Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.42K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

22) 4 Corners (Assemble II)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          คำแนะนำ สำหรับตอนนี้จะมีความยาวมากกว่าเกณฑ์ของตอนทั่วไปมาก และเนื้อเรื่องถูกแบ่งออกเป็นส่วนทั้งหมด 4 ส่วนที่มีเนื้อหาเชื่อมโยงกันน้อยมาก ดังนั้นผู้อ่านสามารถอ่านส่วนแรกจนจบ สามารถเว้นว่าง แล้วมาอ่านต่อได้ในภายหลัง โดยไรต์ได้ใช้วิธีการเว้นย่อหน้าให้ใหญ่พิเศษ เพื่อจะได้สังเกตง่ายขึ้น

          ภายใต้กองซากปรักหักพังจากการระเบิดที่ไม่ทราบสาเหตุของตึกควบคุมการขนส่งสินค้าส่วนกลางของท่าเรือร้าง
          พื้นที่บริเวณนั้นถูกทำลาย เหลือไว้เพียงซากปรักหักพังและร่องรอยของไฟไหม้ ศพของผู้เสียชีวิตที่ถูกสันนิษฐานว่าเป็นกลุ่มผู้ค้าสารเสพติดรายใหญ่ ได้ถูกระเบิดทิ้งไปพร้อมกับตัวตึกชั้นล่าง แรงระเบิดมีความรุนแรงเพียงพอที่จะทำลายพื้นเหล็กหนาของตึกชั้นที่สาม อีกทั้งแท่งเหล็กจำนวนมากที่วางไว้อยู่บนชั้นนี้ได้ร่วงหล่นลงไปทำลายตึกชั้นที่หนึ่งจนเสียหายอย่างหนัก
          แต่แรงระเบิดที่เกิดขึ้นมา กลับไม่เพียงพอที่จะทำลายบันไดทางหนีไฟที่สร้างขึ้นมาจากคอนกรีตหนา 5 นิ้วและประตูโลหะหนา 3 นิ้ว แม้แต่แรงระเบิด C4 ที่อยู่ใกล้ที่สุด กลับทำได้เพียงทำลายเนื้อคอนกรีตไปบางส่วน ส่วนประตูโลหะเกิดการบุบเสียหายพอสมควร แต่นั่นก็เป็นเพียงผิวโลหะ 1 นิ้วแรกเท่านั้น ส่วนอื่นๆก็ยังคงสมบูรณ์ปกติ

          หญิงสาวนางหนึ่ง เธอได้ถูกกักขังไว้หลังประตูหนีไฟมานานหลายชั่วโมง ร่างกายนอนจมกองของเหลวประหลาดที่ยังคงไม่แห้งและทิ้งร่องรอยไว้บนพื้น ผิวหนังของเธอเผียกชุ่มไปด้วยคราบเหงื่อ ใบหน้าที่เธอแสดงออกมา มีทั้งความทุกข์และความสุขปะปนอยู่ด้วยกันอย่างขัดแย้ง บริเวณหางตาปรากฏคราบน้ำตาอยู่บ้าง มือข้างซ้ายถูกวางอยู่บริเวณหน้าท้อง ส่วนมือข้างขวาอยู่ภายในกระโปรง เสื้อผ้าและกางเกงของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ น้ำตา และของเหลวอื่นที่ถูกผลิตขึ้นจากภายในร่างกาย
          เนื่องด้วยเวลาที่ผ่านพ้นมากว่า 6 ชั่วโมงหลังจากเหตุการณ์ระเบิดปริศนา แสงตะวันจึงเริ่มปรากฏขึ้น มันสาดส่องผ่านช่องกระจกที่แตกร้าวของบานประตูโลหะ แสงอ่อนของดวงตะวันได้พุ่งเข้าไปที่เปลือกตาของหญิงสาว สร้างการตอบสนองและปลุกเธอให้ตื่นขึ้นจากภวังค์แห่งการหลับใหล เธอลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างเชื่องช้า พลางใช้มือเช็ดคราบน้ำตาบริเวณหางตาและแก้มออก หญิงสาวยันร่างกายท่อนบนให้ขึ้นมานั่ง แล้วจึงพบว่าเสื้อผ้าที่เธอใส่นั้นเปียกชุ่มไปหมด
          เธอพยายามจะลุกขึ้นยืนเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ แต่เมื่อขาทั้งสองยืดตรง มันกลับอ่อนแรงและทำให้เธอล้มลงก้นกระแทกพื้น หญิงสาวร้องโอดโอยออกมา เธอตระหนักได้ในทันทีว่าขาที่อ่อนแรงนั้นเกิดจากกิจกรรมที่หญิงสาวได้ทำไปเกือบ 4 ชั่วโมง มันจึงส่งผลอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน และนอกจากมันจะทำให้เธอไร้เรี่ยวแรงที่ท่อนล่างแล้ว เธอกลับพบว่าฤทธิ์ยายังคงแสดงผลอยู่ ทั้งที่มันควรจะหมดฤทธิ์ไปตั้งแต่ 2 ชั่วโมงก่อนแล้ว แต่โชคดีที่มันทำได้เพียงออกฤทธิ์อย่างเบาบางเท่านั้น
          เธอเลื่อนมือไปจับราวบันไดเพื่อยันตัวขึ้นมายืน จิตใจที่บอบช้ำของเธอรู้สึกเวทนาตัวเองเหลือจะทน เธออับอายในสภาพปัจจุบัน และเธอก็อยากจะหลุดพ้นจากสภาพนี้เต็มทน แต่ด้วยความรู้สึกผิดต่อพ่อแม่ เธอเลือกจะกลับไปหาพวกท่านและขอโทษพวกท่านสำหรับทุกสิ่งที่ทำได้ทำลงไป
          เมื่อคิดได้เช่นนั้น เธอเบนหน้าไปทางประตูโลหะ แต่แล้วแสงอาทิตย์อ่อนที่พุ่งเข้ามา กลับเจิดจ้าขึ้นกระทันหัน เธอต้องเลื่อนมือมาปิดป้องเอาไว้ พร้อมปิดดวงตาคู่นี้ลงในทันที เมื่อดวงตาพอปรับแสงได้แล้ว เธอจึงเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอได้เห็นภาพบางอย่างที่ตัวเธอไม่อาจเชื่อในสายตาตัวเองได้
          รอบกายเธอเป็นสถานที่ที่คล้ายกับนรกตามนิยามที่เธอเข้าใจ แต่ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือเธอเห็นตัวเธอเองอีกคนหนึ่งล่องลอยอยู่ห่างจากเธอเกือบ 10 เมตร โดยเธออีกคนนี้สวมใส่เพียงเสื้อเกาะอกหนังสีดำ หน้าท้องขาวเนียนถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน มือทั้งสองสวมถุงมือหนังสีม่วงอมดำยาวตั้งแต่ปลายนิ้วจนถึงกึ่งกลางของต้นแขน โดยไม่คลุมนิ้วหัวแม่มือและนิ้วก้อย ส่วนล่างสวมใส่เพียงชั้นในสตรีหนังสีดำ รองเท้าส้นสูงหนังสีดำ กับถุงน่องหนังสีดำอมม่วงที่ยาวตั้งแต่ปลายเท้าถึงชั้นใน
          ร่างนี้มีผิวสีขาวอมชมพูนวล บริเวณศีรษะมีเขาที่คดม้วน ปลายเขาแหลมชี้ไปข้างหน้าคล้ายเขาของแพะภูเขา ปลายใบหูยาวแหลมเหมือนเอลฟ์ในเทพนิยาย ม่านตาของเธอมีสีม่วงแวววาวดุจพลอยอันเลอค่า และเธอยังมีหางปีศาจสีม่วงอมดำยาวกว่า 1 เมตร ปลายหางเป็นรูปหัวใจ ที่มุมแหลมของหัวใจอยู่ปลายสุดของหาง
          ใบหน้าของโรสรีนอีกคนนี้ มีใบหน้าที่งดงามกว่าตัวจริงมากและดูมีเสน่ห์และยั่วยวนอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน แต่โครงหน้าของโรสรีนก็ยังคงไว้อยู่ หน้าอกขนาดคัพ G และสะโพกที่ขนาดสมส่วนกับขนาดหน้าอก อีกจุดเด่นสำคัญบนร่างกายของเธอนั้นคือปีกค้างคาวขนาดใหญ่ที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหลัง พวกมันมีแผ่นปีกหนาสีม่วงอมดำและกล้ามเนื้อยึดแผ่นปีกสีดำ
          ร่างปีศาจของโรสรีนต่างมีบุรุษเพศมารุมล้อมอยู่หลายสิบคน อันเนื่องมาจากละอองสีชมพูปริศนาที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายเธอ แล้วภาพก็ได้ถูกเลื่อนไปยังหญิงสาวผู้มีร่างเป็นปีศาจอีกคน เธอคนนั้นค่อมร่างชายฉกรรจ์คนหนึ่ง พร้อมทั้งพลอตรักกันอย่างดุเดือด แต่เมื่อโรสรีนเพ่งสังเกตดีๆจึงได้พบกับความจริง

          หญิงสาวคนนั้นกำลังดูดพลังชีวิตของชายผู้ร่วมรัก และเมื่อถึงจุดสูงสุด เธอได้ลงจูบชายหนุ่มเป็นการดูดพลังชีวิตครั้งสุดท้าย เมื่อเธอเลื่อนริมฝีปากออก ร่างกายของเธอพลันเปล่งออร่าสีชมพู และชายหนุ่มผู้เป็นเหยื่อสูบผอมลงจนเหลือผิวหนังที่หุ้มกระดูกเอาไว้เท่านั้น เขาหอบหายใจอย่างไร้เรี่ยวแรงและหมดสติไปในที่สุด
          โรสรีนไม่ทราบแน่ชัดว่าสิ่งที่เธอเห็นต้องการสื่อถึงสิ่งใด เพราะภาพทั้งหมดนั้นได้ดำมืดลงเมื่อเธอปิดตาลง หลังจากเธอเปิดตาขึ้นอีกครั้ง ภาพที่เธอเห็นจึงกลับมาอยู่ที่ประตูทางหนีไฟเช่นเดิม
          ทุกคำถามที่เธอผุดขึ้นมาในหัวเธอ หลังจากได้เห็นนิมิตนั้นกลับถูกเฉลยจนหมดสิ้น โดยเธอเองก็ไม่อาจรู้ตัวเลยว่าสมองของเธอไปรับข้อมูลเหล่านี้จากไหน เพราะนอกจากเธอจะรู้ว่านิมิตนั้นได้บอกว่าร่างเธอในนิมิตเป็นแซคคิวบัส ที่มีพลังเวทย์มนตร์ และจะต้องดูดพลังชีวิตของชายที่ทำการร่วมรักกับเธอ เพื่อใช้เสริมพลังเวทย์ แต่เธอก็ยังคงไม่อาจเข้าใจได้ว่านิมิตนี้เกิดขึ้นมาเพื่ออะไร ดังนั้นเธอเลือกจะไม่สนใจมันแล้วจึงได้เลื่อนมือไปจับผนัง เพื่อประคองร่างตนเองและออกจากที่นี่ให้ได้

          ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง โรสรีนจึงสามารถประคองร่างตนเองอย่างทุลักทุเลจนมาถึงพื้นดินชั้นล่างจนได้ เมื่อถึงพื้นที่ไร้ราวจับแล้ว เธอหันไปรอบตัวเพื่อหาสิ่งอำนวยความสะดวก แล้วสายตาของเธอก็กวาดไปพบกับท่อเหล็กยาวใกล้ตัวพอดี เธอหยิบมันมาช่วยยันร่างที่อ่อนล้าและเดินไปจนถึงหน้าทางออกได้ในที่สุด
          เป็นที่น่าประหลาดใจ ทั้งที่เป็นเวลาหกนาฬิกาเช่นนี้แล้ว เมืองที่ควรจะมีผู้คนเดินพลุกพล่านสัญจรไปมา แต่ไฉนวันนี้จึงไร้ผู้คน แต่สำหรับเธอมันกลับเป็นเรื่องดี เพราะจะได้ไม่ต้องมีคนมาเห็นเธอในสภาพน่าอายเช่นนี้
          เธอเลือกเดินออกไปโดยเร็ว แต่ทันทีที่ก้าวออกไป สายตาของเธอพลันไปสะดุดตากับบุรุษผู้หนึ่งที่ยืนมองอาคารควบคุมการขนส่งสินค้า เธอหยุดชะงักไประยะหนึ่งก่อนจะเริ่มเพ่งสังเกต
          ชายผู้นี้สวมใส่หน้ากากไม้ลวดลายประหลาด โดยบนหน้ากากนั้นมีเพียงช่องทางสำหรับการมองเห็นเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น นั่นคือ ช่องบริเวณดวงตาด้านขวา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำที่ปิดอย่างมิดชิดจนไม่เห็นสรีระหรือเนื้อหนังของเขาเลย ปลายของชายเสื้อนั้นยาวจนถึงข้อเท้า รวมไปถึงรองเท้าบู้ตหนังสีดำเงาและกางเกงขายาวสีดำ
          ด้วยความอยากรู้อยากเห็นของเธอ มันทำให้เธอลืมตัวจนมองชายปริศนานานเกินไป จนผู้ถูกมองเกิดรู้ตัวขึ้นมา เขาหันหน้ามาทางโรสรีนอย่างเชื่องช้า หน้ากากไม้หันมาคล้ายคลึงกับสายตาที่จ้องมองมาที่โรสรีนอย่างเย็นชา เขาได้เริ่มก้าวเท้าเดินมายังจุดที่เธอยืนอยู่ ในสถานการณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความกดดันและความหวาดกลัว ขาของเธออ่อนแรงไปในบัดดล ร่างเธอได้ล้มลงไปนั่งคุกเข่าก้มใบหน้าลง หญิงสาวไม่อาจเคลื่อนที่หรือมีความกล้าจะทำสิ่งใดได้เลย จนในที่สุดเมื่อบุรุษปริศนาได้เดินมาถึงตัว เธอจึงรวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมา ทำให้เธอได้รู้ว่าชายเบื้องหน้ามีร่างใหญ่ไหล่กว้าง สูงราว 2 เมตร
          บุรุษผู้นี้ได้เลื่อนมือไปหยิบบางอย่างจากในผ้าคลุม ด้วยท่าทางการหยิบจับที่คล้ายกับพวกมาเฟียในภาพยนตร์ เธอจึงเกิดความหวาดกลัว แสดงออกผ่านสีหน้าอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่เขาหยิบออกมากลับไม่ใช่ปืน แต่เป็นสมาร์ทโฟน เขาหยิบมันขึ้นมากดพิมพ์บางอย่าง เมื่อเสร็จสิ้นจึงมีเสียงออกมาจากเครื่อง
          "ผมคงไม่ทำให้คุณกลัวหรอกนะ..ใช่มั้ย?" เสียงแข็งทื่อดังออกมาจากสมาร์ทโฟน โรสรีนที่ได้ยินแล้วจึงพยักหน้าตอบรับ แต่ยังคงสงสัยว่าเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงไม่เอ่ยปากออกมา หรือเพราะเขาเป็นใบ้? หรือเพราะหน้ากากไม้? หรือเพราะเหตุอื่นใด? เธอที่มัวแต่สงสัยจึงลืมคิดไปว่าถ้าเธอยังช้าอยู่อาจมีคนมาเห็นเธอในสภาพหน้าอายได้ เธอจึงได้ใช้ท่อนเหล็กดันร่างขึ้น ก่อนจะโค้งให้บุรุษปริศนาและเริ่มเดินปลีกตัวออกไป
          "คุณจะรีบไปไหน.." เสียงแข็งทื่อดังขึ้นอีกครั้ง เธอจึงหยุดชะงักไป เธอคิดว่าชายคนนี้สังเกตเห็นเสื้อผ้าเธอและสภาพน่าอายนี้แล้วเสียอีก เธอจึงจะหันไปตอบ แต่กลับถูกขัดด้วยเสียงแปลงจากสมาร์ทโฟน
          "ไม่มีใครเดินผ่านในวันนี้หรอก.." เสียงเว้นช่วง บุรุษจึงพิมพ์ต่อแล้วกดออกเสียง "ไม่สิ..ต้องพูดว่าต่อจากนี้ไปต่างหาก"
          "หมายความว่ายังไงคะ!" โรสรีนอุทานอย่างตกใจ แม้คำพูดของชายเบื้องหน้าจะกำกวม แต่เธอก็พอเข้าใจ แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นล่ะ? "เกิดอะไรขึ้นคะ?"
          "เมื่อวันก่อน..คุณคงจะอยู่นอกเมืองสินะ"
          "เมื่อคืนมีการประกาศให้ประชาชนในเมืองทั้งหมดไปรวมตัวกันที่สนามบิน"
          "คนทั่วไปอาจไม่รู้ว่าทำไม..แต่ผมรู้เหตุผลนั้นดี" โรสรีนแสดงสีหน้าฉงน
          "คนที่ไปยังสนามบินจะถูกแยกไปยังอีกมิตินึง ต่างจากพวกเราที่ไม่ได้ไปที่นั่น จึงถูกขังอยู่ภายในมิตินี้"
          "บ้าน่า! แค่คิดจะทำก็เป็นไปไม่ได้แล้ว" โรสรีนโต้กลับไป "คุณกุเรื่องขึ้นมาให้ชั้นกลัวแน่ๆ เพราะยังไงถึงจะเป็นไปได้ แต่ในปัจจุบัน มนุษย์ก็ยังไม่มีความสามารถมากพอที่จะทำเรื่องแบบนั้น.."
          "ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องหลอกคุณ และใช่ ปัจจุบันมนุษย์ก็ยังขาดความสามารถ"
          "แต่ถ้าเกิดคนที่ทำเรื่องนี้ มันไม่ใช่มนุษย์ล่ะครับ" โรสรีนนิ่งชะงักไป ด้วยความตกใจ
          ‘เขาหมายความว่าอะไร? ใครจะทำได้อีกล่ะ? มนุษย์ต่างดาวงั้นเหรอ?’ เธอครุ่นคิดอยู่ในใจ และเริ่มจะเอ่ยพูดสิ่งที่เธอสงสัย แต่กลับถูกเสียงแปลงขัดเสียก่อน
          "ไม่ใช่ครับ..ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาว"
          "แล้วถ้าไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวแล้วจะเป็นใครไปได้อีกล่ะ นอกซะจาก.." ทันใดนั้นโรสรีนฉุกคิดถึงบุคคลคนหนึ่งที่เหนือกว่าทุกสิ่ง "หรือว่า..!?"
          "ไม่ครับ..ไม่ใช่พระเจ้า" ชายปริศนาเอ่ยตัดบทไป
          "อ้าวแล้วถ้าไม่ใช่พระเจ้า จะเป็นใครได้อีกล่ะ" โรสรีนที่หมดหนทางจึงถามกลับไป
          "บางอย่างที่อยู่เหนือกว่าสิ่งที่เหนือกว่าพระเจ้าอีกทีนึงยังไงล่ะครับ" หากคำพูดผ่านแอปของชายปริศนาเป็นจริงนั่นจะหมายความว่า มีสิ่งที่เหนือกว่าพระเจ้าอยู่ และสิ่งนั้นก็ยังมีบางสิ่งที่เหนือกว่าขึ้นไปอีก
          "ละ..ละ แล้วคุณรู้ได้ยังไงกัน" โรสรีนถามกลับไปโดยไม่คุมสติ “แถมยังรู้สิ่งที่ชั้นคิดอีก..”
          "ก็ผมเป็นผู้มีพลังพิเศษเหมือนกับคุณยังไงล่ะครับ..คุณโรสรีน" ข้อความจากชายหนุ่มได้เอ่ยชื่อของหญิงสาวไป แม้ว่าหญิงสาวผมเหลืองไม่ได้พลั้งปากบอกชื่อของตนเองกับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจยิ่งกว่าคือ ชายผู้นี้บอกว่าเธอเป็นผู้มีพลังวิเศษ
          "ชั้นเป็นคนธรรมดานะ..จะไปมีพลังวิเศษได้ยังไง" สาวผมเหลืองตอบปฏิเสธไป
          "แปลว่าตั้งแต่คุณตื่นขึ้นมา และเห็นนิมิตนั่นก็ไม่ได้เอะใจงั้นเหรอ" แอปของบุรุษปริศนาเอ่ยออกเสียง นั่นทำให้เธอยิ่งฉุกคิดและสงสัยในตัวของคนเบื้องหน้า
          "ถ้าอย่างนั้น.." บุรุษปริศนาก้าวมาใกล้กับโรสรีนในระยะห่างกันเพียงไม่ถึงครึ่งฟุต เขาเลื่อนมือไปจับบางอย่างที่อยู่ด้านหลังโรสรีน

          ทันทีที่มือนั้นสัมผัส ความรู้สึกจากส่วนที่ไม่ควรมีอยู่บนร่างกายมนุษย์กับส่งสัญญาณไปยังสมองของหญิงสาว เธอร้องครางออกมาก่อนที่ร่างกายจะหมดเรี่ยวแรงลง ทันทีที่ร่างของเธอร่วงลง อวัยวะอีกคู่นึงพลันเปิดการใช้งาน ด้วยความที่ส่วนๆนั้นใหญ่มาก นั่นจึงทำให้หญิงสาวรู้สึกถึงความผิดปกติได้ชัดเจนเป็นอย่างมาก ด้วยท่าทีของหญิงสาว บุรุษปริศนาจึงผละมือออกจางหางของเธอ
          เมื่อเธอหันกลับไปมองจึงพบว่าสิ่งที่บุรุษปริศนาจับอยู่นั้นเป็น 'หาง' ของเธอเอง ลักษณะของหางเป็นอันเดียวกันกับที่เธอเคยเห็นในนิมิต อีกทั้งนอกจากเธอจะเห็นหางแล้ว เธอยังได้เห็นบางสิ่งบางอย่างที่เกาะติดอยู่บนแผ่นหลังของเธอ
          ปีกค้างคาวคู่ใหญ่ถูกกางออกจนสุด ตั้งแต่โคนปีกจนถึงปลายปีกนั้นอาขมีความยาวมากถึงสองเมตรเลยทีเดียว
          เธอตกใจจนตาค้างไป แต่เมื่อเธอได้นึกย้อนกลับไปภายในนิมิตที่เธอได้เห็น เธอจึงได้พบว่านิมิตนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด เว้นแต่การบอกใบ้ถึงพลังพิเศษที่เธอได้รับมา
          “นี่ชั้นกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วเนี่ย..” เธอเอ่ยตัดพ้อออกมาด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสลด แต่แล้วมือที่สวมใส่ถุงมือหนังสีดำกลับปรากฏขึ้นมาในสายตาที่ก้มลงอย่างสลดใจ
          เธอหันขึ้นมองบุรุษปริศนาผู้ใส่หน้ากากไม้ มือของเขาได้ถูกยื่นมาที่หญิงสาว ใบหน้าน่าเศร้าของเธอได้มองไปที่มือ ก่อนจะมองขึ้นไปยังใบหน้าของเขา แต่ในคราวนี้เธอกลับได้เห็นใบหน้าที่ถูกไว้ภายใต้หน้ากากไม้
          ใบหน้าของชายหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเธอหรืออาจมากกว่าประมาณ 2 ถึง 3 ปี ชายหนุ่มยิ้มให้กับโรสรีนที่ทำหน้าเศร้าสร้อย ยิ้มอันอ่อนโยนทำเอาแซคคิวบัสน่าใหม่ต้องใจสั่น ใบหน้าของเธอแดงเล็กน้อย จนต้องเบนหน้าหนีสายตา แต่เธอก็เลื่อนมือไปจับมือของชายหนุ่ม
          เขาได้ดึงร่างของหญิงสาวขึ้นให้กลับมายืนดังเดิม เมื่อรู้ได้ว่าเธอยืนอย่างมั่นคงแล้ว ชายหนุ่มจึงเลื่อนหน้ากากขึ้นมาสวมดังเดิม แล้วจึงได้เลื่อนถอดเสื้อโค้ตสีดำออกมา เผยให้เห็นชุดสูทสีดำเงา พร้อมกับเสื้อสีขาวภายใน และเนคไทสีดำ

