Creepypasta Family The Broken Myth
เขียนโดย Leragan
วันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.43 น.
แก้ไขเมื่อ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 14.07 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) [ตอนพิเศษ3.2] Don't Go to Sleep, You Won't Wake up
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความความไม่เป็นธรรมแห่งเวลาสร้างความไม่เท่าเทียมกับเหล่ามนุษย์ สองวันนั้นเปรียบได้แค่เพียงเศษเสี้ยวของวินาทีแห่งความรู้สึก หญิงสาวผู้มีนัยน์ตาสีเขียวราวกับมรกตที่ผ่านการเจียระไนมาได้ไม่นาน เธอจ้องมองดวงตะวันที่กำลังขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม แม้แววตายังคงแสดงอาการกระหายต่อการหลับใหล แต่แสงตะวันอันงดงามกลับทำให้หญิงสาวไม่รู้สึกถึงความกระหายในนิทราแม้แต่น้อย
“ดวงอาทิตย์ขึ้นน่ะ..มันสวยขนาดนี้เลยเหรอ” เจนเชยชมดวงฤกษ์สีแดงส้ม ในยามอรุณรุ่งแสงสว่างนั้นอ่อนโยน ยามสายและบ่ายกลับร้อมแรงและแข็งกร้าว แต่ทันใดนั้นเสียงของหญิงผู้หนึ่งก็กรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
“แม่!!!” เจนตะโกนออกมาดังลั่น หญิงสาวดีดตัวออกจากระเบียงแล้ววิ่งลงมาจากห้องนอนของตนทันที
หญิงสาวพุ่งตัวลงมาสู่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ทันการณ์ สิ่งที่เธอมองเห็นในขณะนี้มีเพียงศพที่โชกเลือดของพ่อและแม่ของตนที่นอนกองอยู่ที่พื้นกระเบื้อง สายโลหิตไหลรวมกันจนเกิดเป็นแอ่ง ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง เธอกัดฟันของตนด้วยความโกรธแค้นอาฆาต หญิงสาวที่ขณะนี้จิตใจเปี่ยมไปด้วยโทสะกวาดตาไปที่ฆาตกร เธอก็ต้องสะดุดกับร่างกายที่แลดูคุ้นตา..ใบหน้าของมันคล้ายกับเด็กหนุ่มผู้มีนามว่าเจฟ แต่ลักษณะท่าทางกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของมันกลมโตผิดปกติมาก อีกทั้งรอยยิ้มของมันแหวกไปถึงใบหู ฟันแหลมคมที่ถูกเรียงกันคล้ายฉลาม ไม่เพียงเท่านั้นร่างกายของมันกลับคล้ายว่าเป็นควันหรือเงาสีดำทมิฬ มันย่อตัวลงไปหยิบมีดที่ตกอยู่ขึ้นมาถือ ก่อนจะหันมาที่เจนช้าๆ ปลดปล่อยคลื่นความสยดสยองให้กับหญิงสาวเป็นอย่างมาก
มันยังคงยืนหยัดอยู่ที่จุดเดิมไม่เคลื่อนที่ หญิงสาวที่เห็นอสูรตนนั้นยังไม่เคลื่อนที่จึงตั้งสติสงบจิตใจเอาไว้ไม่ให้เกิดโทสะมากขึ้นไปกว่าเดิม ไม่นานนักมันยกมือของตนขึ้นมากุมบริเวณใบหน้าพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เจนจึงเคลื่อนที่ลงมาบนพื้นที่มีพื้นที่ระดับเดียวกัน แต่นั่นกลับทำให้มันหยุดหัวเราะลง ปีศาจที่ฆ่าพ่อแม่ของเจนกวาดตามามองที่เธอ ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยถ้อยคำที่สั้นแต่ได้ใจความ
“Go To Sleep” ปีศาจตนนั้นเอ่ยออกมาก่อนจะพุ่งร่างมาทางหญิงสาว
“ชั้นพึ่งตื่นย่ะ..ไม่มีอารมณ์จะนอนแล้ว” เจนตั้งการ์ดอย่างมั่นคงเตรียมรับการโจมตีของปีศาจตนนี้ แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของหญิงสาว
ร่างกายของปีศาจตนนั้นอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาของเจน หญิงสาวปิดตาลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับรู้ในด้านอื่นๆให้สูงขึ้น ทันใดนั้นสายลมก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจากทางด้านหลังของหญิงสาว เธอดีดตัวออกมาจากจุดเดิมแล้วจึงเปิดตาขึ้นมาก็พบว่าบริเวณจุดเดิมเกิดแรงลมที่ผิดเพี้ยนพร้อมกับร่างของฆาตกรที่แสดงท่าทางกวาดฟันใส่อากาศธาตุ
“บ้าเอ๊ย! ทำไมเจ้านี่ถึงเร็วขนาดนี้” หญิงสาวตกตะลึงกับความเร็วที่มันแสดงออกมา ซึ่งแม้ว่าเธอจะเป็นสมาชิกในชมรมศิลปะป้องกันตัวที่มีฝีมือที่อาจดีที่สุด กลับยังไม่สามารถอ่านการเคลื่อนไหวของมันออกได้ “..เจ้านี่มันไม่ใช่มนุษย์แล้ว”
มันหยุดนิ่งลงครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งตัวและหายไปอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เจนกลับสูดหายใจเข้าออกเพื่อเรียกสมาธิให้เกิดตื่นขึ้น เมื่อเธอสัมผัสได้ถึงแรงลมอีกครั้ง เธอก็เบี่ยงตัวออกมาจากรัศมีการฟัน แล้วสวนกลับไปด้วยฝ่ามือกระแทกที่หน้าอกของมัน ส่งผลให้ร่างของมันกระเด็นไปชนกับผนังอย่างรุนแรง หญิงสาวพุ่งตัวโดยตั้งใจจะโจมตีซ้ำใส่มัน อสูรร้ายเห็นดังนั้นก็ใช้มีดฟันไปที่เจนที่พุ่งมา แต่เธอกลับย่อตัวลงมาได้อย่างฉิวเฉียดแล้วยืนขึ้นมาง้างมือต่อยใส่ใบหน้าของมันด้วยแรงมหาศาล ผนังกำแพงแตกร้าวก่อนจะพังทลายลงมา ร่างของปีศาจตนนี้กระเด็นออกไปอีกทิศทาง เธอยืนหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเพื่อดูสถานการณ์ แต่เสียงหัวเราะของอสูรกลับดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างของมันที่ผุดลุกขึ้นมาจากเศษกองหินและกระเบื้อง เพียงชั่วพริบตามันก็พุ่งออกมาจากจุดนั้นด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมหลายพันเท่า หญิงสาวเบิกตาค้างแม้ว่ามีดเล่มนั้นจะถูกฟันไปที่ลำคอของเธอแล้วก็ตาม เลือดพุ่งกระจายออกมาจากคอของเธอกระเด็นไปทั่วบริเวณห้องก่อนจะล้มลงนอนกองกับพื้น เจนกลั้นสติสุดท้ายเอาไว้ พยายามจะดันร่างของตนขึ้นแต่แล้วก็ล้มลง ความเจ็บปวดเริ่มถาโถมเข้าใส่มากมายจนสติที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของเธอต้องหมดลง แสงตะวันที่เคยสาดส่องใส่ดวงตากลับหายวับไป ทอดทิ้งเธอให้อยู่เพียงลำพังในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่ามันนานเพียงใดแล้วหลังจากการหลับใหลภายในความมืดมิด แสงสว่างสีขาวบริสุทธิ์สาดส่องจากที่ใดที่หนึ่ง เจนเงยขึ้นไปมองด้วยเรี่ยวแรงที่กำลังจะหมดลง ภายในความมืดมิดบังเกิดประตูแห่งแสงสว่างเกิดขึ้น มันมาพร้อมกับร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่อยู่ในชุดราตรีสีขาวสะอาดตา ดวงตาและเรือนผมของเธอมีสีดำสนิท เธอเคลื่อนที่มาในทิศทางของเจนจนถึงจุดหมาย หญิงสาวผู้มีดวงตาสีดำคล้ายนิลย่อตัวลงมากุมมือของเจนเอาไว้
“ไม่ต้องร้อนรนตอข้าแต่อย่างใด..ข้าเข้ามาในที่แห่งนี้เพื่อพบเจ้า” หญิงสาวนิรนามเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความห่วงใย
“ข้าอยากจะช่วยเจ้าให้รอดพ้นจากความตายในที่แห่งนี้..โดยการนำดวงวิญญาณของเจ้ากลับเข้าสู่ร่าง”
“หากข้าทำเช่นนั้นได้..เจ้าจะยอมรับตกลงหรือไม่”
“ตกลง..” เจนเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ไร้เรี่ยวแรงดั่งคนที่ใกล้ตาย
“แต่มีเงื่อนไขอยู่ประการหนึ่ง..เจ้าจะยังคงตกลงอีกหรือไม่” หญิงสาวนิรนามตั้งเงื่อนไขกับเจนด้วยใบหน้าแลดูกังวล
“ชั้น...” เจนตระหนักครุ่นคิดทันที ถ้าหากเธอไม่รับข้อเสนอ เธอก็จะตายอย่างสูญเปล่า แต่หากเธอรับข้อเสนอจากหญิงแปลกหน้าผู้นี้ เธอก็อาจจะได้กลับมามีชีวิต แต่ต้องทำสิ่งทดแทน
“..ตกลง ชั้นยอมรับและจะทำตามเงื่อนไขนั้น”
“หากเป็นเช่นนั้นข้าจะตามในสิ่งที่ข้าได้เอ่ยวาจาไว้..”
