“อัศวิน!!!” ริกะที่อยู่ทางด้านหลังถึงกับกรีดร้องทั้งน้ำตา เมื่อเห็นร่างของลาอ้อนที่นอนแน่นิ่ง จากแววตาโศกเศร้า เพียงพริบตาแววตาของเธอก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้น เธอมองค้อนไปที่สโมคอย่างโกรธแค้น “แก!!! แกบังอาจมาฆ่าอัศวินของชั้น...อย่าอยู่เล้ยยยย!”
“ความกระหายเลือด..ความโกรธแค้น..ความชิงชัง..ความอิจฉา..ความริษยา..การทรยศ ดาบต้องคำสาปแห่งการล้างแค้น..มุรามาสะ” ริกะร่ายคถาอัญเชิญดาบในตำนานของญี่ปุ่นนาม ‘มุรามาสะ’ ที่ปรากฏออกมาจากประกายไฟไร้เจ้าของจนหลอมรวมกลายเป็นใบดาบสีเงินคมกริบ พร้อมยังมีคราบเลือดติดอยู่ที่ปลายของใบดาบ เธอคว้าดาบต้องคำสาปที่ลอยอยู่กลางอากาศมา เธอหยุดนิ่งไปนาน จนทำให้สโมคผิดสังเกต เขาจึงไม่ลีลาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ พุ่งไปด้วยความเร็วสูงไปทางของริกะ ภายในระยะไม่มาก หญิงสาวผมชมพูก็หันมามองศัตรูที่สีหน้ามุ่งมั่นก่อนจะใช้มุรามาสะฟันอากาศธาตุ การฟันนี้ ทำให้เกิดคลื่นสีโลหิตออกไปกระทบกับร่างของสโมค โดยที่ตัวปีศาจควันไม่หลบหลีกใดๆ แทนที่คลื่นนั้นจะผ่านร่างของมนุษย์ควัน แต่มันกลับลากตัวมนุษย์ควันไปด้วย ทำให้ตัวของมนุษย์ควันกระเด็นถอยหลังไปกระทบกับต้นไม้ทางด้านหลังจนร่วงลงไปนอนแน่นิ่ง เธอกลับมายืนตามปกติเช่นเดิม ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างของสโมค แต่ทันใดนั้น!?!
“อ๊าาาาาาาาาา!!!” สาวผมชมพูกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับล้มลงและหมดสติไป
“เธอลืมพวกเราไปได้ยังไงเนี่ย..ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายในชุดผู้คุมองค์กรเอสซีพีพูดออกมาพร้อมหัวเราะ
“ทำยังไงกับเด็กคนนี้ต่อดีค่ะ..หัวหน้า” หนึ่งในนักวิจัยสาวคนนึงที่เหลือรอดจากการไล่ฆ่าของลาอ้อนพูดขึ้น
“ฝ่ายลำดับสูงสุดขององค์กรของเรา..O5 บอกให้พวกเราจับตัวเด็กคนนี้ไปแบบยังมีชีวิต เรากลับไปที่ไซต์ 44 กันก่อนค่อยแจ้งทาง O5” ปีศาจควันที่ตอนนี้กลับร่างมาเป็นมนุษย์เช่นเดิมพูดตามคำสั่งของ O5 ก่อนจะสั่งอีกสองคนให้จับร่างไร้สติของริกะและเดินตามเขาไป
ในความมืดในจิตใจของลาอ้อนที่ใกล้จะตายเต็มทน..พลังของเค้าช่วยอะไรเค้าไม่ได้ในตอนนี้..ความหวังที่มีเพียงหริบหรี่..โชคชะตาที่พยายามจะฆ่าผู้เป็นนาย ทันใดนั้น!! ก็เกิดแสงในความมืด ทำให้ลาอ้อนที่กำลังจะจมอยู่ในความตายแหงนหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าที่ยังคงไร้ความหวัง หลังจากที่แสงนั้นบังเกิดขึ้น สตรีปริศนาก็ปรากฏตัว ในขณะนั้นแสงที่บังเกิดขึ้นก็ดับลง ทำให้ลาอ้อนสามารถมองเห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้นอย่างชัดเจน เธอเหมือนกับเจน เดอะ คิลเลอร์ ผู้ที่ช่วยชีวิตเค้าไว้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งดวงตาและสีผมที่ดำสนิท สีผิวขาวซีด และทรวดทรงหุ่นที่ดี ไร้ส่วนเกินของเนื้อหนัง เธอสวมใส่เพียงแค่ชุดราตรีสีดำสนิทเพียงสิ่งเดียว เธอเดินออกจากมิติแสงมาทางลาอ้อนอย่างช้าๆ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ใกล้กับลาอ้อน เธอก็หยุดเดินลง ก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้น พร้อมกับยื่นมือมาทางของลาอ้อน แล้วมองหน้าลาอ้อนด้วยสีหน้าเป็นห่วง ลาอ้อนเห็นดังนั้นจึงยื่นมาของไปจับมือของเธอ หญิงสาวนิรนามจึงดึงมือของลาอ้อนออกจากวังวนแห่งความสิ้นหวัง เมื่อลาอ้อนคลานออกมาได้สำเร็จ เขาก็ชันตัวลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณคุณมากนะครับ..ที่ช่วยผมออกมาจากวังวนบ้าๆนี่” กล่าวขอบคุณแก่หญิงสาวนิรนาม แต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงเศร้าหมอง มันทำให้ลาอ้อนเกิดความสงสัยและเป็นห่วง เขาจึงถามเธอไป “คุณเป็นอะไรไปเหรอครับ..ทำไมถึงทำหน้าอย่างนี้ล่ะ”
“ขอ..ขอร้องล่ะ ท่านได้โปรดเถอะ ได้โปรดช่วยน้องสาวของเราจากเหล่าทรชนพวกนั้นด้วยเถิด” หญิงสาวนิรนามพูดขอร้องกับลาอ้อน ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าโศกเศร้า
“น้องสาวของคุณเป็นใครเหรอครับ..” ลาอ้อนที่ยังงงกับสถานการณ์ ถามหญิงสาวผมดำออกไป
“น้องสาว..น้องสาวของเราคือ..โอริซิส ริกาเนะ” ชื่อน้องสาวของหญิงสาวนิรนาม ทำให้ลาอ้อนเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด เขาจึงเข้าไปประกบมือของหญิงสาวเข้ากับมือของเขา
“ผมจะไปช่วยเธอแน่นอนครับ..คุณไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ” ลาอ้อนพูดให้ความหวังกับหญิงสาวในชุดราตรีสีทมิฬ ทำให้เธอนั้นเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้าของเธอ ยามที่เธอยิ้มช่างงดงามดั่งนางฟ้าบนสรวงสวรรค์ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะมีเพียงแค่สีดำกับสีขาว
“ขอบคุณท่านมากนะค่ะ...ลาอ้อน แม็กซิมัส” หญิงสาวกล่าวขอบคุณแก่ชายตรงหน้าก่อนจะเดินถอยหลังเข้าไปในประตูมิติแห่งแสงที่บังเกิดขึ้นภายหลัง ปล่อยให้ลาอ้อนยืนงงกับสิ่งที่เขาได้ยิน เขาพยายามตั้งคำถามกับตนเองว่า ‘เธอรู้จักชื่อเราได้ยังไง’ แต่ถึงจะคิดมากแค่ไหนก็หาคำตอบไม่พบ แต่แล้วในพริบตาที่มิติแห่งแสงปิดลง มันก็เกิดระเบิดขึ้น ทำลายมิติแห่งความสิ้นหวังจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงแต่ความขาวโพลน ก่อนที่เขาจะตั้งสติ รวบรวมสมาธิ ใช้นิ้วมือของเขาแหวกมิติขาวโพลนนี้ออกไปสู่ความเป็นจริง
“คุ..คุณลาอ้อน ตื่นแล้วเหรอครับคุณลาอ้อน” เด็กผู้ชายดวงตาสีเลือด ในชุดที่เหมือนกับตัวละครเอกในเกมๆหนึ่งพูดขึ้น..หรือว่าเขาจะเป็นคอสเพลย์!?
“นี่!..นายใครกัน” ลาอ้อนถามเด็กผู้ชายปริศนาเบื้องหน้า “แล้วยัยหัวชมพูล่ะ”
“ผมชื่อเบนครับ..เบน ดราวน์” เด็กชายผมสีทองพูดออกมา ก่อนจะยิ้มให้ลาอ้อน “และถ้าคุณคนที่หัวชมพูคนนั้น..หมายถึงคุณโอริซิส ริกะล่ะก็..คุณมาสกี้กับคุณฮู้ดดี้กำลังติดตามกลุ่มคนที่ลักพาตัวคุณริกะไปอยู่น่ะครับ คุณลาอ้อน..ไม่ต้องห่วงหรอกนะครับ”
“เฮ้อ..ก็หวังว่างั้น” ลาอ้อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ‘ขอให้ไม่เป็นอะไรนะ..ยัยหัวชมพู’
ณ ศูนย์ควบคุม 25b ในไซต์ 44 ขององค์กรเอสซีพีที่อยู่ลึกลงไป 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล และยังอยู่ใต้ชั้นหินที่มีความทนทานสูง ทางเข้าศูนย์นั้นเป็นลิฟท์ที่มีประตูไททาเนียมหนา 20 ซม. กั้นทุกๆ 50 เมตร ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการใช้งานลิฟต์นี้จึงถูกปล่อยให้น้ำทะเลท่วมขังไว้ข้างใน และในทางเดินเข้าศูนย์หัวหน้าผู้คุมสโมค และลูกทีมอีกสองคนได้นำพาเด็กสาวผมสีชมพูเข้ามาในศูนย์ พวกเขาเดินตรงไปในห้องวิจัยใหญ่ในศูนย์นี้ สโมคที่แบกริกะอยู่นั้น วางร่างของริกะลงบนโต๊ะวิจัย แต่ด้วยความที่ร่างของสโมคนั้นยังไม่กลับมาเป็นดังเดิม ทำให้ร่างของริกะกระแทกเข้ากับโต๊ะจนเธอได้สติ แต่เธอยังคงทำเป็นว่ายังไม่ได้สติ
“เจ้าบ้าสโมค!!..นี่แกระวังบ้างไม่เป็นหรือไงฟ่ะ” นักวิจัยคนหนึ่งตะโกนด่าหัวหน้าผู้คุมเสียงดัง
“ก็ร่างกายข้ายังไม่เสถียรนี่..ทำไงได้เล่า” สโมคตะโกนตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังกว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะด่ากลับไปกลับมาไม่หยุด โดยที่คนอื่นรอบๆ ไม่มีทีท่าจะห้ามปราม เหมือนเรื่องนี้จะเป็นเรื่องปกติสำหรับที่นี่ ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดเสียง..เสียงที่ทำให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะกัน..เสียงที่ทำให้ทุกคนต้องฟัง..เสียงที่ทุกคนหวั่นเกรง
...เสียงระบบรักษาความปลอดภัยแจ้งเตือนการแหกที่คุมขังของ SCP-076-2...
“เจ้าเอเบิล..มันแหกคุกอีกแล้วเหรอฟ้ะ” นักวิจัยที่ด่ากับสโมคอยู่นั้นพูดขึ้นด้วยเสียงดังลั่น ก่อนจะเกิดเสียงประตูไทเทเนียมแตกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเศษซากศพและกองเลือดของนักวิจัยและเหล่าผู้คุม
“เจ้าพวกโง่!!! ข้าถามพวกแกว่าเจ้าลอสต์มันอยู่ไหน..หูหนวกกันหรือไง” ชายเชื้อสายเซมิติกผู้ที่มีรอยสักรูปปีศาจอยู่เต็มตัวพูดขึ้น ก่อนจะเขวี้ยงหัวของผู้คุมคนหนึ่งใส่ผนังเหล็กกล้าเต็มแรงจนหัวนั้นทะลุเข้าไปในผนังเหล็กทันที
“เจ้าลอสต์มันไม่ได้อยู่นี่ว่ะ..เอเบิล งั้นมาเล่นกับคอนดรากีคนนี้กับเจ้าลมควันหน้าโง่นี่..ไปก่อนละกัน” ชายนามคอนดรากีพูดด้วยน้ำเสียงขำขัน
ในขณะที่ทั้งสามเผชิญหน้ากัน นักวิจัยและผู้คุมคนอื่นๆต่างหนีออกจากห้องนั้นอย่างเร็วไว..เหมือนรู้หน้าที่ ทำให้ในห้องนั้นเหลือเพียงคอนดรากี สโมค และเอเบิล โดยเมื่อริกะเห็นสถานการณ์ก็รีบวิ่งตามเหล่านักวิจัยไป คอนดรากีที่อยู่ในห้องหยิบปืนลูกซองสองกระบอกจากในกระเป๋าเขาขึ้นมาถือ ทางด้านของสโมคก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นปีศาจควัน ส่วนเอเบิลนั้นก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน เขาแหวกมือในอากาศก่อให้เกิดมิติสีดำขึ้น และเอื้อมมือเข้าไปคว้าดาบคู่ในมิติทมิฬนั้นออกมา ก่อนที่ทั้งสามจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“คงจะได้เวลาสนุกกันแล้วสิ..ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า” คอนดรากีหัวเราะออกมา
“สนุกไปคนเดียวเฮอะ..เจ้ากล๊วก..‘คนเด้าขี้’..” สโมคพูดล้อเลียนชื่อของคอนดรากี ก่อนที่เขาจะขำ
“นี่!!..พวกแกหูหนวกกันใช่มั้ย ชั้นถามว่าเจ้าลอสต์! มัน! อยู่! น้ะ....” ไม่ทันที่เอเบิลจะพูดจบก็ถูกกระสุนปืนลูกซองของคอนดรากียัดใส่หน้าของเขาจนมันสมองกระจายออกมาด้านนอก แต่เอเบิลก็ยังคงยืนอยู่ได้
“ไอ้@#$!!! มันเจ็บนะเฟ้ย!!!” ประโยคสุดท้ายของเอเบิลคือจุดเริ่มต้นของการตะลุมบอน เมื่อทั้งสามพุ่งเข้าใส่กัน
ทางด้านของริกะนั้น..เธอยังคงวิ่งหนีออกมาจากห้องวิจัยใหญ่ เธอวิ่งออกมาอย่างไม่สนใจใครจนเดินไปชนเข้ากับใครบางคน
“ว้ายยย!!!..” ริกะและหญิงสาวอีกคนต่างร้องเสียงหลงทั้งคู่
“ขอโทษค่ะ..ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะ..เอ๋ ว้าย” ริกะพยายามจะกล่าวขอโทษหญิงสาวเบื้องหน้า แต่เธอกลับไปพบกับบางอย่างข้างหลังหญิงสาวคนนั้น ทำให้ริกะเกิดกลัวขึ้นมา นั่นคือ ‘รยางค์เทนทา เคิลสีดำ’
“นี่เธอ..ไม่ต้องกลัวชั้นหรอก เจ้าพวกนี้น่ะ..ผมของชั้นเอง” หญิงสาวผมสีดำเบื้องหน้าอธิบายถึงรยางค์แปลกๆข้างหลังของเธอ นั่นทำให้ริกะทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ‘นั่น! ผมเหรอ’ แต่หญิงสาวนิรนามเหมือนจะเข้าใจ เธอจึงปัดผมที่ปิดหน้าเธออยู่ออก ก่อนจะแนะนำตัว “ชั้น!! หนึ่งในนักมายากลเส้นผมชื่อก้องโลก...ฮีโรอิค อเล็กซานดร้า”
“อีโรติกเหรอ..ว้าย!! อย่าบอกนะว่าเธอ..” ริกะทำท่าทางสะดุ้งโหยงกับความหมายของ ‘อีโรติก’
“ใช่..ชั้นเป็นดาราหนังประเภทนั้นแหละ...จะบ้าเหรอ ชั้น ‘ฮีโรอิค’ ไม่ใช่ ‘อีโรติก’ ย่ะ” อเล็กซานดร้าพูดแก้มุขของริกะ ทำให้ริกะยิ้มอย่างผ่อนคลายก่อนจะเดินพูดคุยตามประสาผู้หญิงกะผู้หญิงจนลืมไปว่ามีอะไรอยู่เบื้องหลัง
“ปั้ง!!!” เสียงเศษผนังเหล็กกระจายออก พร้อมกับร่างปีศาจควันของสโมค โดยผู้ที่ออกมานั้นคือ เอเบิล!!! ที่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรูพรุนจากกระสุนปืน รอยขีดข่วน รอยเลือด และกระดูกที่โผล่ออกมาจากกล้ามเนื้อ เอเบิลเดินออกมาจากช่องโหว่นั้นก่อนจะหันมาทางหญิงสาวทั้งสอง
“ว่าไง..ฮ่าฮ่าฮ่า” เอเบิลหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งในสภาพที่ดูไม่ได้
“เละเทะซะเหมือนหมาขี้เรื้อนเลยยังจะยืนอยู่ได้อีก..ถึกอย่างกับแมลงสาบ” อเล็กซานดร้าพูดออกมาอย่างลืมตัว ทำให้เอเบิลโมโหขึ้นมาทันที
“เมื่อกี้แกว่าใครกันฟ่ะ” เอเบิลหยิบดาบคู่จากห้วงมิติ ก่อนจะกระโดดพุ่งมาทางอเล็กซานดร้าเพื่อที่จะฆ่าเธอ เหมือนกับเจ้าตัวที่ก็คิดว่าตนไม่รอดแน่ๆ แต่ทว่า...
“ตุ้บ!!!” เกิดแรงกระแทกมหาศาลกลางอากาศ ทำให้ร่างของเอเบิลกระเด็นออกไปไกลกว่าสามสิบเมตร ซึ่งมันมาพร้อมกับการปรากฏตัวของบุรุษในฮู้ดสีดำกับชุดนักวิจัยที่ออกมาจากรอยแยกของมิติไร้ที่มา
“เป็นอะไรกันบ้างมั้ย..เด็กๆ” ชายนิรนามพูดขึ้นมา “เดี๋ยวชั้นจะพาพวกเธอออกจากที่นี่เอง แต่ก่อนอื่น..ชั้นขอสะสางบางอย่างให้เสร็จก่อนละกัน”
“ลอสต์..ลอสต์ ข้าอยากจะสู้กับเจ้ามาตั้งนานแล้ว” เอเบิลที่กระเด็นออกไปจากแรงกระแทก กลับยืนขึ้นมาดังเดิม พร้อมกับหักกระดูกตามส่วนต่างๆที่บิดเบี้ยวให้กลับเข้าที่ รวมถึงบาดแผลต่างๆก็สมานอย่างรวดเร็วเกินคน
“ท่าทางฉากต่อสู้จะยาวน่าดู..ท่าปล่อยให้เจ้านั่นเขียนต่อเรื่อยๆ เจ้านั่นคงจะเซ็งน่าดู งั้น...” เมื่อนักวิจัยไร้หน้าพูดจบ เขาก็ทำการดีดนิ้ว ทำให้มิติด้านหลังของเขาฉีกขาดโดยภายในมีทิวทัศน์ภายนอกศูนย์ปรากฏอยู่ “พวกเธอทั้งสองคนเข้าไปในประตูมิตินั้นก่อน เดี๋ยวชั้นตรึงเจ้าบ้านี่ไว้ให้”
“แล้วเราจะเชื่อใจคุณได้ยังไงกัน..” ริกะพูดแทนเพื่อนของเธอ “..พอเราเข้าไปในเจ้าประตูมิตินั่น คุณอาจจะให้พวกของคุณลักพาตัวไปก็ได้”
‘เฮ้อ!..ชั้นอยากจะด่าไอ้คนเขียนที่ใส่นิสัยไม่ไว้วางใจใครเข้าไปในตัวละคร อย่าให้เจอนะ..เจอเมื่อไหร่พ่อสับเละแน่’ ลอสต์คิดในใจก่อนจะพูดขึ้นในขณะที่เขากำลังหันมองไปทางเอเบิล ซึ่งเขากำลังวิ่งมาหาลอสต์ด้วยความเร็วสูง “ชั้นให้พวกเธอเลือกนะว่าจะยืนรอให้เจ้าบ้านี่มาฆ่าหรือจะเชื่อใจชั้นแล้วเข้าประตูมิตินั้นไป ...ตอนนี้พวกเธอเหลือเวลาอีกสามวินาทีก่อนที่เจ้าบ้านี่จะพุ่งมาถึงชั้น”
“ไปกันเถอะ..ริกะ เส้นผมของชั้นบอกว่าชายคนนี้ไว้ใจได้” อเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับดึงมือของริกะเพื่อเข้าประตูมิติ แต่ริกะกลับคัดค้าน
“เธอไว้ใจคนง่ายเกินไปรึเปล่า..ซานดร้าจัง” ริกะโต้คำพูดกับอเล็กซานดร้าที่เธอคิดว่าเธอเชื่อคนโดยไม่มีเหตุผล
“ริกะ..” อเล็กซานดร้าจับมือริกะไว้ก่อนจะชี้ไปทางลอสต์ที่กำลังรวบรวมพลังหมัดเพื่อที่จะต่อยไปทางเอเบิลที่อยู่เบื้องหน้า อเล็กซานดร้าพูดบางอย่างขึ้นมา ทำให้ริกะเข้าใจหลายๆสิ่ง “ชายคนนี้น่ะคือพ่อของชั้นเอง ดังนั้นริกะ..เธอเชื่อใจเขาได้”
“เอ่อ..” ลอสต์เปล่งเสียงขึ้น ทำให้หญิงสาวทั้งสองคนหันไปทางเขา ซึ่งตัวลอสต์นั้น เขากำลังเอามือของเขาจับดาบคู่ของเอเบิลอย่างเกร็งๆ “เร็วๆหน่อยก็ดีนะ..สาวๆ”
“เร็ว..ริกะ ไปกันเถอะ” อเล็กซานดร้าจับข้อมือของริกะก่อนจะจูงเธอเข้าประตูมิติไป เมื่อพวกเธอเข้าไปแล้ว ประตูนั้นก็อันตรธานหายไป
เมื่อลอสต์เห็นดังนั้นจึงผลักเอเบิลที่เข้าปะทะออกไปจากตัว พร้อมกับต่อยหน้าของเอเบิลที่ยังไม่ทันตั้งตัวจนเอเบิลกระเด็นออกไปหลายสิบเมตร แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เอเบิลใช้มือเช็ดเลือดที่ไหลมาจากปากออก
“เรามาจบเรื่องตรงนี้กัน..ดีมั้ย เอเบิลคุง” ลอสต์พูดออกไปในขณะที่เขากำลังเอามือล้วงกระเป๋าด้วยความมั่นใจ ส่วนทางด้านผู้ฟังก็หยิบดาบที่ตกลงบนพื้นขึ้นมา
“ข้าก็คิดอย่างเจ้า...ช่างน่ายินดียิ่งนักที่นักรบอย่างเราทั้งสองจะมาสู้กันอย่างสมเกียรติกันที่แห่งนี่ งั้นอย่ารอช้าอยู่เลย..เรามาจบเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเสียที” เอเบิลพูดขึ้นในขณะที่ตนกำลังยืนกอดอกอยู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าเตรียมสู้
“งั้นจะรออะไรเข้ามาเลย...” ลอสต์ตะโกนออกไป ก่อนที่เขาจะพุ่งตัวไปทางเอเบิล ส่วนทางเอเบิลเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาก็พุ่งไปทางลอสต์เช่นกัน ก่อนที่ทั้งสองจะฟาดฟันกันอย่างบ้าคลั่ง
ทางด้านของอเล็กซานดร้าและริกะที่ออกมาจากประตูมิตินั้น ก็สำรวจว่าพวกตนอยู่ที่ใด เมื่อพวกเธอหันหลังไป พวกเธอก็ได้รู้ว่าพวกเธออยู่ภายนอกสถาบันของเอสซีพีแล้ว ก่อนที่พวกเธอจะหันมาคุยกัน เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ถูกเปล่งขึ้น
“คุณครับ..คุณใช่คุณโอริซิส ริกะหรือเปล่าครับ” ริกะรีบหันไปทางต้นเสียงก็พบบุรุษสองคน คนที่พูดนั้นเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่กะทัดรัด เขาใส่เสื้อโค้ดสีน้ำตาลทึบพร้อมถุงมือสีดำและกางเกงยีนสีดำ แต่ที่น่าสังเกตที่สุดคือหน้ากากสีขาวที่ปรากฏเพียงดวงตาและปากที่มีสีดำสนิทซึ่งทั้งสองอย่างนั้นไม่มีการแสดงถึงความรู้สึกใดๆทั้งสิ้น ส่วนอีกคนนั้นใส่เสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีส้ม เขาสวมฮู้ดอยู่ แต่ด้วยแสงที่สาดส่องไปทำให้ริกะมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายใน นั่นคือความมืดและส่วนของดวงตากลมโตสีแดงกับปากที่บึ้งตึงสีแดงเท่านั้น
“ใช่ค่ะ..ชั้นคือคนที่คุณพูดนั่นแหละค่ะ ทำไมเหรอค่ะ” ริกะตอบกลับไปด้วยสีหน้าสงสัย
“พวกเราได้รับคำขอจาก ดร.ลอสต์ เซเคร็ต ให้พาคุณไปที่ปลอดภัยน่ะครับ” ชายใส่หน้ากากไร้ความรู้สึกสีขาวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่นอบน้อม พร้อมกับโค้งคำนับสักพักก่อนจะกลับขึ้นมายืนเช่นเดิม
“ใครคือ ดร.ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..อเล็กซานดร้าจัง” ริกะหันหน้าไปถามเพื่อนของเธอ
“ก็คือคนที่ช่วยเราจากคนที่มีรอยสักเต็มตัวนั่นแหละ..พูดง่ายๆก็พ่อชั้นเองนั่นแหละนะ” หญิงสาวผมสีดำพูดตอบเพื่อนของเธอที่กำลังทำหน้าสงสัย
“พ่อของเธอชื่อ ลอสต์ เซเคร็ตเหรอ..ทำไมนามสกุลไม่เหมือนเธอล่ะ” หญิงสาวขี้สงสัยยังคงถามเพื่อนอยู่
“ชั้นใช้นามสกุลของแม่น่ะ..ส่วนพ่อชั้นไม่ยอมเปลี่ยนนามสกุล” คำตอบสั้นๆของอเล็กซานดร้าทำให้ริกะ สาวขี้สงสัยได้เข้าใจ “แล้วพ่อของชั้นให้พาพวกเราไปที่ไหนล่ะ”
“พ่อก็จะพาพวกหนูไปที่บ้านของพวกเขาไงล่ะ..บ้านของพวกเขาน่ะเป็นถึงคฤหาสน์เลยเชียวนะ” ลอสต์ที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ปรากฏทางด้านหลังของริกะและอเล็กซานดร้าอย่างกระทันหันจนทำให้ทั้งคู่ต้องตกใจ
“โธ่! พ่อชอบโผล่มาแบบนี้ตลอดเลย..รู้มั้ยหนูตกใจนะ” หญิงสาวผมดำวิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอ ก่อนที่เธอจะหันกลับไปพูดกับชายทั้งสอง “แล้วอยู่ไหนกันล่ะ..ที่ๆนั่นน่ะ”
“คฤหาสน์ของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าอยู่ในป่าสเลนเดอร์ฟอเรสต์ทางใต้ของเมืองนี้..ถ้าจะไปที่นั่นคงจะต้องรีบกันหน่อย ไม่เช่นนั้นเราจะหลงป่าในเวลากลางคืน” ชายที่สวมหน้ากากสีขาวพูดเช่นเดิม ส่วนคนที่สวมชุดกันหนาวสีส้มนั้นก็ยังคงเงียบอยู่เช่นเดิม
“มีชั้นอยู่ก็ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” พ่อของอเล็กซานดร้าพูดขึ้น พร้อมกับปรากฏกล่องข้อความขึ้นบนอากาศ ซึ่งมีรูปอีโมติคอนเคลื่อนไหวได้กำลังทำสีหน้าภาคภูมิใจขึ้น ก่อนที่เขาจะดีดนิ้ว ทำให้เกิดออร่าสีขาวกระจายออกจากตัวของเขาปกคลุมร่างของคนทั้งห้า หลังจากนั้นไม่นานแสงนั้นก็ดับลง ริกะจึงลืมตาขึ้นพร้อมทั้งประหลาดใจกับสิ่งที่เห็น เพราะเธอนั้นมาปรากฏตัวหน้าประตูของคฤหาสน์หลังใหญ่มหึมาตรงหน้าเธอ แต่เสียงหนึ่งที่ทำให้ริกะต้องประหลาดใจที่สุด
“ยินดีต้อนรับกลับครับ..ท่านองค์หญิงโอริซิส ริกะ” เสียงของชายคนหนึ่งที่เคยช่วยเหลือเธอจากผู้คุมของเอสซีพี เสียงนี้ทำให้หัวใจของริกะเต้นแรง พร้อมทั้งน้ำตาที่หลั่งไหลอย่างห้ามไม่ได้ “กระผมอัศวินลาอ้อน แม็กซิมัสจะปกป้องท่านองค์หญิงเฉกเช่นเดิม แต่กระผมจะทำให้ดีกว่าเดิมนะขอรับ”
“ละ..ลาอ้อน!!!” เสียงหวานของริกะถูกเปล่งออกมา ก่อนที่เธอจะวิ่งเข้าไปกอดลาอ้อนทั้งน้ำตา แต่เต็มไปด้วยความสุข ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหน้ามามองกันแล้วยิ้มให้กัน
“ยินต้อนรับนะครับ คุณริก้าาาาาา! ..โอ้ย!!!” เบน ดราวน์ที่วิ่งอย่างดีใจโดยไม่ดูตาม้าตาเรือพุ่งเข้าชนใส่ลาอ้อนกับริกะที่กำลังยิ้มให้กันอยู่ ทำให้ลาอ้อนเสียหลักล้มลง จึงพลอยทำให้ริกะที่อยู่ในอ้อมอกล้มลงไปด้วย แล้วริมฝีปากของทั้งคู่ก็ประกบกันจนสนิท ดวงตาของทั้งคู่เบิกกว้าง แต่พวกเขาก็ยังคงปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้ต่อไปโดยไม่สนใจใครที่มอง
เบน ดราวน์ที่กุมหัวตนเองเมื่อเงยหน้าขึ้นก็ถึงกับตาโบกกว้าง กับเลิฟซีนตรงหน้า ส่วนคนอื่นๆทั้งอเล็กซานดร้า ลอสต์ มาสกี้ต่างตกตะลึง มีแต่เพียงฮู้ดดี้เท่านั้นที่กำลังถือกล้องถ่ายวิดีโอ พร้อมกับปากที่เปลี่ยนจากบึ้งตึงเป็นรอยยิ้ม ส่วนทางด้านของเจฟและเจน กับโทบี้และคล็อคเวิร์คต่างหน้าแดงกันหมด ในขณะนั้นมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าก็นั่งรถเข็นมาถึงพอดี โดยเขามาพร้อมกับสเลนเดอร์ที่ตอนนี้อยู่ในร่างของสเปลนเดอร์ จำอวดตัวสูงใหญ่ที่ใบหน้ามีเพียงแค่ดวงตาที่เป็นวงกลมสีดำ รอยยิ้มเบิกกว้างที่เป็นสีดำ กับผิวสีเนื้อ และซัลโก้ในร่างมนุษย์ เมื่อพวกเขาทั้งสามมาเห็นฉากเลิฟซีนเบื้องหน้า พวกเขาก็อดอมยิ้มไม่ได้
“ช่างเป็นภาพที่น่าอภิรมย์จริงๆเลย..คุริ..คุริ..คุริ” สเปลนเดอร์แมนพูดออกมา พร้อมกับเอามือปิดปากแล้วหัวเราะออกมาด้วยภาษาแปลกๆ
“ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ..ถึงข้าจะเป็นถึงจ้าวแห่งความชั่วและความทุกข์ทั้งปวง แต่เมื่อมาเห็นภาพเช่นนี้ข้าก็รู้สึกมีความสุขยังไงไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า” มนุษย์ผิวสีแดงสลับดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบิกบาน
ผ่านไปไม่นานหลังจากนั้นลาอ้อนและริกะที่ล้มลงจูบกันอย่างดูดดื่มนั้นก็ผละปากออก ก่อนจะรีบลุกขึ้นมายืนในลักษณะที่เขินอายกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองคนก็ยังคงจับมือกันเช่นเดิม
“Yes! แน่นอนนะครับคู่นี้ ..Yes! แน่นอน” โทบี้ตะโกนหยอกล้อคู่รักคู่ใหม่ของครอบครัวครีปปี้พาสต้า ทำให้ทั้งคู่นั้นยิ่งอายมากขึ้นไปอีก โดยริกะนั้นรีบเอามือทั้งสองปิดใบหน้าที่แดงก่ำของเธอด้วยความเขินอายมากๆ
“โทบี้! ..นี่ก็ชอบล้อคนอื่นเค้า เนี่ย! ดูสิ! นายทำเจ้าสาวอายม้วนต้วนหมดแล้วนะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เจฟที่เหมือนพยายามจะว่าโทบี้ที่ล้อ แต่เขาก็กลับเป็นคนล้อแทน ก่อนที่โทบี้และเจฟจะหัวเราะเสียงดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า..อั้ก!!!” เจฟและโทบี้ที่หัวเราะลั่น กลับลงไปนอนกองกลับพื้นในท่ากุมส่วนล่างของเขาไว้ เพราะถูกสองสาวนั่นคือ เจน เดอะ คิลเลอร์ และคล็อคเวิร์คเตะเข้าไปที่กล่องดวงใจ ทั้งเจฟและโทบี้ต่างเจ็บปวด แต่เจฟนั้นก็ยังคงไม่หยุด “เจนจ๋า..ทำอย่างนี้กับท่านสามี ระวังจะร้องทั้งคืนนะจ๊ะ”
“ตาเจฟฟฟฟ!!!..เดี๋ยวครั้งนี้ชั้นจะเอาไม่ให้เหลือแม้แต่เจ้าแท่งนั้นเล้ยยย” เจนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เกรี้ยวกราดจนน่าหวาดผวา
“เมียจ๋า..เค้าขอโทษน้าาาาา” เจฟพนมมือก่อนจะพูดออกมาด้วยลักษณะกวนๆ
“ใครเมียแกย่ะ!!!” เจนตะโกนออกมาดังลั่น
ในขณะที่ทุกคนกำลังมีความสุขกันอยู่นั้น ลอสต์พูดออกมาดังลั่น
“ซวยแล้ว...” เสียงของลอสต์ทำให้ทุกคนหันไปทางเขากันหมด “วันนี้มันวันเกิดของยัยพิงก์นี่นา”
“ลูก! อยู่กับพวกเขาที่นี่ไปก่อนนะเดี๋ยวพ่อมารับ” เมื่ออเล็กซานดร้าได้ยิน เธอก็เข้าใจที่พ่อของเธอพูด แล้วจึงพยักหน้าขึ้นลง และเมื่อลอสต์เห็นปฏิกิริยาของลูกของเธอ เขาก็กลับหลังหันเดินไปก่อนจะยกมือขวาขึ้นสูง
“ลาก่อนพวก!!!” ลอสต์พูดบอกลาทุกๆคน แล้วจึงอันตรธานหายไปจากสายตาของทุกคน และทันทีทันใดที่ลอสต์หายตัวไป ก็มีกลุ่มเดินเข้ามาหน้าประตูของคฤหาสน์ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาเป็นจุดสนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อพวกเขารู้ ชายคนนึงในกลุ่มพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง
“สวัสดีทุกๆคน..จำพวกเราได้หรือเปล่า” ชายในชุดของตัวตลกจมูกทรงกรวยสีขาวสลับดำทั้งตัว
“ลาฟฟิ้ง แจ็ค!!!” อสูรสุนัขสีชาดตะโกนออกมาอย่างมีความสุขกับการกลับมาของเพื่อน มันรีบวิ่งเข้าไป ก่อนจะกระโดดใส่ลาฟฟิ้ง แจ็ค พร้อมกับเลียหน้าของเขา
“สวัสดีครับ..คุณลาฟฟิ้ง แจ็ค ..แซลลี่ ..และคุณมิลโร่” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้ากล่าวทักทายแขกทั้งสามคนที่ประกอบไปด้วยตัวตลกขาวดำ..ลาฟฟิ้งแจ็ค เด็กหญิงที่ใบหน้าถูกอาบไปด้วยเลือด ซึ่งเธออยู่ในชุดเดรสสีชมพูกับตุ๊กตาหมีที่อยู่ข้างกายเธอ..แซลลี่ และคนสุดท้าย เธอเหมือนกับเจฟ เดอะ คิลเลอร์มาก เพียงแต่เธอเป็นผู้หญิงเท่านั้น..มิลโร่ “ว่าแต่...ทำไมคุณถึงกลับมาก่อนละครับ ไม่ใช่ว่าคุณจะกลับมาเดือนหน้าเหรอครับ”
“จริงๆแล้ว..เราก็ว่าจะกลับมาที่นี่ตอนเดือนหน้าแหละครับ แต่พอดีพวกเรานึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้มีวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะครับ..พวกเราเลยรีบกลับมากันเร็ว เพราะวัน ‘รียูเนี่ยน’ น่ะคือวันพรุ่งนี้แล้วครับ” ลาฟฟิ้งแจ็คพูดกับมิสเตอร์ครีปปี้หลังจากที่เขากับแซลลี่เดินเข้ามาถึงด้านหน้าของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าแล้ว
ส่วนมิลโร่นั้นก็วิ่งเข้าไปกระโดดกอดเจน เดอะ คิลเลอร์ ก่อนจะพูดกับเธอต่อ
“แม่จ๋าจำหนูได้รึเปล่าค่ะ..ว่าแต่พ่อเป็นอะไรไปเหรอค่ะ ทำไมถึงไปนอนที่พื้นล่ะค่ะ” มิลโร่ทำหน้าสงสัยกับท่าทางของเจฟ ซึ่งเธอเรียกเขาว่า ‘พ่อ’ ทั้งๆที่เจฟและเจนนั้นพ่อแม่ของเธอเลย
“พ่อน่ะชอบทำเรื่องไม่ดีน่ะ แม่ก็เลยต้องสั่งสอนน่ะ” เจนพูดออกมาพร้อมกับเชิดหน้าให้กับเจฟ
“พอดีพ่อกำลังคุยกับแม่เรื่องที่จะให้น้องกับหนูน่ะ” เจฟพูดพร้อมกับยืนขึ้นมาจากพื้น พร้อมกับมองไปที่เจนที่กำลังอึ้งกับคำพูดของเจฟ
“จริงเหรอค่ะ..เย้! หนูอยากได้น้องเร็วๆจังเลย พ่อค่ะ..เร็วๆนะค่ะ” มิลโร่แสดงอาการดีใจเป็นอย่างมาก
“ลูกพูดซะขนาดนี้..เห็นทีพ่อจะต้องจัดให้เต็มที่ซะแล้ว ใช่มั้ยจ๊ะ..ที่รัก” เจฟกวาดสายตายียวนไปทางเจน ทำให้เจนทำหน้าเซ็งกับความพ่ายแพ้ที่ตนได้รับ ก่อนจะจูงมือมิลโร่เข้าไปในคฤหาสน์ เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงเดินมาที่ทิศทางของมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าที่กำลังพูดคุยกับสเปลนเดอร์แมนอยู่ เพื่อที่จะมาตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาพูด
“คุณสเปลนเดอร์แมนครับ..มีใครบ้างครับที่จะมาในวัน ‘รียูเนี่ยน’ครับ” มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าบนรถเข็นหันไปมองชายจำอวดทางด้านหลัง ชายจำอวดเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็อันตรธานหายไปก่อนจะปรากฏกลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอกสารปึกหนา
“สำหรับคนที่มาแน่นอนก็จะมีคุณโซนิคดอทอีเอ็กอี คุณลอสต์ซิลเวอร์ คุณพัพเพ็ทเทียร์ คุณบลัดดี้เพนท์ คุณเจสัน คุณแคนดี้ ป็อป คุณซีโร่ คุณฮีโร่บราย คุณพิงกาเมน่า และคุณโฮมมิไซเดิล ลูน่ะคุริ คุริ...” เมื่อชื่อสุดท้ายถูกเอ่ยขึ้น มันก็ทำให้เจฟเดอะคิลเลอร์ตกตะลึงไปในทันที
“พี่ลู...พี่ชายของชั้นเป็นครีปปี้พาสต้าด้วยเหรอ!!!!!!!!” เจฟ เดอะ คิลเลอร์ตะโกนออกมาอย่างตกใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาสงบลงโดยคนที่ชอบมีส่วนร่วมกับทุกงาน
“ก็ใช่น่ะสิ!..นายนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” ลอสต์แหวกมิติออกมาพูด ก่อนจะหุบมิตินั้นลงจนไร้ร่องลอยของรอยฉีกขาดของมิติ โดยที่หลายคนที่เห็น พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'สอดรู้สอดเห็นเรื่องของเขา..แล้วยังจะมาด่าอีก'
แล้วทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม ก่อนที่ทุกคนจะเข้าคฤหาสน์ไปและเสียงสุดท้ายที่ดังขึ้นก่อนที่ประตูคฤหาสน์จะถูกปิดลงนั่นคือ
"น้องชายตู!!!" โทบี้ตะโกนออกมาด้วยเสียงดังลั่นในขณะที่เขากำลังกุมเป้าอยู่
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