          ชายหนุ่มนำเสื้อโค้ตนั้นมาสวมให้กับหญิงสาว ป้องกันความหนาวเย็นและเพิ่มความมั่นใจให้กับหญิงสาวยิ่งขึ้น แต่เธอกลับรู้สึกประหลาดใจที่ชายที่พึ่งเจอหน้ากัน เหตุใดถึงต้องช่วยเหลือกันถึงเพียงนี้ เธอได้เพียงคิด แต่ริมฝีปากของเธอกลับได้เผยรอยยิ้มเล็กๆออกมาเล็กน้อย
          “เพราะเราต้องปกป้องกันและกัน..ผู้มีพลังพิเศษหรือ D-Borne อย่างพวกเราบางส่วนยังคงถูกกักขังเอาไว้ภายในมิตินี้” คำพูดของชายผู้สวมหน้ากากไม้ดังออกมาจากเครื่องแปลงเสียง
          “ผมมีหน้าที่ตามหาและช่วยเหลือพวกเขา” บุรุษในหน้ากากไม้เบนหน้ามาทางหญิงสาว           “เพราะถ้าผมไม่ไปช่วยพวกเขา..ก็จะไม่มีใครอื่นที่ช่วยเหลือพวกเขา”
          “ฉะนั้นแล้ว..” ชายหนุ่มหันร่างมา พลางยื่นมือมาทางโรสรีน “โปรดไว้ใจในตัวผมเถอะครับ”
          หญิงสาวแสดงสีหน้าอ้ำอึ้งระยะหนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าของเธอจะถูกแต้มด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เธอเลื่อนฮู้ดขึ้นมาสวม แล้วจึงเลื่อนมือไปสัมผัสฝ่ามือของชายหนุ่ม ชายปริศนาจึงเลื่อนนิ้วกลับมากุมฝ่ามือขนาดเล็กเอาไว้อย่างนุ่มนวล
          “ขอบคุณครับ..ที่คุณยอมไว้ใจผม” เสียงจากสมาร์ทโฟนดังขึ้น “ต่อจากนี้ผมจะพาคุณไปที่พักพิงของพวกเรา”
          เธอสะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าเธอแดงแสดงถึงอาการเขินอาย บุรุษในหน้ากากไม้เลื่อนมืออีกข้างมาลูบศีรษะของตน
          “ผมหมายถึงที่พักพิงของ D Borne น่ะครับ..คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มรีบแก้ต่างให้ตัวเอง “คุณจะได้ไปอาบน้ำตามความต้องการของคุณไงครับ”
          “คราบพวกนี้ยิ่งมีกลิ่นเฉพาะตัวเสียด้วย คราบของเหลวหลังจากสำเระ.. /ไม่! ไม่! ไม่!” หญิงสาวเข้าทุบร่างของชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง พลางทำเสียงดังกลบเกลื่อนเสียงจากสมาร์ทโฟนที่ดังขึ้น
          “นายใจร้ายเกินไปแล้ว..” หญิงสาวเบนหน้าขึ้นมองหน้ากากไม้ “มาดูความทรงจำของคนอื่นเนี่ย..”
          “เอ่อ..ขอโทษครับๆ ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ” ชายหนุ่มรีบกล่าวขอโทษทันที แต่แล้วเขาก็หยุดชะงักไป หญิงสาวที่ผิดสังเกตจึงมองไปที่ใบหน้าของชายหนุ่ม ภายใต้รูบนหน้ากากเผยให้เห็นดวงตาที่แลดูเป็นกังวล “ผมว่าพวกเรารีบออกจากที่นี่กันดีกว่า..”
          “คะ..ค่ะ” โรสรีนตอบกลับไป แล้วทั้งสองจึงเริ่มเดินไปตามทางเท้า แต่ไม่นานนักโรสรีนก็ล้มลงเนื่องจากท่อนขายังคงอ่อนแรง ชายหนุ่มหันมองไปที่หญิงสาวที่ล้มไป เขาเลื่อนมือที่ถือสมาร์ทโฟนอยู่ไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อเก็บโทรศัพท์ ก่อนจะย่อตัวลง พลางเลื่อนมืออีกข้าง เข้าสอดบริเวณต้นขา เพื่อยกร่างของเธอขึ้นมาอุ้มในท่าเจ้าหญิง เธอตกใจกับการกระทำของชายหนุ่มเล็กน้อย แต่ก็ไม่แสดงการขัดขืนเช่นกัน
          “เอ่อ..ขอบคุณค่ะ คุณ..” เธอกล่าวขอบคุณบุรุษหนุ่มที่เธอยังไม่ได้ทราบนามของเขา
          “เอชเตอร์..เอชเตอร์ วิกเซน” ชายหนุ่มเอ่ยชื่อตนเองออกมาทางคำพูด สร้างความประหลาดใจกับหญิงสาวเป็นอย่างมาก แต่ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร เอชเตอร์ได้เลื่อนมือไปหยิบสมาร์ทโฟน นั่นแสดงให้เห็นถึงพละกำลังของเขา จากการที่เขาสามารถอุ้มร่างของโรสรีนไว้ด้วยมือเดียวได้
          ชายหนุ่มเลื่อนกดไปที่สมาร์ทโฟน พลางเดินไปด้วยอย่างมั่นคง เมื่อเสร็จสิ้นเอชเตอร์ได้นำสมาร์ทโฟนไปให้กับหญิงสาว เธอมองไปในสมาร์ทโฟน เผยให้เห็นข้อความบนแอพพลิเคชั่น ‘โน้ต’ ในสมาร์ทโฟน
          ‘ตัวผมพูดด้วยตัวเองได้ไม่มากนัก..เพราะด้วยพลังผู้หยั่งรู้ของผม มันทำให้คำพูดของผมอาจส่งผลให้คนรอบข้างต้องตกอยู่ในอันตรายได้ ฉะนั้นผมเลยไม่ค่อยออกเสียงเสียเท่าไหร่ครับ’
          “ชั้นก็นึกว่าคุณเป็นพวกผู้ใช้โทรจิตเสียอีกนะ..” เอชเตอร์ส่ายหน้าไปมาเป็นการตอบว่าเขาไม่ใช่พวกโทรจิต
          “แล้วอันตรายที่ว่ามันคืออะไรกันล่ะ” หญิงสาวเอ่ยถาม ตามความสงสัยของตนเอง แต่เอชเตอร์กลับไม่ตอบใดๆ เว้นแต่การเลื่อนมือขึ้นมปัดหน้าสมาร์โฟนไปอีกหน้า ทำให้เผยคำตอบออกมา
          ‘เดี๋ยวเรื่องอื่นค่อยว่ากันหลังจากที่พวกเราถึงที่พักก็แล้วกันนะ’
          “ได้ค่ะ” เธอตอบกลับไปทันที แต่อีกใจนึงก็คิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
          ‘หวังว่าเราจะทำตัวเป็นประโยชน์กับเอชเตอร์และคนอื่นๆได้บ้างนะ’ เธอคิดพลางปิดการใช้งานของสมาร์ทโฟนและวางแนบบนหน้าท้อง ‘ขอให้การช่วยเหลือนี้เป็นการไถ่บาปในอดีตของตัวเรา’
          ‘หวังว่าการกระทำของเราจะพอไถ่บาปที่เราไปทำให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจ’
          ‘ว่าแต่เมื่อกี้เอชเตอร์รู้สึกถึงอะไรกันนะ..คงต้องเป็นเรื่องร้ายที่เกิดขึ้นที่ไหนสักแห่งแหละ’ เธอหวนคิดถึงใบหน้าของชายหนุ่มในคราที่กระวนกระวาย ก่อนที่จะหวนคิดถึงใบหน้าตอนที่ถอดหน้ากากไม้ออก เธอกลับมาหน้าแดงอีกครั้ง จนหญิงสาวต้องรีบเลื่อนมือขึ้นมาปิดใบหน้าตนเองไว้ ‘เอชเตอร์หล่อจุง’

 

          ภายในปั้มน้ำมันใหญ่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณชานเมือง เป็นจุดพักรถที่มีห้างร้านต่อกันเป็นจำนวนมาก
          แม้จะเป็นวันธรรมดาทั่วไป ก็มีผู้คนจำนวนมากมาเที่ยวชม รับประทานอาหาร และพักผ่อนก่อนจะเดินทางกลับภูมิลำเนาของตนเองหรือเข้าไปในเมืองใหญ่ และหากยิ่งเป็นช่วงท่องเที่ยว เหล่าผู้คนก็ยิ่งเข้ามาพักผ่อน ซื้ออาหาร และทำกิจกรรมต่างๆ เป็นจำนวนมากจนแทบล้นจุดพักรถ
          แต่ในช่วงเดือนนี้กลับมีผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมในที่แห่งนี้น้อยลงทุกๆวัน  จนในสัปดาห์ที่ผ่านมา เหล่าร้านค้าต่างๆ เริ่มทยอยปิดร้านไปอย่างปริศนา จนเหลือเพียงร้านพิซซ่าขนาดใหญ่ร้านหนึ่งที่ยังคงเปิดทำการแม้ไม่มีลูกค้าก็ตาม จวบจนถึงวันที่ปั้มน้ำมันได้ทำการปิดตัวลง เนื่องจากไร้ซึ่งผู้เข้ามาใช้บริการ นั่นจึงเป็นการปิดจุดพักรถแห่งนี้ไปโดยปริยาย แต่ไม่ใช่กับร้านพิซซ่าแห่งนี้ เจ้าของและผู้จัดการยังคงให้เปิดบริการอยู่เช่นเดิม
          โดยร้านพิซซ่าแห่งนี้มีชื่อว่า ‘Anima’s Humandroid Food&Entertainment’ เป็นร้านพิซซ่าที่ใช้หุ่นอนิเมทรอนิกส์เป็นมาสคอตประจำร้าน เช่นเดียวกับร้านพิซซ่าในตำนานอย่าง ‘Freddy Fazbear’s Pizza’ และ ‘Fredbear’s Family Diner’ ซึ่งถือเป็นกลวิธีเก่าแก่ในการดึงดูดให้เหล่าลูกค้าที่เป็นเด็กแวะเวียนเข้ามาในร้านด้วยการใช้การแสดงของเหล่ามาสคอตสัตว์มาเป็นตัวดึงดูดความสนใจ
          โดยกลยุทธ์ประเภทนี้เป็นที่นิยมในช่วงปี 1973 จนกระทั่งถึงปี 1987 แต่สิ่งนี้กลับมีด้านมืดแฝงอยู่ภายใน เพราะภายในช่วงเวลาเกือบ 15 ปีที่ผ่านมานั้น ‘‘Freddy Fazbear’s Pizza’ ได้มีข่าวลือเรื่องการเกิดคดีฆาตกรรมสุดสยองขึ้น มันเป็นการฆาตกรรมเด็กอย่างเลือดเย็น ก่อนจะนำพวกเขาไปยัดใส่ไว้ในหุ่นอนิเมทรอนิกส์ หลังจากวันที่เกิดเหตุฆาตกรรมเป็นต้นมา ผู้คนที่ผ่านไปมาในแถบร้านพิซซ่ามักได้ยินเสียงโลหะถูกลากอยู่ภายใน แต่ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือในช่วงกลางคืน เพราะในช่วงเวลานี้มักมีเสียงร้องไห้ของเด็กชายหญิงปะปนกันไปตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังมีการบอกเล่ากันว่ายามส่วนใหญ่ที่ถูกว่าจ้างให้ไปเฝ้าภายในร้านพิซซ่าแห่งนี้มักกลับมาในสภาพตื่นกลัวมากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน จนกระทั่งถึงคืนที่ 7 คนแถบนี้ก็ไม่ได้พบยามคนนั้นเดินออกมาจากร้านเช่นทุกวัน
          ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชื่อเสียงของแฟนไชส์นี้จึงย่ำแย่ลง แต่เจ้าของแฟนไชส์กลับยังคงดื้อดึงที่จะยังคงเปิดร้านต่อไป เขาไม่สนใจข่าวฉาวดังกล่าวและยังคงเปิดร้านต่อไป อีกทั้งยังขยายสาขาไปอีกมากมาย แต่คดีฆาตกรรมก็ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงปี 1987 สุดท้ายแล้วเจ้าของแฟนไชส์ก็ขาดทุนจนย่อยยับ เขาเลือกปิดกิจการลงทีละแห่ง ร้านที่ถูกปิดลงก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้ ทำให้เหล่าเด็กวัยรุ่นได้เข้าไปภายในเพื่อลองของ นั่นทำให้เกิดข่าวการหายตัวไปของกลุ่มวัยรุ่นขึ้น
          เหล่าผู้ใหญ่ทั้งกลุ่มเพื่อนบ้าน ญาติ และพ่อแม่ของเด็กได้เข้าเรียกร้องและว่ากล่าวเจ้าของแฟนไชส์ เพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แต่เจ้าของแฟนไชส์กลับตอบว่าที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของเขาอีกแล้ว โดยเขาได้อ้างว่ามีกลุ่มคนได้มาซื้อสิทธิ์ที่ดินแห่งนี้ไปเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกทั้งเขายังบอกว่าแฟนไชส์และที่ดินของเขาได้ถูกซื้อไปแล้วด้วยกลุ่มคนปริศนากลุ่มเดียวกัน โดยเขาได้บอกว่าจะนำเอาร้านพิซซ่าสาขานี้ไปทำเป็นบ้านผีสิงที่จะเปิดขึ้นในสองอาทิตย์ข้างหน้า
          หลังจากกลุ่มผู้ใหญ่ได้รู้ความจริง  พวกเขาจึงได้กลับมาแก้ปัญหาเรื่องนี้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ทุกคืนกลุ่มผู้ใหญ่จะเข้ามาดูแลไม่ให้เด็กวัยรุ่นเข้าไปในร้านพิซซ่าร้างแห่งนี้ และหากมีเด็กวัยรุ่นหลุดเข้าไปได้ ก็จะมีกลุ่มผู้ใหญ่ด้านในก็จะจับตัวและส่งพวกเขากลับบ้าน หากเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ทุกอย่างจะถูกจำกัดไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ปัญหาประหลาดกลับเกิดขึ้น เมื่อผู้ใหญ่ที่เข้าไปภายในร้านแห่งนี้ ไม่เคยได้กลับมาอีกเลย พวกผู้ใหญ่จึงส่งคนออกไปตามหาในช่วงตอนกลางวัน แต่กลับไม่พบสิ่งใด พวกเขาจึงได้ส่งผู้ใหญ่เข้าไปเฝ้าภายในร้านอีกครั้ง และผู้ใหญ่ที่เข้าไปก็ได้หายไปเช่นเดิม สุดท้ายแล้วแผนนี้จึงถูกยกเลิกไปในที่สุด เพื่อไม่ให้มีญาติของครอบครัวไหนหายตัวไปอีก
          ในเวลาต่อมา คืนหนึ่งได้มีผู้คนในบริเวณนั้นได้เห็นชายปริศนาคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านพิซซ่าแห่งนี้อย่างน่าสงสัย แต่ที่ประหลาดใจที่สุดคือเขาสามารถกลับออกมาได้ทุกครั้ง เขาเดินเข้าร้านแห่งนี้ในช่วงเที่ยงคืน และกลับออกมาในช่วงอรุณเป็นแบบนี้อยู่ 6 วัน และในคืนวันที่ 7 เขากลับไม่ได้เข้าไปภายใน แต่รุ่งเช้า คนแถบนั้นได้เห็นเพลิงไหม้ลุกโชดช่วง เผาทำลายทุกสิ่งภายในจนหมดเสียก่อนที่พนักงานดับเพลิงจะมาถึง
          นั่นจึงทำให้ปริศนาทั้งหมดถูกทำลายไป ผู้คนในแถบนั้นต่างเชื่อกันว่ามันมีสาเหตุมาจากความโกรธแค้นของเหล่าวิญญาณเด็กที่ถูกฆาตกรรม อีกทั้งยังมีการลือกันว่าวิญญาณของเหล่าเด็กได้สาปแช่งแฟนไชส์นี้ให้เกิดความฉิบหายตลอดไป ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่
          แต่ด้วยความกลัวจึงทำให้พวกเขาเชื่อกันอย่างสนิทใจ แล้วรีบย้ายบ้านออกจากบริเวณนั้นทันที แต่บางครอบครัวกลับเลือกที่จะอยู่ที่เดิมและดำเนินชีวิตตามปกติ แม้ว่าใจจริงจะยังคงกลัวในคำสาปก็ตาม พวกเขาจึงข่มใจลืมเรื่องดังกล่าวและไม่เคยพูดถึงมันอีก
          ด้วยชื่อเสียงที่ป่นปี้ของแฟนไชส์ การกู้คืนชื่อเสียงให้กลับมาโด่งดังเช่นเดิมแทบไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้ หากกลุ่มคนปริศนาได้เลือกจัดสร้างขึ้นมาใหม่จริง คงต้องไม่พ้นการขาดทุนย่อยยับเป็นแน่
          ..แต่มันกลับไม่ได้เป็นดังที่ใครหลายๆคนคาดไว้ ร้านพิซซ่าของเหล่ากลุ่มคนปริศนาได้ถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วในพื้นที่ดั้งเดิมของร้าน Freddy Fazbear’s Pizza แห่งแรก และเปิดทำการแทบจะทันทีที่สร้างเสร็จด้วยร้านอันมีชื่อใหม่ นั่นคือ ‘Anima’s Humandroid Food&Entertainment’
          และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า..แฟนไชส์ที่คนเกลียดและหวาดกลัวอย่างมากมาย กลับมีคนเข้าร้านอย่างล้นหลามในวันแรกของการเปิดร้าน นั่นอาจเป็นเพราะการเปลี่ยนชื่อร้านและรูปแบบของร้านเพื่อลบภาพลักษณ์เก่าๆออกไป ตัวร้านถูกจัดสร้างไว้ในคราบของคฤหาสน์หรูหลัง การจัดแต่งสนามหญ้าเป็นไปด้วยความสวยงามตระการตา  มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่อย่างมีการจัดวาง ทั้งยังมีกำแพงรั้วที่สูงถึง 5 เมตร กำแพงรั้วนี้ถูกสร้างขึ้นมาจากคอนกรีตมนเนียน ทั้งยังมีโคมไฟแสงสลัวติดอยู่บนกำแพงรั้ว

          ในยามดึก ดวงตะวันได้ถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์อย่างสมบูรณ์ ด้วยตำแหน่งของดวงจันทร์ที่เคลื่อนที่เข้าใกล้กับศูนย์กลางของท้องฟ้า ทำให้สามารถมั่นใจได้ว่าตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว เป็นเวลาปิดทำการตามปกติของทางร้านค้าและร้านอาหารใกล้เคียง แต่ที่มันไม่ปกตินั้นเป็นเพราะช่วงเวลานี้ควรเป็นช่วงเปิดทำการของที่นี่ แต่ในวันนี้กลับปิดทำการไปอย่างน่าพิศวง ทั้งๆที่สถานที่แห่งนี้เปิดทุกคืนและมีลูกค้าเข้ามาเป็นจำนวนมากในทุกวันที่เปิดทำการ ฉะนั้นแล้วการปิดทำการเพราะขาดทุนคงไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงเป็นแน่
          แต่นั่นเป็นเพราะสัญญาณเตือนภัยอันกึกก้องในราตรีที่ผ่านมา เหล่าประชาชนได้รีบเก็บของที่จำเป็นทั้งหมด และหอบตนเองไปยังจุดนัดหมาย นั่นคือท่าเรือใหม่ เพื่อรอทริปเรือเดินสมุทรสุดหรู ที่มีขนาดใหญ่มโหฬาร ฟรี!!! ประชาชนทุกคนได้ถูกบังคับให้ขึ้นไปแม้จะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตามด้วยความช่วยเหลือของกำลังทหาร ทำให้การอพยพคนในเมืองเกือบแสนคนเป็นไปด้วยความรวดเร็ว แต่เมื่อคนที่ท่าเรือได้ขึ้นเรือจนหมด เหล่าทหารอาสาได้เว้นระยะเพื่อรอช่วงเก็บตก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีประชาชนคนใดอยู่ในเมืองอีกแล้ว ทันใดนั้นเอง ได้มีกลุ่มคนเกือบสิบคนวิ่งมาด้วยท่าทีเร่งรีบ พวกเขาถูกทหารอาสาตรวจเช็คสัมภาระ ก่อนจะให้ขึ้นเรือ แล้วเริ่มออกเดินทางสู่ท้องมหาสมุทร
          แต่แล้วการตรวจก็หยุดชะงักชั่วครู่ เมื่อสายตาของผู้ตรวจตราได้ไปมองเห็นตุ๊กตาสีแดงที่มีลำตัวที่เล็ก และมีหัวขนาดใหญ่ที่มีรูปลักษณ์คล้ายจระเข้ที่ไม่มีดวงตา มีเพียงฟันเหลี่ยมแลดูประหลาด ในมือของมันถือคันเบ็ดตกปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวมันเอง ด้วยรูปร่างตุ๊กตาที่ดูประหลาด ทำให้เหล่าทหารได้เอ่ยถามเจ้าของตุ๊กตา ผู้มีบุคลิกภาพและฐานะที่ดี เขาสวมใส่เสื้อเชิ้ร์ตสีฟ้าและกางเกงขายาวสีดำ พร้อมเนกไทผ้าไหมคุณภาพดี ใบหน้าและศีรษะถูกจัดรูปอย่างเป็นระเบียบ เขาจึงตอบกลับไปว่าเป็นของลูกสาว
          คำตอบของบุรุษผู้นี้ฟังดูเป็นเหตุผล ถึงจะมีน้ำหนักของคำพูดน้อยไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็ได้ขึ้นไปบนเรือหรูลำนี้ เหล่าทหารอาสาที่รอเวลาจนครบกำหนดได้ประสานงานกับกะลาสีและกัปตันเรือ เพื่อเริ่มออกตัวเรือให้ห่างจากผืนดิน
          "ตาเฒ่า..." ชายบุคลิกดี เดินช้าเนิบตามแถวผู้คนไป "..คุณคิดว่าพวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้างนะ"
          ไม่มีเสียงใดตอบรับเขากลับมา นั่นทำให้คนที่ต่อแถวอยู่ข้างหน้าเขาหันกลับมาแสดงสีหน้าสงสัย ก่อนจะหันกลับไปเมื่อไม่เห็นใคร จึงสันนิษฐานไปว่าผู้ชายคนนี้คงคุยโทรศัพท์อยู่
          หลังจากนั้นไม่นานแถวที่ชายหนุ่มยืนอยู่ ได้เกิดการเคลื่อนไหวไปทางด้านหน้า ล้นระยะลงจนบุรุษในชุดสูทได้มองเห็นว่าปลายทางคือจุดลงทะเบียนนั่นเอง
          หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน การลงทะเบียนสำหรับชายคนนี้ก็ได้เสร็จเรียบร้อย เขาจึงเดินเลี่ยงออกมาในแถบที่มีคนเดินออกกระจัดกระจายไม่หนาแน่น
          "ทีหลังน่ะ..ดูสถานการณ์ซะบ้าง" เสียงแหบแห้งของบุรุษชราดังออกมาจากตุ๊กตาตัวสีแดง "ถ้าเกิดมีคนได้ยินเสียงพูดตอบโต้มาจากตุ๊กตาสีแดงประหลาดตัวเก่าๆ คงมีแตกตื่นแน่"
          "คิดมากน่ะ..ตาเฒ่า" ชายหนุ่มยิ้มขำออกมา พลางเดินเลี่ยงไปยังตรอกของร้านค้าที่ยังไม่เปิดทำการเพื่อหลีกไปคุยตามลำพังกับตุ๊กตาประหลาด
          "ว่าแต่ทำไมนายถึงพาชั้นมาด้วยล่ะ.." เสียงชายชราดังออกมาจากตุ๊กตา น้ำเสียงของเขาแลดูเป็นการตัดพ้อและสับสน "ทำไมไม่เอาคนสำคัญอย่าง Fredbear หรือ Marionette มาล่ะ"
          "ก็เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่ของตนเองยังไงล่ะ.." ชายหนุ่มตอบมาด้วยรอยยิ้ม ฝีเท้าของเขาเริ่มช้าลง เพื่อชะลอการเคลื่อนที่ลงในระดับหนึ่ง "แต่คุณน่ะ..มีหน้าที่ที่สำคัญกว่าใครๆ ยังไงล่ะ ตาเฒ่า Consequence"
          "หึ..งั้นรึ แต่ชั้นว่าถ้านายพา Marionette มา..." ชายหนุ่มหยุดเคลื่อนที่ลง ใบหน้ายิ้มแย้มถูกแทนที่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย

          ทันใดนั้นก็มีกลุ่มบุรุษปริศนาจำนวน 4 คน เดินเข้ามาจากทางด้านหลัง ท่าทางการเดินของพวกเขาดูผิดธรรมชาติคล้ายจักรกล ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ ดวงตาที่ไร้แววตา พวกมันต่างเดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ นั่นทำให้บุรุษผู้ถือตุ๊กตาต้องก้าวถอยหลังไปอย่างมีสติ
          "...ก็คงจะหยุดเจ้าคนพวกนี้ได้บ้างล่ะนะ" ตาเฒ่าเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบ
          "ไม่ใช่คนหรอก" ชายหนุ่มเอ่ยแผ่วเบา พลางก้าวถอยหลังไปเรื่อย จนชนเข้ากับกำแพงโลหะด้านหลัง "เจ้าพวกนี้เป็นแอนดรอยด์"

          เมื่อเหล่าแอนดรอยด์เห็นว่าเป้าหมายจนมุมแล้ว พวกมันจึงได้หยิบมีดเล่มใหญ่ออกมา และตั้งท่าทางโจมตี
          "พูดถึงการต่อสู้แล้ว..นายน่าจะเอา Fredbear มานะ เจ้านั่นคงพึ่งพาได้มากกว่าชั้น" ตาเฒ่าเอ่ยออกมาอย่างตัดพ้อ
          "นายมีประโยชน์กว่าพวกเขามากนะ..ตาเฒ่า แค่ยังไม่ใช่เวลานี้" ชายหนุ่มเอ่ยพลางเขย่าตัวตุ๊กตานั้น
          "แต่ตอนนี้ช่วยหยุดตัดพ้อก่อนนะ..มันน่ารำคาญ" ชายหนุ่มก้มตัวเพื่อวางร่างของตุ๊กตาสีแดงลงบนพื้น เมื่อเขาปล่อยมือออกจากตุ๊กตาแล้ว เขาได้เลื่อนสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เพื่อหยิบบางอย่างออกมา

          “ถึงจะไม่เก่งเรื่องต่อสู้ แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ..” แอนดรอยด์ตัวหนึ่งพุ่งเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว หวังใช้มีดแทงร่าง แต่มันกลับต้องหยุดชะงักไปด้วยหมัดที่ถูกปล่อยออกมา ร่างของมันก้าวถอยหลังออกไป ทำให้สามารถเห็นรอยบุบรูปร่างแปลกได้อย่างเด่นชัด “ฉันก็คงจะต้องขอใช้เครื่องทุ่นแรงหน่อยนะ”

          สนับมือสีเหลืองวาวถูกสวมใส่ ฝ่ามือที่กำหมัดอย่างหนักแน่นมั่นคง เลื่อนขึ้นตั้งท่าเตรียมรับการโจมตีที่พร้อมจะประเคนเข้าใส่ชายหนุ่มจากด้านหน้า

          “ถ้าจะสู้กันจริงๆ ได้โปรดเข้ามา...” เหล่าแอนดรอยด์ไม่รอให้ชายหนุ่มพูดจบ พวกมันต่างพุ่งตัวเข้าไปโจมตีเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ชายใส่สูทหน้าตาตื่น ถึงเขาจะพอรับมือกับการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งได้ แต่ในกรณีนี้มันกลับเป็น 4 ต่อ 1 นั่นจึงเป็นเหตุให้การเคลื่อนไหวต่อไปของชายหนุ่มจึงได้เป็นการกลิ้งหลบแทน

          ฟ้าว!!! ฟ้าว!!! ตึ้ก!!! ชายหนุ่มหลบการโจมตีด้วยมีดของพวกหุ่นได้ เพราะการสังเกตแสงสะท้อนของมีด  แต่นั่นก็ทำให้เขาพลาดท่าให้กับบาทาอันทรงพลัง การถีบนี้ได้เสริมแรงจากกลไกเครื่องจักร ระบบกล้ามเนื้อสังเคราะห์ และสปริงโง่ๆ ตัวนึง

          ร่างบุรุษในชุดสูทพุ่งทะยานออกจากจุดดังกล่าวอย่างรวดเร็ว แผ่นหลังลอยกระแทกลงพื้นก่อนจะกลิ้งหกเขมนตีลังกาอย่างไม่เป็นท่า จนท้ายที่สุดจบลงด้วยการที่หลังพุ่งกระแทกกับกำแพงโลหะหนัก

          “ส่ง..ตุ๊กตา..นั่น..มา” เสียงไร้ชีวิตชีวาถูกเอ่ยออกมาจากแอนดรอยด์ตนหนึ่ง ส่วนหุ่นที่เหลือยังคงยืนนิ่งเช่นเดิม

          “ขอปฏิเสธ..” เขากำหมัดแน่น ก่อนจะเลื่อนมันขึ้นมาไว้ระดับเดียวกับหน้าอก ในท่าตั้งรับ “ฉันคงจะมอบตุ๊กตาตัวนี้ให้กับพวกคุณไม่ได้หรอกนะครับ”

          “เขาคนนั้นได้ให้ฉันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพียงการตอบแทนเล็กน้อยแค่นี้..ถึงจะหนักหนาเพียงใด ฉันก็ต้องทำให้ได้”

          “ในเวลานี้ฉันต้องไม่ได้รับบทบาทคนตายอีกแล้ว เพราะตอนนี้บทบาทของฉันนั้นคือ..เด็กส่งของคนหนึ่ง”

          “ส่วนฉันก็เป็นคนรับของคนนึงที่เดินผ่านมา” ชายหนุ่มหันไปในทางต้นเสียง แต่กลับไม่พบสิ่งใด ครั้นเมื่อเขาได้หันกลับมาจึงพบกับเหล่าแอนดรอยด์ที่แสดงท่าทางหยิกงอ ก่อนที่ร่างพวกมันจะร่วงหล่นสู่พื้นโลหะจนเกิดเสียงดัง ตุ้บ!

          ภาพที่ดวงตาของบุรุษเห็น คือ สตรีเพศในชุดรัดรูปสีดำ ผมสีน้ำตาลยาวถึงกลางหลัง ดัดเป็นลอนพองาม ใบหน้ารูปไข่ไร้รอยเหี่ยวย่นหรือตำหนิใดๆ ใบหน้าขาวเนียนของเธอมีเพียงไฝสเน่ห์บริเวณใต้ตา เสริมความงามเข้าไปอีกเท่าตัว แม้ใบหน้าของเธอจะเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก แต่ด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่แวววาวและกลมโต ทำให้สีหน้าเรียบนิ่งนั้นแลดูมีสเน่ห์เสียเหลือเกิน

          ทรวดทรงองเอวดูกระชับเข้ากับชุดรัดรูปสีดำเงาที่มันได้รัดร่างเธอจนเห็นสัดส่วนได้อย่างชัดเจน หน้าอกและสะโพกที่พองาม สร้างความสวยงามตามท้องเรื่องได้อย่างลงตัว แต่ที่น่าแปลกใจนั้นคือเธอมีเครื่องประดับสีทองที่มีอัญมณีสีขาวติดอยู่ภายใน ประดับด้วยการติดหรือฝังไว้อยู่กลางหน้าผาก ในขณะใบหูทั้งสองข้างกลับไม่มีต่างหูติดไว้เลย จากการสังเกตที่โครงหน้าและสีผิวกลับไม่ใช่คนแถบประเทศอินเดีย ฉะนั้นแล้วสิ่งนี้ต้องมีจุดประสงค์ของมันอย่างแน่นอน

          ชายคนนี้มองวิเคราะห์ร่างกายของหญิงสาวอย่างละเอียดด้วยเวลาเพียงไม่กี่วินาที ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตถึงสิ่งที่อยู่ในมือของเธอ มันคือแกนกลางพลังงานหลักของหุ่นแอนดรอยด์ที่มีลักษณะคล้ายหัวใจมนุษย์ แต่มีสีฟ้าเรืองแสง โดยบนมือทั้งสองข้างของเธอมีแกนพลังงานหลักของพวกมันครบทั้งหมด ก่อนที่เธอจะทิ้งพวกมันลงสู่พื้นไป และย่างก้าวเดินเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างเชื่องช้า แต่เป็นจังหวะที่สม่ำเสมอทุกย่างก้าว เมื่อถึงเบื้องหน้าของชายหนุ่มเขาจึงรู้ว่าหญิงสาวคนนี้สูงกว่าเขาอยู่ประมาณ 4-5 เซนติเมตร แม้ไม่มีส้นสูงเป็นรองเท้าก็ตาม

          “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าคุณเป็นคนของคุณลอสต์จริงหรือเปล่า..” บุรุษหนุ่มเลื่อนมือไปหยิบบางสิ่งในกระเป๋าเสื้อ เมื่อเขาดึงมันขึ้นมาจึงพบว่ามันเป็นกุญแจโปร่งใสดอกหนึ่ง ลักษณะของมันคล้ายกับกุญแจบ้านทั่วไป

          “นี่คือกุญแจที่ใช้ไขประตูห้องเก็บหุ่นของฉัน ถ้าไปถึงคุณก็จะได้พบกับตาเฒ่าตัวจริง” หญิงสาวที่กำลังมองหน้าชายหนุ่มอยู่ ได้เบี่ยงสายตาไปมองตุ๊กตาสีแดงที่วางอยู่ข้างหลังบุรุษเพศผู้นี้

          “เจ้าตุ๊กตาตัวนั้นของปลอมงั้นสินะ..” หญิงสาวเอ่ยออกมา ชายหนุ่มจึงพยักหน้าขึ้นลงเป็นการยืนยัน “เสียงนั่นคงมาจากตัวจริงที่อยู่อีกที่นึงสินะ..”

          “ความฉลาดของคุณ..ไม่ช่วยทำให้ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนของคุณลอสต์หรอกนะครับ” ชายหนุ่มเลื่อนกุญแจขึ้นมาจนอยู่ในระดับสายตา “ผมจึงต้องทดสอบคุณด้วยคุณสมบัติที่คุณต้องมี ตามที่คุณลอสต์ได้บอกฉันไว้” ชายหนุ่มอ้าปากกว้างก่อนจะนำกุญแจเข้าไปในปาก หญิงสาวยังคงมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

          “สิ่งที่คุณต้องทำก็แค่เอากุญแจที่อยู่ในปากของผมออกไปให้ได้ด้วยมือเปล่า โดยกฎคือฉันจะไม่อ้าปากและห้ามทำร้ายร่างกายฉันด้วยล่ะ เพราะกุญแจแก้วดอกนี้อยู่ระหว่างกรามฉันพอดี” เขายกนิ้วขึ้นชี้ที่กรามที่มีกุญแจอยู่ แล้วจึงลดมือลงไว้กับตัว ”ถ้าเกิดเธอทำให้ฉันเจ็บแม้แต่นิดเดียว กุญแจนี้ได้ถูกบดละเอียดแน่นอน”

          “อ่อ แล้วก็ถ้าเธอมีพลังสะกดจิตหรือควบคุมจิตใจล่ะก็..มันใช้ไม่ได้ผลหรอกนะ กุญแจนี้จะทำให้ผู้ถือติดตัวไม่ได้รับผลจากการแทรกแซงทางจิตใจด้วยนะ”

          “หึ! แค่นี้งั้นเหรอ..นึกว่าจะให้ทำภารกิจยากๆซะอีก” หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นมาปาดผมไปทางด้านหลัง ก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ชายหนุ่มอีกก้าว สายตาเย็นชาจ้องมาที่ชายหนุ่ม ก่อนที่เธอจะเลื่อนมือขึ้นมาบริเวณที่ชายหนุ่มบอกว่ามีกุญแจ

          ชายหนุ่มหลับตาลงทันที ฟันของเขาเตรียมกัดเข้าที่กุญแจ เมื่อได้รับความเจ็บปวด แต่แล้วความรู้สึกบางอย่างได้เกิดขึ้น เขาไม่มีความรู้สึกถึงกุญแจที่อยู่ในปากของเขาอีกต่อไป ชายหนุ่มจึงลืมตาขึ้น และพบกับหญิงสาวที่ถือกุญแจด้วยท่าจีบและสะบัดน้ำลายออกจากกุญแจไปด้วยสีหน้าขยะแขยง

          “คุณเป็นคนของลอสต์จริงๆด้วยสินะ และ..Ywoko nu wacte hret oi?(คุณคงจะรู้ว่าใครสร้างมันขึ้นมา)” ทันทีที่เขาพูดจบ กุญแจแก้วได้ส่องแสงสว่างสีขาวเจิดจ้าขึ้นมาทันใด หญิงสาวมองไปยังกุญแจดอกนั้น “คุณมีเวลาตอบคำถามนี้ไม่เกิน 10 วินาที หากตอบไม่ได้มันจะระเบิดออกแน่นอน”

          “ผู้มอบซึ่งความปรารถนา แรงศรัทธา และการรังสรรค์ หากกล่าวจะนามทั้งหมดของท่านให้หมดคงต้องใช้เวลานับอนันต์ แต่หากคุณถามด้วยภาษาแห่งอาเธียแอสแล้วล่ะก็..นามแห่งท่านผู้สร้างมีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น” หญิงสาวหลับตาลง พร้อมหยิบกุญแจขึ้นมาถือให้ถนัดมือ “TFO WMEFU (ตาแก่จอมเกรียน ที่ทำตัวโคตรเกรียน จนทำให้ทุกอย่างมันฉิบหาย)”

          หญิงสาวเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมกับมองไปที่กุญแจแก้ว ตอนนี้มันได้แปรสภาพกลายเป็นบางสิ่งที่มีรูปทรงแปลกประหลาด แม้ว่ามันจะคล้ายกับรูปร่างของกุญแจ แต่ก็ไม่ใช่รูปร่างเดิมแล้ว โคนกุญแจมีแปดด้านที่ยื่นออกมาประมาณ 1 เซนติเมตร และทั้งแปดด้านนั้นเป็นรอยหยักไม่ซ้ำตำแหน่งกัน โดยมันมีสีทองอร่ามตั้งแต่โคนกระทั่งปลาย แต่หัวกุญแจกลับโปร่งแสง และมีรูปร่างเป็นตัวอักษรประหลาดที่มีออร่าสีทองลุกโชนออกมา

          เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเลื่อนมือ มาที่บริเวณอากาศธาตุข้างหน้า ทันใดนั้นจึงปรากฏแป้นพิมพ์พลังงานขึ้นมา เธอกดบางอย่าง แล้วแป้นพิมพ์พลังงานจึงเปลี่ยนสภาพเป็นช่องมิติขนาดเล็ก เธอนำกุญแจใส่ลงไปในช่องมิติก่อนที่มันจะหายไป

          “ส่วนนี่..” หญิงสาวหันกลับขึ้นมาที่ชายหนุ่ม เขากำลังถือกุญแจเหล็กสุดแสนธรรมดาอยู่บนมือ “นี่เป็นกุญแจไขห้องเก็บหุ่นของแท้ ส่วนพิกัดของสถานที่ฉันส่งให้แล้ว”

          “แล้ว../ กุญแจประหลาดนั้นคือกุญแจที่คุณลอสต์ต้องการให้คุณไปไขประตูบานนึง เป็นภารกิจทดสอบคุณต่อไป” หญิงสาวถูกพูดตัดบทไป

          “อ่อ..คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มพูดขึ้น “ถ้าคุณไม่ชิน ก็ไม่ต้องทำบุคลิกอย่างนั้นก็ได้นะ เพราะทำแล้วมันดูตลกมากเลย”

          “อ้าว..รู้เฉยเลย แหะๆ” เธอเปลี่ยนบุคลิกทันใด แทบจากหน้ามือเป็นหลังมือ เธอเขินหน้าแดงเล็กน้อย มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของเธอด้วยท่าทางน่ารักซึ่งต่างจากบุคลิกเก่าโดยสิ้นเชิง

          “และสุดท้ายคือสิ่งนี้..” ชายหนุ่มยื่นจิ๊กซอเรืองแสงชิ้นหนึ่งไปให้ เธอรับมาจากชายหนุ่มด้วยท่าทางประหลาดใจ ทันทีที่ผิวหนังเข้าสัมผัสกับแผ่นจิ๊กซอ มันได้ซึมผ่านเข้าผิวหนังเธอทันที แล้วทันใดนั้นร่างกายเธอกลับสะดุ้งโหยง ก่อนที่เธอจะยิ้มด้วยใบหน้าร่าเริง

          “ในที่สุด ชั้นก็ได้รู้เกี่ยวกับตัวชั้นมากขึ้นแล้ว ชั้นแต่งงานแล้วด้วย เป็นแม่ลูกสองด้วยล่ะ..” หญิงสาวเกิดอาการ Hyped อย่างมาก แต่มันก็ไม่นานมากนัก เพราะเธอได้สติเสียก่อน เธอยิ้มหวานให้ชายหนุ่ม “ขอบคุณนะ คุณ..เอ่อ”

          “Ennard ครับ” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง พร้อมโค้งตัว “ผมเป็นมนุษย์กึ่งจักรกล..ยินดีที่ได้พบและร่วมงานครับ”

          “อืม..ยินดีเช่นกัน ชั้นชื่อ..” เธอนิ่งเงียบ คล้ายติดสถานะสตั้นไป 3 วินาที

          “เอ่อ.จำไม่ได้อ่ะ ความทรงจำไม่พอ” ชายหนุ่มที่กลับมาในท่ายืนตรง ยิ้มแห้งให้กับหญิงสาว แล้วจึงยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

          “คงถึงเวลาที่ต้องจากกันแล้วล่ะครับ..ผมมีธุระที่ต้องไปทำเสียด้วยสิ” ชายหนุ่มกลับหลังหัน เดินไปหยิบตุ๊กตาด้านหลัง “ไว้พบกันใหม่นะครับ”

          “คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะนะ ลาก่อนนะ” เธอยิ้มให้ชายหนุ่ม แล้วจึงดีดตัว กระโดดหายเข้าไปในช่องมิติที่เธอสร้างขึ้นมา

          Ennard ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาหยิบบางอย่างออกมาจากตุ๊กตาของตาเฒ่า มันคือไข่มุกสีขาวที่เปล่งแสงนวล เขากำมันไว้ก่อนจะบีบจนมันแตกออก ทำให้เกิดแสงสว่างจ้าปรากฏขึ้น เขาหลับตาลงและเบี่บงหน้าไปอีกทาง เมื่อแสงสว่างหายไป เขาหันหน้ากลับมา และพบกับแอนดรอยด์โครงร่างมนุษย์ที่แต่งชุดแฟนซีจำนวนหลายสิบตัวปรากฏต่อหน้า พวกมันอยู่ในท่าทางหมดสติ เว้นแต่แอนดรอยด์ตัวหนึ่งที่แต่งตัวเป็นบุรุษเพศมีหูของหมีสีน้ำตาลติดอยู่บนศีรษะ พร้อมกับหมวกสีดำใบเล็ก เขาหันขึ้นมามองด้วยสีหน้าเคืองแค้น

          “Ennard!!!” ชายผู้มีผูหมีสีน้ำตาล ลุกขึ้นมากระชากคอเสื้อของ Ennardอย่างแรง “นี่นายรู้มั้ยว่านายทำอะไรลงไป!”

          “ช่วยชีวิตพวกนายไงล่ะ..Freddy” Ennard พูดด้วยน้ำเสียงเรียบ แต่เมื่อเขาสังเกตดีๆ กลับไม่พบหุ่นเชิด และมนุษย์หมีสีทองอีก 2 ตัว

          “ใช่..มันช่วยชีวิตพวกเราก็จริง” Freddy เอ่ยด้วยเสียงอันดัง

          “แต่พวกของ Masky ล่ะ..พวกเขามาช่วยเรานะ” Ennard เบิกตากว้างด้วยความตกใจ

          “Fredbear Marionette GoldFred ทำไมพวกเขาไม่อยู่ที่นี่ล่ะ Ennard” สาวผมเหลืองในผ้ากันเปื้อนสีขาว เอ่ยมาด้วยน้ำเสียงตกใจ Freddy ได้หันไปมองเพื่อเช็คความถูกต้องของคำพูด ก่อนจะหันกลับมาด้วยสีหน้าที่โกรธกว่าเดิม

          “แล้วสามคนนั้นอีก!” Freddy ยกร่างของ Ennard ขึ้นกลางอากาศ หญิงสาวผมเหลืองพยายามจะเดินมาห้ามเอาไว้ แต่กลับถูกเฟรดดี้จ้องเขม็งใส่ “ชั้นต้องการคำอธิบายน่ะ..Chica ถ้าได้เมื่อไหร่ ชั้นปล่อยแน่”

          “มีแค่สามคนนั้นที่ต้องอยู่ที่โลกนี้ต่อไป เขาสั่งชั้นเอาไว้” Ennard พูดออกมาอย่างติดขัด เนื่องเพราะแรงที่ Freddy กระทำต่อตัวเขานั่นเอง

          “ใครสั่งแก!!”

          “Lost Eternity Secret..” ทันทีที่ชื่อนี้ถูกเอ่ยออกมา Freddy ผละมือออกทันที เขากำมือแน่น ก่อนจะทุบไปที่กำแพงโลหะข้างกาย

          “โธ่เว้ย!” Freddy อุทานออกมา “ทำไมล่ะ..ทำไมท่านถึงต้องพรัดพรากเราออกจากกันด้วย”

          “เพราะท่านต้องการให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป และสามคนนั้นก็เป็นหมากตัวสำคัญที่จะจบสงครามครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน” Ennard อธิบาย Fredy พร้อมกับเอามือตบไหล่ของเขา 2-3 ที

          “ถ้าเป็นพวกเขาล่ะก็..ไม่เป็นง่ายหรอกน่า” Ennard พูดให้กำลัง “ยิ่งเจ้า Fredbear น่ะ ต่อให้ Springtrap ยกพรรคยกพวกมาแค่ไหน ก็ชนะเจ้าบ้านั่นไม่ได้หรอก”

          “ต้องให้เจ้า Springtrap ใช้เวทย์มนตร์เป็นเสียก่อน จึงจะชนะเจ้านั่นได้”

          “แต่ตอนนี้ Springtrap ใช้เวทย์มนตรได้แล้วนะ” คนที่พึ่งตื่นขึ้นมาพูดเป็นเสียงเดียว ทำเอา Ennard สตั้นไปชั่วขณะ

          “ว่าไงนะ!!!”

 

 

          หลังจากที่แสงสว่างปรากฏขึ้นอย่างปริศนา แสงได้หายไปพร้อมกับกลุ่มแอนดรอยด์ของสถานบันเทิงแห่งนี้ไป การต่อสู้ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แม้จะยังไม่รู้ผล แต่การคาดการณ์ย่อมไม่ผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน เพราะฝ่ายที่สูญเสียสมาชิกไปหลายสิบคนอย่างเป็นปริศนา ย่อมพ่ายแพ้เป็นธรรมดา

          “แย่จังนะ.. Fredbear เพื่อนยาก” แอนดรอยด์เพศชายผู้ใส่เสื้อสูทสีเหลืองอมเขียวเข้ม ขาดลุ่ยและเก่ามาก มันมีหูกระต่ายสีเดียวกับเสื้อ แต่หูข้างนึงเสียหายไปครึ่งนึง ข้างหลังของมันเต็มไปด้วยแอนดรอยด์ที่ถูกเงาดำครอบคลุมทั่วร่างอยู่เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า 50 ตัว “จู่ๆ ฝ่ายชั้นก็ชนะฝ่ายนายแบบขาดลอยซะอย่างนั้นนะ”

          “การต่อสู้น่ะ..นายอาจชนะ แต่พวกเราเกือบทั้งหมดได้ไปในที่ปลอดภัยแล้ว” หุ่นอนิเมทรอนิกส์หมีสีทองรู่นแรกพูดออกมา “และถึงจะไม่มีพวกเขา แค่ชั้นคนเดียวก็เอานายอยู่..Springtrap”

          “จริงรึ? อย่ามาโม้หน่อยเลย..เจ้าโง่” Springtrap เอ่ยเหยียด Fredbear ก่อนที่เขาจะหันไปมองรอบด้าน “น่าจะเห็นอยู่แล้วนี่ พวกของชั้นน่ะล้อมไว้หมดแล้ว”

          “แล้วไง อ่อ..ชั้นคงต้องปิดเกมเร็วหน่อยแล้ว” Fredbear ขำออกมา ก่อนจะหันหลังไป มองไปยังหมีสีทองที่เป็นหุ่นแอนดรอยด์ ทั้งคู่สบตากัน ก่อนที่ Fredbear จะพยักหน้า ผู้ถูกมองจึงพยักหน้าตาม แล้วเขาจึงหลับตาลง พร้อมกับเอ่ยบางอย่างบอกกับคนอีกสองคน ซึ่งนั่นก็คือ Hoodie และ Masky นั่นเอง ทั้งสองจึงเลื่อนมือมาจับที่ร่างของหมีสีทอง ก่อนที่ Fredbear จะหันมามองที่สาวผู้ใส่เสื้อลายทาง

          “Marionette ตาเธอแล้ว!” Fredbear เอ่ยสั่งการสาวหุ่นเชิด

          “ได้เลยหัวหน้า!” Marionette สร้างสายใยออกมาจากปลายนิ้ว เข้าเชื่อมกับเหล่าหุ่นอนิเมทรอนิกส์ที่นอนกองอยู่กับพื้น ให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพุ่งเข้าโจมตีใส่ฝั่งของ Springtrap

          “จงถูกเผาผลาญไปซะ..” Springtrap สร้างเปลวเพลิงขึ้นมาบนมือ แล้วจึงปาออกไปในอากาศ มันจึงเริ่มขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่ร่าง Fredbear และระเบิดออกอย่างรุนแรง

          “หัวหน้า!” Marionette ตะโกนออกมา แต่ด้วยภาระการควบคุมร่างไร้พลังงานของเหล่าหุ่นพวกนี้ ทำให้เธอไม่อาจเข้าไปช่วยเหลือเขาได้ ทำได้เพียงมองดูจากระยะไกล

          “หึ..ไม่หลบ เพราะกลัวจะไปโดนพรรคพวกงั้นเรอะ” Springtrap แสยะยิ้มออกมาที่ริมฝีปาก แต่เขาก็ทำแบบนั้นได้ไม่นาน เพราะได้ปรากฏร่างใหญ่ของหมียักษ์กระโจนออกมาจากเปลวเพลิง ไฟนั้นลุกท่วมตัวของมัน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรค เพราะมันยังคงมีสิ่งที่เขาต้องจัดการนั่นคือศัตรูเบื้องหน้า

          “Springtrap!!!” Fredbear ตะโกนสุดเสียง ร่างท่อนบนถูกบิดตัว ก่อนจะหมุนตามกลไก ส่งแรงเหวี่ยงมหาศาลไปยังหมัดของเขา ที่กำลังพุ่งเข้าสู่แก้มขวาของ Springtrap อย่างเต็มแรง

          หมับ! กำปั้นใหญ่ของ Fredbear ถูกจับเอาไว้ได้ด้วยร่างที่บางกว่าของ Springteap มันฉีกยิ้มเย้ยหยันแก่ Fredbear

          “จงทิ่มแทงร่างแห่งทรราชจนหายสิ้น..” ทันใดนั้น แท่งโลหะแหลมมากมายได้พุ่งขึ้นมาจากใต้พื้น ทิ่มร่างของ Fredbear ผิวหนังสังเคราะห์ถูกเจาะเป็นรู เสียง Endoskeleton ภายในแตกหัก บ่งบอกถึงสภาพที่ย่ำแย่ของ Fredbear

          “Fredbearrrr!!!” Marionete ตะโกนออกมา สายควบคุมหุ่นถูกทำลายในทันใด เธอทรุดเข่าลง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลพราก ก่อนจะสลบไป

          “หลับให้สบายนะ..เจ้าหุ่นตกยุค” Springtrap พูดดูแคลน เขาผละมือออกจากกำปั้นของ Fredbear ที่ตอนนี้ได้นิ่งไปแล้ว ก่อนจะสั่งการให้เหล่าแอนดรอยด์เข้าล้อม Mariontte เอาไว้เพื่อปิดบัญชี เขาจึงเดินออกมามองที่ Marionette จนเปิดช่องโหว่ทีใหญ่ยิ่งเอาไว้

          ปั้ง!!! เสียงโลหะแตกออกกระจาย Springtrap รีบหันกลับไปด้านหลังทันที แต่มันกลับไม่ทันการณ์ กำปั้นเหล็กพุ่งกระแทกใส่หน้าของมันเข้าเต็มที่ ทำให้ร่างของมันลอยไปกระแทกกับกำแพงจนทะลุไปอีกฝั่งหนึ่ง

          Fredbear ใช้จังหวะนี้ วิ่งเข้าไปที่ Marionette โดยพุ่งชนเหล่าแอนดรอยด์ด้านมืดอย่างไม่ยากเย็น เขารีบช้อนร่างของสาวหุ่นเชิดขึ้นมา พร้อมกับวิ่งไปที่ประตูทางออกของร้านที่อยู่ด้านหน้า

          ขวับ! Springtrap ปรากฏขึ้นมาที่ทางข้างหน้าอย่างฉับพลัน ก่อนจะเริ่มร่ายเวทย์บทใหม่อีกครั้ง Fredbear เห็นท่าไม่ดีจึงได้ใช้แรงทั้งหมดขว้างร่างของ Marionette ลอยข้ามตัวเขาและ Springtrap ไป

          “Masky!” Fredbear ตะโกนสุดเสียง ก่อนจะถูกหนามหินขนาดใหญ่ทิ่มทะลุร่างจนหยุดนิ่งไปอีกครั้ง

          “หึ..แกนี่นอกจากจะตายยากตายเย็นแล้ว ยังฉลาดอีก หลอกให้ชั้นสนใจแกเพื่อให้ละความสนใจจากพวกของ Golden Freddy ที่มีความสามารถในการสร้างภาพลวงตา” Springtrap ยิ้มมุมปาก เหล่าแอนดรอยด์ด้านมืดก็ได้พุ่งตามร่างของพวก Marionette ไป

          ร่างของ Marionette ที่ลอยอยู่ได้ตกลงมาและถูก Masky ที่ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่ารับไว้ได้อย่างทันท่วงที นั่นทำให้ภาพลวงที่ Golden Freddy สร้างขึ้นมาได้หายไป

          “คงต้องฆ่าพวกมันก่อนแกสินะ..” Springtrap เริ่มร่ายเวทย์อีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันได้สร้างเหล็กแหลมให้พุ่งขึ้นมาแทงร่างของ Fredbear จากทั้งด้านบน ด้านล่าง ซ้ายและขวาจนร่างของ Fredbear พรุนไม่เหลือชิ้นดี “อยู่นิ่งๆไปซะ”

          “จงพุ่งออกไปตามใจขะ..อั้ก!” Springtrap ถูกขัดจังหวะด้วยการโจมตีของ Fredbear โดยการใช้ศีรษะกระแทก Springtrap แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร เขาได้ถูก Fredbear จับร่างขึ้นมาทุ่มใส่หนามหินยักษ์ที่แทงเขาจากด้านหน้าจนพัง แล้วฟาดใส่เหล็กแหลมรอบกายจนหักหมด ตบท้ายด้วยการ Powerslam ทุ่มร่างของ Springtrap ลงบนพื้นอย่างแรง ทำให้ชายผู้น่าเกรงขามนอนคว่ำกองกับพื้นในที่สุด

          กระแสไฟฟ้าปรากฏขึ้นบนร่างของ Springtrap บ่งบอกถึงความเสียหายที่ Fredbear กระทำไปส่งผลเป็นอย่างมาก Fredbear ไม่รอช้า กระโดดทับร่างของ Springtrap แล้วจับแขนทั้งสองข้างขึ้นมาล็อคเอาไว้ Springtrap พยายามดิ้นออกทุกวิถีทางที่ทำได้ แต่กลับไม่ได้ผล ครั้นจะใช้เวทมนตร์ก็ถูก Fredbear ใช้หัวกระแทกจนเสียสมาธิ

          “ชั้นชนะแล้ว Springtrap” Fredbear เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน

          “ถ้าแกฆ่าชั้นไม่ได้ มันก็ไม่ถือว่าเป็นการชนะหรอกนะ” Springtrap เอ่ยขึ้น

          “งั้นเหรอ?” Fredbear ปิดตาลง “หุ่นแอนดรอยด์ทุกตัว เปิดระบบการทำลายตัวเอง”

          “แกคิดว่า เสียงของแกจะทำให้หุ่นพวกนี้ระเบิดงั้นเรอะ..” Springtrap แสยะยิ้ม

          “เสียงชั้นไม่ได้สั่งหุ่นให้ระเบิด แต่สั่งคนจุดระเบิดหุ่นต่างหากล่ะ” Fredbear ตอกหน้ากลับไป ทำเอา Springtrap อึ้งไปพักนึง จนเขานึกออกได้ทันทีว่าใครจะเป็นผู้จุดระเบิด “ภัยที่มองไม่เห็นน่ะ..มันอันตรายกว่าภัยที่มองเห็นได้ด้วยตานะ..เพื่อนยาก”

          “Ben Drowned!!!” Springtrap ตะโกนด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น เสียงวิ่งของแอนดรอยด์ด้านมืดได้เปลี่ยนตำแหน่ง พวกมันได้วิ่งเข้าหาร่างของ Fredbear แล้วจึงกระโดดทับกันเป็นชั้นๆ แล้วเด็กหนุ่มเอลฟ์ได้ปรากฏต่อหน้า Fredbear เขามองด้วยท่าทางเศร้า แต่ Fredbear ส่งสายตามั่นใจและพยักหน้า

          “ไอเด็กเวร..อั้ก!” Springtrap สบถออกมา แล้วจึงถูก Fredbear ใช้ศีรษะกระแทกไปอีกครั้ง

          “ชั้นเลือกแล้วล่ะ..Ben หวังว่าจะได้เจอกันใหม่นะ” Ben ได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้มหวานให้ก่อนจะปรบมืออยู่ 2 ครั้ง

          “ระบบทำลายตนเองเริ่มในอีก 10 วินาที” หุ่นแอนดรอยด์ทุกตัวในที่แห่งนี้ ยกเว้นพวกเขา Marionette ได้เอ่ยพร้อมกัน

          “ฝากดูแลทุกคนด้วยนะ..” Fredbear เอ่ยขึ้น เป็นการสั่งเสียครั้งสุดท้าย

          “ได้เลย..ตาแก่ ฮิๆ” Ben Drowned ยิ้มขำก่อนจะหายไปอีกครั้ง เพื่อเคลื่อนที่ออกจากที่แห่งนี้ไป พร้อมกับคนอื่นๆ

          “แกมันโง่ Fredbear..แกคิดว่าฆ่าชั้นได้ ทุกอย่างมันจะจบงั้นเหรอ!!” Springtrap ตะโกนออกมา

          “ระบบทำลายตนเองเริ่มใน 5”

          “4”

          “3”

          “2”

          “1”

          “ใช่..ชั้นคิดอย่างนั้น เจ้าโง่กว่า” Fredbear พูดติดตลก ก่อนที่แอนดรอยด์ทุกตัวรวมทั้งตัวเขา เปล่งแสงสว่าง และระเบิดออกอย่างรุนแรง

          ตู้มมม!!! เสียงระเบิดรวมเป็นหนึ่ง แต่ความเสียหายได้ทำลายสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดในชั่วพริบตา เป็นเคราะห์ดีอย่างมากที่พวกเขาได้หนีรอดทัน

          “เฮ้อ! ความทรงจำดีๆขงอพวกเราหายไปในพริบตา” Golden Freddy เอ่ยออกมา ส่วน Marionette ยังคงร้องไห้เพราะการเสียสละของ Fredbear เพื่อช่วยพวกเธอ “ว่าแต่เราจะไปคฤหาสน์ยังไงล่ะเนี่ย เดินเหรอ”

          “นี่ไง!” Ben ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า พร้อมกับรถเก๋งรุ่นใหม่ล่าสุด ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์และเสียง Ben ยิ้มร่าเริง เพราะไม่มีใครที่ได้รับบาดเจ็บ ยกเว้นแต่ Hoodie ที่เหนื่อยหอบเอามาก เขาเลื่อนเสื้อแขนยาวขึ้นจนเห็นข้อมือ แล้วจึงนำเข็มฉีดยา ฉีดของเหลวเข้าเส้นเลือดโดยพลัน เพราะเขาเป็นโรคหอบหืดจึงต้องดูแลตัวเองมาก เวลาต้องเหนื่อย เมื่อไม่มีสิ่งใดแล้ว ทุกคนจึงขึ้นรถไป และเดินไปที่คฤหาสน์ของ Mr. Creepypasta โดยทันที

 

          ท่ามกลางความมืดที่ว่างเปล่าและเคว้งคว้าง ไร้ซึ่งความจริง ความฝัน และจินตนาการ ไร้ซึ่งความปรารถนา และความต้องการใดๆ ไม่มีสิ่งใดยกเว้นเพียงหญิงสาวคนนึงที่นั่งกอดเข่าอยู่ในความว่างเปล่าอันไร้จุดสิ้นสุด

          เธอใส่เสื้อคลุมทับชุดฟอร์มนักเรียนโรงเรียนหนึ่ง ทรงผมโพนี่เทลล์ปลายยาวถึงเอว มันมีสีน้ำตาลอ่อน พร้อมกับโบว์ที่โคนผม กระโปรงสั้นปิดขาอ่อนได้บ้างเล็กน้อย เธอจะเป็นเด็กสาวทั่วไปอย่างแน่นอน ถ้าเธอไม่ได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ด้วยตนเอง

          หญิงสาวนั่งอยู่บนม้านั่งของเปียโนเครื่องใหญ่ เธอยังคงปิดตาและไม่แสดงอากัปกิริยาใดออกมา

          “เธอเล่นเปียโนเป็นด้วยรึ?” หญิงสาวจากอีกมุมหนึ่งเอ่ยถาม

          เธอใส่ชุดราตรี ลวดลายของดวงดาวในอวกาศถูกประทับอยู่ในเนื้อผ้า ส่องแสงสวยงาม ทั้งรองเท้าและต่างหูล้วนแต่สร้างมาจากนิลที่นวลมนและสวยงาม ดวงตาที่ผสานรวมกับนัยน์ตาได้อย่างลงตัว อีกทั้งดวงตาคู่นี้ยังดำขลับดั่งอวกาศที่ไร้ซึ่งดวงดารา เยื่อดวงตาไดห่อหุ้มดวงตาคู่นี้ไว้ เมื่อยามแสงเข้ากระทบ มันได้ส่องแสงแวววาวออกมาอย่างน่าประทับใจ เรือนผมสีดำตรงยาวถึงสะโพก

          เธอยืนอยู่ได้ไม่นาน จึงได้ลดตัวนั่งลงไปที่ความว่างเปล่า แล้วจึงปรากฏเก้าอี้คริสตัลสีฟ้าขึ้นมารองรับน้ำหนักของเธอ

          “เล่นเป็นค่ะ..แต่เล่นไม่เก่งเท่าไหร่นะ” หญิงสาวตอบกลับคำถาม

          “ทำไมถึงหันมาเล่นเปียโนล่ะ..เธอชอบไวโอลินมากกว่าไม่ใช่รึ?” หญิงสาวดวงตาสีดำเอ่ยถาม

          “ไวโอลินมันมีเสียงเพราะก็จริง แต่การเล่นไวโอลินไปพร้อมกับร้องเป็นเรื่องที่ยากมากนะคะ” หญิงสาวเลื่อนฝาปิดแป้นเปียโนขึ้นจนสุด “ต่างจากเปียโนที่ไม่ต้องใช้สมาธิมากเท่ากับไวโอลิน แถมยังร้องสื่ออารมณ์ได้มากกว่า”

          “แต่ความจริงแล้ว มันเป็นเพราะคนที่ชั้นหลงรัก..เขาชอบฟังเสียงจากเปียโนค่ะ”

          “งั้นขอให้ตัวชั้น ผู้เป็นราชินีแห่งโลกแห่งกระจก วิญญาณ ความฝัน และการตัดสินใจ ได้สดับฟังการบรรเลงเพลงแห่งความรักของเธอเสียหน่อยเถิด” หญิงสาวตามรกตกดไปที่คีย์เปียโนเพื่อทดสอบเสียง

          “ได้ค่ะ..ท่าน Hope” เธอเอ่ยตอบ ทันใดนั้นแสงสว่างภายในความว่างเปล่าได้ถูกดับไป และแทนที่ด้วยแสงจันทร์ที่จำลองขึ้นมาภายในความว่างเปล่านี้ แสงจันทร์ส่องทอลงมายังหญิงสาวผู้ยังไม่มีการถูกกล่าวนาม

          นิ้วมือทั้งสิบกางออก ปลายนิ้วทั้งหมดถูกเลื่อนมายังคีย์ของเปียโน แล้วเริ่มบรรเลงมันออกมา

          ทันทีที่เสียงเปียโนดังออกมา สภาพแวดล้อมอะนว่างเปล่าได้ถูกเปลี่ยนกลายเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลในยามค่ำคืน เหล่าหิ่งห้อยบินว่อนส่องแสงจนเกิดความสวยงาม ลมอ่อนพัดกลิ่นหอมจากทุ่งดอกไม้ที่อยู่ห่างไกลออกไป

          นอกจากกลิ่นหอมจากดอกไม้แล้ว ลมอ่อนนี้ได้พัดพาความเย็นช่ำมาให้อีกด้วย

          เมื่อหญิงสาวบรรเลงเพลงอันเป็นจังหวะอันไพเราะและผ่อนคลายไปได้สักครู่หนึ่ง เธอจึงเริ่มขับร้องเสียงหวานจับใจออกมา

          “♪~ เฝ้าคิดฝัน..ถึงสักวันที่มีฉันและเธออยู่เคียงข้างเรื่อยไป ♫” เสียงที่ขับร้องออกมา เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกของเธอที่เธอมีอยู่ภายในใจ เธอบรรเลงเปียโนต่อไปเล็กน้อยเพื่อเว้นช่วงคำพูด โดยบทคั่นกลับให้ความรู้สึกสดใสและหวานชื่น

          “♪~ กลอนของเรา..จะเรียงร้อยเลือกถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากหัวใจ ♫”

          “♪~ ความรักนี้ใช้น้ำหมึก..สื่อเป็นความหมาย♫”

          “♪~ เพื่อไขความนัย..สู่ประตูหัวใจของเธอ ♫”

          “♪~ ในโลกนี้..ที่มีเส้นทางให้เลือกหลากหลาย♫”

          “♪~ ต้องทำอย่างไร..หากจะไปสู่วันของเรา ♫”

          “♪~ ต้องทำอย่างไร..เพื่อจะไป..สู่วันของเรา ♫” หญิงสาวบรรเลงเปียโนอันเพราะพริ้งต่อไปสักระยะหนึ่ง

          “♪~ หรือว่าเพราะ..ทุกๆคนทำให้ฉันได้เจอกับวันแสนสนุก♫”

          “♪~ เพียงเพราะเธอ..ทำให้ทุกช่วงเวลาของเราคือเรื่องราวแสนสุข♫”

          “♪~ ในเวลา..ที่ความรู้สึกยังคงสับสน♫”

          “♪~ ก็ไม่เข้าใจ..เมื่อรอยยิ้มบอกแทนถ้อยคำ♫”

          “♪~ ในโลกที่ฉัน..ไม่มีตอนจบแบบใครๆเค้า ♫”

          “♪~ ต้องทำอย่างไร..ให้โลกนี้มาเป็นของเรา♫”

          หลังจากที่บรรเลงจนจบท่อนนั้น เสียงของฟลุ๊ตและทรายแอนเกิลจึงดังขึ้นเป็นจังหวะและทำนองอันน่าอภิรมย์และสุนทรีย์อยู่สักครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงเริ่มขับร้องเสียงของนางฟ้าอีกครั้ง

          “♪~ มือคู่นี้..เหมือนมีแต่จะทุกร้ายทุกคนที่สุดแสนสำคัญ♫”

          “♪~ จะรั้งเธอ..หรือยอมแพ้ให้เธอไป อะไรเรียกว่าความรักกัน♫”

          เมื่อร้องจบท่อนไป หญิงสาวผู้บรรเลงเพลงแสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า แต่น้ำตากลับไหลลงมาอาบแก้ม

          แม้ไม่มีเสียงสะอื้นใดๆ แต่ความเจ็บปวดที่เธอมีภายในจิตใจ มันแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน

          เสียงของไวโอลินที่ไร้ที่มาดังขึ้นด้วยเสียงสูง เสริมทำนองเปียโนที่บรรเลงอยู่แล้ว ให้ถ่ายทอดอารมณ์เศร้าสร้อยมากขึ้นไปอีก

          “♪~ กลอนบทนี้..ใช้น้ำหมึกสื่อเป็นความหมาย ♫”

          “♪~ ต้องเขียนยังไง..ให้ความรักได้เกิดขึ้นจริง ♫”

          “♪~ ถ้าเสียงหัวใจ..ไม่อาจบอกให้ได้ยิน ♫”

          “♪~ แล้วรักจริงๆ..เป็นแบบไหนในโลกของเธอ คำว่ารักในโลกของเธอ ♫”

          “♪~ หากไม่เข้าใจ..คงต้องยอมรับ ♫” เมื่อถึงท่อนนี้ น้ำตารินไหลออกมาอย่างไม่ขาดสายและอาจจะมากยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

          รอยยิ้มที่เคยปรากฏ กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความเศร้าสลด เธอยังคงบรรเลงเปียโนด้วยเสียงเล็กแหลมอีกไม่กี่ครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือข้างหนึ่งมาเช็ดน้ำตาไหลออกมาจนหมดในครั้งเดียว เธอสะอื้นครั้งนึง พร้อมกับเลื่อนมือกลับมาที่แป้นเปียโนเพื่อบรรเลงและขับร้องท่อนสุดท้ายออกมา

          “♪~ และปล่อยเธอไป ♫” เมื่อร้องท่อนนี้จบ ฟ้าที่ดำมืด พลันสว่างอย่างรวดเร็ว

          ดวงจันทร์ที่ให้แสงในยามราตรี พลันแตกสลายไปในบัดดล แม้ท้องนภาจะสว่างขึ้นมาก แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของดวงอาทิตย์เลย ทำให้ท้องฟ้าทั้งหมดเป็นเพียงแสงเหลืองนวล ถนอมดวงตา

          พื้นหญ้าทั้งหมดกลับปรากฏดอกไม้นานาชนิดขึ้นอย่างทันที สีชมพู ขาว แดง เหลือง มันปะปนกันไป แต่กลับให้ความสวยงามอย่างยอ่ง

          ลมกระโชกปรากฏขึ้นมา พัดพากลีบดอกไม้เหล่านั้นจนหลุดออก และปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ

          ในขณะเดียวกัน เสียงกีต้าร์ไร้ที่มาได้ดังขึ้นมาเป็นจังหวะให้คลอตาม ศิลปินสาวจึงบรรเลงเปียโนคล้อยตามไป ก่อนที่เสียงจะเริ่มลดลงและได้หายไปในที่สุด

          เมื่อการแสดงจบ เสียงปรบมือดังกระหึ่ม หญิงสาวได้หันไปตามทิศของเสียง จึงพบกับเหล่าผู้ชมจำนวนมากที่รับชมการแสดงของเธออยู่ อีกทั้งข้างหน้าสุด นอกจากหญิงสาวผู้มีนามว่า Hope แล้วยังมีบุรุษปริศนาอีกคนหนึ่งยืนปรบมืออยู่ด้วย

          ผู้สวมใส่ชุดของผู้มีฐานะหรือขุนนางชั้นสูงของฝรั่งเศส เพียงแต่ใส่ถุงมือสีขาว และที่ชายเสื้อนั้นยาวจรดพื้น และเป็นควันสีดำลอยออกมา

         ด้วยโครงสร้างร่างกายเป็นชาวยุโรปที่สูง แต่กลับมีร่างที่สันทัด ไม่ใหญ่โตจนเกินเลย จึงเข้ากับชุดนี้ได้ดี พร้อมทั้งดวงตาสีแดงโลหิตคู่นั้น ที่หากสังเกตอย่างดีแล้วจะพบว่ารูม่านตาของเขามีลวดลายประหลาดปรากฏอยู่ มันไม่ใช่อักขระภาษาใดๆ ที่เคยหรือมีการปรากฏขึ้นบนโลกแห่งนี้ ซึ่งภายในดวงตาทั้งสองข้างก็มีลักษณะของอักขระที่แตกต่างออกไปอีกด้วย

          เหนือหัวไหล่ทั้งสองฝั่งปรากฏหน้ากากประหลาดขึ้น ข้างซ้ายแสดงถึงสีหน้าเศร้าโศกบิดเบี้ยว อีกข้างแสดงถึงความสุขที่ปรากฏออกมาได้อย่างเด่นชัด

          ชายปริศนาลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา ชายผ้าคลุมสะบัดพริ้วไหวอย่างสวยงาม เมื่อเทียบกับใบหน้าไร้อารมณ์ของบุรุษหนุ่มผู้นี้แล้วถือว่างดงามมาก ประกอบด้วยใบหน้าที่เนียน มน และคม เรือนผมที่มัดถูกมัดเอาไว้ดั่งขุนนางของฝรั่งเศสโบราณ

          “ช่างสวยงามเหลือเกิน” Hope เอ่ยชมเชยเด็กสาวด้วยใบหน้าเรียบเฉย เธอปรบมืออย่างไร้อารมณ์ เช่นเดียวกับชายปริศนา เมื่อหญิงสาวดวงตาสีดำมืดลุกขึ้นจากที่นั่งของเธอ ทุกอย่างพลันหายไป เปลี่ยนกลับเป็นห้องแห่งความว่างเปล่าเฉกเช่นเดิม

          “ในรอบหลายล้านปีมานี้..นี่คือการแสดงที่น่าประทับใจที่สุด” ชายปริศนาจับมือหญิงสาวอย่างภูมิใจ เสียงชมเชยดังขึ้นมาจากปากของใบหน้าในหน้ากากที่แสดงอารมณ์ต่างๆแทนชายหนุ่ม

          “ขอบคุณมากค่ะ คุณ..เอ่อ..”

          “โอ้..ลืมไปเสียสนิทเลย นายของกระผมมีนามว่า...” เอ่ยไม่ทันจบ ชายหนุ่มได้ยกมือขึ้นมาเหนือศีรษะในท่าแบมือ ก่อนจะเปลี่ยนไปอยู่ในท่าทางของการกำมืออย่างรวดเร็ว หน้ากากคู่นี้หยุดเอ่ยเสียงประสานของมัน แล้วได้สลายหายไปทันที

          “นามของข้าคือ Symphonic Happopainyac Emmotilafelle Fullux o Emptient Monsieurysse Etenrellus” เมื่อหญิงสาวได้ยินนามเต็มของบุรุษหนุ่ม เธอยิ้มแห้ง สายตามองไปยังหญิงสาวผิวขาวซีดที่แสดงทีท่ากลุ้มใจ

          “เจ้านี่ชื่อว่า The Author..” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบ ทำให้เจ้าของชื่อถึงกับหันไปมองด้วยท่าทางไม่พอใจอย่างแรง

          “ช่างไร้มารยาทเสียจริงนะ..สตรีแห่งความฝัน” ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาว แต่เธอกลับหันขวางทำทีไม่ใส่ใจ ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วจึงเอ่ยถาม

          “เจ้าเรียกข้ามาที่นี่เพื่ออะไรกัน..สตรีแห่งความฝัน” เมื่อเขาถามมา หญิงสาวจึงถอนหายใจ แล้วจึงหันมองกับหญิงสาวโบว์ขาว

          “The Author มหาจักรพรรดิ์แห่งความสุข ความทุกข์ อารมณ์ ความรู้สึก การเติมเต็ม และความว่างเปล่า ผู้ควบคุมวงล้อของความเป็นไปของสรรพสิ่ง รวมไปถึงอัตตาและอนัตตา” เธอเลื่อนมือออกไปทางชายปริศนา เพื่อแนะนำเขาให้เธอรู้จัก “เขาคนนี้เป็นหนึ่งในมหาจักรพรรดิ์ที่อยู่ระหว่างความว่างเปล่าและการเติมเต็ม”

          “นั่นหมายความว่า...” หญิงสาวโบว์ขาว แสดงท่าทีตกใจเล็กน้อย

          “ใช่..เจ้านี่มีพลังแบบเดียวกันกับเธอ” Hope เอ่ยตอบกลับ แล้วหันไปมองหนุ่มนักประพันธ์ที่มองมายังเธอ “เจ้านักประพันธ์นี่จะเป็นคนที่ทำให้เธอเข้าใจพลังที่เธอมีอยู่ในตัว”

          “เมื่อเธอควบคุมพลังของเธอได้แล้ว เราจึงจะเริ่มหน้าที่ตามที่เจ้า Lost ได้บอกไว้”

          “แล้วเธอพร้อมที่จะเรียนรู้หรือยังล่ะ..สาวน้อย” Hope เว้นช่วงพูด “..ไม่สิ สาวน้อยคงใช้เรียกแทนสิ่งที่อยู่ภายนอกอนันตกาลและปฐมกาลไม่ได้หรอก”

          ”งั้นชั้นคงต้องขอให้เธอแนะนำตัวเองซะแล้วสิ”

          “ได้ค่ะ งั้นก็..” หญิงสาวก้มตัวแอ่นลงมาเล็กน้อย มือทั้งสองถูกเลื่อนเก็บไว้ด้านหลัง สายตาหวานมองมายังหญิงชายเบื้องหน้า “ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ..”

          “ชื่อของชั้นคือ..”

          “..Monika ค่ะ”

        

          ในที่สุดก็มาถึงแล้วกับตอนที่ 22 - 4 Corners 4 มุม 4 เหตุการณ์ สำหรับตอนนี้อาจจะไม่อินกับเนื้อเรื่องเท่าไหร่ เพราะเป็นการปูเนื้อเรื่องในตอนต่อๆไปอย่างรวดรัด ไม่ได้บอกถึงความสัมพันธ์ ดราม่า หรือไขปมปริศนาอะไรเลย ซ้ำยังสร้างเพิ่มขึ้นมาอีกหลายอัน

          ถ้าให้อธิบายแล้ว เนื้อเรื่องของตอนนี้คือการบอกเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน หากใครที่อ่านไม่เข้าใจ ไรต์จะสรุปสั้นมากๆให้ฟัง

          มุมที่ 1 - โรสรีน(คนที่ถูก Anesthesia เล่นงานเมื่อตอนที่แล้ว) ได้เปลี่ยนร่างเป็นพวก D-Borne แล้วได้พบกับชายปริศนาที่จะพาเธอไปยังที่อยู่ของ D-Borne คนอื่นๆ

          มุมที่ 2 - หญิงปริศนามาช่วย Ennard ที่ถูก Lost ว่าจ้างมาเป็นคนส่งของ จึงได้รู้ว่าผู็หญิงคนนี้าำคัญต่อเนื้อเรื่องในภายภาคหน้าแน่ (คนในเมืองถูกสั่งอพยพหมดแล้ว รวมถึงพวก Freddy ด้วย)

          มุมที่ 3 -  Fredbear สละชีวิตเพื่อทำลายร้านและ Springtrap ที่รับใช้ Black และยังเป็นการถ่วงเวลาให้อีกหลายคนรอดกลับไปคฤหาสน์

          มุมที่ 4 - ประชุมระหว่าง 3 คนผู้มีพลังมหาศาล ตัวละครใหม่เพิ่มมา 3 ตัว

          เชิญรับชมรูปภาพประจำตอนได้ตามลิงก์นี้ http://rx.hu/MYPY

          เพลงที่ Monika ร้อง มาจากเกม Doki Doki Literature Club เป็น Original Soundtrack (OST) ต้นฉบับ Original เนื้ออังกฤษมาจาก Dan Salvato & Jillian Ashcraft

          เนื้อเพลงแปลไทยเป็นของคุณ Lunacat มีการเอามาดัดแปลงเล็กน้อย

          สามารถรับชมและรับฟังผลงานนี้ของคุณ Lunacat ได้ตามลิงก์นี้ http://rx.hu/LNzL

          ในตอนต่อๆไป ไรต์จะพยายามอัพให้เร็วขึ้นเท่าที่จะทำได้ เพราะการทิ้งช่วงไว้นาน มันไม่ดีต่อความอินของผู้อ่านเอาเสียเลย

          ขอบคุณสำหรับผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน สำหรับตอนต่อไปนั้นมีชื่อว่า 'Strike Back'

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา