Creepypasta Family The Broken Myth

9.5

เขียนโดย Leragan

วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.

  24 chapter
  9 วิจารณ์
  41.98K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) [ตอนพิเศษ3.1] Don't Go to Sleep, You Won't Wake up

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

               "ยัยตัวซวย.." กลุ่มเด็กประถมปลายที่มีทั้งหญิงและชายกลุ่มหนึ่งกำลังรุมต่อว่าเด็กหญิงคนหนึ่งด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความโกรธ พวกเขาต่างเริ่มด่าทอและปาข้าวของใส่เด็กหญิงที่ไร้ทางตอบโต้ "ทำแต่เรื่องให้พวกชั้นเดือดร้อน"

               "ออกไปจากโรงเรียนแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วอย่าให้ชั้นได้เห็นหน้าเธออีกนะ..ยัยตัวซวย" เด็กหญิงผู้มีผมหยิกหยักศกสีส้มสลับเหลืองเริ่มเป็นตัวตั้งตัวตีเป็นฝ่ายแรก เหล่าผู้เกลียดชังเด็กหญิงผู้ถูกกระทำก็ปาข้าของใส่ไม่ว่าจะเป็นสมุด หนังสือหรือแม้แต่ปากกา

               "ชั้นขอโทษ..ชั้นไม่ได้ตั้งใจ ฮือฮือฮือ" เด็กหญิงผู้ที่กำลังถูกทำร้ายเปล่งเสียงออกมาด้วยความสำนึกผิด พร้อมกับสะอื้นไห้ออกมา

               "อย่ามาสำออยทำเป็นร้องไห้นะยัยแม่มด!!" เด็กสาวผมสีส้มสลับเหลืองตะโกนตอบโต้เด็กสาวอย่างรุนแรง

               "แกน่ะเกลียดที่แมรี่ได้ดีกว่าแก..แกเลยผลักเธอให้ตกบันไดจนตอนนี้เธอยังไม่ฟื้น พวกครูงี่เง่าก็ดันโบ้ยความผิดมาให้พวกชั้นอีก..แต่ความจริงแล้วทั้งหมดมันก็เพราะแกคนเดียว ยัยเจน..ยัยตัวซวย!!!'

               "เฮ้ย!!!" ทันใดนั้นเสียงของเด็กผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง เหล่ากลุ่มเด็กชายหญิงกลุ่มนั้นจึงได้หันไปทางต้นเสียงก็ได้พบกับเด็กผู้ชายผมน้ำตาล และสวมใส่เสื้อกันหนาวสีแดงอยู่ เด็กชายผู้นี้ที่นั่งอยู่บนโต๊ะครู กระโดดลงมาจากที่นั่ง พร้อมกับย่างก้าวมาทางกลุ่มเด็กชายหญิงกลุ่มนั้น คนเหล่านั้นจึงได้แต่หลีกทางให้ ยกเว้นเด็กผู้ชายตัวใหญ่คนหนึ่งที่เดินมาขวางทางเดินเอาไว้

               "ไอ้เจฟ..อย่ามาทำเป็นวีรบุรุษหน่อยเลย" เด็กผู้ชายผู้ที่ขวางทางของเจฟไว้เอ่ยออกมา "คนที่แกจะไปช่วยน่ะมันเป็นคนที่ทำให้เพื่อนสนิทของแกเจ็บตัวนะเฟ..อั้ก!"

               ไม่ทันที่เด็กผู้ชายผู้ที่ขวางทางผ่านจะเอ่ยจบ เจฟก็ต่อยเข้าไปที่หน้าท้องของเด็กชายคนนี้อย่างรุนแรง เด็กชายผู้ที่ขวางทางล้มลงไปกุมที่ท้องของตนพร้อมกับไอออกมา เจฟเดินข้ามร่างของเด็กคนนั้นไปด้วยสายตาเย็นชา เขาย่างก้าวเข้าไปหาเด็กหญิงผู้น่าสงสารที่กำลังนั่งร้องไห้พร้อมกับร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล เขาเดินไปสัมผัสไหล่ของเด็กหญิงคนนั้น ก่อนจะเอ่ยออกมา

               "ชั้นเชื่อว่าเธอน่ะไม่ได้ทำอะไรแมรี่แน่นอน" เจฟเอ่ยออกมา เจนที่น้ำตายังคงไหลรินอาบแก้มอยู่ได้เบือนใบหน้าหันมองเด็กชายที่เข้ามาหาเธอ

               "แมรี่น่ะชอบพูดถึงเธอมากพอเวลาอยู่กับชั้น ดูเหมือนว่าเธอจะสนิทกับแมรี่มากกว่าชั้นซะอีกนะ" เจฟยิ้มออกมาอย่างร่าเริงหลังจากเอ่ยเสร็จ

               "นี่..นายไม่เกลียดชั้นเหรอ" เจนแหงนหน้าขึ้นมามองใบหน้าเด็กชายนามว่าเจฟ ใบหน้ายามมีน้ำตาคลอและน้ำตาอาบแก้ม ดวงตาอันเปล่งประกายดั่งแสงดวงดาว ช่างงดงามยิ่งกว่าดวงจันทร์ทีเปล่งแสงในคืนวันเพ็ญเสียอีก

               "จะไปโกรธ..ได้ยังไง ฮ่าฮ่า ความจริงแล้วแมรี่น่ะแค่ไหล่หลุดเฉยๆ เดี๋ยวไม่กี่อาทิตย์ก็กลับมาเรียนได้แล้วล่ะ" เมื่อเจฟเอ่ยจบ เขาก็พาเจนลุกขึ้นก่อนจะพาออกจากที่เดิม เหล่ากลุ่มเด็กที่ทำร้ายเจนต่างยืนนิ่งเงียบกริบ พวกเขาเดินไปจนถึงประตู เจฟจึงทอดสายตามองเด็กหญิงผู้มีเรือนผมสีส้มปนเหลืองคนที่ใส่ร้ายเจนด้วยสายตาเย็นชา ทำให้ผู้ถูกมองถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนจะเริ่มสั่นเทา

               "ดอลลิเอลล่า..ทีหลังอย่าประจานตัวเองเถอะนะ ไม่อายบ้างเหรอ.. แล้วเลิกโบ้ยความผิดของตนเองให้คนอื่น หน้าตาออกจะดีซะป่าว..จิตใจดันทรามซะอย่างนั้น เฮ้อ!!!" เจฟเอ่ยจบก็จูงมือเจน พาออกไปจากห้อง ปล่อยให้ดอลลิเอลล่าติดอยู่ภวังค์แห่งความโกรธแค้น

                “ยัยเจน..มันไม่จบแค่นี้แน่” เด็กหญิงผมส้มเอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยเสียงแค้นอาฆาต

               "นี่..เจฟ แมรี่ไม่เป็นอะไรจริงๆใช่มั้ย" เจนเอ่ยปากถามเจฟออกมาด้วยเสียงที่ยังคงสั่นเครืออยู่

               "นี่เธอไม่เชื่อชั้นหรือไงเนี่ย.." เจฟหัวเราะออกมา "หน้าชั้นมันไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอฮ่าฮ่าฮ่า"

               "เปล่านะ..ชั้นก็แค่เป็นห่วงแมรี่เฉยๆน่ะ" เด็กหญิงผมน้ำตาลก้มหน้าลงแล้วจึงค่อยเอ่ย "แมรี่น่ะไม่ได้เป็นแค่เพื่อนเพียงอย่างเดียว.."

               เจนเงียบไปพักหนึ่ง ทำให้บรรยากาศที่ทั้งคู่กำลังเดินผ่านกลับดูวังเวงอย่างผิดปกติ แต่ก่อนที่เจนจะได้เอ่ยต่อเจฟก็เอ่ยขัดเจน แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่เจนกำลังจะพูดอยู่พอดี

               "แมรี่น่ะไม่ได้เป็นแค่เพื่อน..เธอยังเป็นผู้ปกป้อง ที่ปรึกษา และที่สำคัญ..เธอคือคนที่เธออยากให้เป็นพี่สาว"

               เจนนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ทำให้เจฟที่เดินก้าวออกไปสองสามก้าวต้องเดินกลับมาที่เดิม

               "นี่..นายรู้ได้ยังไงกัน" เจนเอ่ยออกมา มือของเธอกำแน่น น้ำตาเริ่มไหลทอลงมาเป็นสายน้ำ เธอก้มหน้าลงทำให้เจฟไม่สามารถมองเห็นหน้าของเธอได้

               "เธอไม่ใช่เพื่อนสนิทของแมรี่เพียงคนเดียวซะหน่อยนิ..ชั้นก็เป็นเพื่อนสนิทของเขาเหมือนกัน" เจฟกล่าวออกมา

               "จริงๆแล้ว แมรี่ก็เป็นแค่คนโกหกอีกคนนึงสินะ" เจนกำมือแน่นกว่าเดิม "ไหนบอกว่าจะไม่ทิ้งกันไปไง.."

               "แมรี่น่ะ..อาจจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้ได้ไม่ครบทุกอย่าง" เจฟเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

               "แต่เขาน่ะก็เป็นเพื่อนที่แสนดีของพวกเราไม่ใช่เหรอ" คำพูดของเจฟ ทำให้เจนแหงนหน้าขึ้นมามองใบหน้าเด็กชายอีกครั้ง

               "ยัยนั่น..ขอร้องกับชั้นอยู่อย่างนึง ก่อนที่จะถูกหามส่งโรงพยาบาล"

               "แมรี่..เธอขอร้องอะไรนายเหรอ..เจฟ" เจนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่งแม้น้ำตาจะยังไม่หยุดไหล

               "แมรี่ขอร้องให้ชั้นปกป้องเธอแทนเขาไงล่ะ" เมื่อเจฟเอ่ยออกไปร่างของเจนก็สั่นสะท้านไปในทันที แต่เจฟกลับนำมือมาวางไว้บนฝ่ามือของตน แล้วจึงเอ่ยต่อ

               "..และชั้นขอสัญญาว่าชั้นจะไม่ทอดทิ้งเธอ..แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชั้นก็จะกลับมาหาเธออย่างแน่นอน"

               "ฮึก..ฮึก..ฮึก เจฟเฟอรี่..ขอบคุณนะ" เจนร้องไห้ออกมา แต่น้ำตานั้นไม่ได้มาจากความเศร้าหมองแต่อย่างใด แต่มันเป็นเพราะความสุขที่เธอได้รับจากชายเบื้องหน้า

               "ไม่เป็นไร.."  เด็กหญิงจึงแหงนหน้าขึ้นมา เจฟที่สังเกตเห็นใบหน้าของเจนที่มีคราบหน้าตาติดอยู่ เขาก็ใช้มือของเขาเช็ดมันออกไป

               "ทีนี้..เราก็กลับบ้านกันได้แล้วนะ..เจน" เจฟเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา เจนที่เห็นใบหน้าของเด็กชายคนนี้ก็ได้ยิ้มตาม

               "ค่ะ..." ก่อนที่ทั้งสองจะจับมือกันและเดินออกไปพบกับแสงสว่างภายนอก

               แปดปีนั้นผ่านไปไวเหมือนโกหก ในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมือง มีหนุ่มสาวเดินสัญจรกันไปมาอย่างไม่ขาดสาย

               โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนนานาชาติขนาดใหญ่พอสมควรมีเด็กนักเรียนจากต่างชาติมาเข้าเรียนอยู่หลายคน รวมทั้งยังมีการสอนเสริมหลังเลิกเรียนไม่ว่าจะเป็นสอนภาษาต่างชาติ การสอนเสริมพิเศษ หรือการฝึกซ้อมในชมรมต่างๆ ที่ดูมีคนเข้าร่วมอยู่ไม่มาก ทำให้ไม่ค่อยเกิดเสียงดังมากนัก

               เว้นแต่ห้องชมรมห้องหนึ่งที่ดูจะมีเสียงดังเป็นพิเศษ นั่นคือชมรมศิลปะการป้องกันตัวโดยผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกในชมรมนี้จะได้เรียนรู้ถึงการใช้อาวุธต่างๆ วิธีการป้องกันตัว และวิธีการยืมแรงคู่ต่อสู้ ซึ่งในอีกไม่กี่วัน ชมรมนี้จะมีการคัดเลือกนักเรียนผู้เป็นสมาชิกชมรมไปแข่งระดับประเทศ เหล่าสมาชิกในชมรมจึงตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนเพื่อจะเป็นหนึ่งในตัวแทนไปแข่งในอีเวนต์นั้น

               "อั้ก..." เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกบางอย่างกระทุ้งเข้าที่หน้าท้องอย่างแรง ร่างของเขากระเด็นออกนอกวงกลมสีแดงทันที

               ปี๊ด!!! เสียงของนกหวีดของครูฝึกดังขึ้น ชายหนุ่มที่กระเด็นออกไปจากสังเวียนก็ยันตัวลุกขึ้นด้วยท่าทางเจ็บปวดที่กลางหน้าท้อง แต่ก็ทำการโค้งคำนับ หญิงสาวผมสีน้ำตาลเบื้องหน้า ซึ่งเธอกำลังสวมใส่เสื้อกล้ามคับๆและกางเกงวอร์มที่ดูใส่สบาย หญิงสาวผู้นี้ทำการโค้งคำนับเช่นเดียวกัน ก่อนจะเงยขึ้นมาในเวลาที่ใกล้เคียง เด็กหนุ่มก็เดินออกมา ก่อนจะมีเด็กหนุ่มในชุดนักบู๊อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาภายในอาณาเขตของวงกลมสีแดง

               "ว่าไง..เจนนี่" เด็กหนุ่มในชุดนักบู๊สีเหลืองตั้งท่าเตรียมสู้ ใบหน้าและท่าทางของเขาแสดงความยียวนกวนประสาทออกมาอย่างเห็นได้ชัด แต่มันกลับไม่ทำให้อารมณ์ของหญิงสาวเบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

               "ยังเย็นชาเหมือนเดิม..ไม่เปลี่ยนเลยนะ" เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทตามเดิม ก่อนที่เขาจะปิดตาลงพร้อมกับสูดหายใจเข้าและออกเป็นจังหวะ

                ปี๊ด!!! เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้ดวงตาจริงจังของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะกำหมัดของเขาไว้แน่นพร้อมกับมองไปที่หญิงสาวเบื้องหน้าที่ดวงตาสีเขียวมรกตยังคงมองมาทางเขาตาไม่กระพริบ

               "ย้ากกก!!!" เด็กหนุ่มเหยียดพุ่งร่างของตนออกไปทางหญิงสาวผู้มีนามว่า 'เจน'

               หมัดของเขานั้นถูกตั้งไว้อยู่ทางด้านหลัง ส่วนฝ่ามือข้างหน้านั้นตั้งท่าเล็งไปที่พิกัดเป้าหมาย ทันทีที่อยู่ในระยะที่เหมาะสม เด็กหนุ่มจึงปล่อยหมัดลูกนั้นออกไปข้างหน้าทันที

               "หมัดพิฆาตดาวตก!!!" เด็กหนุ่มประกาศชื่อท่าของตนออกมา กำปั้นอันทรงพลังถูกปล่อยออกไปใส่หญิงสาวเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ทำเอาเหล่าคนในห้องชมรมถึงกับอ้าปากค้างไปตามๆกัน

               หญิงสาวผมไว้ผมทรงโพนี่เทลล์สีน้ำตาลยาวจนถึงกลางหลัง ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งของเธอรับหมัดลูกนั้นเอาไว้อย่างง่ายดายโดยไม่เกิดอาการสั่นไหวใดๆ เด็กหนุ่มที่ทำการโจมตียิ้มออกมา ก่อนจะใช้หัวของเขากระแทกที่หน้าท้องของหญิงสาวอย่างเต็มแรง ร่างของเธอกระเด็นออกไปเล็กน้อย แต่มือของเด็กหนุ่มก็ถูกส่งกลับไปอยู่กับเจ้าของตามเดิม

               "ชั้นล่ะอยากรู้จริงๆ..ว่าทำไมเธอถึงยอมลดพวกกล้ามเนื้อของเธอลงถึงขนาดนี้" เด็กหนุ่มเอ่ยออกมา ใบหน้าของเขานั้นยังคงยิ้มออกมาอย่างร่าเริง

               "การที่เธอลดกล้ามเนื้อลงไปขนาดนั้น..มันทำให้เธอดูอ่อนปวกเปียกขึ้นไปมาก"

               "ความทนทานของเธอก็ดูจะน้อยลงไปด้วย..ชั้นแค่ใช้หัวกระทุ้งแค่นี้ เธอก็กระเด็นไปแล้ว"

               เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาเพียงฝ่ายเดียวสักระยะหนึ่ง หญิงสาวเบื้องหน้าก็แหงนหน้าขึ้นมามอง ดวงตาสีเขียวมรกตถูกแสงส่องจนเกิดความเปล่งประกาย หญิงสาวกลับมายืนตรงอีกครั้งก่อนจะยิ้มให้เด็กหนุ่ม

               "อยากรู้ล่ะสิ..ว่าทำไมชั้นถึงต้องลงทุนลดพวกกล้ามเนื้อพวกนั้นออกไป" เจนเอ่ยออกมาด้วยเสียงเรียบนิ่งเย็นชา แม้ใบหน้าของเธอยังคงยิ้มอยู่ก็ตาม

               "เพราะสิ่งเหล่านั้นมันมีข้อเสียใหญ่ๆอยู่ข้อหนึ่ง..." ทันทีที่เจนเอ่ยจบ ร่างของเธอก็พุ่งมาด้วยความเร็วที่สูงกว่าปกติ ทำเอาเด็กหนุ่มใบหน้าถอดสี เจนวิ่งเข้าไปพร้อมกับใช้กำปั้นต่อยไปที่หน้าของเด็กหนุ่มอย่างแรง แต่ร่างของเด็กหนุ่มกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ได้เหมือนเดิม

               "เข้าใจแล้ว..เธอทำเพื่อความเร็วนี่เอง ดูท่าเธอจะใช้สมองแทนกำลังแล้วสินะ" เด็กหนุ่มจับกำปั้นของเจนให้ออกจากใบหน้าของเขาอย่างสบายๆ "แต่ยังไงพละกำลังก็ยังเป็นต่ออยู่ในตอนนี้นะ..เจน"

               "ไม่ซะหน่อย.." หญิงสาวเอ่ยจบก็บิดร่างของตนไปทางชายหนุ่มก่อนจะใช้มือทั้งสองจับแขนของชายหนุ่ม พร้อมกับตัดขาของเขาจนเสียสมดุล ร่างกายของชายหนุ่มลอยขึ้นเหนือพื้น

               "เฮ้อ..บ้าจริง" ชายหนุ่มอุทานออกมาด้วยหน้านิ่ง ก่อนจะถูกเจนใช้ท่ายูโดเหวี่ยงข้ามร่างของเธอออกจากสังเวียน

               ปี๊ด!!! เสียงนกหวีดของครูฝึกดังขึ้น แสดงถึงการจบการต่อสู้ในครั้งนี้ เด็กหนุ่มในชุดบู๊ยันร่างขึ้นมามองเจนพร้อมกับโค้งคำนับเธอ เจนก็ทำการโค้งคำนับเช่นเดียวกัน

                “ครั้งหน้าชั้นชนะเธอแน่..เจน” เด็กหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยสายตาและน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น

                “จ๊า..พ่อคนเก่ง” เจนเอ่ยออกมาทิ้งท้าย ก่อนที่ทั้งสองจะออกจากสังเวียนไป

                เจนเดินย่างก้าวไปเข้าไปที่ห้องล็อกเกอร์ฝั่งของผู้หญิงของโรงเรียนแห่งนี้ หญิงสาวเดินเข้าไปเปิดล็อกเกอร์ส่วนตัวของตนและหยิบเสื้อผ้าใหม่ออกมา แล้วจึงถอดเสื้อผ้าที่กำลังสวมใส่อยู่ออกไปก่อนจะพับให้เรียบร้อยแล้วจึงเก็บเข้าที่ เจนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ซึ่งเป็นชุดยูนิฟอร์มหญิงของโรงเรียน เธอเก็บของใส่ล็อกเกอร์แล้วจึงหยิบกระเป๋าสะพายที่อยู่ภายในล็อกเกอร์ขึ้นมาก่อนจึงค่อยปิดล็อกเกอร์ของเธอ แล้วจึงเดินออกมาจากตัวโรงเรียนซึ่งในตอนนี้ก็พลบค่ำเสีย

               ตามทางถนนไร้ซึ่งคนเดิน มีเสียงลมพริ้วไหวดังไปทั่วทุกทิศ ใบไม้ต่างร่วงโรยรายลงมาจากต้นมากมาย ดวงอาทิตย์ที่ใกล้รับขอบฟ้าเปล่งแสงสีส้มอ่อนออกมาก่อนจะถูกความมืดมิดกลืนกินเข้าไป เจนเดินมาตามทางถนนก่อนจะเข้าตรอกซอยเปลี่ยว เธอเดินไปในนั้นได้ไม่นานก็มีเสียงของชายกลุ่มหนึ่งดังขึ้น

               “สวัสดีน้องสาว..” กลุ่มชายวัยกลางคนในชุดเสื้อผ้าแลดูคล้ายพวกอันตรพาลปนกับพวกโรคจิต พวกมันเอ่ยออกมาพร้อมกับสายตาที่ดูจ้องเล็งไปที่บางส่วนของเจน ..โดยเฉพาะสิ่งที่อยู่ภายในกระโปรงสั้นสีน้ำเงิน

               “สนใจมานั่งมอร์’ไซต์ กับพี่ป่าว” ชายคนหนึ่งเสนอตัวออกมา เจนที่กำลังเดินอยู่ก็ต้องหยุดฝีเท้าลงแล้วเอ่ยออกมา

               “ขอโทษนะค่ะ..ชั้นคงจะไปกับพี่ไม่ได้หรอกนะค่ะ ที่บ้านเคยสอนไว้ว่าไม่ควรไปยุ่งกับพวกน่ารังเกียจอย่างพวกพี่น่ะค่ะ” เจนเอ่ยออกไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายเกิดอาการฉุนแม้แต่น้อย แต่ชายผู้นั้นกลับเดินย่างกรายใกล้เข้ามาที่เจนขึ้นเรื่อยๆ

               “ปากดีอย่างนี้กับพี่..ระวังจะร้องทั้งคืนนะ อั้ก!!” ทันทีที่ชายผู้นั้นหยุดลง มือทั้งสองก็เคลื่อนไปจับก้นของหญิงสาว แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าคนที่เขากำลังทำอนาจารย์อยู่เป็นยอดฝีมือในชมรมศิลปะการป้องกันตัว เมื่อมือทั้งสองของชายผู้นั้นสัมผัสที่ร่างของเจน ปลายเท้าก็แหวกอากาศฟาดเข้าที่ก้านคอของชายผู้นั้นจนร่างกระเด็นปะทะกับกำแพง ทำให้เกิดรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ขึ้นบนฝาผนัง หญิงสาวหันกลับมาหาชายอีกสองคนที่กำลังมองเธอด้วยสายตาที่โกรธปนกลัว

               “เฮ้ย! ตื่นดิ..แม่งเอ๊ย” ชายอีกคนหนึ่งอุทานออกมา เมื่อพบว่าเพื่อนของเขาหมดสติไปแล้ว“..ไอ้เด็กเวรเอ้ยยย!!!”

               “พวกคุณต่างหากล่ะที่ต้องใช้สรรพนามนั้นเรียกแทน..เอาแต่ทำตัวเป็นปัญหาของสังคมอยู่เรื่อยๆ” หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีเขียวมรกตเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนยกแขนทั้งสองขึ้นมาตั้งการ์ดขึ้นมาบริเวณใบหน้าเพื่อป้องการการโจมตีเข้ามาถึงจุดสำคัญ ก่อนจะกวักเรียกอีกฝ่ายเข้ามา

               “ย้ากกกก! ..” ชายคนนั้นวิ่งเข้ามาเตรียมจะง้างกำปั้นต่อยไปที่เจน แต่ด้วยประสบการณ์ที่ได้รับมาจากการฝึกฝนอันหนักหน่วง ร่างของเธอจึงรวดเร็วกว่าที่ชายคนนี้จะเบือนร่างหลบ เขาจึงโดนหมัดของหญิงสาวผู้เปราะบาง(รึเปล่า!?)เสยคางจนหงายเงิบลงไปนอนกองกับพื้น

               หญิงสาวมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตาที่แลดูเย็นชา แล้วจึงค่อยกวาดตามองชายคนสุดท้ายที่กำลังวิ่งมาพร้อมกับท่อเหล็กที่ยาวประมาณเมตรครึ่งไว้อยู่บนมือ เขาง้างมือทั้งสองพร้อมฟาดลงไปที่เจน แต่..มีด้วยหรือที่พละกำลังจะชนะความเร็วและสมอง เจนพุ่งตัววิ่งเข้าใส่ชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นเองท่อเหล็กก็ถูกฟาดลงมาที่เจน แต่มันกลับเร็วไม่เท่าความเร็วที่เธอกระทำ หญิงสาวพุ่งตัวลอดร่างผ่านหว่างขาของชายผู้นั้นไป พร้อมกับตั้งหลักลุกขึ้นมา แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ท่อเหล็กที่ถูกตีใส่พื้นกลับเคลื่อนที่ลากพื้นหินจนเกิดเสียงดังพร้อมประกายไฟเพื่อจะฟาดใส่หญิงสาวที่อยู่ข้างหลัง เจนดีดตัวเองขึ้นกลางอากาศออกจากอาณาเขตของท่อเหล็ก ซึ่งมันกลับเป็นไปตามแผนของชายผู้นั้น ร่างของหญิงสาวที่ลอยสูงจากพื้นไม่สามารถเคลื่อนที่บิดร่างกายให้เปลี่ยนทิศทางได้ บุรุษผู้นั้นจึงแสยะยิ้มออกมาก่อนจะทิ้งท่อเหล็กและวิ่งเข้าใส่เจนที่เสียการบังคับการเคลื่อนที่โดยพลัน เจนเห็นดังนั้นดวงตาของเธอเบิกกว้าง เธอได้ทราบแล้วว่าผู้ชายที่เธอกำลังเผชิญอยู่นั้นไม่ใช่พวกอันธพาลปกติที่เอาแต่ใช้กำลังเพียงอย่างเดียว ชายผู้นี้กลับใช้สมองในการต่อสู้ควบคู่ไปด้วย เธอบิดท่อนขาฟาดเข้าใส่ร่างของบุรุษผู้นี้ แต่ขาของเธอกลับถูกจับไว้ก่อนจะถูกดึงลงมาจากกลางอากาศจนร่วงลงมานอนกองอยู่กับพื้น ชายหนุ่มเตรียมชักมือข้างนั้นกลับมาแต่กลับถูกเจนยึดติดไว้ด้วยมือทั้งสอง ก่อนจะใช้ขาทั้งสองข้างล็อคแขนข้างนั้นของชายผู้นี้เอาไว้จะบิดข้อมือของชายผู้นี้อย่างรุนแรง แต่ร่างของเธอกลับถูกยกขึ้นอย่างง่ายดายก่อนจะถูกโยนออกไปจากแขนของเขา เจนที่ลอยออกไปหันหลังมาตั้งหลักพร้อมทั้งหอบหายใจ ในขณะที่ชายผู้นั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยแม้แต่น้อย

               “ผู้ชายนี่มันพวกบ้าพลังจริงๆเลยนะ” เจนเอ่ยขึ้นในขณะที่เธอกำลังคิดหาวิธีจบการต่อสู้ครั้งนี้โดยเร็ว เธอหันไปมองท่อเหล็กที่ชายผู้นั้นทิ้งไว้ เจนจึงเข้าไปหยิบมันมา พร้อมกับควงท่อนั้นราวกระบองไม้ แล้วจึงกวักมือเรียกชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้า

               ทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ เจนกลับได้เปรียบขึ้นเนื่องด้วยท่อที่ยาวและความคล่องตัวในการใช้ ทำให้อีกฝ่ายทำได้แต่เพียงหลบหลีกไปเท่านั้น แต่ความได้เปรียบนั้นก็อยู่ข้างเจนได้ไม่นานนัก ชายหนุ่มจับทางของหญิงสาวได้ที่ใช้ท่อดั่งกระบองและมีการฟาดโจมตีคล้ายกับท่าทางของกระบี่กระบองผสมผสานกับกระบองสองท่อน ชายหนุ่มผู้นี้จึงถอยหลังออกห่างจากหญิงสาวไปหลายก้าว แล้วจึงดีดร่างของตนพุ่งเข้าหาหญิงสาว ทำให้เธอเกิดอาการตกใจเล็กน้อย แต่จากประสบการณ์ทำให้สามารถเรียกสติกลับมาได้เร็ว เธอจึงตั้งท่อเป็นแนวขวางป้องกันการโจมตีของชายผู้นี้ที่กำลังถูกปล่อยออกมาในรูปของฝ่ามือคาราเต้

               ครึ้กก!!! ท่อโลหะที่น่าจะหนาได้มากกว่าหนึ่งมิลลิเมตรหักออกมาเป็นสองส่วน เจนอึ้งตะลึงขาทั้งสองกลับแข็งทื่อเคลื่อนที่ไม่ได้ ต่างจากฝ่ามือของชายหนุ่มที่กำลังจะเข้ากระทบที่ต้นคอของเธอภายในเสี้ยววินาที

               ‘ขอโทษนะเจฟ..ชั้นคงไปหาเธอไม่ได้แล้วล่ะ’ เจนคิดในใจพร้อมกับปิดเปลือกตาทั้งสองลง ไม่ทันที่ดวงตาของเธอจะปิดตาลงสนิท แรงลมก็ปะทะกับเรือนผมของเธอจนปลิวไสว เจนเปิดตาขึ้นด้วยความมึนงงว่าทำไมตนเองจึงไม่ได้รับความเจ็บปวดใดๆ แต่เมื่อหันไปมองก็รู้ทันทีว่าฝ่ามือของเขานั้นยังไม่ได้ฟาดใส่ลำคอของเธอแต่อย่างใดถึงแม้ว่าฝ่ามือนั้นจะห่างจากต้นคอของเธอเพียงไม่กี่เซนติเมตร

               “ขอโทษด้วยนะครับ..คุณผู้หญิง” ชายหนุ่มเบื้องหน้าเอ่ยออกมาพร้อมกับชักมือของตนกลับไป

               “ก่อนที่ผมจะสับคอคุณก็ดันฉุกคิดได้ก่อนว่าคนเริ่มเป็นเพื่อนโรคจิตของผมเอง..ต้องขอโทษแทนพวกเค้าด้วยนะครับ” ชายหนุ่มโค้งลงมาแสดงความขอโทษ แต่ด้วยความเคยชินที่เมื่อมีคนทำการโค้งให้ เจนจึงโค้งตาม ชายหนุ่มที่เห็นจึงเงยขึ้นมาและหัวเราะเล็กน้อย

               “ไม่ต้องโค้งหรอกครับ..ผมแค่จะขอโทษคุณแทนเพื่อนก็เท่านั้น”

               “อ่อ..ค่ะ” เจนเงยขึ้นมาพร้อมอาการอายเล็กน้อย

               “ฝีมือคุณนี่เก่งไม่เบาเลยนะครับ..ตอนแรกผมก็เหวอเหมือนกันนะ แต่ทำเพื่อเพื่อนก็เลยไม่ค่อยตกใจเท่าไหร่” ชายหนุ่มเอ่ยชมฝีมือของหญิงสาวเบื้องหน้า

               “ขอบคุณค่ะ..” เจนตอบกลับไปด้วยถ้อยคำสั้นๆ

               “ก่อนจะถูกผมฟาดใส่ลำคอ ทำไมคุณถึงไม่เคลื่อนหลบไปล่ะครับ..ถ้าทำอย่างนั้น ผมก็เสียการทรงตัวไปแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยถาม

               “ชั้นแค่ตะลึงกับความสามารถของคุณก็เท่านั้นเอง ไม่นึกเลยว่าข้างนอกโรงฝึกจะมีพวกที่มีทั้งพลังและสมองอยู่ด้วย” เจนตอบกลับไป

               “ฮ่าฮ่าฮ่า..ก็ต้องมีบ้างสิครับ” ชายหนุ่มหัวเราะอย่างร่าเริง แต่แล้วเจนที่จำจุดประสงค์ของตนเองได้ก็ถามชายหนุ่มถึงเรื่องหนึ่งทันที

               “คุณค่ะ..ตอนนี้กี่โมงแล้วค่ะ” เจนเอ่ยถามเวลาเพราะทั่วทั้งร่างของเธอไม่มีสิ่งใดใช้บอกเวลาได้เลย ยกเว้นแต่สิ่งที่อยู่บนข้อมือของชายผู้นี้

               “อีกสิบห้านาทีหนึ่งทุ่มครับ” ชายหนุ่มตอบกลับมา

               “ตายจริง..ชั้นสายเหรอเนี่ย” เจนอุทานออกมา ก่อนจะเตรียมวิ่งออกไป

               “เดี๋ยวก่อนครับคุณ!!” ชายหนุ่มเรียกหญิงสาวดวงตามรกต “คุณลืมกระเป๋าครับ”

               เจนได้ยินดังนั้นจึงวิ่งกลับมา กล่าวขอบคุณก่อนจะวิ่งไปอีกรอบแต่ถูกชายหนุ่มรั้งไว้ก่อน

               “อย่าพึ่งไปสิครับ..ยังไม่ได้แนะนำตัวกับผมเลยนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น “พวกคนที่มีฝีมือดีอย่างคุณเนี่ย..ผมค่อนข้างอยากรู้จัก”

               “ก็ได้ค่ะแต่ช่วยเร็วๆหน่อยนะ..” เจนเอ่ยขึ้น พร้อมกับยืนนิ่งเบื้องหน้าชายหนุ่ม

               “ผม..มอรริส อีเทนไฮย์..” ชายหนุ่มแนะนำตัวของตนเอง ก่อนจะยื่นมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบแผ่นกระดาษเล็กไปให้กับเจน “ส่วนนี่นามบัตรของผมครับ”

               “อ่าวนี่..พวกเราอายุเท่ากันเหรอ นึกว่าคุณจะแก่กว่าชั้นสักปีสองปีซะอีก” เจนกล่าวมา

               “หน้าผมแก่ขนาดนั้นเลยเหรอครับ ฮ่าฮ่าฮ่า” มอรริสหัวเราะเสียงดังลั่น

               “ใช่ค่ะ..” คำตอบของเจนทำเอามอรริสกรามค้างหรือหัวเราะไม่ออก “ชั้นพูดเล่น..อย่าคิดมากน่า”

               “เฮ้อ! เกือบเสียศูนย์เลย” ชายหนุ่มอุทานออกมา “ตาคุณแล้วครับ”

               “ชั้นชื่อเจน..เจน อาร์เคนซอว์ ชั้นก็อายุสิบแปดเท่ากับคุณ ชั้นเรียนอยู่โรงเรียนนานาชาติแห่งเดียวในแถบๆนี้” เจนเอ่ยออกมาก่อนจะหันหลังวิ่งออกไป “งั้นชั้นขอไปก่อนนะ..มอรริส”

               “โชคดีครับ ขอให้กินตับกับแฟนอย่างมีความสุขนะครับ” มอรริสพูดติดตลก แต่กลับทำให้หญิงสาวผู้นี้เกือบสะดุดล้มก่อนจะหันมายิ้มแหยให้มอรริสแล้วจึงหันกลับและวิ่งต่อ “ผมพูดเล่นครับ..งั้นบ๊ายบาย ไว้เจอกันใหม่ครับ”

               เจนวิ่งออกมาได้ไม่นานนัก เบื้องหน้าของเธอกลับเป็นโรงพยาบาลที่เจฟพักแล้ว เธอเดินเข้าไปที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ หญิงคนหนึ่งที่เป็นพนักงานประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็สังเกตเห็นหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาว ผู้มีดวงตาสีเขียวดั่งมรกต พนักงานหญิงเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก่อนปฏิบัติหน้าที่ของตน

               “ให้ดิฉันช่วยอะไรคุณมั้ยค่ะ..” พนักงานหญิงเอ่ยถามตามมารยาทของหน้าที่ที่ตนเป็นอยู่

               “ค่ะ..ช่วยหาห้องที่มีคนป่วยที่ชื่อ ‘เจฟเฟอรี่ วู้ดส์’ พักอยู่ให้หน่อยค่ะ” เจนบอกในสิ่งที่ตนต้องการทราบกับพนักงานหญิงผู้นี้ เธอจึงป้อนข้อมูลชื่อของเจฟลงไปในคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบหาห้องที่เขาพักอยู่ เพียงไม่กี่วินาทีเธอก็แจ้งกลับมา

               “เจฟเฟอรี่ วู้ดส์ พักฟื้นอยู่ห้อง 433 ค่ะ ตอนนี้คุณหมอแบรี่กำลังตรวจเช็คสภาพผู้ป่วยอยู่ค่ะ”

               “ขอบคุณค่ะ..” เจนเดินออกมาจากประชาสัมพันธ์ทันที มุ่งหน้าไปที่ห้อง 433

               เธอมุ่งตรงไปที่ลิฟต์แล้วจึงกดเพื่อให้ลิฟต์เลื่อนลงมาในชั้นที่เธอยืนอยู่ หญิงสาวรอไปได้ไม่นานนักประตูก็ถูกเปิดออก เธอเดินเข้าไปภายในแล้วลิฟต์จึงปิดประตูลง มันค่อยๆเลื่อนขึ้นสู่ชั้นที่สี่ของโรงพยาบาลแห่งนี้ เธอยืนรออยู่ภายในได้ไม่นานก็ถึงจุดหมาย ประตูลิฟต์ได้ถูกเปิดออก เจนเดินออกมาจากที่เดิมมุ่งหน้าไปที่ห้องของเจฟ

               เธอเดินตรงไปด้วยฝีเท้าที่ก้าวเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่นานเธอก็มายืนอยู่หน้าห้องของเจฟแล้ว หญิงสาวเลื่อนจับลูกบิดพร้อมเปิดอย่างช้าๆ แสงสว่างจ้าสีขาวสาดส่องเข้าไปในดวงตาก่อนที่ตาของเธอจะปรับสภาพให้เห็นภาพได้ดังเดิม หญิงสาวพบกลับชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียง ผมของเขามีสีดำเช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่ดูไร้เรี่ยวแรงและชีวิตชีวา บริเวณปากที่มีรอยฉีกขาดและจมูกอันโด่งชันมีอุปกรณ์ช่วยหายใจกำลังทำงานอยู่ สายรยางค์ของอุปกรณ์ถูกต่อยาวไปที่เครื่องที่บรรจุอากาศไว้ เสื้อผ้าของเขาถูกเปลี่ยนเป็นชุดคนไข้สีเขียวอ่อนตามปกติ ร่างของเจฟนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลของไฟหม้ ผิวหนังบางส่วนถูกเผาไหม้จนเห็นกล้ามเนื้อสีแดง บางจุดดำเกรียม บางส่วนก็ผิดรูปร่างเดิมของมันไป เธอมองใบหน้าของเขาที่ดูไร้สติด้วยสายตาที่แลดูเศร้าหมอง เธอเดินเข้าไปใกล้เตียงของเจฟ แต่หมอผู้ร่างกายอ้วนท้วม ใบหน้าของชายผู้นี้ถูกปิดบังไว้ด้วยแว่นตาสีขาวและผ้าปิดปากอนามัย กลับหันมากันหญิงสาวเอาไว้เสียก่อน

               “ในขณะนี้คุณเจฟเฟอรี่ยังไม่มีการตอบสนองใดๆ เขาต้องการการพักผ่อนสักระยะหนึ่ง” คุณหมอผู้น่าจะมีนามว่าแบรี่กล่าวอธิบายเจนให้เข้าใจถึงสิ่งที่เจฟกำลังประสบอยู่ “จนกว่าจะวันพรุ่งนี้ คุณจึงจะสามารถพูดคุยกับเขาได้นะครับ ฉะนั้นกะ...”

               “เดี๋ยว!!!” เสียงแหบแห้งไร้เรี่ยวแรงของชายหนุ่มดังขึ้น เจฟพยายามยกตัวขึ้นมานั่งแต่แล้วก็ล้มลงไปนอนเช่นเดิม พยาบาลต่างเข้าไปห้ามไม่ให้เขาลุกขึ้น

               “คุณหมอแบรี่ครับ..ผมขอคุยกับผู้หญิงคนนั้นหน่อยครับ” เจฟกล่าวขอร้องคุณหมอด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก “..ผมขอร้องละครับ”

               “ก็ได้ครับ..แต่อย่านานนักนะครับ ไม่อย่างนั้นคุณจะกลับมาเป็นปกติได้ช้าลงกว่าเดิม” หมอผู้มีร่างอ้วนท้วมเอ่ยเสร็จ จึงเรียกเหล่าพยาบาลให้เดินออกไปจากห้องพร้อมๆกับเขา

               เมื่อเจนเห็นว่าคุณหมอและพยาบาลได้เดินจากห้องไปแล้ว เธอถอนหายใจออกมาพร้อมเดินตรงไปหาเจฟที่ตอนนี้กวาดดวงตาอันไร้เรี่ยวแรงและชีวิตชีวามาหาหญิงสาว

               “เลิกทำเป็นคนใกล้ตายได้แล้ว..เจ้าบ้า!” เจนเอ่ยออกมา

               “โธ่! ดันจับไต๋ซะงั้นอ่ะ..ไม่สนุกเลย” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาพร้อมแสดงอาการเซ็ง ดวงตาที่ดูไร้ชีวิตชีวากลับมาร่าเริงและดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิม “ว่าแต่เธอมาทำอะไรที่นี่..มาเยี่ยมชั้นเหรอ..เป็นห่วงอ่ะดิ คิกคิก”

               “ไม่ใช่ซะหน่อย..” เจนเอ่ยคำแก้ตัวออกมา ถึงแม้จะไม่อยากหลอกใจตัวเองว่าเธอรักเจฟ แต่ก็ต้องตีหน้าเข้มใส่ แม้ว่าในตอนนี้แก้มจะถูกเปรอะเปรื้อนเต็มไปด้วยสีแดงชมพูก็ตาม

               “ชั้นแค่จะเอาดอกไม้มาให้เฉยๆ” เจนเอื้อมมือลงไปหยิบช่อดอกไม้ภายในกระเป๋าที่สะพายมาตลอดทาง ภายในช่อมีดอกกุหลาบสีแดงเบ่งบานอยู่หลายดอก เธอนำไปวางไว้บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงเตียงที่ชายหนุ่มกำลังนอนอยู่ แล้วจึงลงไปนั่งบนเก้าอี้ใกล้ๆเตียงของเจฟ

               “ว่าแต่แมรี่กับดอลลี่เป็นยังไงบ้างล่ะ” เจฟเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

               “พวกเธอไปแล้วล่ะ” ทันทีเจฟได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที

               “พวกเธอตายได้ยังไงกัน..” เจฟแสดงสีหน้าวิตกกังวล “พวกเธอก็แข็งแรงดีไม่ใช่หรือไง..ที่ชั้นเห็นครั้งสุดท้ายน่ะ”

               “ผิดแล้วเจฟ..” เจฟเบือนหน้าไปมองที่เจนทันที

               “พวกเธอน่ะเป็นโรคลึกลับที่แทรกซ้อนอยู๋ภายในร่างกาย” เจนอธิบายด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง "แต่ถึงพวกเธอจะเป็นโรคเดียวกัน แต่กลับแสดงอาการต่างกัน"

               “ยังไง?” เจฟแสดงสีหน้างงงวย

               “แมรี่น่ะมีอาการที่เม็ดเลือดเข้าผสมกับบางอย่างจนเกิดกลั่นตัวรวมกันเป็นของเหลวสีดำ เส้นเลือดบริเวณดวงตาปูดโปนออกมาจนเหมือนกับว่าสีตาด้านนอกเป็นสีดำ” เจนหยุดหายใจ พร้อมกับสังเกตสีหน้าจริงจังของเจฟที่ฟังอย่างใจจดใจจ่อ เธอยิ้มออกมาแล้วจึงอธิบายต่อ

               “ผมกับสีผิวของแมรี่ก็เปลี่ยนเป็นสีขาวซีด..” เจนเอ่ยด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง “หลังจากนั้นไม่นานก็มีอาการแทรกซ้อนขึ้นมาอีก”

               “ดวงตาด้านในมีเลือดสีแดงที่ยังเหลือคลั่งอยู่ภายในจำนวนมากจนดูเหมือนมีดวงตาสีแดง แล้วเลือดสีดำก็เริ่มไหลออกมาทางปาก ดวงตา หู จมูก จนเธอรับต่อไปไม่ไหว”

               “แล้วดอลลิเอลล่าล่ะ..” เจฟเอ่ยถาม

               “เธอรู้จักเป็นห่วงยัยนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เจนแสดงสีหน้าสงสัย

               “ถึงยัยนั่นจะร้าย แต่ก็เป็นเพื่อนของพวกเราไม่ใช่เหรอ” เจฟเอ่ยออกมา

               “เฮ้อ! นายนี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ..เจฟ” เจนส่ายหน้าไปมา “ทำตัวเหมือนพวกฮีโร่ในการ์ตูนของเด็กห้าขวบไม่มีผิด”

               “ดอลลิเอลล่าน่ะมีอาการคล้ายกับแมรี่ แต่มีบางอาการที่ไม่แสดงออกมาหรือต่างกันออกไป”

               “เลือดของดอลลิเอลล่ายังเป็นสีแดงเหมือนเดิม ไม่มีอาการเส้นเลือดปูดโปนที่ดวงตาด้านนอก..ก็คือยังมีดวงตาสีขาวอยู่ ส่วนนัยน์ตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะเลือดคลั่งอยู่ภายใน ผิวขาวซีดเหมือนกัน กับอีกอย่างนึงที่ต่างกันออกไป”

               “ในตอนที่เธอตายแล้ว เลือดของดอลลิเอลล่าน่ะมีสภาพที่เป็นพิษร้ายแรงและเป็นกรดที่สูงมากจนหมอเอาเลือดของเธอปพิสูจน์ไม่ได้ว่าเธอเป็นโรคอะไร”

               “แล้วหมอรู้มั้ยว่าแมรี่เป็นโรคอะไร” เจฟถาม

               “หมอบอกว่าเลือดของเธอถูกเปลี่ยนเป็นสารสีดำโดยสมบูรณ์ซะก่อน เลย..เอาไปวินิจฉัยไม่ได้” เจนตอบ

               “เจน...” เจฟเอ่ยนามของหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้เคียง เจ้าของชื่อจึงหันไปหาผู้พูดทันที

               “อะไรเหรอเจะ..อุ๊บ!” ทันทีที่เธอหันมาริมฝีปากของทั้งสองก็ประกบกัน ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง ร่างกายหยุดนิ่งไม่ขยับ ไม่นานเจฟก็ผละปากออกมา

               “พวกเราแลกเฟิร์สคิสต์(First Kiss) กันแล้วนะ..อย่าตายก่อนซะล่ะ” เจฟกล่าวขึ้น ก่อนจะยกมือที่กำลังชูนิ้วก้อยอยู่ขึ้นมาไว้เบื้องหน้าเจน

               หญิงสาวมองไปที่เจฟสักพักแล้วจึงยิ้มออกมา “อืม..นายก็อย่าตายก่อนชั้นละกัน ไม่อย่างนั้น..ชั้นจะกรีดปากนายให้เผยอยิ่งกว่าเดิม”

               “โอ้! ใจเย็น..สาวน้อย” เจฟยกมือห้ามเจนเอาไว้ทันที

               “คิก..คิก ชั้นล้อเล่นน่า” เจนยกมือขึ้นปิดปากแล้วขำออกมาเบาๆ

               “เล่นอย่างนี้..ขอจับปล้ำเลยดีมั้ยเนี่ย” เจฟเอ่ยพร้อมตวัดลิ้นเลียปากดัง แพร่บ!

               “อันเล็กนิดเดียวอย่ามาพูดเลย..คิกคิกคิก” เจนหยิบกระเป๋าขึ้นมาพาดบ่าพร้อมยกมือขึ้นมาป้องปากหัวเราะเบาๆ

               “ใครเล็กฟ่ะ!!” เจฟเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางหงุดหงิด “ของชั้นน่ะใหญ่ยาวเท่าสะพานโกลเด้นเกตเฟ้ย..”

                "จ้าาา! ขอให้มันใหญ่อย่างนั้นจริงๆเถอะนะ..คิกคิกคิก" หญิงสาวป้องปากหัวเราะ ก่อนจะยืนขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปที่ประตู

               "ชั้นไปก่อนนะเจฟ..เดี๋ยวว่างๆจะมาเยี่ยมใหม่" หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาดั่งมรกตเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกมือร่ำลาชายหนุ่ม

               “เธอนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะเจน..” เจฟเอ่ยด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่กระนั้นคำพูดกลับไปถึงหูของเจน เธอเดินออกไปพร้อมกับปิดประตูลง “..ทั้งเข้มแข็งและแข็งแกร่ง”

               เธอเดินออกมาจนถึงลิฟต์ หญิงสาวรอจนลิฟต์เคลื่อนที่ลงมา ประตูนั้นถูกเปิดออกโดยภายในมีแต่ความว่างเปล่า เจนก้าวเข้าไปภายใน เธอกดไปที่ชั้นหนึ่งก่อนที่ประตูลิฟต์จะถูกปิดตัวและเคลื่อนที่ลง ในความสงบเงียบกริบ เสียงหนึ่งก็เข้ามาในหัวของเจน

               ‘เธอนี่เปลี่ยนไปมากเลยนะเจน..ทั้งเข้มแข็งและแข็งแกร่ง’ ใบหน้าของหญิงสาวเริ่มแดงก่ำไปจนถึงใบหู ใบหน้าที่เรียบนิ่งกลับแปรเปลี่ยนไป ความเขินอายกลับถูกนำเข้ามาแทนที่

               “ตาบ้าเจฟฟฟ!!!” หญิงสาวตะโกนดังสนั่นอยู่ภายในลิฟต์ด้วยความเขินอายอย่างสุดขีด “เจ้าบ้า เจ้าบ้า เจ้าบ้า เจ้าบ้าาาาาาา!!!”

               ไม่นานนักลิฟต์ได้หยุดเคลื่อนที่ลง หญิงสาวตั้งสติสูดหายใจเข้าออกเพื่อให้เกิดจิตใจที่สงบเสงี่ยม ทันทีที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก เจนได้เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยความสง่างาม ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากพื้นที่โรงพยาบาล เธอหันกลับไปมองระเบียงของห้องที่เจฟพักอยู่

               “เพราะเธอ..ที่ทำให้ชั้นมีความกล้าและเดินมาถึงจุดๆนี้ได้ ..ขอบคุณมากนะเจฟ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา