Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.44K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

21) Anesthesia (Assemble I)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               แสงจันทร์สีเหลืองอร่ามสาดส่องลงมาสู่พื้นดินอันเงียบสงบ นั่นอาจเป็นผลพ่วงของราตรีในคืนนี้ที่มาเร็วกว่าปกติ แต่มันกลับช่างน่าแปลกนัก..เพราะเหตุใด ในคืนนี้กลับไม่มีผู้ใดเดินไปมาบนถนนเลยสักคน

               บรรยากาศวังเวงและเงียบงันในเมืองที่เคยแออัดช่างน่าหวาดหวั่นอย่างมาก อีกทั้งยังมีหมอกและไอน้ำเข้าปกคลุมพื้นถนน จนยากจะมองเห็นหากไม่พึ่งแสงสว่างจากเสาไฟจากทางเท้า ..นั่นจึงอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดอาจหาญเดินสัญจรหรือขับพาหนะในยามวิกาลของคืนนี้

               แต่ในความเงียบสงบภายในเมืองนี้ กลับมีเสียงดังบางอย่างเกิดขึ้นจากที่ห่างไกลออกไป ทั้งเสียงปืนที่ได้ถูกกดลั่นไกและเสียงโลหะเข้าเสียดสีกัน ต่างดังขึ้นมาจากท่าเรือร้างที่อยู่ห่างจากตัวเมืองถึงสามร้อยไมล์ และด้วยการถูกทิ้งร้างไปหลายทศวรรษ ทำให้สภาพภายในไม่ต่างจากโบราณสถานภายในป่าใหญ่นัก พืชตระกูลมอสขึ้นอยู่บริเวณท่าเรือ ในขณะส่วนอื่นเต็มไปด้วยรอยสึกกร่อนจากผลของกาลเวลา

               ส่วนกลางของท่าเรือร้างนี้มีส่วนควบคุมปั้นจั่นที่ใช้ในการยกตู้สินค้าจากเรือขนส่ง ซึ่งตัวตึกนั้นสูงและมีขนาดใหญ่พอสมควร โดยในขณะนั้นภายในอาคารนั้นกลับเกิดเหตุการณ์การต่อสู้อยู่

               ท่ามกลางการต่อสู้ หญิงสาวผู้โดดเดี่ยว เธอมีแต่เพียงเครื่องมือประหลาดที่มีรูปร่างคล้ายจอบ แต่ตัวด้ามจับกลับมีลักษณะคล้ายไม้เมตรที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสอน ส่วนปลายแหลมกลับสั้นและเล็กกว่าจอบทั่วไป อีกทั้งยังแบนเป็นแผ่นด้วย

               เธอรีบวิ่งหนีขึ้นบันไดของตัวอาคารอย่างรวดเร็ว ในขณะที่แก๊งชายหญิงตามเธอมาจากด้านหลังด้วยใบหน้าโกรธแค้น พวกเขาใส่เสื้อผ้ารูปแบบเดียวกันทุกคน ซึ่งเป็นเสื้อโทนสีดำที่เปิดเผยเนื่อหนังมังสามากกว่าปกติ พร้อมทั้งกางเกงรัดรูปที่มีรอยฉีกขาดหรือกระโปรงสั้นเพียงต้นขา พวกเขาถืออาวุธครบมือวิ่งตามล่าหญิงสาวที่กำลังหนีอย่างสุดชีวิต

               ทันใดนั้นเอง ชายชาวแก๊งคนหนึ่งได้ชูปืนกลมือที่ถืออยู่ขึ้น เขากดไกปืนกราดยิงหญิงสาวในขณะที่ทั้งสองฝั่งกำลังวิ่งอยู่ แต่ด้วยความสั่นไหวที่เกิดจากการเคลื่อนที่ ทำให้กระสุนที่ถูกกราดยิงออกมาไม่อาจเจาะทะลุร่างของเธอได้ เว้นแต่นัดหนึ่งที่พุ่งเข้าที่ข้อเท้าของเธอ

               ด้วยกระสุนที่พุ่งเข้าทำร้ายเธออย่างกระทันหันในขณะที่เธอกำลังวิ่งอยู่ มันทำให้เธอเกือบจะเสียหลัก แต่เนื่องจากความชำนาญการณ์ ทำให้ไม่ล้มลง มีแต่เพียงความเร็วลดลงไปมากเท่านั้น เคราะห์ดีที่เธอได้มาถึงอาคารชั้นที่มีห้องควบคุมเก่าอยู่ เธอเลยตัดสินใจเปลี่ยนจากการวิ่งไล่จับกลายเป็นการเล่นซ่อนแอบภายในชั้นอาคารนี้แทน ด้วยการที่ระยะห่างที่เธอได้ทำไว้เป็นต่ออยู่แต่แรก เธอจึงพอมีโอกาสหนีไปซ่อนในห้องควบคุมเก่าที่หัวมุมของอาคารชั้นนี้ได้ทันท่วงที

               เมื่อเข้ามาหลบภายในห้องนี้ได้สำเร็จ เธอรีบกดเลื่อนกลไกให้ปิดประตูเหล็กลง เพื่อไม่ให้ศัตรูเข้ามาจู่โจมเธอในภาวะที่ยังไม่ทันตั้งตัว แสงสว่างจากไฟอาคารค่อยๆเลือนหายไปด้วยเหตุจากประตูกลที่เลื่อนปิดลงอย่างเชื่องช้า เพียงชั่วครู่ห้องพลันมืดสนิท ทำให้มีเพียงแสงจันทร์จากภายนอกเท่านั้นที่เข้าสาดส่องผ่านกระจกหนาขึ้นฝ้า แม้จะน้อยนิด แต่ก็มากพอที่จะทำให้หญิงสาวอยู่รับรู้การเคลื่อนไหวในสภาพนี้ได้สักระยะ

               เมื่อเธอเงยใบหน้าขึ้นมาจากการสำรวจบาดแผล นั่นทำให้ได้เห็นว่าหญิงสาวผู้นี้มีผมเรียบตรงสีน้ำตาลจนเกือบแดง ส่วนปลายผมนั้นถูกปัดมาที่ไหล่ข้างซ้าย ใบหน้าของเธอเรียวและสวยงาม ในขณะเดียวกันแม้อากาศจะไม่หนาวเย็นแต่อย่างใด แต่เธอกลับใส่เสื้อโค้ตหนังสีเขียวหนา ปกและชายเสื้อเป็นขนสัตว์สีขาวแลดูนุ่ม ซึ่งเสื้อโค้ตหนังสีเขียวที่ยาวถึงต้นขานี้กลับเป็นเพียงเสื้อทับเสื้อผ้าไหมหนาสีแดงที่ใส่อยู่ภายใน พร้อมกับกางเกงรัดรูปสีดำหนาและรองเท้าบู้ตที่มีเชือกเป็นหัวเข็มขัดอยู่สามเส้น พวกมันต่างถูกรัดแน่นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลุดระหว่างวิ่งหรือการทำกิจกรรมต่างๆ อีกทั้งเธอยังสวมถุงมือหนังสีดำที่มีหัวเข็มขัดเป็นตัวยึดเช่นเดียวกับรองเท้าของเธอ มันคลุมปิดตั้งแต่ข้อมือยาวไปกว่าครึ่งฟุต ในขณะเดียวกันตรงส่วนลำตัวก็มีสายเข็มขัดรัดเพื่อให้เสื้อคงสภาพและเป็นที่ยึดให้กับปลอกใส่จอบของเธอ

               ไม่นานนักเธอก็ได้ปัดปอยผมที่มาขวางกั้นทัศนวิสัยของเธอออก ทำให้ได้เห็นดวงตาข้างขวาของเธอที่มีสีส้มทอแสงสีทองอร่ามออกมา ในขณะที่ใบหน้าอีกฝั่งกลับเป็นแผลเป็นที่เกิดจากรอยไหม้จนเห็นเนื้อสดสีแดงเข้ม พวกมันมีลักษณะคล้ายพังพืดและคลุมอาณาเขตของใบหน้าของเธอตั้งแต่ครึ่งหนึ่งของหน้าผากด้านซ้ายจนถึงแก้มส่วนบน และนั่นทำให้ดวงตาข้างซ้ายของเธอไม่มีเปลือกตา อีกทั้งยังขาวโพลนและโบ๋เข้าไป แต่ก็น่าประหลาดใจที่ดวงตาข้างนั้นยังคงสามารถกลอกไปมาและรับรู้แสงได้ แต่ทำได้เพียงรับรู้แสงสว่างและความมืดเท่านั้น

               “บ้าชิบ!” เธอสบถแผ่วเบาออกมา “แค่เหยียบกิ่งไม้..ยังจะได้ยินเสียงอีกนะ”

               ‘ตอนแรกเรากะจะแค่มาถ่ายรูปพวกค้ายาอย่างเดียว..ไม่นึกว่าอีแค่กิ่งไม้กิ่งเดียวจะทำให้เรื่องบานปลายขนาดนี้’ เธอคิดภายในใจ ก่อนจะก้มตัวลงจับข้อเท้าข้างที่โดนยิงเพื่อสำรวจแผล

               ‘ดีนะที่ตอนนี้มืดแล้ว..ไม่อย่างนั้นพวกนั้นคงเห็นรอยเลือดเราแน่’   เมื่อเธอสิ้นสุดการสำรวจบาดแผล เธอจึงเลื่อนเปิดประตูกลเพื่อใช้ล่อเหยื่อเข้ามาติดกับดัก และแล้วไม่นานเกินรอ เสียงฝีเท้าพลันปรากฏและย่างเข้าใกล้ตำแหน่งของห้องที่เธอกำลังแอบซ่อนอยู่ เธอจึงทำการควบคุมลมหายใจให้แผ่วเบาลงจนยากจะได้ยินเสียงลมหายใจ ก่อนที่เธอจะก้าวไปที่หน้าประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียง

               เธอใช้ตาข้างขวากวาดตามองภายนอก อันเนื่องจากอาคารมีลักษณะโปร่งไม่มีผนังกั้นมากนัก ทำให้สามารถมองไปมาได้อย่างง่ายดาย ไม่นานจึงพบว่ากลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มีอาวุธครบมือนั้นได้ขึ้นไปสำรวจชั้นบน และมีบางส่วนที่ถือไฟฉายอยู่กำลังสำรวจอยู่ชั้นล่าง และยังคงมีกลุ่มคนไม่ถึง 5 คนกำลังสำรวจในชั้นที่หญิงสาวผู้นี้กำลังแอบซ่อนตัวอยู่

               ซึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็เริ่มเข้าใกล้ประตูของห้องนี้ขึ้นทุกที ไม่นานก็พบกับเงาของหญิงสาวผมทองปลายม่วงเดินผ่านมา โดยในมือของเธอคนนั้นมีปืนพกถืออยู่ ในขณะที่เธอหยุดลงหน้าประตูห้องควบคุมนี้ ก็พบว่าประตูเหล็กที่เต็มไปด้วยคราบสนิมและร่องรอยฝุ่น เธอใช้ฝ่ามือข้างที่ว่างขึ้นมาปิดจมูกและปากของเธอเอาไว้ในขณะที่กำลังเดินเข้าไปภายในเพื่อสำรวจ เธอกวาดสายตามองไปทั่วก็พบแต่ความมืดที่รายล้อม