“Síníodh an aisling,scramble gan Spiorad dídean, Ag filleadh ar a áit ar an eolas. (ด้วยนามแห่งความฝัน, ข้าจักช่วงชิงวิญญาณไร้ที่พักพิง, กลับสู่แหล่งพำนักที่คุ้นเคย)” หญิงสาวนิรนามร่ายคาถาเป็นภาษาไอริช ปรากฏวงแหวนเวทย์ที่ฝ่ามือของเธอทั้งสอง พวกมันต่างเรืองแสงสีม่วงออกมา
“Is é an comhlacht déanta de chré, Fola déanta suas de lasair,Ach bhí biotáillí cruthaíodh ó solas. Ar ais athraíonn. (กายที่เกิดจากดินเหนียว, สายโลหิตที่เกิดจากเปลวเพลิง และวิญญาณที่แตกต่างกันล้วนแต่กำเนิดโดยแสง)” เธอยังคงร่ายต่อไป แต่ในคราวนี้กลับปรากฏช่องว่างแห่งมิติเกิดขึ้นสองรู รูหนึ่งส่องไปถึงมหาวิหารสีทองที่ประทับอยู่บนก้อนเมฆมีเหล่าเทวดาและนางฟ้าต่างโบยบินกันอย่างมีความสุข อีกรูหนึ่งแสดงให้เห็นถึงเปลวเพลิงของบาปทั้งมวล เหล่าผู้คนถูกนำไปคุมขังและทำร้ายอย่างทุกข์ทรมาน เสียงร้องโหยหวนดังกึกก้องออกมา ภายใต้ความมืดมิดปรากฏปราสาทสีทมิฬ เสาค้ำจุนปราสาทเกิดจากเหล่าหัวกระโหลกของคนบาปต่อกันขึ้นไป
“Ní féidir an ráiteas athrú, Ba mhaith liom é a dhéanamh faoi mhionn, In ainneoin an scrios timthriall na beatha... (คำกล่าวที่มิอาจคืนคำ, ข้าจะปฏิบัติภายใต้คำสาบานนี้, แม้จักต้องทำลายวงจรแห่งชีวิต...)” เจนรู้สึกได้ถึงพลังงานบางสิ่งที่เธอไม่รู้จักกำลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ แม้ว่าจะหันไปรอบกายแต่กลับไม่พบสิ่งใดก็ตาม ความรู้สึกก็รู้สึกถึงบางอย่างกำลังคลืบคลานเข้ามา
“Beidh muid a thabhairt ar an anam ar ais chuige(ข้าจักทำมันให้สำเร็จ), BREAKING THE LIFE CYCLE : SPIRIT RETRACE!!!” ทันใดนั้นประตูแห่งสวรรค์และนรกก็ถูกเลื่อนประชิดเข้าด้วยกันจนสนิทบังเกิดประตูที่ภายในมีเพียงแสงสว่างสีทอง หญิงสาวนิรนามยื่นมือมาสัมผัสกับฝ่ามือของเจนที่เย็นเฉียบ
“ในวันใดที่ข้ากลับคืนสู่อนันตกาล ในวันนั้นเจ้าจะแตกระแหงดั่งก้อนดินไร้ชีวิต”
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป วิญญาณของเจ้าจักเป็นของข้า และพลังของข้าจักเป็นของเจ้า” และแล้วแสงในประตูมิตินั้นก็แพร่ขยาย ทำลายอาณาเขตแห่งความมืดจนหมดสิ้น เจนจึงใช้แขนป้องตาจากแสงสว่าง แต่นั่นกลับทำให้เธอหมดสติลงไป “เราทั้งสองคือ..สิ่งเดียวกัน”
ไม่รู้ว่านานเพียงใดแล้วหลังจากหมดสติไป แต่หญิงสาวลืมตามาอีกครั้งหนึ่งก็พบว่าตนอยู่บนอาคารที่เกิดทะเลเพลิงเต็มชั้น เจนกวาดตามองรอบกายกลับพบว่าในขณะนี้ร่างกายของเธอมีสีขาวซีด ในมือข้างหนึ่งนั้นถือมีดเล่มหนึ่งเอาไว้ และชุดของเธอกลับถูกเปลี่ยนเป็นชุดราตรีสีขาวสะอาดตาที่ถูกทับด้วยเสื้อโค้ตหนังสีดำ เธอสวมรองเท้าส้นสูงสีดำพร้อมกับถุงน่องสีดำที่ยาวคลุมต้นขา แรงลมจากภายนอกอาคารทำให้หญิงสาวรู้สึกเย็นยะเยือกเสยเรือนผมสีดำเงาที่ยาวจนถึงหัวเข่าปลิวไสว เธอรู้สึกตกใจกับรูปลักษณ์ของตนในขณะนี้มาก แต่ก็ต้องตกใจกว่ากับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของเธอ อสูรร้ายที่เคยพรากชีวิตเธอและพ่อแม่ไป มันยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางควันไฟที่ฟุ้งกระจาย เจนจับมีดไว้แน่นก่อนจะหยิบขึ้นมาชี้ใส่ศัตรูเบื้องหน้า แต่แสงไฟนั้นสะท้อนใบหน้าของเจนที่อยู่ในใบดาบออกมาให้เห็นชัด หญิงสาวตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อพบว่าดวงตาทั้งสองของตนดำสนิทคล้ายนิลที่ผ่านการเจียระไนมาได้ไม่นาน เธอนึกหวนกลับถึงหญิงสาวนิรนามที่ทำให้เธอกลัลมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เธอรู้สึกขอบคุณหญิงสาวผู้นั้น แต่ในตอนนี้กลับไม่มีเวลามายืนคิดพร่ำเพ้อกับสิ่งใด ในตอนนี้คือช่วงเวลาในการล้างแค้น
“ในวันนี้ไม่ชั้นก็แกที่จะต้องตายที่นี่” เจนเอ่ยออกมาด้วยวาจาที่เปี่ยมไปด้วยโทสะ แต่นั่นกลับไม่ทำให้อีกฝ่ายตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แต่มันกลับทำให้อีกฝ่ายหัวเราะ
หญิงสาวไม่รอช้าดีดร่างพุ่งเข้าใส่มันทันที ความเร็วที่เธอสร้างขึ้นทำให้แม้แต่เจ้าตัวเกิดประหลาดใจขึ้น เพราะมันอาจเร็วพอๆกับความเร็วที่อสูรเบื้องหน้าได้เคยใช้ฆ่าเธอไปครั้งหนึ่ง เธอตั้งสติกลับมาพร้อมกับเพ่งสมาธิไปที่ศัตรูเบื้องหน้า แรงลมปะทะเข้ากับร่างกายของเธอ อาภรณ์ทั้งหมดปลิวไสวไปตามสายลม เมื่อถึงจุดที่มันอยู่ เจนก็ได้วาดมีดใส่ร่างของมันทันที แต่ร่างนั้นกลับหายไปต่อหน้าเจน ทันใดนั้นแรงลมก็เปลี่ยนทิศจากเบื้องบน หญิงสาวเบือนกายหลบมีดที่กำลังพุ่งตกลงมาสู่พื้นอาคาร การโจมตีครั้งนี้ของปีศาจร่างดำมืดสร้างแรงกระแทกมหาศาลจนทำให้พื้นอาคารในชั้นนั้นถล่มลงมาอยู่อีกชั้นหนึ่ง เจนที่อยู่กลางอากาศพยายามฟาดฟันใส่ปีศาจตนนั้นถี่รัว แต่กลับถูกมันใช้มีดวาดปัดป้องได้ทั้งหมด ก่อนที่ตัวมันจะร่วงหล่นลงสู่พื้น ในขณะที่เจนยังคงอยู่บนอากาศ เธอตัดสินใจม้วนร่างกลางอากาศใช้ส้นเท้าฟาดเข้าไปกลางศีรษะ สร้างแรงกระแทกมหาศาลกว่าครั้งก่อน เสาซีเมนต์ที่ใช้ค้ำจุนอาคารกลับแตกหักเอาโดยง่าย พื้นอาคารในชั้นนี้ถล่มอีกครั้ง เช่นเดียวกับตึกนี้ที่กำลังถล่มลงมาทั้งหมด ส้นเท้าของเธอมีของเหลวสีดำเปรอะเปรื้อนซึ่งน่าจะเป็นเลือดของอสูรตนนี้ แต่แล้วมันก็จับขาเจนเอาไว้ พร้อมกับเงยใบหน้าของมันขึ้นมา ดวงตาด้านนอกของมันที่เคยเป็นสีขาวกลับเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท มันเหวี่ยงเจนให้ลอยอยู่สูงกว่าตัวมัน ก่อนที่ตัวมันเองจะดิ่งลงไปเพื่อหาบางอย่าง หญิงสาวที่ถูกแรงเหวี่ยงมาควบคุมร่างกายก่อนจะพุ่งตามปีศาจตนนั้นไป แต่นั่นกลับเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ อสูรตนนั้นม้วนตัวใช้เท้าดีดร่างของตนจากก้อนหินที่กำลังลอยอยู่เพื่อสร้างแรงพุ่งมหาศาลให้กับมัน เจนที่ไม่ทันตั้งตัวได้พยายามหลบหลีกการโจมตีนี้ แต่มันก็สายเกินไป มีดของมันกระทุ้งใส่หน้าอกบริเวณหัวใจของเธอ เลือดนั้นกระจายไหลออกมาไม่ขาดสาย แต่ร่างกายของเธอยังคงลอยอยู่กลางอากาศโดยที่อสูรตนนั้นม้วนตัวอีกครั้งและดีดร่างของทั้งสองพุ่งดิ่งลงสู่พื้น ร่างของทั้งสองกระแทกพื้นอย่างรุนแรง เจนกระอักเลือดออกมามาก เลือดสีแดงฉานออกมาทางปาก จมูก และรูโหว่บริเวณหัวใจ เธอพยายามตั้งสติอีกครั้ง แต่นั่นกลับไม่ช่วยอะไร เธอไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าที่จะสู้ต่อ อสูรร่างมืดชักมีดของตนออกมาแล้วจึงก้มหน้าลงไปบริเวณหูของเธอ
“Go To Sleep” มันเอ่ยออกมาแล้วจึงยันร่างขึ้นพร้อมกับอันตรธานหายไปต่อหน้าเจนที่ใกล้ตาย
หญิงสาวพยายามตั้งสตืเพื่อไม่ให้ชีวิตอันมีค่าของตนที่พึ่งได้รับมาไม่นาน แต่แล้วเธอก็รู้สึกถึงบางอย่างภายในจิตใจ พันธสัญญาได้ขาดวิ่น เธอยิ้มออกมาที่มุมปาก
“อะไรจะเคราะห์ซ้ำกรรมซ้อนขนาดนี้นะ..เจนนี่” เธอเอ่ยออกมาด้วยความสมเพชในตนเอง เธอทนพิษบาดแผลไม่ไหวอีกต่อไป สติของเธอเริ่มเลือนลางหายไปใกล้จะหมดสิ้น ภายในอดีตหวนกลับมาทั้งหมด ภาพแห่งความสุขของครอบครัว ภาพที่เคยสนุกกับเพื่อนในวัยเด็ก..เจฟ..แมรี่ และภาพคนในชมรม น้ำตาของเธอได้ไหลออกมามากมาย
‘ขอโทษนะค่ะ..พ่อ’
‘ขอโทษนะค่ะ..แม่’
‘ขอโทษนะ..ทุกคน’
‘ขอโทษนะ..แมรี่’
‘ขอโทษนะ..เจฟ’ เธอพูดภายในจิตใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะดำมืดจนหมดสิ้น ‘เห็นมั้ยล่ะ..เจฟ ชั้นไม่ได้เข้มแข็งแม้แต่น้อย หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ’
“เฮ้! ยัยขี้แง..ตื่นได้แล้ว อย่าเอาชีวิตมาทิ้งไว้ตรงนี้สิ” เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น นั่นทำให้เจนที่กำลังหลับใหลเพื่อรอความตายตื่นขึ้นมาในห้องที่ดำมืดนี้อีกครั้งหนึ่ง “กว่าจะตื่นนะยัยเจนบ้า..เอาซะเหนื่อยเลย”
เจนเงยหน้าขึ้นไปก็ได้พบกับหญิงสาวผู้หนึ่ง มีปีกสีม่วงดำคู่หนึ่งอยู่กลางหลังของเธอ ร่างกายนั้นมีทรวดทรงดั่งเทพธิดา มีอาภรณ์ที่เป็นผ้าชิ้นบางๆสีดำม้วนอยู่รอบกายปิดบังส่วนลับเอาไว้ ผมสีม่วงสลับดำของเธอยาวเรียบถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีม่วงแวววาวเป็นประกายดุจพลอยสีม่วงวาววับที่มีนาม ‘แอมเมทริสต์’ เธอจ้องเขม็งมองมาเจนอย่างไม่ละสายตา แต่เจนกลับมองกลับไปที่หญิงสาวมีปีกด้วยความงุนงง
“นี่! เธอเป็นใครกันน่ะ”
“ยัยบ้า! อย่ามาอำกันเล่นสิ..” อีกฝ่ายแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา “ชั้นไม่ตลกด้วยนะ”
“ไม่! ชั้นไม่ได้อำเล่นซะหน่อย..” เจนเอ่ยออกมา “ชั้นไม่รู้จักเธอจริงๆ”
“สมองเสื่อมหรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวปีกม่วงแสดงท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “เธอจำเรื่องเมื่อสามเดือนก่อนได้หรือเปล่าเจน”
“สามเดือนก่อน..” เจนแสดงสีหน้าครุ่นคิด “วันนี้วันที่เท่าไหร่”
“วันที่ 12 เดือนกุมภาฯ ปี 2013” อีกฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนกำลังรอคำตอบ
“ฮ่ะ!! วันนี้ไม่ใช่ 2 ธันวา 2012 เหรอ” หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยความตกใจกับวันที่
“นี่แปลว่าเธอจำเมื่อสามเดือนก่อนไม่ได้เลยสินะ” หญิงสาวที่มีปีกคล้ายนางฟ้าเอ่ยออกมา “ถึงว่าทำไมในตอนนั้นถึงทำตัวเหมือนคนไม่มีจิตใจ”
“เอาล่ะ! ชั้นจะแนะนำอีกครั้งก็ได้..แต่ครั้งนี้อย่าลืมชั้นอีกซะล่ะ” หญิงสาวนิรนามเอ่ยด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่จริงจัง
“จ้ะ..” เจนได้แต่ตอบขานรับออกมาสั้นๆ
“ชั้นมีชื่อว่า ‘วีนาซิโอเลตต้า’ เป็นพวกเผ่าพันธุ์แอมเมทริสต์วิงก์จากอีกโลก พวกเรามีพลังเวทย์ในการเสริมพลังให้กับสิ่งต่างๆ ทำให้มีดทื่อสามารถใช้การได้เหมือนมีดคม ทำให้ชุดเกราะหนังสัตว์แข็งแกร่งพอๆกับชุดเกราะเหล็ก หรืออาจทำให้เปลวไฟบนหัวไม้ขีดกลายเป็นเปลวเพลิงเผาไหม้ทุกสิ่งได้” หญิงสาวเผ่าพันธุ์แอมเมทริสต์วิงก์เอ่ยแนะนำตัวเองพร้อมกับกล่าวถึงพลังเวทย์ที่แข็งแกร่งของตัวเองด้วยท่าทางภูมิใจ
“ชั้นเรียกเธอว่า ‘วีน่า’ ก็แล้วกัน” เจนเอ่ยออกมา นั่นทำให้สาวจากต่างโลกต้องหันมามองเจนด้วยสายตาที่เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเธอ “เธอไม่ชอบชื่อนี้เหรอ..”
“เธอจะเรียกอะไรชั้นก็ช่างเถอะ..แต่” หญิงสาวมีปีกกำมือไว้แน่น
“ห้ามมาขัดชั้นตอนที่กำลังพูดอธิบายเธออยู่ในยัยบ้า!!!” เธอตะโกนออกมาดังลั่นจนเจนนั้นตกใจ
“ชั้นขอโทษนะวีน่า..เชิญพูดต่อได้เลย” เจนกล่าวขอโทษ
“เฮ้อ! จริงๆชั้นก็ว่าอะไรเธอไม่ได้หรอกนะ ถ้าหากไม่มีเธอชั้นก็ไม่มีตัวตนอยู่” วีน่าเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเศร้าหมอง
“ตัวชั้นเกิดขึ้นมาครั้งแรกก็ภายในจิตใจเธอเมื่อสามเดือนก่อน..ชั้นไม่คุ้นเคยกับเธอมากนักหรอก แต่ก็พยายามปรับตัว”
“ชั้นคิดอยู่ตลอดว่าตนเองนั้นมันไม่มีค่าพอที่จะไปมีตัวตนอยู่จริง..แต่เธอก็คอยปลอบใจชั้นตลอด” น้ำตาของวีน่าเริ่มไหลออกมา
‘เปลี่ยนฟีลเร็วแฮะ’ เจนคิดอยู่ภายในใจ
“ก็เธอน่ะไม่ได้เป็นคนไร้ค่าซะหน่อย ในโลกนี้น่ะไม่มีใครที่ไร้ค่าหรอกนะ” เจนพยายามปลอบใจหญิงสาวที่ดูจะขี้แงกว่าตนเอง ตอนนี้ดวงตาของนางฟ้าปีกม่วงมีน้ำตามีคลออยู่จำนวนมาก เธอพยายามจะกลั้นไว้ แต่ก็ไม่สำเร็จ น้ำตาทั้งหมดที่กลั้นไว้ไหลนองเต็มใบหน้าของหญิงสาว เธอเริ่มสะอื้นไห้ออกมาหนักขึ้นและหนักขึ้น เธอทรุดร่างลงและร้องไห้ต่อไปเรื่อยๆ เจนไม่รู้จะปลอบหญิงสาวที่ทำตัวเหมือนเด็กผู้หญิงอายุห้าขวบที่ร้องไห้เพราะทำตุ๊กตาหมีตัวโปรดหายไป เธอจึงปลอบหญิงสาวผู้นี้แบบปลอบเด็กผู้หญิง
“โอ๋..อย่าร้องนะคนดี พี่นางฟ้าเจนนี่มาอยู่ที่นี่แล้วไงจ๊ะ” เจนเอ่ยพร้อมกับลูบหลังสาวน้อยขี้แง “ร้องไห้งอแงอย่างนี้..ระวังโตไปจะไม่สวยนะพี่จะบอกให้”
แต่ก็ยังไม่ทำให้สาวน้อยมีปีกหยุดร้องไห้ เธอพยายามหาวิธีเพื่อที่จะปลอบหญิงสาวผู้นี้ให้กลับมามีสติดังเดิม แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนที่เธอคิดออกก็ไม่สามารถทำให้หญิงสาวผู้นี้หยุดร้องไห้ได้ แต่ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในหัวเจน หญิงสาวนึกถึงวิธีที่แม่ของตนทำให้ตัวเองหยุดร้องไห้ขึ้นมาได้ เธอยิ้มออกมาที่มุมปากก่อนจะคิดถึงเตียงนอนที่บ้านเธอ และนั่นทำให้บังเกิดเตียงที่อยู่ในบ้านของเธอในห้องสีดำมืดมิดนี่ทันที หญิงสาวอุ้มร่างของสตรีมีปีกไปที่เตียง เจนนั่งลงพร้อมกับวางวีน่าให้นอนคว่ำที่ตัก
“วีน่า! หยุดร้องเดี๋ยวนี้” เจนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูมีอำนาจ แต่ก็ยังไม่ทำให้วีน่านั้นหยุดร้องได้ เจนจึงตัดสินใจใช้ไม้สุดท้าย เธอยกมือขึ้นไปกลางอากาศก่อนจะฟาดลงมาที่ก้นของสตรีมีปีกร่าง ร่างของวีน่าสั่นสะท้าน และเสียงร้องไห้ก็ทุเลาลง แต่ยังคงเหลือเสียงสะอื้นอยู่ เจนจึงยังคงตีต่อไปอีกสองครั้ง วีน่าก็ได้กลิ้งตัวลงมาจากตักของเจนอย่างรวดเร็วและรีบบินขึ้นกลางอากาศ เพื่อไม่ให้ถูกจับตีก้นอีกครั้ง เธอสัมผัสไปที่ก้นที่เริ่มแดงก็แสดงท่าทางเจ็บปวดออกมา
“ผู้หญิงบ้าอะไรมือหนักอย่างกับช้าง” เธออุทานออกมา แต่แล้วร่างของเธอก็ร่วงหล่นลงมาสู่พื้นทันที เธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมองเจน แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของหญิงสาวผู้นั้นแล้วก็พบว่าชะตาตัวเองนั้นขาดแล้ว
“ใครช้างจ๊ะ..แม่สาวน้อย” เจนแผ่ออร่ารังสีอมหิตไปโดยรอบ เกิดกลุ่มควันเงาสีดำมากมายเริ่มเข้ามาล้อมรอบร่างของทั้งสอง ดวงตาของวีน่ามีน้ำตาคลออีกครั้ง
“แม่จ๋า! หนูขอโทษ” นั่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนที่เหล่ากลุ่มควันเงาจะเข้ามาล้อมรอบกายทั้งสอง
หลังจากนั้นไปสักพักนึง เหล่ากลุ่มควันเงาก็สลายหายไปทำให้สามารถมองเห็นภายในได้ สิ่งที่อยู่ภายในนั้นร่างของวีน่าที่นอนกองอยู่กับพื้นพร้อมก้นที่มีสีแดงก่ำ ในขณะที่เจนกำลังนั่งอยู่ยนเตียงด้วยสายตาเรียบนิ่ง เมื่อเธอตั้งสติให้กลับมาได้และมาเห็นภาพเบื้องหน้าก็พยายามจะกล่าวขอโทษวีน่าที่ทำรุนแรงเกินไป
“วีน่า..” เจนพยายามจะกล่าวขอโทษ แต่เพียงเธอลั่นวาจาเป็นชื่อของสตรีมีปีก ร่างของหญิงสาวก็สะดุ้งโหยง พร้อมกับมานั่งพับเพียบทันที แต่ด้วยการกระทำอย่างกระทันหันทำให้บริเวณที่เจ็บปวดถูกกดทับลง น้ำตาที่คลอนั้นไหลออกมาหนึ่งหยดก่อนที่เธอจะพยายามอดทนเอาไว้ แม้ว่าร่างกายนั้นจะสั่นระริกก็ตาม
“ค่ะ..แม่” วีน่าเรียกเจนว่าแม่อย่างเต็มปาก นั่นทำให้เจนประหลาดใจ
“หนูขอโทษที่พูดไม่มีหางเสียง หนูขอโทษที่พูดหยาบคาย หนูขอโทษที่พูดไม่คิด หนูขอโทษที่...”
“ชู่..” สาวผู้มีดวงตาดั่งนิลดำขัดวีน่าเสียก่อน
“ไม่ต้องมาขอโทษแม่หรอกนะ” เจนเอ่ยออกมาด้วยสายตาที่มีเมตตา (แม้เมื่อกี้จะถูกครอบงำโดยความมืดก็ตาม) นั่นทำให้วีน่าโผเข้ากอดเจนทันที ..คงไม่แปลกที่เจนจะถูกเรียกว่าแม่ เพราะถ้าหากไม่มีเจน(เมื่อสามเดือนก่อน) ก็จะไม่มีวีน่าในตอนนั้นจนถึงตอนนี้ เธอให้กำเนิดวีน่าขึ้นมาจากขุมพลังที่เกิดจากรอยฉีกมิติจากต่างโลก โดยเจนนั้นเป็นร่างสถิตให้กับวีน่า ถ้าหากเจนตายไปวีน่าก็จะตายตาม แต่หากวีน่าตาย (ค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก) เจนก็ยังคงอยู่ แค่สูญเสียพลังพิเศษจากวีน่าเท่านั้น อีกทั้งเจนยังไม่ได้เป็นแค่ผู้ให้กำเนิดเพียงอย่างเดียว แต่เธอยังเป็นผู้สั่งสอน คนปลอบใจ และผู้ให้อภัย ทั้งหมดนี่แหละคือส่วนหนึ่งของคนที่ถูกเรียกว่า ‘แม่’
“ถ้าแม่ตายอย่างนี้แล้วลูกจะไปอยู่ไหนล่ะ..” เจนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“แม่ไม่ตายหรอกค่ะ..หนูลืมบอกไปพวกเราแอมเมทริสต์วิงก์มีพลังในการฟื้นคืนจากความตายได้ แต่จะได้แค่เดือนละครั้งเท่านั้น” วีน่าอธิบายออกมาด้วยนิสัยที่เปลี่ยนไปจนแทบจะไม่ใช่คนเดิม
“งั้นครั้งนี้ช่วยแม่หน่อยสิ” เจนเอ่ยขอร้องลูกสาว
“ได้ค่ะ..แต่มีข้อแม้นะค่ะ” วีน่าชูนิ้วชี้ขึ้นมา ก่อนจะชี้ไปที่ก้นแดงของเธอ “ทีหลังอย่าตีก้นหนูแรงนักสิค่ะ..เนี่ยแสบเลย”
“จ้ะ..แต่นี่แปลว่าแม่ยังตีก้นเธอได้อยู่สินะ” วีน่าฉุกคิด ก่อนจะรีบเอ่ยแก้ทันที
“ไม่..ไม่ หนูหมายถึงอย่าตีหนูอีกนะ” วีน่ารีบแก้ตัว
“ถ้าวีน่าเป็นเด็กดี แม่ก็จะไม่ตี..แต่ถ้าเป็นเด็กดื้อ ฮึ ฮึ” รังสีอมหิตปรากฏอีกครั้ง เจนยิ้มที่มุมปากอย่างชั่วร้าย ทำเอาร่างกายของวีน่าสั่นสะท้าน
“แม่..หนูกลัว” ร่างวีน่าสั่นระริก
“แม่แค่พูดจริงเอง” เจนยกมือขึ้นมาป้องปาก แล้วจึงขำออกมา
“แม่!!!” วีน่าตะโกนเสียงดัง
“จ๊า! อย่าเป็นเด็กดื้อแล้วกันนะ..วีน่า”
“งั้นช่วยแม่ให้หน่อย”
“ค่ะ..” หลังจากที่วีน่าขานรับ สติของเจนก็หลุดลอยหายไป ก่อนจะมาตื่นอีกครั้งบนเตียงนอน
หญิงสาวพยายามจะยันร่างขึ้นมาแต่ไม่สำเร็จ ร่างกายนั้นอ่อนเพลียเกินกว่าจะสามารถใช้งานได้ในขณะนี้
“เจน..เธอพักไปก่อนเถอะนะ” เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นทางด้านซ้ายของหญิงสาว เธอเบือนหน้าหันไปมองแต่กลับพบแต่ร่างของชายหนุ่มที่ถูกความมืดของห้องปิดบังรูปลักษณ์เอาไว้ ชายหนุ่มที่สังเกตเห็นว่าหญิงสาวได้หันมามองจึงเปิดโคมไฟเพื่อให้หญิงสาวได้เห็นผู้ชายที่อยู่เบื้องหน้า
“ชั้นเองไง...” ทันทีที่แสงสว่างกระทบกับใบหน้าของทั้งสอง ตาของหญิงสาวก็เบิกกว้างขึ้น ชายที่อยู่เบื้องของเธอคือบุรุษที่เธอคุ้นเคยดี “..เจฟเฟอรี่ วู้ดส์”
“เจฟฟฟ..” หญิงสาวผู้มีดวงตาเป็นนิลพยายามจะยกมือขึ้นไปที่เจฟ แต่มือนั้นกลับอ่อนแรงลงจนไม่สามารถยกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงกุมมือของหญิงสาวไว้แทน
“เจน..อย่าได้ห่วงเลย” เจฟเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ดูห่วงใย
“ยังจำสัญญาที่ชั้นให้ไว้กับเธอเมื่อเจ็ดปีก่อนได้มั้ย” หญิงสาวพยักขึ้นลงเป็นการตอบรับ
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวชั้นหรือเธอ ชั้นคนนี้ก็จะกลับมาปกป้องเธออย่างแน่นอน”
“นี่ถ้าเป็นคำพูดของพระเอกในละครคงจะน้ำเน่าน่าดู” หญิงสาวเอ่ย “แต่พอออกมาจากปากนายแล้วนี่มันสุขใจจริงๆ”
“จะด่าหรือจะชมกันแน่เนี่ย..เจน” เจฟยิ้มอ่อน แม้คิ้วจะกระตุกเล็กน้อย
“เอาเป็นว่าชมก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยออกมา ก่อนจะหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
“หลับให้สบายนะเจน..” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างห่วงใย แต่กลับแฝงเล่ห์นัยอยู่ในคำพูด
“ชั้นยังไม่ตายย่ะ..” เจนโวยวายออกมา
“อ้าวเหรองั้น..ก็ราตรีสวัสดิ์” เจฟเอ่ยบอกลา พร้อมกับปิดโคมไฟลง ทำให้ภายในห้องกลับมามืดมิดเช่นเดิม และชายหนุ่มเดินออกไปจากห้องในที่สุด
‘โรแมนติกจังเลยนะค่ะ..คู่นี้เนี่ย’ วีน่าเอ่ยออกมาด้วยอมยิ้ม ‘นี่แฟนแม่เหรอค่ะ’
‘ก็ประมาณนั้นแหละ..’ เจนตอบกลับไป ก่อนจะหาวออกมา ‘แม่ขอนอนก่อนนะ..พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่’
‘ราตรีสวัสดิ์ค่ะแม่..’ วีน่าบอกลา แล้วจึงก้าวไปเตียงที่เจนเคยสร้างเอาไว้ แล้วจึงเข้าไปนอน เมื่อหัวของเธอสัมผัสกับหมอน ร่างของเธอก็หลับใหลไปทันที ทั้งที่ยังไม่ได้ห่มผ้าเสียด้วยซ้ำ
‘จริงๆเลย..เด็กคนนี้’ เจนใช้ความคิดของตนเองควบคุมให้ผ้าห่มบนเตียงของวีน่ามาปกคลุมร่างของสาวน้อยที่กำลังหลับใหล
‘ราตรีสวัสดิ์นะวีน่า’ หญิงสาวเอ่ยออกมา ก่อนที่สติของเธอจะเลือนลางหายไป
หลังจากที่คิดหวนกลับย้อนอดีตความจำไปนานหลายชั่วโมง เจนก็กลับมาสู่โลกปัจจุบัน ในขณะนี้เธอกำลังนั่งอยู่ทางด้านข้างของเจฟที่กำลังอยู่สภาพโคม่า เธอนั่งเฝ้ามองชายที่เธอรักกำลังเจ็บทรมานโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้ เธอหันไปมองพิงกาเมน่า และเลโอน่าที่กำลังพูดคุยกันอยู่ หญิงสาวจึงเงี่ยหูฟัง
“แต่ยังไงการแยกสารเคมีที่มันยึดเป็นโครงสร้างเดียวกับเลือดแล้วเป็นเรื่องยากมากนะค่ะ” เลโอน่ากล่าวออกไป ทางพิงกาเมน่านั้นกำลังครุ่นคิดอยู่
“มันก็จริงอยู่..แต่นี่เป็นวิธีเดียวที่สามารถทำให้เจฟกลับมาเป็นปกติได้” พิงกาเมน่าเอ่ยออกมา
“แต่มันก็มีความเสี่ยงอยู่นะค่ะ..” เลโอน่าเอ่ยออกมา เหล่าคนที่กำลังเงี่ยหูฟังอยู่นั้นต่างหันหน้าไปทางเธอกันหมด
“ถ้าหากเราใส่พลังได้ไม่เพียงพอ พวกเราจะเสียพลังและเวลาอย่างสุญเปล่า และยังช่วยคุณเจฟไม่ได้อีก”
“แต่ถ้าหากเราใส่พลังมากเกินไป คุณเจฟอาจสูญเสียพลังการฟื้นฟู ทำให้ทนต่อพลังที่ได้รับเข้าไปไม่ไหวและสลายได้นะค่ะ” เมื่อเจนได้ยิน เธอก็เดินออกไปจากห้องทันที
“อีกอย่างในร่างนี้ของชั้นน่ะ..มีพลังอยู่ไม่มากนัก ตอนนี้ชั้นอาจจะช่วยคุณเจฟไม่ได้น่ะค่ะ” หลังจากที่หญิงสาวผมสีทองเอ่ยจบ ก็แสดงทีท่าฉุกคิดบางเรื่องขึ้นมาได้ “แต่ก็ยังมีพลังมากพอจะทำอย่างนี้”
เมื่อเลโอน่าเอ่ยเสร็จ เธอก็ใช้พลังของเธอสร้างม่านพลังสีทองเอาไว้รอบกาย แสงของมันเจิดจ้าซะจนไม่สามารถมองเห็นร่างของเลโอน่าได้อย่างชัดเจน สามารถเห็นได้เพียงแต่เงาของเธอ จากการสังเกตจะเห็นได้ว่าเธอกำลังนำมือทั้งสองฉีกไปที่หน้าอกของตนเอง หลายๆคนพยายามจะห้าม แต่ทันใดนั้นก็มีบางอย่างออกมาจากหน้าอกของเธอ ร่างเงาของบุรุษเคลื่อนที่ออกมาจากหน้าอกของหญิงสาว และเมื่อบุรุษผู้นั้นออกมาได้ทั้งร่าง ม่านพลังก็ถูกคลายลง ทำให้ภายนอกสามารถเห็นในสิ่งที่เลโอน่าทำไป
“โอ๊ย!! กว่าจะได้ออกมานะ..นานชะมัดเลย” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีแดง ผมสั้นสีทองบ่นออกมา “ไม่ได้เจอกันซะนานนะพวกนายน่ะ”
“ลาอ้อน!!!” คู่หูสองสาวต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน
“เท่านี้ก็น่าจะมีพลังพอแล้วล่ะนะ..เลโอน่า” ชายหนุ่มหันมองฝาแฝดต่างเพศของตนที่กำลังนั่งหอบอยู่
“ค่ะ..” เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้ม แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยเหงื่อก็ตาม
“งั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า..จะได้ไม่ต้องเสียเวลา” ลาอ้อนเอ่ยออกมา พิงกาเมน่าและเลโอน่าจึงพยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทั้งสองคนส่งพลังมาที่ชั้น และทั้งหมดชั้นจะจัดการเอง” พิงกาเมน่าเอ่ยออกมา
“เจ๊..จะไหวเหรอ ทำคนเดียวน่ะ” ลาอ้อนเอ่ยออกมาด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท พิงกาเมน่าที่ได้ยินก็หันกลับมาด้วยสีหน้าแลดูวิปริต
“ถ้ายังไม่อยากกลับบ้านเก่า..อย่าเรียกชั้นว่าเจ๊” รังสีอมหิตแผ่กระจายไปทั่วอาณาบริเวณ แต่กลับไม่ส่งผล ทำให้ลาอ้อนกลัวแม้แต่น้อย
“เข้าใจแล้ว..ชั้นจะทำตามที่เธอบอกก็ได้” ลาอ้อนยักไหล่ก่อนที่เขาไปยืนข้างหลังของหญิงสาวในชุดกี่เพ้า ทางด้านเลโอน่าก็กระทำอย่างนั้นเช่นกัน
ทั้งคู่จะประทับฝ่ามือไปที่บริเวณหัวใจของพิงกาเมน่า สร้างลำแสงสีทองเกิดขึ้นด้านหลังของของพิงกาเมน่า เธอจึงเค้นพลังออกมาไว้ที่ฝ่ามือทำให้ในขณะนี้ฝ่ามือของเธอเรืองแสงสีฟ้าออกมา แล้วจึงใช้พลังนั้นสร้างม่านพลังสีฟ้าล้อมรอบร่างของเจฟ ทันใดนั้นเธอก็ปิดตาลงและเพ่งสมาธิไปที่การแปรธาตุในครั้งนี้
“หลังจากนี้..รบกวนทุกคนหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับร่างของพวกเรานะค่ะ” เลโอน่าเอ่ยเตือนออกมา “เพราะอาจทำให้พวกเราส่งพลังไปไม่เต็มที่ซึ่งอาจทำให้การแปรธาตุคลาดเคลื่อนได้ค่ะ”
ตู้มมม!!! แรงระเบิดเกิดขึ้นกับประตูส่งผลให้ประตูขนาดใหญ่กระเด็นออกมาจากที่ที่มันเคยอยู่ ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่ถูกเงาบดบังใบหน้า เหล่าครีปปี้พาสต้าทุกคนต่างรีบยืนขึ้นมาเตรียมพร้อมรบทันที ผู้บุกรุกจึงเดินเข้าใกล้เข้ามาจนแสงนั้นส่องใบหน้า นั่นทำให้เหล่าคนที่รู้จักเขาต้องตกตะลึงไปตามๆกัน
“เอเบิล!!!” อเล็กซานดร้า ริกะ และไอโอน่าตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกัน
“มีคนรู้จักข้าด้วย..ควรดีใจมั้ยนะ ฮึฮึ” ผู้บุกรุกหัวเราะออกมา ตัวเขานั้นเป็นผู้มีรอยสักหน้าปีศาจอยู่กลางหน้าอก และมียันต์เป็นตัวอักษรของภาษาโบราณเต็มร่างกายจนลุกลามถึงลำคอ รูปร่างสัณฐานนั้นอาจสูงได้ถึงสองเมตร ใบหน้าคล้ายกับชาวนักรบโบราณในยุคของสุเมเรียน
“ทุกคนระวังนะ..เจ้านี่น่ะมีทักษะในการต่อสู้ที่น่ากลัวเอามากๆ เอเบิลมันมีความสามารถในการเคลื่อนที่ พละกำลัง และความทนทานเหนือกว่ามนุษย์” ไอโอน่าอธิบายออกมาด้วยสีหน้าหวั่นเกรง “แล้วตัวมันยังมีพลังการฟื้นฟูคล้ายกับเจฟอยู่ด้วย แต่มันเหนือกว่ามาก”
“ฮึ..รู้ดีนิยัยหนู” เอเบิลกล่าวชมเชย “แต่หน้าที่ของข้าในครั้งนี้ไม่ใช่มาฆ่าพวกแกทุกคน..”
“แต่เป็นการพาเจ้าคนที่ชื่อเจฟ เดอะ คิลเลอร์ไปที่ศูนย์” เอเบิลเอ่ยออกมา “ตามคำบัญชาของแม่ยาหยีไอริสของข้า”
ทุกคนต่างได้แต่เงียบกันหมดเพราะไม่มีใครต้องการทิ้งชีวิตตัวเองเร็วขนาดนี้ เอเบิลจึงยิ้มกว้างออกมา
“ถ้าไม่มีใครคัดค้านข้าก็ขอพาตัวเจ้า..อั้ก!” ยังไม่ทันที่เอเบิลจะเอ่ยจบ หนวดเทนทาเคิลสีดำก็พุ่งทะลุร่างเอเบิลไปเสียแล้ว เลือดของชายชาตินักรบกระจายไหลนองเต็มพื้น แต่มันก็ยังคงยืนหยัดอย่างมั่นคง
“ในตอนนี้ข้ายังคงมีเมตตากับพวกเจ้า..จงเก็บอาวุธของพวกเจ้าไปซะ” เอเบิลเอ่ยด้วยน้ำเสียงและใบหน้าที่แสดงถึงความเย็นชา “แล้วข้าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า”
มิสเตอร์ครีปปี้พาสต้าหลับตาลงเพื่อใช้พลังจิตในการควบคุมเอเบิล เขาส่งพลังของกระแสจิตตนเองเข้าไปในหัวของเอเบิล แต่ทันใดนั้น...
“อ้ากก!!!” บุรุษร่างสีฟ้าร้องออกมาอย่างทุกข์ทรมาน เขากุมศีรษะของตนเองเหมือนกำลังปวดหัวอย่างรุนแรงมาก ทำให้ทุกคนภายในห้องนี้ตกใจกัน
“ท่านมิสเตอร์ครีปปี้พาสต้า!!” สเลนเดอร์แมนที่ขณะนี้อยู่ในร่างของเทรนเดอร์แมนที่กำลังใส่ชุดแนวโมเดิร์นอยู่ตะโกนออกมา ความตกใจนั้นทำให้เขาชักหนวดเทนทาเคิลออกมาจากลำตัวของเอเบิลทันที ร่างกายของมันจึงค่อยๆฟื้นฟูกลับมาเป็นเช่นเดิม
“เจ้านั่นคงมีพลังจิตสินะ..ไม่แปลกหรอกที่มันจะปวดหัวจนแทบระเบิด” เอเบิลยิ้มกว้างออกมา “คงเผลอไปอ่านความรู้สึกของคนนับแสนที่ตายเพราะข้าละสินะ ฮึฮึ”
“ข้าจะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย..จงเก็บอาวุธลงไปซะ”
“หาหยังมีสมองอยู่ก็จงคิดไว้บ้าง..พวกเจ้าในตอนนี้มันไม่ต่างจากพวกมดปลวกหรอก”
“ใครเป็นมดปลวกฟ่ะ!!” โทบี้ตะโกนกลับไปโดยไม่เกรงกลัว เขาจับขวานของเขาไว้แน่นเตรียมจะโจมตีใส่เอเบิล แต่กลับถูกมือหนึ่งจับไว้ซะก่อน
“โทบี้..สงบสติอารมณ์หน่อย” หญิงสาวผู้มีดวงตาสีเขียวดั่งมรกต เรือนผมสีน้ำตาลเรียบที่ตอนนี้อยู่ในทรงแบบโพนี่เทล มือทั้งสองถูกคลุมด้วยถุงมือเปิดนิ้วสีดำ เธอในตอนนี้กำลังใส่เสื้อกล้ามสีขาวและกางเกงวอล์มขาสั้นสีดำ ส่วนเท้าทั้งสองนั้นกลับว่างเปล่าไร้เครื่องป้องกัน
ทุกคนต่างหันขวับไปที่หญิงสาวผู้นั้นทันที ทำให้ทุกคนนั้นตกตะลึง หญิงสาวผู้นั้นคือเจนในร่างของมนุษย์ ร่างของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ผ่านจากการฝึกฝน พร้อมกับมัดกล้ามที่สามารถมองเห็นได้ง่าย
“ชั้นจะสู้กับเจ้าหมอนี่เอง..” โทบี้และคนอื่นๆกำลังจะขัด แต่กลับถูกหญิงสาวขัดไว้ซะก่อน “ถ้าหากชั้นเป็นอะไรไป..พวกนายก็จัดการต่อได้เลย”
“พวกเจ้านี่ช่างมีศักดิ์ศรีซะจริงนะ..ให้ผู้หญิงมาสู้แท..แอะ..อั้ก!!!” ยังไม่ทันที่เอเบิลจะเอ่ยจบ กำปั้นที่แฝงไปด้วยพลังอันมหาศาลได้ซัดใส่ใบหน้าของชายผู้นี้จนกระเด็นกระแทกกำแพงหินจนแตกออก
“แกก็ช่างมีศักดิ์ศรีนะ..ปล่อยให้ผู้หญิงอ่อนแอคนนึงต่อยตัวเองทะลุกำแพง” เจนพูดยียวน แต่ยังคงอยู่ในท่าทางสงบนิ่ง
“แก..ช่างบังอาจนักน้าาาาา!!!” เอเบิลพุ่งร่างกลับมาเตรียมจะโจมตีใส่เจนที่ยังคงยืนอยู่
แต่ในวินาทีนั้นเอง เจนก็บิดตัวหลบอย่างรวดเร็ว ทำให้การโจมตีของชายหนุ่มพลาดท่า หญิงสาวผู้นี้จึงรวบรวมพลังหมัดต่อยเอเบิลร่างกระแทกพื้นซีเมนต์จนเกิดรอยแตกร้าวและแรงลมปะทะมหาศาล ทุกคนจึงถอยออกจากจุดนั้นโดยเร็ว เมื่อแรงปะทะหมดลง ร่างที่ย่อยยับเละเทะของเอเบิลก็ปีนขึ้นมาจากหลุม มันกลับมายืนอีกครั้งพร้อมกับฟื้นฟูร่างกายของตนจนกลับมาเป็นเช่นเดิม
“ข้าคงประมาทเจ้าเกินไปสินะ..นักรบหญิง” เอเบิลเอ่ยออกมาด้วยท่าทีที่สงบเสงี่ยมขึ้น “ข้าคงต้องขอโทษเจ้าด้วย”
“ดังนั้น..เจ้าช่วยต่อสู้กับข้าอย่างตรงไปตรงมาจะได้หรือไม่”
“ชั้นตอบรับคำเชิญนั้น..” เจนตอบรับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“ดี..งั้นหยิบอาวุธของเจ้าขึ้นมาซะ” เอเบิลเอ่ยขึ้น ในขณะที่ตนใช้มือแหวกอากาศจนเกิดมิติสีดำ มันล้วงมือเข้าไปเพื่อหยิบดาบคู่สีดำมีลวดลายบนใบดาบสีแดงดั่งโลหิตออกมาถืออย่างมั่นคง ส่วนทางด้านของเจนนั้นกลับยกแขนขึ้นมาตั้งการ์ดเท่านั้น “แล้วอาวุธของเจ้าล่ะ..”
“ร่างกายของชั้นนั้นเป็นดาบและจิตใจที่ไร้พ่ายนี้ดุจเปลวเพลิงที่ไร้วันมอดดับเท่านั้นที่เป็นอาวุธ” เจนเอ่ยออกมาในขณะที่ยังคงแสดงท่าทางเรียบนิ่ง
“งั้นก็ได้..แต่ข้าขอเตือนไว้ก่อน ดาบเล่มนี้มีพลังทำลายล้างมากพอจะต่อสู้กับผู้มีพลังมหาศาลอย่างลอสต์ได้อย่างสูสี..ถ้าหากเทียบกับเจ้า มันอันตรายเอามากทีเดียว” เอเบิลเอ่ยออกมาในขณะที่กำลังยกดาบทั้งสองขึ้นมากวัดแกว่ง
“ชั้นจะจำเอาไว้..” เจนเอ่ยเสร็จ เธอก็พรุ่งร่างไปที่เอเบิลทันที หญิงสาวกำหมัดของตนเองพร้อมจะปลดปล่อยใส่อีกฝ่าย ทางด้านนั้นก็พุ่งร่างมาเฉกเช่นเดียวกัน
“วีน่า!” เจนเอ่ยออกมา หญิงสาวอมนุษย์ที่อยู่ในจิตใจของเธอจึงขานกลับมา
‘ค่ะ..แม่’
‘เสริมพลังทั้งร่างให้แม่หน่อย แต่อัดไปที่หมัดมากเป็นพิเศษนะ’ เจนเอ่ยภายในจิตใจ
‘เดี๋ยวจัดให้ค่ะ’ วีน่าขานรับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มใช้เวทมนตร์ของเธอเสริมพลังให้กับร่างกายของเจน ทำให้ในขณะนี้ร่างกายของเธอปล่อยออร่าสีดำทมิฬออกมาทั่วร่าง ส่วนบริเวณกำปั้นของเธอกลับมีกลุ่มก้อนพลังงานทรงกลมคล้ายกับก้อนพลังลมของไอโอน่าเพียงแต่เปลี่ยนจากสีขาวสว่างเป็นสีดำทมิฬ ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงกันยกใหญ่
เมื่อทั้งสองพุ่งมาได้จนถึงระยะอันสมควร ร่างของทั้งสองก็อันตรธานหายไป สำหรับผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ในแบบรวดเร็วอาจจะมองไม่ทัน จะรู้สึกได้แต่เพียงแรงปะทะและคลื่นสีดำ แต่สำหรับผู้ที่เคยผ่านมาบ้างแล้วจะเห็นอย่างชัดเจนว่าทั้งสองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยส่วนใหญ่ทั้งสองจะหลบการโจมตีสวนกลับของอีกฝ่ายเสียมากกว่า แต่ไม่นานสถานการณ์ก็เปลี่ยนไป เพราะเจนกลับเริ่มจับจุดได้จึงสามารถหลบและสวนกลับโดนร่างของเอเบิลได้ ทำให้เกิดรอยเลือดสาดกระเด็นเต็มพื้นอยู่เกือบทุกครั้งที่เกิดคลื่นสีดำ แต่ความสามารถของเอเบิล ทำให้สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ตลอด การต่อสู้นี้ยืดเยื้อไปเกือบห้านาทีจนหมัดของเจนต่อยโดนใบหน้าของเอเบิลอย่างรุนแรง หัวของมันลอยกระเด็นและแตกออกเมื่อกระทบกับกำแพง เหลือเพียงร่างไร้ศีรษะที่กำลังยืนถือดาบอย่างมั่นคง ไม่ถึงวินาทีหัวของเอเบิลก็ถูกฟื้นฟูกลับมาใหม่ดังเดิม
‘อี๋..น่าขยะแขยงอ่ะ’ วีน่าเอ่ยออกมาด้วยใบหน้ารังเกียจ
“ฮึ..ต่อสู้ได้ยอดเยี่ยมดีนิ ข้าคงจะต้องเอาจริงเสียแล้ว” เอเบิลยิ้มกว้าง
“ชั้นนึกว่าแกทำได้แค่เท่านี้ซะอีก” เจนเอ่ยอย่างดูถูก
“ฮึ..งั้นหากเจ้าตายไปก็จงโทษปากของเจ้าเอง..ในนรก!” เอเบิลเอ่ยจบ ร่างกายของมันก็อันตรธานหายไป เจนนั้นเห็นการเคลื่อนที่ของมันอยู่ แต่มันรวดเร็วเกินกว่าที่ร่างกายจะหลบหลีกทัน อีกทั้งในขณะนี้ดาบของมันก็เปล่งแสงสีแดงดั่งโลหิต ซึ่งอาจแปลความหมายได้ว่าการโจมตีหลังจากนี้รุนแรงกว่าครั้งก่อนหลายสิบเท่าเป็นแน่นอน เจนจึงเสริมพลังไปทั่วร่างเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายนั้นเกิดบาดเจ็บสาหัส ..แต่ทันใดนั้น
เช้งง!! เสียงโลหะกระทบกัน ดาบของเอเบิลกระเด็นไปตกบนพื้นของอีกฝั่ง เนื่องจากถูกมีดของบุรุษคนหนึ่งปัดป้องกันเอาไว้เสียก่อน
“การรักษาประสบผลสำเร็จ..” หญิงสาวผู้มีผมยาวสีชมพูในชุดกี่เพ้าเดินเข้ามาอยู่ในกลุ่มของครีปปี้พาสต้าที่กำลังชมการต่อสู้อยู่ ตามด้วยเลโอน่าและลาอ้อน
“เจฟ!!” เจนอุทานออกมา ทำให้เจ้าของนามต้องหันขวับมาหาเธอ
“ชั้นเคยบอกไว้แล้วนี่..” เจฟเอ่ยพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวชั้นหรือเธอ ชั้นคนนี้ก็จะกลับมาปกป้องเธออย่างแน่นอน”
“ทีนี้เธอก็ไปพักผ่อนเถอะ..ชั้นจะรับช่วงต่อเอง” เจฟเอ่ยด้วยใบหน้าห่วงใย
“อืม..งั้นก็อย่าตายซะล่ะ” เจนเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเดินออกไปจากกลุ่มชน
“นี่..แกคงเป็นเจฟที่ข้าต้องจับไปประหารสินะ งั้นก็มา..” ยังไม่ทันที่เอเบิลจะพูดเสร็จ ก็ถูกมือข้างหนึ่งจับเอาไว้ที่ไหล่ ทำให้เอเบิลเกิดอารมณ์เสียและหันกลับไปด่าเจ้าของมือข้างนั้น
“วันนี้ให้ข้าพูดจนจบโดยไม่ถูกขัดบ้างได้หรือเปล่าฟ่ะ..” แต่เมื่อเขาหันไปก็พบกับมนุษย์คนหนึ่งที่มีผิวออกเป็นโทนสีเทา มีเขามารขนาดใหญ่สีแดงอยู่บนศีรษะ ดวงตาด้านนอกเป็นสีดำ ด้านในเป็นสีแดงเรืองแสง มีเลือดสีแดงไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง มันใส่เสื้อเชิ้ร์ตเปิดหน้าอกที่มีสีดำคล้ายกับความมืด และมีปากที่มีฟันแหลมคมหลายชั้น ส่วนล่างของมันเป็นกางเกงสีดำและรองเท้าสีแดง มือข้างที่มันสัมผัสไหล่ของเอเบิลนั้นมีลักษณะคล้ายปรสิตที่มีเส้นเลือดสีดำปูดโปนในบริเวณที่เป็นช่วงต่อระหว่างมือและแขน หลันหลังมือมีดวงตาขนาดใหญ่กำลังกลอกไปมาอย่างน่ากลัวอยู่
“คงจะไม่ได้..เพราะวันนี้ไม่ใช่วันของเจ้า” อสูรตนนั้นใช้มืออีกข้างแทงทะลุหน้าอกของชายหนุ่ม เกิดเลือดสาดกระเด็นนองพื้น ก่อนจะสร้างเปลวเพลิงเผาสีแดงดั่งโลหิตเผาร่างของเอเบิล จนเป็นเถ้าถุลีภายในชั่วพริบตา
“แย่งซีนตูอีกแล้วนะ..ซัลโก้” เจฟแสดงทีท่าไม่พอใจกับอสูรในร่างอมนุษย์เบื้องหน้า
“ไม่เป็นไรหรอกนะ..เดี๋ยวเจ้านั่นก็ฟื้นกลับไปที่บ้านของมันเอง” เสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งดังขึ้นด้านหลังซัลโก้ในร่างมนุษย์ เธอเดินออกมาจากด้านหลังของซัลโก้ด้วยใบหน้าบูดเบี้ยวที่คุ้นตา “แต่นายควรจะเป็นห่วงตัวเองก่อน”
“ดอลลิ..ดอลลิ ดอลลิเอลล่า!!” เจฟตะโกนออกมาด้วยความตกใจ “นี่เธอตายแล้วไม่ใช่เหรอ..เธอมาทำอะไรที่นี่”
“เรียกชื่อคนอื่นให้ถูกซะบ้าง..ชั้นชื่อ ‘แมเรีย ดอลล์’ และใช่ ชั้นตายไปแล้ว แต่ซัลโก้ปลุกวิญญาณชั้นขึ้นมาใหม่อีกครั้งก็เท่านั้น” เธอเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่ยังคงบึ้งตึงเช่นเดิม
“ที่ชั้นมาที่นี่ก็เพื่อจะนำสิ่งที่เป็นของชั้นอยู่แล้ว กลับคืนมา”
“แล้วอะไรล่ะที่เป็นของๆเธอน่ะ” เจฟเอ่ยออกไป โดยในขณะนี้ทุกคนกำลังติดสตัน เพราะยังปรับสติไม่ทันกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นมาใหม่
“เด็กผู้หญิงคนนั้นไงล่ะ..” แมเรีย ดอลล์ใช้นิ้วชี้ไปที่หญิงสาวที่แต่งตัวคล้ายกับเจฟ เดอะคิลเลอร์ แต่หากสังเกตดีๆจะรู้ได้ว่าหน้าตาของเธอกับแมเรีย ดอลล์มีใบหน้าที่คล้ายกันมาก
“มิลโร่เนี่ยนะ..” เจฟยังคงงงงวยอยู่ แต่เมื่อนำใบหน้าของทั้งสองมาเปรียบเทียบก็พอเข้าใจสาเหตุ
“นี่นายเรียกยัยนี่ว่ามิลโร่เหรอ..” แมเรีย ดอลล์ที่ใส่ชุดเจ้าหญิงสีขาวขุ่นหมอง มีโบว์สีชมพูขนาดใหญ่ติดอยู่บนหัวหนึ่งอัน แสดงใบหน้าไม่พอใจ พร้อมกับบ่นพึมพำ “ทำไมต้องเป็นมิลโร่..ชื่ออื่นก็มีตั้งเยอะแยะไป”
“ยังไงก็เถอะ..เอายัยเด็กนั่นมาให้ชั้นเดี๋ยวนี้” หญิงสาวลงอำนาจใส่เจฟอีกครั้ง
“มนุษย์น่ะไม่ใช่สิ่งที่นึกอยากจะได้ก็ได้มาง่ายๆน่ะ..เด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่สิ่งของที่เอาไว้ให้เด็กนิสัยเสียอย่างเธอใช้งานดั่งทาส” เสียงก้องปริศนาดังลั่นทั่วห้อง แต่กลับไม่มีใครรู้ที่มา
“ถ้าอยากจะด่าชั้นจริงๆ ก็ออกมาคุยกันตรงเลยดีกว่า” ดอลลี่แสดงท่าทีฉุนขึ้นมา “เลิกซ่อนตัวอยู่ในมิติของโลกกระจกได้แล้ว ยัยแมรี่”
“แมรี่เหรอ!?” เจฟเริ่มจะเกิดความสับสนแล้ว ต่างจากคนอื่นๆที่งงกันเป็นไก่ตาแตกไปแล้ว
ทันใดนั้นหยดเลือดทั้งหมดก็ถูกรวมตัวกันเป็นกระจกเงาขนาดใหญ่ที่มีสองด้าน ทันใดนั้นก็ปรากฏร่างของหญิงสาวผ็มีใบหน้าที่คุ้นเคยดี แต่กลับมีดวงตา สีผมและท่าทางที่แปลกไปจากเดิม เมื่อเธอออกมาจากกระจกเงาบานนั้น กระจกก็แตกสลายเป็นแผ่นกระจกที่ขุ่นมัวชิ้นเล็กๆไป
“ช่วยเรียกชั้นให้ถูกด้วยนะดอลลี่..ชั้นไม่ได้ชื่อแมรี่” หญิงสาวผู้มีผมและผิวที่ขาวซีด ผู้มีดวงตาด้านนอกสีดำ ด้านในเป็นสีแดง มีที่คาดผมสีดำถูกคาดอยู่ เธอใส่ชุดแม่ชีสีขาวขุ่นพร้อมกับรอยเลือดที่ถูกวักไปหลายครั้งแล้ว “..ชั้นชื่อบลัดดี้ แมรี่”
“แล้วมันต่างกับแมรี่ตรงไหน”
“ต่างกันสิย่ะ มันมี ‘บลัดดี้’ เพิ่มเข้ามา”
แล้วทั้งสองก็ทะเลาะอย่างกับเด็กๆ ในขณะที่เจฟนั้นกำลังยิ้มปริ่มทั้งที่ยังคงงงอยู่ ส่วนคนอื่นๆก็งงแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลย ในขณะที่ลูว์ที่พอรู้เรื่องบ้างแต่กลับตามไม่ทันจึงอุทานออกมาเสียงดังลั่น เพราะความงงงวยในหัวของเขา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันว่ะเนี่ย”
ณ สถานที่แห่งหนึ่งในศูนย์ของเอสซีพีที่ปิดตัวลงแล้ว ชายนิรนามผู้ไม่กลัวความตาย หรือสิ่งใดๆเลยเดินเข้าไป เขาใส่เสื้อกันหนาวสีดำที่ถูกทับด้วยชุดนักวิจัยของเอสซีพี ภายในนั้นไม่มีแสงไฟใดๆยกเว้นแสงไฟสีเขียวประหลาดที่ไม่ควรจะมีอยู่ กำลังส่งแสงภายในห้องวิจัยที่ถูกทิ้งร้าง ลอสต์ที่สังเกตเห็นดังนั้นจึงใช้พลังของตนดูดกลืนความว่างเปล่าเข้าไป จนทำให้ร่างของตนเองนั้นคล้ายกับไร้ตัวตนไปในทันที เสื้อผ้าทั้งหมดถูกกลืนกินจนกลายเป็นความว่างเปล่า ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องวิจัยนั้นทันที นั่นทำให้เขาพบกับชายสี่คนกำลังยืนคุยกันอยู่ภายในห้อง เขาจึงยืนฟังอย่างสบายใจเพราะไม่มีร่างให้มองเห็น
“งานเป็นยังไงบ้าง..มาสเตอร์มายด์” บุรุษในความมืดเอ่ยถามชายผู้กำลังใส่หน้ากากที่มี o-o เป็นรูปบนหน้ากากสีขาว
“เป็นไปตามแผนครับ ท่านแบล็ก” บุรุษผู้ได้ชื่อว่า มาสเตอร์มายด์ตอบกลับมา “และช่วยเรียกผมว่า CRY นะครับท่าน”
“ได้ครับ คราย..คุณทำได้ดีมาก” แบล็กยิ้มออกมาจากร่างความมืดจนเกิดเป็นรอยพระจันทร์เสี้ยวสีขาว
“และคุณครีปส์แม็กพาสต้ากับคุณครีปปี้พาสต้าจูเนียร์..พวกคุณทั้งสองเก็บแรงเอาไว้นะครับ อีกไม่นานข้าศึกจะต้องเจอตัวพวกคุณแน่”
“เรื่องนั้นพวกเราเตรียมตัวอยู่แล้วล่ะไม่ต้องห่วง” บุรุษผู้ใส่ชุดสูทและมีหน้ากากรูปหน้าปิกาจูปิดบังใบหน้าของเขาเอาไว้ ส่วนอีกคนกำลังนั่งอยู่ที่มุมห้องที่มืดมิด ดวงตาของเขาเป็นสีแดงก่ำ เขาถูกสวมเครื่องช่วยหายใจและถูกมัดไว้กับชุดคนบ้า
“ในเมื่อทุกคนเตรียมพร้อมกันดีแล้ว..ชั้นก็คงไม่ต้องห่วงอะไร” แบล็กเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้อง ลอสต์ที่เห็นดังนั้นจึงเดินตามไป
“นายยังชอบยุ่งจุ้นจ้านเรื่องของคนอื่นเหมือนเดิมเลยนะลอสต์” แบล็กเอ่ยออกมา ลอสต์จึงต้องคลายพลังออก แต่ยังไม่แสดงเสื้อนักวิจัยของเอสซีพีออกมาให้เห็น
“นายก็เหมือนกัน..ชั่วช้าไม่น้อยไปกว่าเดิมเลยนะแบล็ก” ลอสต์เอ่ยออกมาในขณะที่ยังคงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง
“อีกไม่นานพวกเราทั้งสองก็จะประกาศศึกครั้งใหญ่ใส่กันอีกแล้วสินะ” แบล็กเอ่ยออกมาแล้วจึงขำเล็กน้อย
“ชั้นก็อยากจะสู้กับนายอยู่หรอก แต่ครั้งแรกน่ะมันทำเอาโลกเข้าสู่ยุคมืด ไดโนเสาร์สูญพันธุ์กันหมด” ลอสต์อธิบายถึงผลจากสงครามครั้งแรกที่พวกเขาสู้กัน
“ครั้งที่สองถึงจะเบาลง แต่ก็ทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง”
“นั่นแหละมันน่าสนใจใช่มั้ยละ..ว่าครั้งที่สามจะเกิดอะไรขึ้น” แบล็กเอ่ยออกมา พร้อมกับยิ้มกว้าง
“ชั้นไม่เอาชีวิตของคนเป็นหมื่นล้านไปแลกกับความที่ชั้นไม่ชอบหน้าผู้พิทักษ์แห่งอนันตกาลคนนึงหรอกนะ” ลอสต์ตอบออกมาโดยไม่สนใจ
“แล้วแกจะทำยังไงล่ะลอสต์..แกช่วยทุกคนไว้ไม่ได้หรอกนะ”
“งั้นคอยดูละกันนะ..ตัวแทนแห่งความชั่วที่แท้จริง”
“ชั้นตกลง..ชั้นจะรอดูสูญเสียทุกสรรพสิ่งเอง ตัวแทนแห่งจินตนาการ” หลังจากทั้งสองก็อันตรธานหายไปพร้อมกัน
หลังจากนี้ขอหายไปสักพักนึงนะขอรับ กระผมจะไปตรวจเช็คความถูกต้องของนิยาย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นจะกลับมาเขียนต่อแน่นอนครับ (ทุกๆ 12 ตอนผมจะตรวจเช็ค 1 ครั้ง) ((เราเดินทางมาเกิน 25% แล้วนะขอรับ))
สำหรับนิยายอื่นของผมคงต่อรอไปตาม Timeline แล้วกันนะครับ เมื่อเรื่องนี้เขียนจบ จะลุย Mental Rising The God's Bless โลดเลยครับ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