               แต่ทันใดนั้นเสียงความฝืดของปะตูเหล็กก็ดังขึ้น เมื่อเธอหันกลับไปก็พบว่าบานประตูเหล็กนั้นกำลังปิดตัวลง เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปเพื่อดึงยั้งมันเอาไว้ไม่ให้ปิดลง แต่กลับไม่เกิดผลเพราะมันไม่ได้เกิดจากแรงมนุษย์กระทำแต่อย่างใด แต่เป็นแรงของเครื่องจักรที่เข้ากระทำด้วยระบบกลไก ประตูเหล็กจึงเลื่อนปิดไปในที่สุด แสงที่เคยส่องผ่านเข้ามาในภายในห้องจึงเหลือเพียงหน้าต่างนั้นบานเดียวเท่านั้น

               หัวใจของเธอเริ่มเต้นแรงขึ้นเพราะความหวาดกลัว มือที่เคยถือปืนอย่างมั่นคงกลับสั่นเทาจนต้องใช้มืออีกข้างประคับประคองเอาไว้ หญิงสาวผู้น่าสงสารที่ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใดต่อไปจึงหันไปทางแสงสว่างที่ส่องผ่านหน้ากระจกที่ขุ่นมัว แต่เมื่อเธอเพ่งสังเกตภายในกระจกจะเห็นภาพของเธออยู่ภายใน พร้อมกับเงาของบางสิ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านหลัง นั่นทำให้ตัวเธอต้องรีบหันขวับกลับไป แต่มันกลับไม่ทันท่วงทีที่จะยกปืนขึ้นมาตอบโต้การโจมตีที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ฝ่ามือของเธอถูกสันไม้หนากระทุ้งใส่มืออย่างแรงจนปืนนั้นหลุดมือเธอไป

               เงามืดที่ลอบทำร้ายเธอกวาดมืออีกข้างไปจับปืนที่กำลังหล่นลงพื้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตัดขาของหญิงสาวชาวแก๊งที่หลงติดกับดักให้ลดลง เงามืดนั้นได้ยกไม้ที่ใช้ตีหญิงสาวขึ้นพาดไหล่ เธอคนนั้นจึงปัดผมที่ปิดบังทัศนวิสัยของเธอออกไป ซึ่งเป็นช่วงเดียวกันกับที่หญิงสาวที่ล้มลงเปิดตาจ้องมองใบหน้าของคนที่เข้าทำร้ายเธอ แสงที่สาดส่องผ่านทางหน้าต่างทำให้เธอมองเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน กล้ามเนื้อแดงสดและเส้นเลือดที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนเพราะไม่มีผิวหนังใดปกปิดไว้ อีกทั้งดวงตาขาวโพลนไร้เปลือกตาปกปิดที่กลวงโบ๋เข้าไปในเบ้าตานั้นกลับกลอกไปมาอย่างน่าหวาดกลัว

               เมื่อหญิงสาวเห็นเช่นนั้น เธอกำลังจะกรีดร้องออกมา แต่กลับถูกฝ่ามือของผู้หญิงปริศนาคนนี้ปิดป้องปากเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดเสียง เธอคนนั้นพยายามทำท่าจะขัดขืนเพื่อหลบหนี แต่แล้วไม้กระดานที่มีเหล็กแหลมติดอยู่บริเวณปลายไม้ทั้งสองข้าง ลักษณะคล้ายจอบ ร่วงหล่นอย่างรุนแรงลงมาในบริเวณใกล้เคียงทันที เหล็กแหลมนั้นเฉียดไหล่ซ้ายและใบหูของเธอเพียงไม่กี่เซนติเมตร นั่นทำให้เสียงกรีดร้องของเธอต้องหยุดลงและแทนที่ด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจากดวงตาที่หวาดกลัว แต่ในความจริงแล้วมันกลับมีความรู้สึกหนึ่งถูกซ่อนอยู่ไว้ภายในดวงตาคู่นั้น นั่นคือ ‘ความรู้สึกรังเกียจและขยะแขยง’

               “อย่าทำหน้าอย่างนั้นซี่..” หญิงสาวผู้มีดวงตาสีขาวโพลนเอ่ยออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา “ชั้นรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง..”

               “รู้สึกถึงความน่ารังเกียจ รู้สึกถึงความหวาดกลัว และรู้สึกถึงความสิ้นหวัง” หญิงสาวผู้ถืออาวุธคล้ายจอบยังคงเอ่ยต่อไป “รังเกียจจิตใจของพวกแกที่มันเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นจนทำให้สังคมเละไปด้วย จิตใจที่เต็มไปด้วยตัณหาและอบายมุข ..ช่างน่ารังเกียจสิ้นดี              ”

               “ชั้นล่ะ..ก็เคยกลัววันๆนึงที่ ตัวชั้นจะกลายเป็นกองขยะโสโครกให้คนอื่นต้องมาเหนื่อยใจ”

               “และชั้นสิ้นหวังกับคนอย่างพวกแกที่ไม่ยอมไขว่คว้าโอกาสที่จะแก้ไขตัวเอง เปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีกว่านี้ ยังจะทำตัวเป็นพวกเลวทรามอยู่วันยังค่ำ แถมยังทำให้สังคมต้องมาเหนื่อยอกเหนื่อยใจ และยังทำให้ฉันต้องมาเหนื่อยตัวเพื่อมาเก็บกวาดพวกแกให้หายไปจากสังคม ..ด้วยวิธีสกปรกอย่างนี้!” เธอใส่อารมณ์อย่างรุนแรงเอาไป นั่นยิ่งทำให้หญิงสาวชาวแก๊งนั้นยิ่งหวาดกลัวขึ้นอีก สตรีผู้กำลังถืออาวุธอยู่นั้นก็ได้ยกอาวุธขึ้นเหนือหัวเตรียมจะใช้ด้ามแหลมทุบกระโหลกเธอให้แหลกไป

               “ได้โปรดอย่าฆ่าชั้นเลย!!! จะให้ชั้นทำอะไรก็ได้..ชั้นยอมหมดแล้ว!!!” หญิงสาวกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว พร้อมกับยกข้อเสนอให้กับเพชฌฆาตเบื้องหน้า อาวุธที่จะพึ่งจะถูกเหวี่ยงเข้ามาจบชีวิตเธอจึงได้หยุดชะงักไป พร้อมกับรอยยิ้มของเพชฌฆาตที่แสดงให้เห็นถึงความพอใจ

               “เป็นข้อเสนอที่ดีนี่..” หญิงสาวผมแดงดึงอาวุธของเธอกลับไปพาดบนบ่า ผู้รับโอกาสจึงใช้เวลานี้ยืนขึ้น แต่เมื่อยืนขึ้นได้กลับพบว่าที่หน้าผากของเธอกำลังถูกปืนที่ทำตกไปจ่ออยู่ หญิงสาวผมแดงมองไปที่ใบหน้าของคนที่เธอให้โอกาส “ชั้นจะให้โอกาสครั้งนึง แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”

               “..ถ้าเกิดแกเล่นตุกติกอะไรล่ะก็..ฮึ อย่าหวังว่าถ้าหนีรอดไปได้แล้วเรื่องจะจบอยู่แค่นั้น” เมื่อเธอพูดจบก็ชักปืนกลับไปเก็บไว้ที่กระเป๋าข้างในเสื้อโค้ตของเธอ

               “ละ..ละ..แล้ว จะให้ชั้นทำอะไรล่ะ” หญิงสาวที่ยังคงหวาดกลัวอยู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

               “ก็แค่หลอกล่อเพื่อนที่รักของแก..ให้เข้ามาในห้องนี้ก็พอแล้ว” สตรีผมแดงเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ที่ริมฝีปากกลับถูกแต้มไปด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

               “แต่เธอจะปล่อยชั้นไป..จริงๆใช่มั้ย” หญิงสาวยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเช่นเดิม เพราะบางทีแล้วเมื่อเธอยอมทำตามคำสั่งไป ก็อาจจะถูกหลอกอีกทีก็ได้

               “หึ..แค่แกอยู่ในสภาพนี้ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้วนะ ..นี่ยังมีหน้ามาขอต่อรองอีกงั้นเหรอ” เธอมองหญิงสาวผ่านหางตาด้วยท่าทีเหยียดหยาม คนที่ถูกหยามก็ทำได้เพียงก้มหน้าและไม่ปริปาก “ถ้าแกทำหน้าที่ได้ดี ..ชั้นก็อาจจะยอมปล่อยเธอไปก็ได้ ..แต่แค่อาจจะล่ะนะ”

               “ฉะนั้นก็อย่าทำให้ชั้นผิดหวังล่ะ..เคท” หญิงสาวผมแดงเอ่ยด้วยโทนเสียงน่ากลัว

               “โรสรีนค่ะ..” หญิงสาวผู้ฟังแก้ชื่อที่ผิดของตนเอง

               “จะชื่ออะไรก็ช่าง!” เธอรีบพูดแก้ต่าง “..ไปทำหน้าที่ของเธอก็พอ”

               “เอ้อ! จริงสิ..” หญิงผมแดงอุทานขึ้นแล้วหันกลับไปหาโรสรีน “ชั้นคงจะต้องบอกแผนให้เธอฟังน่าจะดีกว่า”

               หลังจากนั้นทั้งคู่จึงทำการประชุมวางแผนที่จะดำเนินการในช่วงเวลาอันใกล้นี้

 

               เพล้ง!! เสียงของกระจกที่แตกออกเพราะบางสิ่งได้เข้ากระแทกใส่ ทำให้ชาวแก๊งชุดดำหันขวับไปในทางเดียวกัน แล้วในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเองก็เกิดเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จนเกิดเป็นจุดสนใจให้กับชาวแก๊งแต่ละกลุ่มที่กระจายตัวกันอยู่

               “เฮ้ย! เมื่อกี้มันเสียงอะไรว่ะ..” ชายชาวแก๊งคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

               “เอ็งบื้อหรือไง!! มันก็เสียงกระจกแตกกับเสียงปืนไงล่ะว่ะ” ชายศีรษะเกลี้ยงเกลาตอบสวนกลับไป

               “มันอยู่ในห้องนี้!!!” เสียงของหญิงสาวนางหนึ่งดังจากห้องควบคุมเก่า “รีบๆมากันหน่อยซี่!! ..ชั้นจะยื้อยัยนี่ไม่ไหวแล้วนะ!”

               เมื่อหญิงสาวตะโกนลั่นออกมา กลุ่มชาวแก๊งที่ชั้นล่างจึงได้ตัดสินใจขึ้นไปจัดการสะสางปัญหา ในขณะที่พวกเขากำลังจะเดินไปทางบันได้นั้น พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าเพชฌฆาตกำลังคืบคลานมาจากด้านหลังอย่างเงียบเชียบ

               ‘เล่นละครเก่งดีนี่..ยัยหนู’ หญิงสาวผมแดงแสยะยิ้ม เธอได้ลงมาจากห้องควบคุมผ่านกระจกที่เธอได้ใช้จอบทุบไป โดยลงมาด้วยวิธีการไต่เสาของอาคารลงมาด้วยความระมัดระวัง แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางกายภาพของเธอด้านการเคลื่อนที่พอสมควร

               เมื่อเธอได้มายืนที่พื้นอาคารแล้ว เธอได้เก็บจอบของเธอลงไปในปอกที่ติดอยู่ข้างหลังเธอมาตั้งแต่แรกเริ่ม ก่อนจะหยิบปืนพกที่เธอแย่งมาจากหญิงสาวผู้เป็นตัวล่อ เธอยืนอยู่กับที่ และใช้เวลานี้ติดกระบอกเก็บเสียงที่ปืนพกอย่างระมัดระวังและรวดเร็ว ด้วยความชำนาญการณ์และความรอบคอบ เธอหันซ้ายทีขวาทีในขณะประกอบกระบอกเก็บเสียงเข้ากับลำกล้อง

               เมื่อเธอประกอบส่วนเสริมของปืนพกเสร็จ จึงได้เปลี่ยนอิริยาบถเป็นยืนตรง เธอจ่อปืนบนมือไปที่หลอดไฟที่ให้แสงสว่างแก่ชั้นนี้หลอดหนึ่งที่อยู่ใกล้เธอที่สุด จากทั้งหมดสามหลอด แล้วจึงลั่นไกด้วยปืนไร้เสียง ทำลายแสงสว่างและมอบความหวาดกลัวให้กับชาวแก๊งกลุ่มนี้ทันที

               “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นกันเนี่ย!” เพียงช่วงเวลาที่ชายคนนี้หันกลับมาและเอ่ยอุทานจนจบ แสงสว่างในอาคารชั้นนี้ก็ไม่เหลืออีกแล้ว ชาวแก๊งจำนวนห้าคนนี้เลยต้องเผชิญความมืดมิดกับภัยที่มองไม่เห็น

               ตึ้กๆๆๆ..ตึ้กๆๆๆ เสียงของฝีเท้ากระทบกับพื้นโลหะของชั้นอาคาร ไปมาโดยไม่ทราบทิศทาง แต่แล้วไม่นานนักพลันเกิดประกายไฟขึ้นชั่วพริบตา

               “อ้ากกกก...!!” ชายคนนึงในกลุ่มกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เสียงจะขาดหายไปอย่างปริศนา ชายอีกคนนึงรีบหยิบไฟฉายออกมาสาดส่องเพื่อค้นหาตัวการทันที แต่เขากลับไม่เห็นสิ่งใด นั่นยิ่งทำให้คนที่เหลือรู้สึกหวาดหวั่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น

               ปั้ก!!..ตึก!  ปั้ก!!..ตึก!  ปั้ก!!..ตึก! เสียงการโจมตีในความมืดอย่างต่อเนื่อง แม้เสียงการใช้วัตถุบางอย่างฟาดใส่ร่างจะดัง แต่กลับไม่มากพอจะกลบเสียงล้มตึงสู่พื้นอาคารที่ดังขึ้นมาติดๆกัน

               ในตอนนี้เหลือเพียงชายคนสุดท้ายที่ยังคงยืนหยัดอยู่ เขาดูแลใจเย็น และไม่หวาดหวั่น แม้ในมือจะมีเพียงไฟฉายเพียงหนึ่งชิ้น เขาแลดูจะรอคอยบางอย่าง ทั้งที่เขาก็สามารถตะโกนขอความช่วยเหลือจากกลุ่มเพื่อนที่ถูกล่อไปเผชิญกับความว่างเปล่า

               “ทำไมนายไม่หนีไปซะล่ะ..” เสียงของหญิงสาวปริศนาดังขึ้น ชายคนดังกล่าวจึงสาดส่องแสงไฟไปยังทิศทางของเสียง นั่นทำให้เขาได้พบกับผู้ลอบโจมตีเพื่อนของตัวเขา “ทำไมไม่หอนเรียกเพื่อนแกลงมาล่ะ..ทำไมแกถึงไม่ทำ”

               “เพราะชั้นรู้ว่าเธอเป็นใคร..ถ้าจะให้สู้กับคนอย่างเธอในสภาพที่มองแทบไม่เห็นอย่างนี้ คงจะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่ม” เขากล่าวเยินยอหญิงสาวเบื้องหน้า โดยไม่มีทีท่าจะรังเกียจส่วนของใบหน้าที่น่ากลัวของเธอเลย

               “พันตำรวจโทหญิงเจด้า เมดิสัน รองหัวหน้าหน่วยปราบปรามการค้ายาเสพติดและการค้าประเวณี หรืออีกชื่อที่คนอย่างพวกชั้นรู้จัก...”

               “ดิ อาเนสเธเซีย” ทันทีที่เอ่ยนามคู่ต่อสู้ของตนเสร็จ เสียงฝีเท้าที่พุ่งกระทบพื้นโลหะทยอยวิ่งมาอย่างต่อเนื่องจากด้านบน เจด้ายิ้มในความมืดในขณะที่คู่ต่อสู้ของเธอน่าจะแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์เป็นแน่

               “น่าเสียดายที่เพื่อนแกดันไม่ฉลาดเหมือนแกนะ..” เจด้าหยิบแท่งแสงมาหัก ทำให้เกิดแสงสีเขียวมากพอที่จะทำให้ทั้งคู่สามารถเห็นร่างกายของแต่ละคนได้ ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ชาวแก๊งคนอื่นๆได้ลงมาจากชั้นบนพอดี โดยที่ข้างหลังของพวกเขามีโรสรีนที่เดินตามมาด้วยใบหน้าวิตกกังวล

               “นี่..พวกแกลงกันมาทำไม!!” ชายเบื้องหน้าตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ

               “ก็โรส..บอกว่ากลุ่มล่างกำลังแย่นะครับ” ชายอีกคนที่อยู่ด้านหน้าสุดของกลุ่มใหม่รายงาน “พวกเราก็เลยรวมกลุ่มบนกับกลุ่มกลางเข้าสมทบเพื่อมาช่วยรองหัวหน้าไงครับ”

               “บัดซบเอ้ยยย!!!” ชายผู้ถูกเรียกว่าเป็นรองหัวหน้าสบถออกมา “งั้นพวกแกก็เตรียมรอไปนอนหยอดข้าวต้ม ไม่สิ..รอไปนอนในหลุมได้เลย”

               “...” กลุ่มด้านหลังกลับเกิดคำถามในใจ ซึ่งหญิงสาวผมแดงคนนี้แทนที่จะหาทางหนีทีรอด แต่เธอกลับยืนถือแท่งแสงอย่างใจเย็น พร้อมกับเปิดเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา

               “ยัยนี่คือ อาเนสเธเซียไง..เจ้าพวกบื้อ!!!” รองหัวหน้าฝั่งชาวแก๊งเริ่มปลดปล่อยโทสะ

               “ถ้ามันเป็นตำรวจ..มันก็ฆ่าเราไม่ได้ แต่เราฆ่ามันได้..ดูอย่างพวกที่นอนอยู่สิ มันก็ไม่ได้ฆ่าซะหน่อย” หญิงอีกคนในกลุ่มพูดออกมาโดยไม่คิด “..แล้วจะกลัวอะไรล่ะคะ ลูกพี่”

               “ยังจะโง่กันอีก.. / เฮ้!!” อาเนสเธเซียเอ่ยขัดคำพูดของชายเบื้องหน้า ทำให้ทุกสายตาจ้องมองมาที่เธอ

               “มันก็จริงอยู่ที่ตำรวจไม่สามารถสังหารผู้กระทำผิดได้..แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกแกจะไม่โดนชั้นเชือดหรอกนะ”

               “พวกแกที่กระทำผิดหลายข้อหา แล้วยังทำการยิงตอบโต้จนเจ้าหน้าที่พนักงานได้รับบาดเจ็บและตายไป ..มันเกินกว่าที่เบื้องบนจะรับได้ คดีของพวกแกเลยถูกใส่ลงในบัญชีเลือดไปแล้ว”

               ชายผู้เป็นรองหัวหน้าเหงื่อตกทันใด ในขณะที่คนอื่นๆยังคงไม่เข้าใจสถานการณ์ รวมถึงตัวโรสรีนเองด้วย

               “เอาเป็นว่า..ชั้นจะยอมบอกแกก็ได้ บัญชีเลือด หมายถึง คดีที่เป็นของพวกหัวรุนแรงมาก หากในการปฏิบัติหน้าที่มีการเข้าปะทะกัน เจ้าหน้าที่สามารถสังหารผู้กระทำผิดได้ทันทีโดยไม่มีโทษ”

               “โดยความผิดทั้งหมดจะถูกปิดเป็นความลับและถือเป็นการวิสามัญฆาตกรรมไป” เมื่อหญิงสาวเอ่ยจบ เธอก็มองไปที่โรสรีนที่กำลังหวาดกลัว เมื่อรู้ว่าพวกเธอกำลังจะถูกสังหารหมู่

               “ถ้าพวกแกรู้จักชั้น ก็คงเคยได้ยินวีรกรรมของชั้นแล้วสินะ..”

               “โรสรีน..เธอไม่น่าพาเพื่อนเธอมาตายซะเร็วขนาดนี้เลยนะ” ทุกคนหันไปหาโรสรีนแล้วต่อว่าเธออย่างรุนแรง โดยมีชายคนหนึ่งได้เข้าไปเขย่าร่างของเธอและเตรียมจะตบหน้าเธอ แต่กลับถูกกระสุนนัดนัดหนึ่งพุ่งเจาะศีรษะจบชีวิตไปในที่สุด

               หญิงสาวผมแดงลดปืนในมือลง แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “นึกว่าจะได้ไล่เก็บไปทีละชั้นซะอีก..คงจะต้องได้เหนื่อยกันแล้วสินะ”

               “เอ่อ..แล้วก็ขอชมเลยนะ พวกแกเป็นผู้ฟังที่ดีมากเลยนะ..แทนที่ใช้โอกาสที่ชั้นพูดอยู่ยิงชั้น ดันยืนฟังดื้อๆซะงั้น”

               “งั้นชั้นจะให้เจ้านี่เป็นรางวัลแล้วกัน..” เธอขว้างหลอดแสงไปบนศีรษะของกลุ่มโรสรีน ทำให้ร่างของเธอหายไปกับความมืดอีกครั้ง

               “รวมกลุ่ม..” รองหัวหน้าประกาศกร้าว ทำให้ทุกคนต้องมารวมกลุ่มกัน แต่ก่อนที่จะรวมกลุ่มกันจนเป็นวงกลมได้สำเร็จ เสียงกรีดร้องของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้น ก่อนที่เสียงร้องของเธอจะขาดหายไป

               “โรสรีน!” ชายคนหนึ่งตะโกนออก แต่ทันใดนั้นเอง เสียงของเขาก็ขาดช่วงหายไป ในขณะที่คนข้างๆ รู้สึกถึงร่างชายคนนี้ได้ล้มลงเกยอยู่กับร่างของตน

               แสงไฟฉายต่างสาดส่องไปมา แต่กลับยังคงช้ากว่าการลงมือของเจด้า ทำให้ทุกครั้งที่สาดส่องไป กลับเห็นเพียงแต่ร่างไร้วิญญาณที่เลือดไหลหยดลงสู่พื้นเท่านั้น

               การสังหารหมู่โดยมือสังหารผู้เป็นเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็วและโหดเหี้ยม เหล่าชายหญิงต่างยืนถือไฟฉายและปืนของพวกเขาด้วยอาการสั่นเทา ได้เพียงแค่สาดส่องมองไปยังศพของเหล่าเพื่อนที่นอนแน่นิ่ง จากการถูกสังหารไปอย่างรวดเร็ว โดยในเวลาเพียงห้านาที หญิงสาวเพียงคนเดียวกลับสังหารกลุ่มคนติดอาวุธไปเกินกว่า 10 ชีวิตแล้ว

               ชายที่ถือปืนเริ่มสติแตก บางคนเริ่มหวาดระแวงรอบกายที่เต็มไปด้วยความมืด เมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงรีบหันไปยิงทิศทางนั้นทันที สุดท้ายเมื่อแสงไฟสาดส่องมา กลับเป็นกลุ่มเพื่อนของเขาเท่านั้นที่ล้มตาย ในขณะที่เขากำลังตกตะลึงในสิ่งที่ตนเองทำลงไป กระสุนนัดหนึ่งพลันพุ่งเจาะกระโหลกของเขาเป็นการดับชีวิตอย่างน่าอนาถ

               “ผลักศพออกไป! รวมกันเป็นวงกลมให้ชิดกว่านี้!” รองหัวหน้าเส้นเลือดปูดโปนที่หน้าผาก “พวกที่ถือปืนไปอยู่ข้างหน้า! เตรียม!”

               “ยะ.. / เจอแล้วลูกพี่” เสียงของชายที่ถือไฟฉายตะโกนออกมาดังลั่น ชายผู้เป็นรองหัวหน้าที่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่แล้วเขากลับรู้สึกถึงความผิดปกติที่ในขณะที่พวกเขากำลังรวมตัวกันกลับมาใหม่ การสังหารจึงหยุดไประยะหนึ่ง “มันอยู่หน้าบันไดทางลง”

               “ฮึ..” ผู้ถูกกล่าวถึงซึ่งเธอกำลังหันหลังอยู่จึงยิ้มที่มุมปาก “กว่าจะหากันเจอ..แต่ช่างเถอะ ชั้นฆ่าพวกแกไปแค่ 14 คนเอง”

               “ยัยปีศาจเอ้ย! ยิงมันให้พรุน!!!” เหล่าคนที่ถือปืนอยู่พลันวิ่งเข้ามาหาหญิงสาว ซึ่งเป็นวินาทีเดียวกับที่รองหัวหน้าคนนี้ได้สังเกตเห็นถึงไฟสีแดงที่กระพริบเป็นจังหวะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นมันกลับเป็นแสงกระพริบที่เขาคุ้นเคย ในเวลาเดียวกันแสงไฟจากไฟฉายได้สาดส่องไปที่จุดนั้นจึงทำให้ชายผู้สั่งการต้องเบิกตากว้าง

               “ดาสวิ ดาเนีย(ลาก่อน)..” หญิงสาวผมแดงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาน ก่อนที่เธอจะกดรีโมทบนมือและกระโดดลงจากอาคารนั้นลงสู่พื้นดินที่อยู่ไม่ห่างกันมากนัก

               “ชิบหายยยย!!!”  

               ตู้มมม!!! ระเบิดแสวงเครื่องจำนวนหลายสิบลูกที่ติดอยู่เต็มพื้นที่ถูกจุดชนวนภายในพริบตา แรงระเบิดพลังมหาศาล ทำลายชีวิตและอาคารชั้นล่างอย่างสมบูรณ์ ปรากฏรูโหว่ขึ้นกลางอาคารชั้นล่าง เลือดสาดกระจายไปพร้อมกับแรงระเบิด รวมทั้งเศษซากอวัยวะบางส่วนหลุดลอยตกลงมา

               หญิงสาวผมสีแดงที่กระโดดลงมาจากอาคารชั้นล่าง หลบเลี่ยงแรงระเบิดได้ทัน จึงยืนขึ้นมาตั้งหลักสำรวจร่างกายเพื่อดูสภาพบาดแผลหรือรอยไฟม้สะเก็ดไฟของระเบิด เธอจึงพบว่ารอยไหม้เดียวที่ปรากฏบนร่างเธออยู่ตอนนี้คือบริเวณใบหน้าของเธอ เจด้าจึงได้รู้ว่าเธอไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ

               “เจ้าพวกนั้นน่าจะตายกันหมดทุกคนแล้ว งั้นงานของชั้นก็จบลงแค่นี้สินะ...” ในขณะหญิงสาวกำลังทอดสายตาไปในทิศทางของซากศพของพวกแก๊งนนั้น เธอกลับไปสะดุดตาเข้ากับตู้สินค้าตู้หนึ่ง ซึ่งเปิดประตูไว้ทั้งสองด้าน ภายในมีกล่องที่มีขนาดใหญ่และใหม่ผิดปกติ ต่างจากตัวตู้สินค้าโดยสิ้นเชิง

               “อืม...” ตำรวจสาวเดินเข้าไปใกล้ตู้สินค้านั้น พร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก เมื่อเดินเข้าไปถึง จึงได้ทำการเปิดกล่องนั้นขึ้นมา “เจอซะที”

               หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปสิ่งที่อยู่ในกล่อง ก่อนจะหยิบพวกมันขึ้นมาตรวจสอบว่าพวกมันเป็นอะไรกันแน่

               “มาทั้งเข็มมาทั้งเม็ดเลยนะ..” เจด้าหยิบสารละลายสีส้มในเข็มฉีดยาขึ้นมา มันดูไม่ค่อยคุ้นตาสำหรับเธอแม้แต่น้อย เธอหยิบสิ่งนั้นติดไม้ติดมือมาด้วย

               เธอจึงเริ่มเดินสำรวจหากล่องที่บรรจุยาเสพติดเช่นเดียวกับกล่องที่ผ่านมา เพื่อบันทึกภาพและแจ้งให้กับทางเบื้องบนให้ได้ทราบถึงเรื่องนี้

               เมื่อเสร็จสิ้นหน้าที่ ตำรวจหญิงคนนี้ได้เดินกลับขึ้นไปบนอาคารที่เกิดการระเบิด เธอมุ่งหน้าไปยังบันไดฝั่งขาขึ้นไปบนอาคารชั้นถัดไป ซึ่งการเดินมาถึงส่วนบันไดได้ก็จะต้องผ่านประตูเหล็กที่ขวางกั้นระหว่างตัวอาคารและตัวบันได

               เธอเปิดประตูบานนั้นออกมาทันที ซึ่งอีกฝั่งนึงของประตูก็ไม่ต่างจากทางหนีไฟตามห้างสรรพสินค้าแต่อย่างใด บันไดคอนกรีตทอดยาวจากชั้นบนลงมาสู่ชั้นที่เธอยืน และบันไดคอนกรีตอีกส่วนหนึ่งก็ทอดจากชั้นที่เธอยืนอยู่ไปจนถึงชั้นล่าง

               บริเวณราวบันไดนั้นมีหญิงสาวผมสีทองคนหนึ่งพยายามปลดพันธนาการข้อมือเธอจากห่วงกุญแจมือเหล็ก โดยอีกห่วงหนึ่งถูกคล้องเข้ากับราวบันได แม้ว่าตัวเธอจะออกแรงไปเพียงใด กลับไม่เป็นผลให้โซ่ของห่วงกุญแจมือขาดออกแต่อย่างใด แต่กลับจะทำให้ข้อมือของเธอเจ็บปวดไปเสียมากกว่า

               เมื่อเสียงประตูเหล็กพลันดังขึ้น โรสรีนที่ถูกพันธนาการเอาไว้จึงได้มองไปในทิศทางของเสียงนั้น และได้พบกับคนที่เธอไม่ต้องการให้มาพบมากที่สุดในเวลานี้ ใบหน้าของเธอถอดสี น้ำตาคลอเบ้า และร่างสั่นเทาโดยพลัน

               หญิงสาวผมแดงผู้มีนามว่า ‘ดิ อาเนสเธเซีย’ มองไปยังหญิงสาวผมสีเหลืองที่กำลังหวาดกลัวด้วยสายตาเย็นชา เธอเลื่อนมือขึ้นมาจับด้ามจอบรูปร่างประหลาดของเธอให้หลุดจากฝัก ก่อนจะใช้มือทั้งสองจับอย่างมั่นคงและฟาดมันลงมาอย่างรุนแรง

               เสียง กรี๊ด ดังขึ้นทันที ก่อนที่เสียงจะขาดหายไป พร้อมกับมีเสียงของโลหะเข้ากระแทกกัน โรสรีนได้มองไปยังข้อมือของตนเองจึงพบว่าโซ่ของกุญแจมือโลหะด้วยถูกตัดออกไปแล้ว เธอรีบจับข้อมือที่เป็นรอยแดงก่ำของเธอเข้ามาสำรวจทันที เธอที่เห็นว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ได้ต้องการจะหมายเอาชีวิตเธอไปแต่อย่างใด เธอจึงเตรียมใจยอมรับที่จะถูกลงโทษตามกฎหมายหรือไว้ชีวิตไปดำเนินชีวิตที่ดีกว่านี้ แต่ก่อนจะคิดสิ่งใดเธอ..เธอได้หันหน้าไปเพื่อที่จะได้กล่าวขอบคุณตำรวจสาวเบื้องหน้าสำหรับความเมตตานี้

               ...แต่เธอกลับคิดผิดมหันต์…

               ทันใดนั้นมือของหญิงสาวผมแดงได้พุ่งเข้าไปจับข้อมือของโรสขึ้น และฉีดสารละลายสีส้มเข้าไปในร่างกายของเธอ

               ด้วยความเหลวของสารละลาย ทำให้มันสามารถพุ่งเข้าไปในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว เมื่อสารในเข็มหมดลง เธอจึงดึงออกมาและทิ้งลงบนพื้นทันที

               “นี่! ..เธอฉีดอะไรให้ชั้นน่ะ!” โรสรีนแผดเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนก ต่างจากปีศาจในคราบของหญิงสาวผมแดงที่ยืนอยู่หน้าเธอ มันกลับแสยะยิ้มอย่างน่าหวาดกลัว

               “ชั้นก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันคืออะไร..” หญิงสาวผมแดงเก็บจอบของเธอลงไปในฝัก แล้วจึงเอ่ย “แต่เจ้าน้ำสีส้มนี่..”

               “น้ำสีส้ม!!!” โรสรีนตะโกนออกมาดังลั่น แต่แล้วท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เธอก็ล้มลงในท่าทางที่เข่าพับไปคล้ายกับไร้เรี่ยวแรง

               ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อในทันใด เม็ดเหงื่อล้วนปรากฏขึ้นตามผิวหนังของเธออย่างรวดเร็ว ดวงตาของเธอเริ่มลอยขึ้น น้ำตาและน้ำลายต่างไหลออกเป็นคราบเล็กน้อย และในที่สุดนั้นใบหน้าของเธอก็แดงก่ำ อีกทั้งเสียงหายใจยังดังและรวดเร็วขึ้นอย่างน่าตกใจ

               ในตอนเริ่มแรก อาเนสเธเซียยังคงไม่ทราบว่าสารที่เธอฉีดให้โรสนั้นคืออะไร แต่ในบัดนี้เธอเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร หญิงสาวผมแดงถึงกับหัวเราะในลำคอด้วยความสะใจ

               “เธอไม่น่าหักหลังชั้นเลยนะ..สาวน้อย” สาวผมแดงส่ายหน้าไปมาด้วยความเสียดาย ก่อนที่เธอจะมองไปที่โรสที่กำลังนั่งคุกเข่าและจ้องมองเธอด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสับสน

               “ขะ ขะ..ขอร้องล่ะ ช่วยชั้นด้วยเถอะ...” โรสรีนเอ่ยด้วยเสียงสั่น ในขณะนั้นมือของเธอได้ทำการจิกกระโปรงของเธอเพื่อข่มอาการไม่ให้แสดงฤทธิ์ออกมา “ชั้น..จะทน..ไม่ไหว..แล้ว”

               “เธอสมควรโดนแล้วล่ะ..เธอเลือกที่จะเดินเข้าหาอบายมุขเองนะ” เจด้าที่ยิ้มอยู่เปลี่ยนสีหน้าไปทันที ใบหน้าเย็นชามองไปยังหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความสมเพช

               “ตะ ตะ..แต่นี่มัน...ยาปลุกอารมณ์ทางเพศชนิดกระทิงคลั่งเลยนะ” โรสรีนพยายามเอ่ยออกมาด้วยท่าทางที่คล้ายจะหมดแรงต่อต้าน

               “ตอนนี้มันก็เป็นเรื่องของเธอแล้วนี่..” หญิงสาวผมแดงหันหลังกลับไปเปิดประตูเหล็กโดยไม่สนใจใยดีหญิงสาวที่กำลังจะโดนฤทธิ์ของบางสิ่งเข้าครอบงำจิตใจโดยสมบูรณ์

               “เธอเลือกที่จะไม่ให้ความร่วมมือกับชั้นเอง..ทีนี้ชั้นก็จะไม่ให้ความร่วมมือกับเธอบ้าง” เจด้าไม่แม้แต่จะแลสายตากลับมา “ตอนนี้เธอก็คงต้องช่วยตนเองให้หลุดสถานการณ์นี้ไปเอง”

               “ขอให้เธอมีความสุขกับชีวิตต่อจากนี้ล่ะนะ..ถ้าเธอจะโกรธแค้นชั้น ก็กล่าวโทษตนเองก่อนเถอะ..เธอเป็นคนที่เลือกเส้นทางนี้เอง” หญิงสาวผมแดงกล่าวทิ้งท้ายและเดินจากไป

               โรสรีนที่ถูกทอดทิ้งถึงกับน้ำตาไหลรินอาบแก้ม เมื่อตัวเธอรู้ว่าไม่อาจมีใครมาช่วยเธอในสถานการณ์นี้อีกแล้ว จิตใจเธอจึงยอมแพ้ต่ออำนาจของฤทธิ์ยาที่ถูกฉีดเข้ามา

               สติและจิตใจที่อ่อนกำลังจนไม่อาจจะต้านทางฤทธิ์ยานั้นได้อีกต่อไป อารมณ์ที่ถูกเสริมฤทธิ์ยาจึงพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง กระทำสิ่งอันน่าอับอายลงไปพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาด้วยความสุขปนไปกับความทุกข์

 

               ผ่านไปนานหลายชั่วโมง เมื่ออาเนสเธเซียเสร็จสิ้นภารกิจ เธอได้ก้าวเดินออกมาจากพื้นที่ของท่าเรือร้างด้วยความนิ่งเฉย โดยในขณะนี้มือข้างขวาของเธอได้ถือสมาร์ทโฟนแนบไปที่ใบหู และคุยกับบางคนที่ปลายสาย

               “พรุ่งนี้ส่งเจ้าหน้าที่มาตรงพิกัดที่ชั้นให้ไปด้วยล่ะ..”

               “เอ่อ..แล้วก็ตรวจสอบพวกตู้คอนเทนเนอร์ด้วยนะ เจ้าพวกนั้นแอบซ่อนยาไว้อยู่แถวนั้นแหละ”

               “อ่อ..ใช่ ในกล่องมันจะมีสารแปลกๆอยู่ด้วย เอาไปให้หน่วยตรวจสอบสารด้วยล่ะ..น่าจะเป็นสารกระตุ้นรูปแบบใหม่”

               “พวกนั้นน่ะเหรอ..มันตายกันหมดแล้วล่ะ พวกมันทะเลาะกันเองน่ะซี่..”

               “ชั้นไม่ได้ไปลงมือเอง จริงๆ..โถ่ ไม่เชื่อใจกันอีก หัวหน้ากำชับชั้นแล้วค่าาา”

               “เออ..คือมันเกิดระเบิดขึ้นอ่ะนะ ก็ศพไม่สวยล่ะนะ”

               “ชั้นก็รอดสิย่ะ..ไม่งั้นใครจะมาโทรหาเธอกันล่ะ” เมื่อเธอเดินมาได้สักพักนึง เธอกลับรู้สึกถึงสายตาที่กำลังจ้องมองเธออยู่ในความมืด เวลาผ่อนคลายของเธอจึงได้จบลง

               “ชั้นขอวางสายก่อนนะ..รู้สึกชั้นจะคิดผิดที่พวกมันตายไปกันหมด อ่อ..เค บาย” เธอเก็บสมาร์ทโฟนลงในกระเป๋าเสื้อโค้ต แล้วมองศัตรูในความมืดด้วยหางตา แล้วจึงเอ่ยออกมา “พวกแกต้องการอะไร..”

               “เธอก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจนี่..แม่หน้าสวย” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา ก่อนจะเดินออกมาจากเงามืด

               เจด้าไม่ตอบโต้ด้วยวาจาใดๆ เธอปัดปอยผมของเธอออกเผยให้เห็นส่วนของใบหน้าที่อัปลักษณ์ของเธอ แล้วจึงยิ้มที่มุมปาก

               “อูย..เอาเป็นว่าหน้าเกือบสวยแล้วกัน” เมื่อชายผู้นี้เอ่ยจบ ก็ได้แสดงสัญญาณมือบางอย่าง อาเนสเธเซียที่เห็นแล้วเบิกตากว้าง แต่ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไรก็ได้ถูกแขนท่อนใหญ่คู่หนึ่งรวบระหว่างแขนเอาไว้แล้วล็อคไม่ให้เคลื่อนที่ไปไหน แล้วเธอจึงถูกยกให้ลอยขึ้น

               “เฮ้ย! ปล่อยนะโว้ย!” หญิงสาวพยายามดิ้นขัดขืนการจับกุม แต่ด้วยกำลังของผู้หญิงคนเดียวก็น้อยเกินกว่าจะขัดขืนชายร่างใหญ่เบื้องหลังได้ เธอจึงใช้ศอกและหลังศีรษะกระแทกเข้าที่ร่างบึกบึนของชายข้างหลัง แต่ไม่เป็นผลใด กลับแต่จะสร้างความรำคาญให้กับชายผู้นี้เท่านั้น

               “น่ารำคาญโว้ย!!!” ชายร่างใหญ่กระแทกหน้าผากเข้าบริเวณกลางศีรษะของตำรวจสาว จนแรงกระแทกนั้นทำให้เธอนิ่งไปในทันที “อยู่นิ่งๆไป!!!”

               เมื่อตำรวจสาวสงบลง ชายที่ให้สัญญาณก่อนหน้านี้จึงเดินเข้ามาและใช้ฝ่ามือยันให้คางของสตรีคนนี้ยกขึ้น เพื่อให้สายตาของทั้งคู่จ้องมองกันได้

               “เธอนี่มันตัวแสบจริงๆนะ..แม่ตำรวจ” ชายคนนี้ยิ้มด้วยท่าทางสะใจ ต่างจากอาเนสเธเซียที่มองชายคนนี้ด้วยสายตาเรียบนิ่ง

               “แกบังอาจมากนะที่กล้ามาทำลายโกดังใหญ่ของลูกพี่..แล้วยังมาฆ่าเจ้าพวกมดปลวกนั่นอีก”

               “ข้าล่ะโมโหแทนลูกพี่ซะจริง..”

               “งั้นเหรอ..เสียใจด้วยนะ” เธอพูดด้วยร้ำเสียงเรียบนิ่ง ในขณะที่ศีรษะของเธอมีเลือดไหลรินลงมา “จะให้ชั้นทำอะไรไถ่โทษเจ้าพวกนั้นล่ะ..ลากพวกแกลงนรกไปด้วยงั้นเหรอ”

               “อย่ามาปากดี..ดูสภาพของแกตอนนี้ด้วย” ทันใดนั้นกลุ่มคนจำนวนมากก็ได้เดินพ้นออกมาจากความมืด เผยให้เห็นอาวุธสงครามมากมายในมือของพวกมัน ซึ่งยิ่งทำให้เจด้าหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ได้ยากขึ้นไปอีก “ตกลงใครจะถูกลากนรกไปกันแน่..”

               “ใช่..ลูกพี่แกป่ะที่จะถูกลากลงนรกน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

               พั๊วะ!!! ฝ่ามือพุ่งเข้าใส่หน้าของหญิงสาวอย่างรุนแรง จนใบหน้าของเธอหันไปตามแรงตบนั้นทันที รอยแดงจึงปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของเธอ แต่เมื่อเธอหันกลับมากลับพบว่าเธอกำลังยิ้มที่มุมปาก

               “สามหาว!!! นี่แกยังไม่รู้หรือไงว่าแกกำลังพูดถึงใคร” ชายที่ตบหน้าเธอพูดออกมาด้วยท่าทีฉุนเฉียว เพราะคำพูดของเธอ

               “ชั้นกำลังพูดถึงไอขี้ขลาดที่เอาแต่ส่งพวกท้ายแถวมาสั่งเก็บชั้น..ไม่มีศักดิ์ศรีสักกะนิด” อาเนสเธเซียยังคงปากดีต่อไป ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ชายเบื้องหน้าโมโหมากขึ้นและลงมือกับหญิงสาวอีกครั้ง

               “หุบปากซะที..ยัยปากเสีย ถ้าแกเกิดพูดกับลูกพี่แบบนั้นอีกที” ชายคนนี้โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ซึ่งยิ่งทำให้เจด้ายิ่งชอบใจ “ชั้นจะ ชั้นจะ...”

               “จะอะไร..จะทำอะไรชั้น” หญิงสาวยังคงพูดยียวนต่อไป ก่อนจะล่อลวงให้ชายคนนี้เข้ามาต่อสู้กับเธอ “จะตบชั้นอีกรอบงั้นเหรอ..ไม่อายบ้างเหรอ ตบหน้าผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้น่ะ..แน่จริงก็ปล่อยชั้นแล้วมาตัวต่อตัวดิวะ”

               “ปล่อยมันลง..” ชายคนนี้หมดความอดทนลง เขาจึงสั่งอีกรอบ ทำให้ชายข้างหลังกระทำตาม

               เมื่อเธอหลุดพ้นจากการพันธนาการ เธอจึงคิดแผนหลบหนีจากสถานการณ์นี้ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร ชายเยื้องหน้าก็ยิ้มที่มุมปากและสั่งการผ่านสัญญาณมือ นั่นทำให้ชายร่างใหญ่ข้างหลังประสานมือทั้งสองเข้าด้วยกันและทุบลงที่หลังของตำรวจสาวอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ร่างบางร่วงลงในทันทีจากความรุนแรงของการโจมตีจากด้านหลัง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาทางปาก และคนทั้งหมดได้พุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่สาวอย่างหนักหน่วงอยู่หลายสิบนาที จนท้ายที่สุดจึงหยุดลงเพราะความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้น

               “ไอพวกน่าไม่อาย..ไม่ละอายใจบ้างเหรอไง” เธอด่าทอชายเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงที่ไร้กำลัง

               “คำว่า ‘ละอายใจ’ ไม่ได้อยู่ในพจนานุกรมของพวกเราล่ะนะ” ชายคนนี้กลับมาพูดยียวนอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะชักปืนพกจากในกระเป๋าตังค์ขึ้นมาถือบนมือ

               “ในเมื่อลูกพี่ไม่ได้สั่งว่าจะให้พายัยนี่กลับไปในสภาพเป็นหรือตาย..” เขาเลื่อนนิ้วไปสัมผัสที่ไกปืน ก่อนจะเล็งมันไปทางบริเวณหน้าท้องของเธอ “งั้นก็จับไปแบบปางตายก็แล้วกัน”

               เมื่อพูดจบ เขาก็ได้เลื่อนไกปืนมายังด้านหลัง เกิดเสียงปืนดังลั่นออกมา ตำรวจสาวจึงหลับตาลงทำใจยอมรับกับสิ่งที่ย่อมเป็นไป

               แต่เมื่อผ่านไปถึง 1 วินาทีกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเธอเลย หญิงสาวลืมตาขึ้นอีกครั้ง และได้พบว่ากระสุนที่น่าจะปลิดชีพเธอกลับถูกหยุดไว้กลางอากาศอย่างน่าพิศวง และนั่นยังทำให้กลุ่มคนที่ล้อมรอบเธอเกิดเหตุตื่นตระหนก

               “นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้น!!!” ชายผู้ถือปืนพกอยู่ในมือร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด และทันใดนั้นบางสิ่งพลันพุ่งเข้าสัมผัสที่ไหล่ของเขา ทำให้เขาหันขวับไปด้วยความตื่นกลัว

               ทันทีที่เขาหันกลับไปมองผู้ที่วางมือบนไหล่ของตน เขาถึงกับร้องเสียงหลง

               “นี่แกมันตัวบ้าอะไรกันว่ะเนี่ย! ..อ้อก!” สิ้นเสียงอุทาน เสียง กร้อบ ดังขึ้นที่คอของชายผู้นั้นทันใด ทุกคนที่เห็นคนในกลุ่มถูกสังหารรีบหันไปมองเป้าหมายด้วยสายตาเดียวกัน แต่กลับพบภาพอันไม่น่าอภิรมย์ อีกทั้งยังสยดสยองและน่าขยะแขยง

               สิ่งมีชีวิตที่สังหารชายเบื้องหน้า มีลักษณะส่วนบนเป็นคนและส่วนล่างเป็นงูเช่นเดียวกับลาเมียในเทพนิยายกรีกโรมันโบราณ แตกต่างกันตรงที่มันคล้ายกับถูกเนื้อหนังมนุษย์ที่เน่าเหม็นห่อหุ้มทั่วร่างเอาไว้ มันมีทั้งกลิ่นเลือดเหม็นคาวคละคลุ้ง น้ำเหลืองน้ำหนองต่างไหลออกมา และในทุกส่วนของร่างกายต่างมีดวงตาน้อยใหญ่กรอกไปมาอย่างไร้จุดหมาย จำนวนไม่ต่ำกว่า 50 ดวง

               อีกทั้งยังมีแขนของมันข้างหนึ่งที่ใหญ่กว่าปกติหลายเท่าจนอาจมีขนาดใหญ่พอๆกับร่างกายของมัน ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งกลับลีบจนคล้ายก้อนเนื้อส่วนเกินไม่มีผิด โดยบริเวณกลางลำตัวของมันมีปากขนาดใหญ่กำลังอ้าปาก แสดงให้เห็นถึงหัวใจสีแดงม่วงที่เน่าเละกำลังบีบตัวเป็นจังหวะอยู่ ทุกครั้งที่หัวใจดวงนี้บีบตัว โลหิตจะพลันไหลออกจากรูทั้งหมดบนร่างของมันทันที จนอาจเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตอันไม่น่าอภิรมย์โดยสิ้นเชิง

               “ไม่ต้องไปกลัวมัน..ยิงมันให้ตายก็พอ!!!” ทุกคนที่รวบรวมสติกลับมารีบหยิบจับอาวุธและกราดยิงสิ่งมีชีวิตตัวนี้ทันที แต่เมื่อกระสุนหลายนัดถูกยิงออกมา ร่างของมันกลับอันตรธานหายไป ทำให้กระสุนที่ยิงไปทั้งหมดนั้นจึงไร้ค่าและสูญเปล่าทันที

               “เสียกระสุนเปล่า..น่าหงุดหงิดชะมัด” ชายคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยท่าทางเบื่อหน่าย “เพราะแกคนเดียวเลย..เจ้าโง่”

               “ความผิดข้าที่ไหนกันเล่า..ความผิดเจ้าตัวบ้านั่นต่างหากที่จู่ๆก็หายตัวไป”

               “อย่ามาแก้ตัวไปหน่อยเลย..แค่ไม่อยากยอมรับผิดก็บอกมา”

               “ใช่ๆ ถ้านายไม่บอกยิงป่านนี้ เราก็คงจะยิงยัยนี่และเสร็จงานกันแล้ว”

               “แล้วมันใช่ความผิดของข้าที่ไหนกันเล่า..เจ้าพวกบื้อ!”

               “ใช่แล้ว..เขาไม่ผิดสักหน่อย”

               “อย่ามาหาพวกหน่อยเลยน่า..แค่นี้ก็ไม่ยอมรับความจริง”

               หลังจากนั้นกลุ่มๆนี้ กลับถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย และเกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นโดยไม่มีใครแม้จะสนใจอาเนสเธเซียแม้แต่น้อย นั่นทำให้เธอใช้โอกาสนี้เตรียมการวิ่งหลบหนี

               แต่เมื่อเธอได้หันศีรษะไปในทิศทางที่จะเตรียม สิ่งแรกที่ปรากฏต่อหน้าคือสิ่งมีชีวิตอันน่าขยะแขยงตนนั้น โดยมันยืนมองเธอตั้งแต่เวลาใดไม่มีผู้ใดทราบ ร่างกายของมันยังคงไม่เคลื่อนไหว แต่ดวงตาจำนวนมากของมันนั้นต่างออกไป เพราะมันยังคงกรอกตาไปมารอบกาย

               อาเนสเธเซียที่ได้เห็นสิ่งนั้นแสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังสามารถนำสติตนเองกลับมาได้ หญิงสาวรีบควบคุมลมหายใจให้คงที่ไม่ตื่นกลัวจนเกินไป

               ทันใดนั้นเอง อสูรกายตนนี้ได้ยกแขนที่ลีบเล็กพิกลพิการของมันขึ้นมา ชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังทะเลาะกัน

               “ ..จงสังหารกันด้วยบาปที่ข้ามอบให้เจ้า จงทลายความไว้ใจที่เจ้ามีให้หมดสิ้นไป จงชิงชังและรังเกียจต่อมิตรสหาย..” อสูรกายตนนั้นส่งเสียงออกจากส่วนหัว แม้ในส่วนนั้นจะไม่มีส่วนที่เป็นปากให้เห็นก็ตามที โดยปากที่กลางร่างของมันไม่ะขยับแม้แต่น้อย อาเนสเธเซียได้จ้องมองอสูรตนนั้น ไม่อาจละสายตาไปไหนได้ แผนการหลบหนีต้องหยุดชะงักไป เพราะเธอไม่สามารถคาดเดาการกระทำของอสูรเบื้องหน้าได้เลย “..จงถูกกัดกินจนถึงแก่นกลางแห่งวิญญาณด้วยบาปแห่งข้า..บาปแห่งความเกลียดชัง..”

               ทันที่เสียงอันหยาบกร้านนี้จบลง กลุ่มคนที่ทะเลาะกันอยู่ กลับกรีดร้องออกมา ดวงตาของพวกเขาได้เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงก่ำ เส้นเลือดบริเวณศีรษะปูดโปนขึ้นจนเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาต่างกู่คำราม และใช้อาวุธในมือเข้าโจมตีใส่มิตรสหายในทันที

               การสังหารหมู่เกิดขึ้นจากความคลุ้มคลั่งแห่งบาป มันดำเนินไปได้ไม่นาน กลุ่มคนเหล่านั้นก็ตายลงจนหมดในที่สุด เหลือเพียงชายคนหนึ่งเท่านั้นที่ยังคงมีชีวิต โดยหลังจากการสังหารจบลง เขาก็ได้สติกลับมา

               ใบหน้าของเขาหวาดผวากับสิ่งที่ตนกระทำ เขาไม่อาจรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหายของเขาได้ บุรุษผู้นี้หยิบปืนพกที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้น เข้าจ่อไปที่ศีรษะและเหนี่ยวไก ทลายกระโหลกและสมอง เป็นการปลิดชีพอย่างน่าอนาถในทันที

               หลังจากปีศาจตนนั้นใช้มนตร์ดำ สังหารเหล่ามือปืนอย่างโหดเหี้ยม ขากรรไกที่กลางร่างของมันได้เลื่อนลงจนสุด ทำให้ปากของมันถูกเปิดออก ก่อนจะบังเกิดแรงพายุรุนแรงเข้าพัดพาแอ่งโลหิตและกองศพของกลุ่มคนเบื้องหน้าเข้าไปในปากของมัน ซึ่งภายในมีหัวใจสีม่วงที่ใกล้หยุดเต้นกับเต็มที

               เมื่อกองศพและสายโลหิตถูกแรงลมที่สร้างขึ้นโดยอสูรตนนี้ พวกมันก็ได้เปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวสีแดงสด และพุ่งตามลมเข้าไปยังหัวใจดวงนั้น แล้วปากนั้นจึงเลื่อนปิดลงทันทีที่ของเหลวนั้นถูกดูดเข้ามาจนหมด

               อาเนสเธเซียยังคงมองไปที่มัน เธอนั้นสังเกตมาโดยตลอด จึงได้พบว่าดวงตาหลายคู่ของมันจ้องเขม็งมาที่เธออยู่ตลอดเวลา ทำให้การขยับตัวเพื่อหลบหนีนั้นเป็นการยาก เมื่อเบื้องหน้านั้นคืออสูรกายที่สามารถสังหารได้เธอด้วยมนตร์ดำไม่กี่บท

               แต่แล้วเธอต้องผงะ เมื่อปีศาจตนนี้ได้หันศีรษะมันมาที่เธอ มันได้เลื่อนแขนข้างที่ลีบของมันมาที่เบื้องหน้าของตำรวจสาว ก่อนจะหยุดนิ่ง ในสภาพท่าทางคล้ายการยื่นไปเพื่อจับมือ นั่นทำให้เจด้าต้องลังเลใจ เธอไม่อาจทราบได้ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นกับเธอ หากเธอจะยอมรับจับมือกับอสูรตนนี้ แต่หากเธอไม่ยอมรับ ผลลัพธ์นั้นสามารถรู้ได้ แม้ไม่ต้องญาณทิพย์ใด เพราะสิ่งนั้นคือความตายเป็นแน่แท้

               เธอลังเลอยู่นานพอสมควร เธอจึงได้เลือกสิ่งที่ดีกว่าผลลัพธ์อันน่าอนาถ มือของหญิงสาวเลื่อนอย่างเชื่องช้าไปที่ฝ่ามือที่เน่าเฟะ

               “จงยอมรับในนามแห่งข้า..จงยอมรับในบาปแห่งเจ้า”

               “..จงศรัทธาในตัวแห่งลอร์ดซัลโก้...”

               เพียงไม่กี่เซนติเมตร มือของทั้งสองจะแนบชิดสัมผัสกันโดยสมบูรณ์ แต่เพียงชั่วพริบตา โครงร่างมนุษย์ที่รีบผอมและสูงกว่า 15 ฟุต ปรากฏตัวขึ้นมาโดยพลัน ฝ่ามือสีขาวซีดไร้เล็บดั่งสวมใส่ถุงมืออยู่ ได้ผลักร่างสตรีออกจากจุดเดิมโดยไว

               ส่วนศีรษะที่เกรี้ยงเกราและขาดซีด ไร้ความมันวาว อีกทั้งยังไร้ใบหน้า ทั้งส่วนที่ควรจะเป็นเบ้าตา สันจมูก ปาก หรือกระทั่งใบหูที่ควรจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากลับเรียบเนียนไปทั้งศีรษะ

               สิ่งมีชีวิตที่น่าจะเป็นบุรุษเพศไร้ใบหน้า เลื่อนผายมือไปยังอสูรเบื้องหน้า ก่อนวงแหวนเวทย์สีแดงจะปรากฏขึ้น มันได้ปลดปล่อยเทนทาเคิลขนาดใหญ่สีนิลดำเข้าฟาดใส่ร่างของตัวตนแห่งความเกลียดชัง แต่มันกลับไหวตัวทันเสียก่อนที่จะถูกฟาดใส่

               ร่างของมันได้แหลกสลายเป็นเถ้าถ่านในทันใด หลังจากนั้นคำพูดทิ้งท้ายจึงบังเกิดขึ้นเป็นเสียงก้อง

               “หากเพลาหน้าคือวันนั้น บาปแห่งเจ้าจักถูกเอ่ยเป็นประจักษ์ด้วยวาจาพิพากษา และเจ้าต้องทุกข์ทรมานในวันนั้นเป็นแน่แท้ ..ปรปักษ์แห่งซัลโก้” และกลุ่มเถ้าถ่านนั้นจึงได้ถูกพัดพาไปพร้อมกับสายลมในที่สุด

               สตรีสาวล้มตัวลงกระแทกพื้น เธอหอบหายใจออกมาอย่างถี่รัว ด้วยความตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่พึ่งจะเกิดขึ้นกับตัวเธอไปได้ไม่นาน

               “เกือบไปแล้วมั้ยล่ะครับ..คุณอาเนสเธเซีย” สเลนเดอร์ปิดประตูเวทย์ลง เขาย่อตัวลงมาสนทนากับตำรวจหญิง พร้อมยื่นมือไป เจด้าเลื่อนจับและดึงร่างเธอขึ้นกลับมายืนได้ดังเดิม

               “เฮ้อ! ขอบใจนะ” อาเนสเธเซียลุกขึ้นมาด้วยสภาพเหนื่อยหอบ พร้อมกับบาดแผลเต็มร่างกายที่สุดจะสาหัส

               “ลองใช้สิ่งนี้สิครับ..” สเลนเดอร์แมนเลื่อนเทนทาเคิลจากแผ่นหลังของเขามาทางสตรีเบื้องหน้า เมื่อเทนทาเคิลได้เลื่อนมาอยู่ในระยะสายตา เธอจึงสามารถมองเห็นสิ่งที่เทนทาเคิลม้วนถือไว้อยู่ ..เข็มฉีดยาที่ภายในมีสารเหลวสีเขียวบรรจุอยู่ภายใน

               “เจ้านี่คืออะไร..” เธอใช้เสียงสูง ด้วยความประหลาดใจกับสิ่งเบื้องหน้า “ไม่ใช่สารเสพติดใช่มั้ย..”

               “มันไม่ใช่ยาเสพติดครับ..แต่เป็นสารเร่งการฟื้นฟูระดับสูงครับ” สเลนเดอร์แมนเอ่ยออกมา แม้ไม่มีการขยับขากรรไกรแต่อย่างใด จึงสรุปได้ว่าใบหน้าสีขาวนี้เป็นใบหน้าจริงของเขา ไม่ใช่ถุงผ้าคลุมหัวแต่อย่างใด

               “แล้วมี อ.ย. รึเปล่า” อาเนสเธเซียเอ่ยถามต่อ

               “เอ่อ..” สเลนเดอร์แมนที่ไม่รู้คำตอบ ยืนอ้ำอึ้งอยู่

               “ผลิตจากบริษัทที่ผ่านการตรวจสอบรูปแบบมาตรฐานหรือเปล่า..” เจด้ายังคงถามต่อไป โดยคู่สนทนายืนนิ่งเงียบไปแล้ว

               “เข็มฉีดยาผ่านการใช้งานมาหรือยัง”

               “ได้รับการตรวจสอบจาก มอก. หรือยัง”

               “เข็มได้รับการฆ่าเชื้อหรือเปล่า”

               “แล้วสารเหลวนี้มีสารเคมีอะไรบ้าง”

               และคำถามอีกมากมายพลันหลุดออกมาจากปากของเธอดั่งเขื่อนขนาดใหญ่ปริแตก หากสเลนดี้มีใบหน้า เขาคงมีสีหน้าบูดบึ้งเป็นแน่ บุรุษไร้หน้าจึงเลือกอันตรธานหายไป และวาร์ปกลับมาที่ด้านหลังของหญิงสาว เขาคว้าเข็มฉีดยานั้นและจิ้มไปยังต้นแขนของเธอแทบจะในทันที ทำให้คำถามต่างๆนานาได้หายไป

               บังเกิดเพียงเสียง จึก! และเสียงครางของหญิงสาวเบาๆ อาเนสเธเซียรีบปิดปากของตนทันใด ส่วนทางสเลนเดอร์แมนก็นิ่งเงียบไม่เอ่ยปากพูดสิ่งใด แม้คู่สนทนาจะเขินอายจนแทบเมินหน้าหนี แต่ด้วยความเคยชินกับเสียงคราง ที่เกิดจากการเดินผ่านห้องพักของคล็อกเวิร์คและทิกกิโทบี้ เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใหม่แต่อย่างใด

               “โห เร็วจริงๆด้วย” เธอรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเป็นการแก้เขิน “ว่าแต่ทำไมแผลที่ตาของชั้นถึงยังไม่หายล่ะ”

               “อืม..น่าสนใจดีครับ” สเลนเดอร์แมนแสดงท่าทีฉงน “เอาเป็นว่าผมจะรีบไปถามให้แล้วกัน..”

               “ไม่ต้องรีบร้อนหรอกน่า..สเลนดี้ ชั้นไม่คิดอะไรเกี่ยวกับมันอยู่แล้วล่ะ” เธออมยิ้มที่ได้เห็นความกระตือรือร้นของชายผู้เป็นมือแห่งมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า แต่เธอก็ได้นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นได้ เธอก้มตัวมองซ้ายแลขวาเพื่อหาบางสิ่งที่ตกอยู่บนพื้น แต่เธอกลับพบแต่ความว่างเปล่า “ไม่น้าาาา!!!”

               “เกิดอะไรขึ้นครับ” สเลนเดอร์แมนเลื่อนมือมาเกาศีรษะ เขางุนงงกับการคลำหาของสตรีเบื้องหน้า แม้จะดูน่าตลก แต่จากสายตาและสีหน้าของเธอบ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างแน่นอน

               “พิกกี้..พิกกี้ของชั้น หายไปแล้ว!” เธอตะโกนโวยวายออกมา แล้วร้องไห้ออกมาทันที “ต้องโดนเจ้าบ้านั่นดูดไปด้วยแหงๆ..บัดซบเอ้ยยย!!”

               “เอ่อ..ต้องถึงขั้นร้องไห้เลยเหรอครับ”

               “ก็แหงสิย่ะ..ชั้นสร้างพิกกี้ขึ้นมากับมือ เลี้ยงมันมาตั้งแต่ยังอายุน้อย”

               “กินข้าวด้วยกัน คุยด้วยกัน หัวเราะด้วยกัน นอนด้วยกัน ฝ่าอุปสรรคยามยากมาด้วยกันมานาน แล้วมันดันมาจากชั้นไปเพราะไอบ้าอัปลักษณ์ตัวเดียวเนี่ยนะ..ชั้นรับไม่ด้ายยยย!!!”

               เธอร้องไห้หนักมากจนสเลนดี้ต้องกุมขมับ เขาจึงจำใจยอมใช้วิธีสุดท้ายเพื่อให้เธอสงบปากสงบคำ ชายไร้หน้าใช้รยางค์เทนทาเคิลเข้าล้อมรอบลำคอของเธอ ส่วนปลายเทนทาเคิลได้เกิดแรงกด ทำให้ศีรษะของเธอต้องเบือนมาหาเจ้าของเทนทาเคิล

               ในวินาทีที่เธอหันไป เมื่อดวงตาของเธอได้มองไปยังใบหน้าอันว่างเปล่า ชายไร้หน้าจึงกล่าวดัวยเสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็น

               “..จงมองมาที่ข้า..”

               หนึ่งในพลังแห่งสเลนเดอร์แมนได้เผยออกมา มันส่งผลให้เมื่อทั้งสองสบตากัน ภาพที่เจด้าเคยมองเห็นเริ่มเปลี่ยนกลายเป็นภาพซ่าของจอโทรทัศน์ที่ถูกรบกวนคลื่นสัญญาณ เสียงที่เธอได้ยินปนเปไปกับเสียงหวีดร้องดังยาวอย่างไม่น่าเชื่อ จนเมื่อถึงจุดๆหนึ่งที่มันสูงเกินขั้นวิกฤติ สติของเธอก็ได้ถูกปิดลงเป็นการหมดสติในทันที

               “เห้อ!..แล้วจะปลุกเธอยังไงล่ะนี่” สเลนเดอร์พึมพำกับตนเอง เขาใช้แขนที่ลีบยาวโอบร่างของเธอไม่ให้ล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้น ส่วนเทนทาเคิลที่เคยปรากฏให้เห็นกลับสลายหายไปในชั่วพริบตา

               เมื่อจัดระเบียบเสร็จ ชายไร้หน้าจึงได้นำร่างของตนและสตรีที่หมดสติกลับไปยังสถานที่อันเป็นศูนย์รวมแห่งเหล่าครีปปี้พาสต้าด้วยการเทเลพอร์ตตัวเองกลับไปในชั่วพริบตา

 

               ณ ร้านพิซซ่าเก่าแห่งหนึ่ง จากสภาพภายนอกนั้นไม่อาจบ่งบอกได้ว่า ณ ที่แห่งนี้มีความเก่าแก่ถึงเพียงใด แต่หากมองจากสภาพภายในจึงจะทราบได้ว่าสถานที่แห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างไว้นานกว่าสิบปี

               แต่กลับเป็นเรื่องน่าแปลก เพราะ ณ ที่แห่งนี้กลับมีร่องรอยของคราบเลือด แม้ว่ากลิ่นจะสลายหายไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม

               ภายในสถานที่แห่งนี้ ด้วยความเก่าแก่ของมัน ทำให้มีคราบฝุ่นมากมาย รวมไปถึงใยแมงมุมที่เกาะตามผนังกำแพงอยู่หลายจุด ซึ่งเป็นแบบเดียวกันนี้ทุกห้อง เว้นแต่ห้องนึง

               ห้องที่แตกต่างไปจากปกติ เหตุเพราะมีแสงไฟสีสันโผล่ออกมาจากบานประตูที่ปิดไม่สนิท ภายในเป็นโถงขนาดกลางที่มีโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกจัดเรียงเก็บอย่างมีระเบียบเรียงรายอยู่ทั่ว ด้านในสุดเป็นเวทีขนาดเล็กที่มีหุ่นโครงสร้างร่างมนุษย์ยืนก้มหน้าอย่างไร้ชีวิตบนเวทีนั้น

               โดยหุ่นมนุษย์ทั้งแปดตนนี้ไม่มีทีท่าจะขยับแต่อย่างใด แต่ทันใดนั้นแสงสีสันพลันดับลง พร้อมปรากฏแสงสีขาวเจิดจ้ามาแทนที่ เผยให้เห็นเงามืดของชายผู้หนึ่งกำลังยืนมองเหล่าหุ่นมนุษย์อันเป็นมาสคอตประจำร้าน

               ชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหุ่นเหล่านั้นแสยะยิ้มออกมา เขาหันกลับไปหยิบวัตถุประหลาดโปร่งแสงขึ้นมา ภายในบรรจุดวงไฟสีฟ้าอมเขียว เขาคนนั้นใช้เวลามองอยู่พักนึงก่อนจะเขวี้ยงวัตถุนี้ลงสู่พื้นอย่างแรงจนแตกดัง เพล้ง!

               ดวงไฟภายในดวงแก้วพลันพวยพุ่งออกมา มันเคลื่อนไหวซ้ายขวาคล้ายเด็กที่กำลังสับสนหลังจากการพบกับบรรยากาศนอกประตูบ้านเป็นครั้งแรก แต่แล้วเมื่อพวกมันได้หันไปทางหุ่นร่างมนุษย์ไร้ชีวิต พวกมันพลันรีบพุ่งเข้าไปที่ร่างของหุ่นเหล่านั้น โดยมันได้พุ่งทะลุเข้าไปภายในร่างของหุ่นทันที

               เมื่อดวงวิญญาณที่กระจัดกระจายได้เข้าหาร่างสิงสถิตแล้ว ภายในปากและดวงตาของหุ่นเหล่านั้นได้เปล่งแสงเป็นสีสันตามสีดั้งเดิมของดวงวิญญาณ แล้วทั้งหมดจึงกรีดร้องออกมาด้วยเสียงทุ้มต่ำลากยาว

               “ฮ่าฮ่าฮ่า..” ชายผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเหล่าหุ่นได้หัวเราะดังลั่น สิ่งที่เขาได้สร้างทำให้เขาพึงพอใจกับมันมาก

               “ตอนนี้เป็นฤกษ์ยามการชำระแค้นเจ้าพวกเด็กเวรพวกนั้นแล้ว” ชายผู้นี้ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปใกล้หุ่นบนเวทีสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายกับเวทีที่โรงมหรสพเพียงแต่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง

               ในจุดนั้นทำให้แสงที่สาดส่องลงมาเข้ากระทบกับร่างของมัน เผยส่วนศีรษะที่เป็นสีทองหมองอมเขียวเข้ม รวมถึงมีหูกระต่ายโลหะประดับอยู่เหนือศีรษะ แต่หูกระต่ายข้างที่ไม่ได้ชูชันขึ้น ได้รับความเสียหายจนเห็นวงจรไฟฟ้าภายใน ในส่วนของร่างกายของเขา มีเสื้อสีทองขาดวิ่นสวมทับเสื้อเชิ้ร์ตสีเหลืองที่อยู่ภายใน เนกไทสีดำฝุ่นจับแข็งทื่อ ฝ่ามือถูกกำบังด้วยถุงมือผ้าสีเหลือง กางเกงสีเดียวกับเสื้อคลุมด้านนอกมีรอยไหม้ส่วนปลายและมีรูโหว่ในบางส่วน เขม่าควันกำมะถันเข้าจับรองเท้าหนังสีดำจนด้านและสกปรก

               มนุษย์บุรุษเพศเปิดตา ทั้งรอยยิ้มอันน่าสยดสยองจากปากที่มีริมฝีปากฉีกขาด แต่ยังคงมีกล้ามเนื้อพังพืดเพียงเล็กน้อยบริเวณกึ่งกลางรอยฉีก ยึดไม่ให้ขากรรไกรทั้งสองแยกออกจากกัน เยื่อหุ้มลูกตาสีขาวอันถูกเรียกอย่างเคยชินว่าตาขาว หากเป็นมนุษย์คงเป็นสีขาวตามปกติ แต่ชายผู้นี้กลับมีเยื้อหุ้มลูกตาสีดำเงาแทน ส่วนม่านตาอันถูกเรียกอย่างเคยชินว่าตาดำ ม่านตาของมันมีสีแดงก่ำเป็นวงแหวนโดยมีรูม่านตาสีดำเมี่ยมเป็นจุดกึ่งกลางและเป็นริ้วขาดแหว่ง

               “จงตื่นขึ้นมา..เหล่าแฟนท่อมและไนแมร์อนิเมทรอนิกส์ทั้งหลาย”

               “ความเคียดแค้นของพวกเจ้า..จงแสดงให้มันได้เห็นซะ”

               เมื่อชายหูกระต่ายผู้เคียดแค้นได้เอ่ยจนจบ เหล่าอนิเมทรอนิกส์ข้างกายจึงเงยหน้าขึ้นมาทุกตัว เผยให้เห็นดวงตาเรืองแสงหลากสีสัน

               “เจ้าพวกเด็กงี่เง่าบังอาจขังวิญญาณของชั้นไว้ในหุ่นสปริงแท็บปัญญาอ่อนนี่”

               “คอยดูไว้นะโฟนนี่..ชั้นจะฆ่าเด็กเวรพวกนี้ให้ตายจนหมด” เสียงหัวเราะดังออกมาจากบุรุษผู้นี้อย่างบ้าคลั่ง “และการสังหารหมู่จะกลับมาอีกครั้ง”

 

               ภายในห้องระหว่างชั้นอันเป็นเส้นทางของเส้นทางหนีไฟในท่าเรือร้างแห่งนี้ หญิงสาวผมยาวสีทองนอนหอบหายใจที่พื้น

               เธอหายใจรวยริน โดยมีเสียงหายใจที่ออกมานั้นปะปนไปกับเสียงสะอื้นไห้และเสียงคราง

               ปลายนิ้วของเธอยังคงเคลื่อนที่แม้ร่างกายจะไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าของเธอแดงก่ำและเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ

               หลังจากที่ตำรวจสาวได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้แล้ว 2 ชั่วโมง หญิงสาวผู้ถูกทรมานด้วยฤทธิ์ยาชนิดหนึ่ง ทำให้ต้องทุกข์ทรมานกับความอยากในกามอันไม่สิ้นสุด

               แม้น้ำตาจะรินไหลมานานแล้ว แต่เธอยังคงสร้างความหวังลมแล้งไว้ว่าเพื่อนของเธอยังคงเหลือรอดและจะมาช่วยเธอกลับไป ความหวังในสถานการณ์เช่นนี้ หากไม่มีปาฏิหารย์เปลี่ยนความหวังนี้ให้กลายเป็นจริง สุดท้ายความหวังนั้นจะกัดกินสภาพจิตใจจนสิ้นหวังไปในที่สุด

               หญิงสาวผู้สิ้นหวังร้องไห้ออกมาอีกครั้ง หลังจากที่เธอได้ร่ำร้องออกมาหลายสิบรอบแล้ว

               ‘เราไม่ควรหนีออกจากบ้านเลย..’

               ‘เราไม่ควรตะคอกพ่อกับแม่อย่างนั้นเลย’

               ‘เราไม่น่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย’

               เธอกลั่นความคิดในใจออกมาอีกมากมาย แต่แม้ว่าเธอจะคิดย้อนกลับไปเพียงใด เวลาก็ไม่แม้จะคืนกลับมา

               ณ เวลาที่ไร้ซึ่งสิ่งยึดเหนี่ยวเช่นนี้ เธอหันมองไปยังบนเพดาน นึกถึงผู้ที่สูงส่งกว่าผู้ใด

               “ฮึกๆๆ ในตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้ว” เธอสะอื้นไห้ และพูดด้วยเสียงอ่อนแรง “หากพระองค์ทรงได้ยินหรือรับฟังคำพูดของฉัน”

               “ได้โปรด..ช่วยเหลือชั้นด้วย ชั้นสัญญาว่าจะกลับมาเป็นคนดีอีกครั้ง”

               “ได้โปรดเถอะค่ะ..โปรดรับฟังฉันด้วยค่ะ”

               แม้เธอจะเอ่ยออกมาจากใจของเธอแล้ว แต่กลับไร้เสียงตอบรับ ไม่เกิดสิ่งใดขึ้นมาเบื้องหน้าเธอแต่อย่างใด ปาฏิหารย์นั้นไม่เคยมีจริง

               เธอหลับตาลง พร้อมกับความสิ้นหวัง และปล่อยอารมณ์ไปกับฤทธิ์ยานั้นต่อไป ก่อนจะหมดสติไปเพราะความอ่อนล้า

               ทันทีที่เธอหมดสติไป แสงสีชมพูสว่างพลันปรากฏขึ้นในบัดดลแล้วหายไป ปรากฏชายสูงอายุไว้หนวดเครามากพอสมควร เขาสวมเสื้อคอกลมสีขาว กางเกงขาสั้นสีดำและรองเท้าแตะ ในมือถือแก้วกาแฟที่สลักรูปโดนัทที่ถูกลูกศรปักอยู่ มืออีกข้างถือโดนัทช็อคโกแลต

               เขามองลงไปยังหญิงสาว แม้เธอจะงดงามกว่าสตรีหลายๆคน และอยู่ในสภาพอันน่าอายเช่นนี้ แต่สายตาของชายชรากลับมองที่เธออย่างเวทนาปนกับความงังเงีย เขาเลื่อนโดนัทขึ้นมากัดคำหนึ่ง ก่อนจะตามด้วยการดื่มกาแฟ

               “ทำไมต้องมาขอพรจากชั้น..ตอนกำลังหลับอยู่ด้วยล่ะ” ชายชราอ้าปากหาว ก่อนจะกัดโดนัทไปอีกคำ

               “ไม่เป็นไร..ช่างมัน เอาเป็นว่า...” ชายชราโยนแก้วและโดนัทขึ้นเหนือศีรษะ แล้วพวกมันก็ได้อันตรธานหายไป “ชั้นจะยอมให้ในสิ่งที่เธอร้องขอ..แต่การที่เธอเลือกเส้นทางที่ผิด แล้วพึ่งคิดได้ในตอนนี้..เธอก็ได้ก้าวผ่านเส้นตายของการให้อภัยแล้ว”

               “ดังนั้นหากเธอสำนึกผิดได้ด้วยตัวเองล่ะก็ คงจะดีซะกว่า ฉะนั้น..”

               “..จงยอมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเธอในยามต่อไป ชั้นจะมอบชีวิตใหม่ให้แก่เธอ”

               “..ด้วยรูปลักษณ์และชีวิตใหม่ อุปสรรคและปัญหามากมายอาจจะทำให้เธอไขว้เขวหรือสิ้นหวัง นี่เป็นเพียงบททดสอบ”

               "หากเธอสามารถผ่านบททดสอบนี้ไปได้ ชั้นจะมอบเส้นทางที่ทอดยาวอยู่ในอนาคตจะโรยไปด้วยบุปผาแห่งความสุข"

               ชายชราผายมือไปเบื้องหน้า ปรากฏประตูมิติทรงรีสีชมพูขึ้นเหนือร่างของหญิงสาวผมบลอนด์ ไอควันไหลทะลักออกมาจากมัน

               ทันใดนั้นร่างกายของเธอพลันเปล่งแสงสีชมพู พร้อมกับแสงไอควันสีชมพูพุ่งไหลม้วนรอบร่างของเธอ ก่อนจะพุ่งทะลุเข้าร่างของเธอไป นั่นทำให้ความสว่างในห้องได้หมดลงอีกครั้ง

               ความมืดที่ถูกสร้างขึ้นมา เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ร่างของชายชราเริ่มจางลง

               “ธิดาแห่งลิลิธอีกคนอย่างนั้นรึ..อืม เมล็ดพันธุ์แห่งตัณหานี่ช่างแพร่กระจายเร็วเสียเหลือเกินนะ” ชายชราเอ่ยจบ ร่างของเขาพลันสลายหายไป

The Anesthesia

( Jeda Madison Rodriquez ) Age : 28

ที่มา : https://orig00.deviantart.net/19af/f/2015/136/9/b/hd_commission__2__anesthesia_by_amini101-d8tmw6j.jpg

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา