Silence
-
เขียนโดย touch
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.15 น.
2 ตอน
0 วิจารณ์
4,471 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) Introduction 2
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ วันถัดมาหลังจากการแข่งขันบาสเกตบอลประจำปีก็คือวันเกิดของโรงเรียน นักเรียนหลายคนตื่นเต้นและดีใจกันยกใหญ่กับงานเลี้ยงของโรงเรียนที่จะจัดขึ้น อาหารมากมายถูกสั่งเข้ามาและจัดเอาไว้อย่างสวยงามในห้องโถงขนาดใหญ่ของอาคาร แต่ละห้องเรียนในโรงเรียนมีการประดับตกแต่งเพื่อต้อนรับรุ่นพี่ที่เรียนจบไปให้ได้ไปนั่งสังสรรค์ในห้องเหล่านั้นและหวนรำลึกถึงวันเก่าๆที่ผ่านมา รวมทั้งจะได้พบปะรุ่นน้องที่เรียกว่า น้องบุพเพ คือรุ่นน้องที่มีเลขที่ตรงกับรุ่นพี่ที่จบไปนั่นเอง
ฉันมีศักดิ์เป็นน้องบุพเพของพี่ซิส พี่สาวคนสวย มีความสามารถ และยังเป็นผู้คงแก่เรียน ตอนนี้พี่ซิสสอบเข้ามหาวิทยาลัย และกำลังเรียนทันตแพทย์ ปี 1 อยู่ แม้เรียนแพทย์จะหนักมากแค่ไหน พี่ซิสก็ยังรับปากว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดโรงเรียนให้ได้ พี่ซิสยังบ่นต่อว่าคิดถึงฉันมากและต้องการจะพบฉันเร็วๆ ซึ่งนั่นทำให้ฉันยิ้มแก้มปริและยิ่งรอคอยการมาเยือนของพี่ซิสมากยิ่งขึ้น
การรวมตัวระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องระหว่างนักเรียนเกรด 12 ห้อง 2 กับรุ่นพี่นักศึกษาเกิดขึ้นในห้องเรียนที่ตกแต่งไปด้วยกระดาษสีตัดเป็นรูปต่างๆอย่างสวยงาม บนกระดานดำมีรูปการ์ตูนหน้าสมาชิกร่วมห้องแต่ละคน บนเพดานมีสติ๊กเกอร์ดวงดาวที่เรืองแสงในยามค่ำคืน เพื่อให้สวยงามมากขึ้น อาร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง 2 คนปัจจุบัน จึงแนะนำให้ปิดไฟทั้งห้อง และเปิดไฟจากหลอดไฟวงกลมที่มีแสงสีแพรวพราวซึ่งหมุนอยู่ตลอดเวลาแทน และเจ้าหลอดไฟวงกลมนี่เอง ที่ทำให้ห้องเรียนประจำของเราในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับผับบาร์
งานเลี้ยงวันเกิดโรงเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างสนุกสนาน มีการแสดงของน้องเกรด 7-11 ให้ชมที่ห้องโถงด้านล่าง หลังจากการแสดงสิ้นสุด นักดนตรีประจำโรงเรียนและที่สังกัดด้วยตนเองก็จะขึ้นไปแสดงบนเวทีแคบๆที่ถูกจัดไว้เพื่องานคอนเสิร์ตซึ่งจะขาดไม่ได้ถ้าหากมีการจัดงานเลี้ยงของโรงเรียน นักเรียนทุกชั้นและรุ่นพี่ที่เข้าร่วมงานทุกคนต่างสนุกกับงานนี้มาก พวกเขาทั้งดื่ม กิน เต้นรำ ร้องเพลง และพูดคุยกันอย่างอบอุ่น เป็นบรรยากาศที่ชวนให้ลืมเรื่องแย่ๆ รวมทั้งเรื่องเศร้าหลายเรื่องไปได้เลย
แต่ทว่าสำหรับฉัน ในใจมันเอาแต่คอยจะคิดถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้จักและแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเมื่อวานไม่ยอมหยุด
จูล
ตลอดการจัดงานตั้งแต่ 6 โมงเย็นเป็นต้นมา สายตาของฉันคอยแต่จะมองหาตลอดว่าตอนนี้จูลอยู่ที่ไหน เขามาร่วมงานเลี้ยงหรือเปล่า ทั้งๆที่ในความเป็นจริงฉันอาจจะไม่ต้องสนใจเขามากนักก็ได้ เพราะเขาก็ไม่ใช่เพื่อนคนสำคัญอะไร แต่เพราะทุกครั้งที่นั่งในห้องเรียนแล้วมองไปบนเพดาน รวมทั้งคำชมจากเพื่อนๆและรุ่นพี่หลายต่อหลายคนที่บอกว่าชื่นชอบดาวเรืองแสนเหล่านี้ ก็อดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ดาวเหล่านี้อาจจะไม่ถูกติดจนเสร็จ ถ้าฉันไม่มีเขามาช่วย
'นายมาร่วมงานรึเปล่า ทำไมฉันไม่เห็นนายเลยนะ’
ฉันตั้งใจพิมพ์ข้อความและส่งมันไปหาจูล ซึ่งเมื่อวานหลังจากที่เราร่วมงานกันเสร็จ ฉันและเขาได้แลกเบอร์โทรศัพท์และ Mail ที่จะใช้ส่งข้อความกัน จริงๆตอนนั้นฉันอาจจะไม่ทำแบบนี้กับเขาก็ได้ อยากให้เรื่องที่เราได้รู้จักกันจบอยู่แค่เมื่อวาน แต่ท่าทางนิ่งเงียบไร้อารมณ์ของจูลกลับเปลี่ยนไป เขาออกอาการเหมือนจะดีใจอยู่หน่อยๆที่รู้ว่าฉันกำลังคุยและรับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนของฉัน แม้ฉันจะรู้สึกแปลกๆกับมันมากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อาจทำลายความรู้สึกของการมีใครสักคนที่กล้าคุยและยอมเป็นเพื่อนกับเราได้
เมื่อวานจูลช่วยงานฉันจนเสร็จ เขายังอาสาเดินไปส่งฉันที่ป้ายรถเมล์และส่งฉันขึ้นรถด้วย อัธยาศัยไมตรีที่เขามีให้ฉันมันดีกว่าที่ฉันเห็นเขาแค่ภายนอกมากมาย ตอนนั้นฉันคิดว่าจูลจะนั่งรถเมล์ไปพร้อมกับฉัน เพราะรถเมล์ที่ผ่านหน้าโรงเรียนของเรามีเพียงสายเดียว แต่เขาก็แค่ส่งฉันขึ้นรถ แล้วยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ปกครองหรือใครสักคนหนึ่งขับรถส่วนตัวมารับเขา ก็คงเป็นเพราะเขามีรถของตัวเองซ่อนไว้เพื่อขับกลับบ้าน เป็นสิ่งที่ค่อนข้างแย่อยู่พอควรเหมือนกันที่โรงเรียนของฉันไม่อนุญาตให้นักเรียนทุกชั้นปีมีรถส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ทั้งหมด ในกลุ่มสภานักเรียนและเพื่อนๆของฉันหลายคนก็แอบมีรถกันทั้งนั้น บางคนต้องเอาไปซ่อนไว้กับร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน บางคนก็จอดทิ้งไว้ที่ถนนอีกฟากอย่างโจ่งแจ้ง รอจนกระทั่งไม่มีอาจารย์คนไหนสังเกตมาทางนั้นแล้วก็ขับกลับออกไป แต่ถึงอย่างงั้นฉันกลับคิดว่าคนแบบจูลไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบทำอะไรผิดกฎของโรงเรียน บางทีบ้านของเขาอาจจะอยู่แถวนี้ เขาอาจจะเดินกลับบ้านก็ได้
แม้ในความคิดของฉันจะนึกถึงจูลอยู่บ้าง แต่การพูดคุยระหว่างเพื่อนในห้องเรียนที่กลายเป็นผับก็ยังสามารถดึงฉันให้หยุดคิดถึงเรื่องนี้ได้เป็นระยะ ทั้งไวท์ อาร์ แบมบี้ พุช เกล โรส พี่ซิส รวมทั้งรุ่นพี่คนอื่นๆ เอาแต่พูดถึงการแข่งขันบาสเกตบอลที่ผลปรากฏออกมาว่า ทีม 200 หลา สามารถเอาชนะทีมฝั่งตรงข้ามไปด้วยคะแนน 59 - 44 ทำให้พีพี ซึ่งเป็นกัปตันทีมได้รับถ้วยรางวัลและยิ่งสร้างชื่อเสียงในโรงเรียนให้เป็นที่คลั่งไคล้ของคนทั้งหลาย
ฉันไม่ชอบที่เพื่อนๆหรือรุ่นพี่เอาแต่พูดเรื่องพีพีให้ฉันฟัง จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจ มีความสามารถ และหน้าตาดี แต่เขาไม่สนใจการร่ำเรียนหนังสือที่จะเป็นความรู้ติดตัวเขาไปตลอดทั้งชีวิต ฉันเคยได้ยินมาว่าบางครั้งเขาจะต้องให้พุชช่วยทำการบ้านหรือรายงานให้ หลายครั้งที่เขาลอกข้อสอบของ ฟอง เพื่อนรักของเขาในห้องสอบ และอาจารย์ก็จับไม่ได้ เขาเหลวไหลเกินไปกว่าที่จะเป็นคน Perfect ในสายตาของทุกคน
หลังจากที่พิมพ์ข้อความไปหาจูลและรอการตอบกลับของเขา เสียงโห่ร้องเชียร์อย่างแสบแก้วหูดังขึ้นที่ทางเดินหน้าห้องเรียน ผู้คนที่พลุกพล่าน บ้างก็รีบไปดูว่าใครมาส่งเสียงเอะอะท่ามกลางงานเลี้ยงที่สนุกสนานเหล่านี้ก็เริ่มทยอยคลายวงล้อมของความอยากรู้อยากเห็นออก ปรากฏร่างของเหล่านักกีฬาที่คว้าแชมป์ได้เมื่อวาน นำขบวนโดยพีพี ซึ่งเขาจะต้องเป็นคนถือถ้วยรางวัล เดินตรงเข้ามาในห้องเรียนของฉันและมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เพื่อนๆ และรุ่นพี่ทั้งหลาย
พุชกับเกลช่วยกันส่งเสียงและพูดจาตลก แซวไปแซวมาจนฉันรู้สึกรำคาญและอยากจะออกมาจากตรงนั้น แต่ก็นั่งอยู่กับที่เพราะคนมามุงดูเยอะเกินไปและไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ พีพีที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มละมุมละไมให้ฉันก่อนจะยื่นถ้วยรางวัลมาตรงหน้าและบอกฉันถึงความสำเร็จที่เขามีในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเขาไม่คิดถึงฉัน ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆและรุ่นพี่ที่อยู่ในสถานการณ์ซึ่งทำให้ฉันไม่สามารถฝืนตัวเองไม่ให้รับถ้วยรางวัลมาจากพีพีได้ ก่อนงานเลี้ยงจะเลิกพีพียังจะเข้ามาหาฉัน และขอฉันเต้นรำ แต่ฉันปฏิเสธไป อ้างว่าปวดหัว อยากกลับบ้าน
“เธอนี่มันยังไงกันนะ พีพีตามจีบเธอมาตั้งแต่เกรด 10 แต่เธอก็ยังใจแข็ง ไม่เคยใยดีเขาเลย” โรสเอ่ยขึ้นตอนที่พวกเราออกมาจากงานและตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวของพี่ซิส
พี่ซิสมีรถยนต์เป็นของตัวเองแล้ว แม่ของพี่ซิสซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่ซิสสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และนี่จะเป็นครั้งแรกที่พี่ซิสได้ขับรถคันนี้มาให้รุ่นน้องเห็น มันเป็นรถที่มี 6 ที่นั่ง และดูคันใหญ่เกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพี่ซิสจะขับได้ แต่พี่ซิสก็สามารถขับมันได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
ในตอนนี้มีผู้โดยสารที่จะขอร้องให้พี่ซิสไปส่งที่บ้านด้วยกัน 4 คน คือฉัน ไวท์ อาร์ และโรส ส่วนแบมบี้จะกลับพร้อมกับแฟนของเธอซึ่งเป็นรุ่นพี่เรียนมหาลัยแล้ว ในขณะที่พุชและเกลจะกลับพร้อมกับเพื่อนนักบาสคือ พีพี ฟอง และนุ
“นั่นน่ะสิ ถึงอย่างงั้นก็ต้องขอยอมรับในความพยายามของพีพีนะ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมชอบผู้หญิงข้างเดียวมานานขนาดนี้” อาร์ที่ตรงไปยังประตูรถและกำลังจะเปิดเข้าไปหันมาพูดกับฉัน
“หยุดพูดเรื่องพวกนี้เถอะ” ฉันบอกอย่างค่อนข้างเหนื่อยๆ
“ก็เป็นแฟนกับพีพีซะสิ เราจะได้ไม่ต้องพูดกล่อมเธอเช้าจนเย็นอย่างที่ทำอยู่” ไวท์ทำหน้าอมยิ้ม
“พอเลยนะไวท์ เรื่องที่เธอทิ้งฉันไปเมื่อวานแล้วแอบไปดูบาสเกตบอลน่ะ ฉันยังไม่หายโกรธนะ”
“โธ่ๆ อะไรกันเล่าโมนา เธอน่าจะเข้าใจนะ เพื่อนๆเราลงแข่งบาสทั้งที จะไม่ไปดูเลยมันก็กระไรอยู่”
“เขาก็ไปดูกันทุกคนน่ะแหละ คงมีแค่เราล่ะมั้งที่ไม่ยอมไปดู” พี่ซิสส่งเสียงมาก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในรถ ตามด้วยพวกเราทั้ง 4 คน
“ที่ไม่ยอมไปดูก็เพราะพีพีไงคะ จะหาว่าไปชอบเขาอีก หรือกลัวว่าพีพีจะไม่มีสมาธิในการเล่นกันแน่ อันนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ” ไวท์พูดไปยิ้มไปเมื่อเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย
“ไวท์!” ฉันตีแขนไวท์อย่างออกจะไม่ชอบที่ได้ยินและเห็นท่าทางยกยอปอปั้นให้ฉันคู่กับพีพีให้ได้แบบนั้น
เสียงหัวเราะของเพื่อนๆรวมทั้งพี่ซิสดังขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นยิ่งทำให้ฉันเริ่มจะปวดหัวตามที่อ้างไปกับพีพีจริงๆแล้ว ตอนนี้รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดที่ขมับซึ่งกำลังเต้นตุบๆอยู่
“เอาเถอะๆ โมนาเขาไม่ชอบ พวกเราก็ยังจะล้อเล่นอยู่ได้ หยุดพูดถึงพีพีแล้วกลับบ้านกันดีกว่านะ”
เสียงตอบรับคำพูดของพี่ซิสดังมาจากรุ่นน้องทั้ง 3 คนรวมทั้งฉันด้วย
“รัดเข็มขัดด้วยนะ โมนา”
เสียงเตือนด้วยความหวังดีดังมาจากอาร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างฉัน ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะรีบทำตามที่บอก แต่แล้วตอนที่หันไปหาอาร์ ฉันกลับเห็นเงาของใครบางคนอยู่อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ
เงาของคนร่างสูง ซึ่งอยู่เบื้องหลังกระจกรถ แวบหนึ่งมีแสงจากในอาคารเรียนสาดเข้าหาร่างนั้นจนฉันเห็นว่าเป็นจูลยืนอยู่ที่นั่น
เห็นได้ชัดว่าเขาแต่งตัวมาเข้าร่วมงานนี้ แต่เขากลับไม่โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นเลย และไม่ยอมตอบข้อความที่ฉันส่งไปเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย แต่แล้วจู่ๆเขากลับมาทำให้ฉันเห็นตัวเขาจากที่ไกลๆแบบนี้ มันหมายความว่าอะไรกันนะ
“มีอะไรเหรอ” อาร์เอ่ยถาม เมื่อเห็นฉันเอาแต่จ้องไปที่กระจกรถฝั่งของเขา ซึ่งเมื่อเพ่งมองกลับไปอย่างตั้งใจจะดู ฉันกลับไม่พบจูลที่น่าจะยืนอยู่ตรงนั้น
“เปล่า” ฉันยิ้มให้อาร์ก่อนจะรัดเข็มขัดให้เสร็จและกลับไปนั่งมองตรงๆแทน
ฉันไม่ได้เล่าเรื่องของจูลให้ใครฟังเลย ไม่ได้บอกถึงงานสติ๊กเกอร์ดวงดาวที่มีเขาเป็นคนช่วยด้วย ตอนนี้จึงไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันมีเพื่อนเป็นจูลด้วยอีกคน บอกตามตรงว่าฉันเดาไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนของฉันรู้ว่าฉันมีเพื่อนที่ดูเป็นคนซึ่งเข้ากับใครไม่ได้อย่างจูล พวกเขาจะยอมรับจูลอย่างที่รู้สึกอยากจะยอมรับไหม พวกเขาจะทำตัวรังเกียจจูลรึเปล่า ฉันกลัวเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับจูลจนตัวเองกลายเป็นคนปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง
พี่ซิสมาส่งฉันที่บ้านเป็นคนที่ 2 ต่อจากโรสที่ลงรถไปเป็นคนแรก พวกเราเอ่ยอำลากันพอประมาณ ฉันสวมกอดพี่ซิสด้วยความอาลัยเมื่อคิดว่าคงอีกสักพักใหญ่ๆที่เราจะได้พบกันอีก จากนั้นก็ตรงเข้าบ้าน
พ่อกับแม่ยังไม่เข้านอน ท่านทั้งสองมักใช้เวลาช่วงคืนวันเสาร์ด้วยการชมภาพยนตร์ด้วยกัน ฉันทักทายพวกท่านเล็กน้อยก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง อาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน
ในระหว่างที่ฉันเป่าผมให้แห้งหลังจากสระมาอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรมาไม่ใช่ใครนอกจากเกลที่โทรมาก่อกวนและพยายามจะให้ฉันคุยสายกับพีพีให้ได้ ฉันพยายามให้วิธีเจรจาให้เขาเข้าใจและวางสายไปก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายตัดสายซะเอง แต่ฝั่งนั้นกำลังสนุกกับการได้สร้างความรำคาญให้กับฉัน พวกเขาไม่สนใจฟังในสิ่งที่ฉันพูดเลย
เสียงแทรกดังขึ้นระหว่างที่พีพีเป็นคนคุยสายกับฉัน เขาเพิ่งจะเอ่ยทักทายฉันเพียงสองสามคำและกำลังจะชวนคุยเท่านั้นฉันก็บอกให้เขารอสักแป๊บหนึ่ง เพื่อจะได้ดูว่าเสียงแทรกที่ดังมาจากมือถือเมื่อกี้คือเสียงอะไร
มันคือเสียงข้อความเข้า และคนที่ส่งข้อความมา
‘1 ข้อความไม่ได้รับ จูล’
ฉันขอวางสายจากพีพีก่อนจะรีบเปิดอ่านข้อความจากจูลทันที
‘ฉันอยู่ในงานเลี้ยงตลอด มันก็สนุกดี ได้เห็นเธอแล้วด้วย’
ฉันใช้ความคิดอยู่สักพักใหญ่ ชั่งน้ำหนักระหว่างจะส่งข้อความตอบเขากลับไป หรือจะโทรหาเขาดี
เขาไม่ใช่คนสำคัญอะไร ไม่ใช่คนที่จะเรียกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับเลือกทางเลือกที่ 2 ฉันโทรหาเขาจนได้
เสียงสัญญาณต่อสายดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับสาย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฉันจะคุยโทรศัพท์กับจูล ใจฉันเต้นโครมครามยิ่งกว่าตอนที่จะต้องคุยกับเขาต่อหน้าเสียอีก มันคงจะให้ความรู้สึกแปลกประหลาดมากกว่าเดิมแน่ๆ ที่จะได้ยินแค่เสียงของเขา โดยไม่เห็นสายตา สีหน้า และท่าทาง
{ฮัลโหล}
“ฮัลโหล”
ฉันตอบเสียงรับโทรศัพท์ของเขา เสียงลมหายใจเหมือนเขากำลังหัวเราะดังเข้ามาในโทรศัพท์ก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ฉันแค่จะโทรมาบอกว่า ทุกคนที่เห็นสติ๊กเกอร์ดวงดาว พวกเขาชอบมันมาก”
เสียงของจูลเงียบไปนิดหน่อย ฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรหรือมีอาการแบบไหน แต่แล้วไม่นานเกินรอ เขาก็คุยกับฉันอีก
{ฉันดีใจด้วยนะ}
น้ำเสียงทุ้มนิ่งๆของเขาในตอนนี้กลับทำให้ฉันยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็อยากให้รู้ว่าเขาก็มีส่วนร่วมในความสำเร็จของมันด้วย
“มันคงไม่เป็นแบบนี้ถ้าไม่มีนายคอยช่วย” ฉันพูดต่อ “ขอบใจนะ”
ที่ปลายสายของจูลเงียบไปสักพักเมื่อฉันเอ่ยขอบคุณเขา ถ้าเขาเป็นคนอื่น ฉันคงคิดว่าเขากำลังทำหน้าปลาบปลื้มดีใจที่ดีมีคนเอ่ยคำขอบคุณด้วย แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ เขาน่าจะทำหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์มากกว่า
{ท่าทางเธอกับนักกีฬาคนนั้นเหมาะสมกันดีนะ}
“ฮะ?”
{ฉันเห็นเขาให้ถ้วยรางวัลกับเธอ ดูท่าทางเธอดีใจที่เขาชนะการแข่งขันกลับมา}
“นี่นายกำลังหมายถึงพีพีรึเปล่า”
จูลไม่ตอบคำถามของฉัน เขาเงียบไปเหมือนเมื่อครู่
“ฉันแค่รับมาตามมารยาท เขาเป็นเพื่อนฉัน”
ไม่รู้ว่าจูลจะฟังว่ามันคือคำแก้ตัวรึเปล่า แต่นี่คือความจริงที่ฉันบอกเขา และฉันก็ไม่อยากให้จูลเอาเรื่องของพีพีมาพูดเหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆเอามาพูดกันด้วย ฉันไม่อยากไม่ชอบเขาเวลาที่จะต้องคุยกัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ ฉันก็ยังต้องอาศัยความใจเย็น และการยอมรับ เพื่อให้ชอบการคุยในลักษณะของเขา
{อย่างงั้นเองหรอ... ถ้ารู้แบบนี้ ฉันคงจะเข้าไปหาเธอตั้งแต่แรก ฉันนึกว่าฉันอาจจะเข้าไปขัดจังหวะเธอกับหมอนั่น... แย่ดีนะที่ดันเข้าใจอะไรผิดแบบนี้}
ฉันหัวเราะกับคำพูดของจูลที่ไม่รู้จะให้ฉันเข้าใจมันแบบไหนกันแน่
{โมนา}
“อ่าฮะ”
{ทำไมเธอไม่รังเกียจฉัน}
น้ำเสียงนิ่งๆของจูลที่พูดกับฉัน ทำเอาฉันใจสั่นระทึกยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่ากำลังจะได้คุยโทรศัพท์กับเขาซะอีก
ฉันไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที เพราะในใจกำลังคิดหาคำตอบให้กับคำถามที่แสนจะตอบยากแบบนั้นอยู่ แต่ถึงงั้นเขาก็ยังแอบตั้งคำถามให้ฉันในใจอีกข้อ
ทำไมเขาต้องคิดว่าฉันจะรังเกียจเขาด้วย?
จริงอยู่ที่ว่าจูลเป็นคนที่เหมือนจะหลีกหนีจากสังคมจนบางครั้งทำให้เขาคล้ายกับคนมีปัญหา แต่มันไม่ได้หมายความว่าการที่เขาทำแบบนั้นจะทำให้คนรังเกียจเขา แล้วจะมีแค่ฉันที่ไม่ได้รังเกียจเขาและกล้าคุยกับเขา ในอีกแง่มุมหนึ่ง ใช่ว่าคนที่คุยกับเขาจะไม่ได้รังเกียจเขาเช่นเดียวกัน
ฉันไม่อยากส่งเสียงอึกอักให้จูลได้ยิน รู้สึกลิ้นชาอย่างไม่มีสาเหตุ และฉันก็ทำให้การสนทนาครั้งนี้มันเงียบไปจนฉันกลัวว่าจูลจะเป็นฝ่ายตัดสายฉันแทนและพาลจะเข้าใจผิดคิดว่าที่ฉันไม่พูดเป็นเพราะฉันรังเกียจเขาจริงๆ ฉันไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น แต่ก็หาเหตุผลที่ว่ามาพูดไม่ได้
{ฉันง่วงนอนแล้วล่ะ}
จูลส่งเสียงนิ่งๆมาให้อีก ใจที่เต้นโครมครามค่อยๆผ่อนลงบ้างเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้
บางที คำถามที่เขาตั้งกับฉัน เขาอาจไม่ได้ถามเพื่อหวังจะเอาคำตอบก็ได้ ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆฉันก็จะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้มันปวดหัว แต่ถ้าไม่ใช่ หลังจากวางโทรศัพท์ ฉันก็จะต้องมานั่งคิดหาคำตอบให้กับคำถามนั้นต่อไป
“ฉันก็เหมือนกัน” ฉันส่งเสียงเรียบๆกลับไปหาเขาบ้าง “ฝันดีนะ”
ฉันมีศักดิ์เป็นน้องบุพเพของพี่ซิส พี่สาวคนสวย มีความสามารถ และยังเป็นผู้คงแก่เรียน ตอนนี้พี่ซิสสอบเข้ามหาวิทยาลัย และกำลังเรียนทันตแพทย์ ปี 1 อยู่ แม้เรียนแพทย์จะหนักมากแค่ไหน พี่ซิสก็ยังรับปากว่าจะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดโรงเรียนให้ได้ พี่ซิสยังบ่นต่อว่าคิดถึงฉันมากและต้องการจะพบฉันเร็วๆ ซึ่งนั่นทำให้ฉันยิ้มแก้มปริและยิ่งรอคอยการมาเยือนของพี่ซิสมากยิ่งขึ้น
การรวมตัวระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องระหว่างนักเรียนเกรด 12 ห้อง 2 กับรุ่นพี่นักศึกษาเกิดขึ้นในห้องเรียนที่ตกแต่งไปด้วยกระดาษสีตัดเป็นรูปต่างๆอย่างสวยงาม บนกระดานดำมีรูปการ์ตูนหน้าสมาชิกร่วมห้องแต่ละคน บนเพดานมีสติ๊กเกอร์ดวงดาวที่เรืองแสงในยามค่ำคืน เพื่อให้สวยงามมากขึ้น อาร์ ซึ่งเป็นหัวหน้าห้อง 2 คนปัจจุบัน จึงแนะนำให้ปิดไฟทั้งห้อง และเปิดไฟจากหลอดไฟวงกลมที่มีแสงสีแพรวพราวซึ่งหมุนอยู่ตลอดเวลาแทน และเจ้าหลอดไฟวงกลมนี่เอง ที่ทำให้ห้องเรียนประจำของเราในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับผับบาร์
งานเลี้ยงวันเกิดโรงเรียนเริ่มต้นขึ้นอย่างสนุกสนาน มีการแสดงของน้องเกรด 7-11 ให้ชมที่ห้องโถงด้านล่าง หลังจากการแสดงสิ้นสุด นักดนตรีประจำโรงเรียนและที่สังกัดด้วยตนเองก็จะขึ้นไปแสดงบนเวทีแคบๆที่ถูกจัดไว้เพื่องานคอนเสิร์ตซึ่งจะขาดไม่ได้ถ้าหากมีการจัดงานเลี้ยงของโรงเรียน นักเรียนทุกชั้นและรุ่นพี่ที่เข้าร่วมงานทุกคนต่างสนุกกับงานนี้มาก พวกเขาทั้งดื่ม กิน เต้นรำ ร้องเพลง และพูดคุยกันอย่างอบอุ่น เป็นบรรยากาศที่ชวนให้ลืมเรื่องแย่ๆ รวมทั้งเรื่องเศร้าหลายเรื่องไปได้เลย
แต่ทว่าสำหรับฉัน ในใจมันเอาแต่คอยจะคิดถึงเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้จักและแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการเมื่อวานไม่ยอมหยุด
จูล
ตลอดการจัดงานตั้งแต่ 6 โมงเย็นเป็นต้นมา สายตาของฉันคอยแต่จะมองหาตลอดว่าตอนนี้จูลอยู่ที่ไหน เขามาร่วมงานเลี้ยงหรือเปล่า ทั้งๆที่ในความเป็นจริงฉันอาจจะไม่ต้องสนใจเขามากนักก็ได้ เพราะเขาก็ไม่ใช่เพื่อนคนสำคัญอะไร แต่เพราะทุกครั้งที่นั่งในห้องเรียนแล้วมองไปบนเพดาน รวมทั้งคำชมจากเพื่อนๆและรุ่นพี่หลายต่อหลายคนที่บอกว่าชื่นชอบดาวเรืองแสนเหล่านี้ ก็อดที่จะคิดถึงเขาไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ดาวเหล่านี้อาจจะไม่ถูกติดจนเสร็จ ถ้าฉันไม่มีเขามาช่วย
'นายมาร่วมงานรึเปล่า ทำไมฉันไม่เห็นนายเลยนะ’
ฉันตั้งใจพิมพ์ข้อความและส่งมันไปหาจูล ซึ่งเมื่อวานหลังจากที่เราร่วมงานกันเสร็จ ฉันและเขาได้แลกเบอร์โทรศัพท์และ Mail ที่จะใช้ส่งข้อความกัน จริงๆตอนนั้นฉันอาจจะไม่ทำแบบนี้กับเขาก็ได้ อยากให้เรื่องที่เราได้รู้จักกันจบอยู่แค่เมื่อวาน แต่ท่าทางนิ่งเงียบไร้อารมณ์ของจูลกลับเปลี่ยนไป เขาออกอาการเหมือนจะดีใจอยู่หน่อยๆที่รู้ว่าฉันกำลังคุยและรับเขาเข้ามาเป็นเพื่อนของฉัน แม้ฉันจะรู้สึกแปลกๆกับมันมากแค่ไหนก็ตาม แต่ฉันก็ไม่อาจทำลายความรู้สึกของการมีใครสักคนที่กล้าคุยและยอมเป็นเพื่อนกับเราได้
เมื่อวานจูลช่วยงานฉันจนเสร็จ เขายังอาสาเดินไปส่งฉันที่ป้ายรถเมล์และส่งฉันขึ้นรถด้วย อัธยาศัยไมตรีที่เขามีให้ฉันมันดีกว่าที่ฉันเห็นเขาแค่ภายนอกมากมาย ตอนนั้นฉันคิดว่าจูลจะนั่งรถเมล์ไปพร้อมกับฉัน เพราะรถเมล์ที่ผ่านหน้าโรงเรียนของเรามีเพียงสายเดียว แต่เขาก็แค่ส่งฉันขึ้นรถ แล้วยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ต่อไป
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ปกครองหรือใครสักคนหนึ่งขับรถส่วนตัวมารับเขา ก็คงเป็นเพราะเขามีรถของตัวเองซ่อนไว้เพื่อขับกลับบ้าน เป็นสิ่งที่ค่อนข้างแย่อยู่พอควรเหมือนกันที่โรงเรียนของฉันไม่อนุญาตให้นักเรียนทุกชั้นปีมีรถส่วนตัวไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถห้ามได้ทั้งหมด ในกลุ่มสภานักเรียนและเพื่อนๆของฉันหลายคนก็แอบมีรถกันทั้งนั้น บางคนต้องเอาไปซ่อนไว้กับร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆโรงเรียน บางคนก็จอดทิ้งไว้ที่ถนนอีกฟากอย่างโจ่งแจ้ง รอจนกระทั่งไม่มีอาจารย์คนไหนสังเกตมาทางนั้นแล้วก็ขับกลับออกไป แต่ถึงอย่างงั้นฉันกลับคิดว่าคนแบบจูลไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบทำอะไรผิดกฎของโรงเรียน บางทีบ้านของเขาอาจจะอยู่แถวนี้ เขาอาจจะเดินกลับบ้านก็ได้
แม้ในความคิดของฉันจะนึกถึงจูลอยู่บ้าง แต่การพูดคุยระหว่างเพื่อนในห้องเรียนที่กลายเป็นผับก็ยังสามารถดึงฉันให้หยุดคิดถึงเรื่องนี้ได้เป็นระยะ ทั้งไวท์ อาร์ แบมบี้ พุช เกล โรส พี่ซิส รวมทั้งรุ่นพี่คนอื่นๆ เอาแต่พูดถึงการแข่งขันบาสเกตบอลที่ผลปรากฏออกมาว่า ทีม 200 หลา สามารถเอาชนะทีมฝั่งตรงข้ามไปด้วยคะแนน 59 - 44 ทำให้พีพี ซึ่งเป็นกัปตันทีมได้รับถ้วยรางวัลและยิ่งสร้างชื่อเสียงในโรงเรียนให้เป็นที่คลั่งไคล้ของคนทั้งหลาย
ฉันไม่ชอบที่เพื่อนๆหรือรุ่นพี่เอาแต่พูดเรื่องพีพีให้ฉันฟัง จริงอยู่ที่ว่าเขาเป็นนักกีฬาที่เก่งกาจ มีความสามารถ และหน้าตาดี แต่เขาไม่สนใจการร่ำเรียนหนังสือที่จะเป็นความรู้ติดตัวเขาไปตลอดทั้งชีวิต ฉันเคยได้ยินมาว่าบางครั้งเขาจะต้องให้พุชช่วยทำการบ้านหรือรายงานให้ หลายครั้งที่เขาลอกข้อสอบของ ฟอง เพื่อนรักของเขาในห้องสอบ และอาจารย์ก็จับไม่ได้ เขาเหลวไหลเกินไปกว่าที่จะเป็นคน Perfect ในสายตาของทุกคน
หลังจากที่พิมพ์ข้อความไปหาจูลและรอการตอบกลับของเขา เสียงโห่ร้องเชียร์อย่างแสบแก้วหูดังขึ้นที่ทางเดินหน้าห้องเรียน ผู้คนที่พลุกพล่าน บ้างก็รีบไปดูว่าใครมาส่งเสียงเอะอะท่ามกลางงานเลี้ยงที่สนุกสนานเหล่านี้ก็เริ่มทยอยคลายวงล้อมของความอยากรู้อยากเห็นออก ปรากฏร่างของเหล่านักกีฬาที่คว้าแชมป์ได้เมื่อวาน นำขบวนโดยพีพี ซึ่งเขาจะต้องเป็นคนถือถ้วยรางวัล เดินตรงเข้ามาในห้องเรียนของฉันและมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉัน เพื่อนๆ และรุ่นพี่ทั้งหลาย
พุชกับเกลช่วยกันส่งเสียงและพูดจาตลก แซวไปแซวมาจนฉันรู้สึกรำคาญและอยากจะออกมาจากตรงนั้น แต่ก็นั่งอยู่กับที่เพราะคนมามุงดูเยอะเกินไปและไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้ พีพีที่อยู่ตรงหน้าส่งยิ้มละมุมละไมให้ฉันก่อนจะยื่นถ้วยรางวัลมาตรงหน้าและบอกฉันถึงความสำเร็จที่เขามีในวันนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเขาไม่คิดถึงฉัน ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องของเพื่อนๆและรุ่นพี่ที่อยู่ในสถานการณ์ซึ่งทำให้ฉันไม่สามารถฝืนตัวเองไม่ให้รับถ้วยรางวัลมาจากพีพีได้ ก่อนงานเลี้ยงจะเลิกพีพียังจะเข้ามาหาฉัน และขอฉันเต้นรำ แต่ฉันปฏิเสธไป อ้างว่าปวดหัว อยากกลับบ้าน
“เธอนี่มันยังไงกันนะ พีพีตามจีบเธอมาตั้งแต่เกรด 10 แต่เธอก็ยังใจแข็ง ไม่เคยใยดีเขาเลย” โรสเอ่ยขึ้นตอนที่พวกเราออกมาจากงานและตรงไปยังรถยนต์ส่วนตัวของพี่ซิส
พี่ซิสมีรถยนต์เป็นของตัวเองแล้ว แม่ของพี่ซิสซื้อให้เป็นของขวัญที่พี่ซิสสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และนี่จะเป็นครั้งแรกที่พี่ซิสได้ขับรถคันนี้มาให้รุ่นน้องเห็น มันเป็นรถที่มี 6 ที่นั่ง และดูคันใหญ่เกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างพี่ซิสจะขับได้ แต่พี่ซิสก็สามารถขับมันได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ
ในตอนนี้มีผู้โดยสารที่จะขอร้องให้พี่ซิสไปส่งที่บ้านด้วยกัน 4 คน คือฉัน ไวท์ อาร์ และโรส ส่วนแบมบี้จะกลับพร้อมกับแฟนของเธอซึ่งเป็นรุ่นพี่เรียนมหาลัยแล้ว ในขณะที่พุชและเกลจะกลับพร้อมกับเพื่อนนักบาสคือ พีพี ฟอง และนุ
“นั่นน่ะสิ ถึงอย่างงั้นก็ต้องขอยอมรับในความพยายามของพีพีนะ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่ยอมชอบผู้หญิงข้างเดียวมานานขนาดนี้” อาร์ที่ตรงไปยังประตูรถและกำลังจะเปิดเข้าไปหันมาพูดกับฉัน
“หยุดพูดเรื่องพวกนี้เถอะ” ฉันบอกอย่างค่อนข้างเหนื่อยๆ
“ก็เป็นแฟนกับพีพีซะสิ เราจะได้ไม่ต้องพูดกล่อมเธอเช้าจนเย็นอย่างที่ทำอยู่” ไวท์ทำหน้าอมยิ้ม
“พอเลยนะไวท์ เรื่องที่เธอทิ้งฉันไปเมื่อวานแล้วแอบไปดูบาสเกตบอลน่ะ ฉันยังไม่หายโกรธนะ”
“โธ่ๆ อะไรกันเล่าโมนา เธอน่าจะเข้าใจนะ เพื่อนๆเราลงแข่งบาสทั้งที จะไม่ไปดูเลยมันก็กระไรอยู่”
“เขาก็ไปดูกันทุกคนน่ะแหละ คงมีแค่เราล่ะมั้งที่ไม่ยอมไปดู” พี่ซิสส่งเสียงมาก่อนจะเปิดประตูแล้วก้าวเข้าไปในรถ ตามด้วยพวกเราทั้ง 4 คน
“ที่ไม่ยอมไปดูก็เพราะพีพีไงคะ จะหาว่าไปชอบเขาอีก หรือกลัวว่าพีพีจะไม่มีสมาธิในการเล่นกันแน่ อันนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วสิ” ไวท์พูดไปยิ้มไปเมื่อเข้ามานั่งในรถเป็นที่เรียบร้อย
“ไวท์!” ฉันตีแขนไวท์อย่างออกจะไม่ชอบที่ได้ยินและเห็นท่าทางยกยอปอปั้นให้ฉันคู่กับพีพีให้ได้แบบนั้น
เสียงหัวเราะของเพื่อนๆรวมทั้งพี่ซิสดังขึ้นมาอีกครั้ง และนั่นยิ่งทำให้ฉันเริ่มจะปวดหัวตามที่อ้างไปกับพีพีจริงๆแล้ว ตอนนี้รู้สึกได้ถึงเส้นเลือดที่ขมับซึ่งกำลังเต้นตุบๆอยู่
“เอาเถอะๆ โมนาเขาไม่ชอบ พวกเราก็ยังจะล้อเล่นอยู่ได้ หยุดพูดถึงพีพีแล้วกลับบ้านกันดีกว่านะ”
เสียงตอบรับคำพูดของพี่ซิสดังมาจากรุ่นน้องทั้ง 3 คนรวมทั้งฉันด้วย
“รัดเข็มขัดด้วยนะ โมนา”
เสียงเตือนด้วยความหวังดีดังมาจากอาร์ซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างฉัน ฉันยิ้มให้เขาก่อนจะรีบทำตามที่บอก แต่แล้วตอนที่หันไปหาอาร์ ฉันกลับเห็นเงาของใครบางคนอยู่อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ
เงาของคนร่างสูง ซึ่งอยู่เบื้องหลังกระจกรถ แวบหนึ่งมีแสงจากในอาคารเรียนสาดเข้าหาร่างนั้นจนฉันเห็นว่าเป็นจูลยืนอยู่ที่นั่น
เห็นได้ชัดว่าเขาแต่งตัวมาเข้าร่วมงานนี้ แต่เขากลับไม่โผล่หน้ามาให้ฉันเห็นเลย และไม่ยอมตอบข้อความที่ฉันส่งไปเมื่อก่อนหน้านี้ด้วย แต่แล้วจู่ๆเขากลับมาทำให้ฉันเห็นตัวเขาจากที่ไกลๆแบบนี้ มันหมายความว่าอะไรกันนะ
“มีอะไรเหรอ” อาร์เอ่ยถาม เมื่อเห็นฉันเอาแต่จ้องไปที่กระจกรถฝั่งของเขา ซึ่งเมื่อเพ่งมองกลับไปอย่างตั้งใจจะดู ฉันกลับไม่พบจูลที่น่าจะยืนอยู่ตรงนั้น
“เปล่า” ฉันยิ้มให้อาร์ก่อนจะรัดเข็มขัดให้เสร็จและกลับไปนั่งมองตรงๆแทน
ฉันไม่ได้เล่าเรื่องของจูลให้ใครฟังเลย ไม่ได้บอกถึงงานสติ๊กเกอร์ดวงดาวที่มีเขาเป็นคนช่วยด้วย ตอนนี้จึงไม่มีใครรู้เรื่องที่ฉันมีเพื่อนเป็นจูลด้วยอีกคน บอกตามตรงว่าฉันเดาไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนของฉันรู้ว่าฉันมีเพื่อนที่ดูเป็นคนซึ่งเข้ากับใครไม่ได้อย่างจูล พวกเขาจะยอมรับจูลอย่างที่รู้สึกอยากจะยอมรับไหม พวกเขาจะทำตัวรังเกียจจูลรึเปล่า ฉันกลัวเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกับจูลจนตัวเองกลายเป็นคนปิดปากเงียบไม่ยอมเล่าให้ใครฟัง
พี่ซิสมาส่งฉันที่บ้านเป็นคนที่ 2 ต่อจากโรสที่ลงรถไปเป็นคนแรก พวกเราเอ่ยอำลากันพอประมาณ ฉันสวมกอดพี่ซิสด้วยความอาลัยเมื่อคิดว่าคงอีกสักพักใหญ่ๆที่เราจะได้พบกันอีก จากนั้นก็ตรงเข้าบ้าน
พ่อกับแม่ยังไม่เข้านอน ท่านทั้งสองมักใช้เวลาช่วงคืนวันเสาร์ด้วยการชมภาพยนตร์ด้วยกัน ฉันทักทายพวกท่านเล็กน้อยก่อนจะตรงไปที่ห้องนอนของตัวเอง อาบน้ำและเตรียมตัวจะเข้านอน
ในระหว่างที่ฉันเป่าผมให้แห้งหลังจากสระมาอยู่นั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนที่โทรมาไม่ใช่ใครนอกจากเกลที่โทรมาก่อกวนและพยายามจะให้ฉันคุยสายกับพีพีให้ได้ ฉันพยายามให้วิธีเจรจาให้เขาเข้าใจและวางสายไปก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายตัดสายซะเอง แต่ฝั่งนั้นกำลังสนุกกับการได้สร้างความรำคาญให้กับฉัน พวกเขาไม่สนใจฟังในสิ่งที่ฉันพูดเลย
เสียงแทรกดังขึ้นระหว่างที่พีพีเป็นคนคุยสายกับฉัน เขาเพิ่งจะเอ่ยทักทายฉันเพียงสองสามคำและกำลังจะชวนคุยเท่านั้นฉันก็บอกให้เขารอสักแป๊บหนึ่ง เพื่อจะได้ดูว่าเสียงแทรกที่ดังมาจากมือถือเมื่อกี้คือเสียงอะไร
มันคือเสียงข้อความเข้า และคนที่ส่งข้อความมา
‘1 ข้อความไม่ได้รับ จูล’
ฉันขอวางสายจากพีพีก่อนจะรีบเปิดอ่านข้อความจากจูลทันที
‘ฉันอยู่ในงานเลี้ยงตลอด มันก็สนุกดี ได้เห็นเธอแล้วด้วย’
ฉันใช้ความคิดอยู่สักพักใหญ่ ชั่งน้ำหนักระหว่างจะส่งข้อความตอบเขากลับไป หรือจะโทรหาเขาดี
เขาไม่ใช่คนสำคัญอะไร ไม่ใช่คนที่จะเรียกว่าเพื่อนด้วยซ้ำ แต่ฉันกลับเลือกทางเลือกที่ 2 ฉันโทรหาเขาจนได้
เสียงสัญญาณต่อสายดังอยู่ไม่นานก็มีคนรับสาย เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ฉันจะคุยโทรศัพท์กับจูล ใจฉันเต้นโครมครามยิ่งกว่าตอนที่จะต้องคุยกับเขาต่อหน้าเสียอีก มันคงจะให้ความรู้สึกแปลกประหลาดมากกว่าเดิมแน่ๆ ที่จะได้ยินแค่เสียงของเขา โดยไม่เห็นสายตา สีหน้า และท่าทาง
{ฮัลโหล}
“ฮัลโหล”
ฉันตอบเสียงรับโทรศัพท์ของเขา เสียงลมหายใจเหมือนเขากำลังหัวเราะดังเข้ามาในโทรศัพท์ก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายพูดก่อน
“ฉันแค่จะโทรมาบอกว่า ทุกคนที่เห็นสติ๊กเกอร์ดวงดาว พวกเขาชอบมันมาก”
เสียงของจูลเงียบไปนิดหน่อย ฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรหรือมีอาการแบบไหน แต่แล้วไม่นานเกินรอ เขาก็คุยกับฉันอีก
{ฉันดีใจด้วยนะ}
น้ำเสียงทุ้มนิ่งๆของเขาในตอนนี้กลับทำให้ฉันยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็อยากให้รู้ว่าเขาก็มีส่วนร่วมในความสำเร็จของมันด้วย
“มันคงไม่เป็นแบบนี้ถ้าไม่มีนายคอยช่วย” ฉันพูดต่อ “ขอบใจนะ”
ที่ปลายสายของจูลเงียบไปสักพักเมื่อฉันเอ่ยขอบคุณเขา ถ้าเขาเป็นคนอื่น ฉันคงคิดว่าเขากำลังทำหน้าปลาบปลื้มดีใจที่ดีมีคนเอ่ยคำขอบคุณด้วย แต่สำหรับผู้ชายคนนี้ เขาน่าจะทำหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์มากกว่า
{ท่าทางเธอกับนักกีฬาคนนั้นเหมาะสมกันดีนะ}
“ฮะ?”
{ฉันเห็นเขาให้ถ้วยรางวัลกับเธอ ดูท่าทางเธอดีใจที่เขาชนะการแข่งขันกลับมา}
“นี่นายกำลังหมายถึงพีพีรึเปล่า”
จูลไม่ตอบคำถามของฉัน เขาเงียบไปเหมือนเมื่อครู่
“ฉันแค่รับมาตามมารยาท เขาเป็นเพื่อนฉัน”
ไม่รู้ว่าจูลจะฟังว่ามันคือคำแก้ตัวรึเปล่า แต่นี่คือความจริงที่ฉันบอกเขา และฉันก็ไม่อยากให้จูลเอาเรื่องของพีพีมาพูดเหมือนที่เพื่อนคนอื่นๆเอามาพูดกันด้วย ฉันไม่อยากไม่ชอบเขาเวลาที่จะต้องคุยกัน เพราะเท่าที่เป็นอยู่ ฉันก็ยังต้องอาศัยความใจเย็น และการยอมรับ เพื่อให้ชอบการคุยในลักษณะของเขา
{อย่างงั้นเองหรอ... ถ้ารู้แบบนี้ ฉันคงจะเข้าไปหาเธอตั้งแต่แรก ฉันนึกว่าฉันอาจจะเข้าไปขัดจังหวะเธอกับหมอนั่น... แย่ดีนะที่ดันเข้าใจอะไรผิดแบบนี้}
ฉันหัวเราะกับคำพูดของจูลที่ไม่รู้จะให้ฉันเข้าใจมันแบบไหนกันแน่
{โมนา}
“อ่าฮะ”
{ทำไมเธอไม่รังเกียจฉัน}
น้ำเสียงนิ่งๆของจูลที่พูดกับฉัน ทำเอาฉันใจสั่นระทึกยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่ากำลังจะได้คุยโทรศัพท์กับเขาซะอีก
ฉันไม่ได้ตอบคำถามเขาในทันที เพราะในใจกำลังคิดหาคำตอบให้กับคำถามที่แสนจะตอบยากแบบนั้นอยู่ แต่ถึงงั้นเขาก็ยังแอบตั้งคำถามให้ฉันในใจอีกข้อ
ทำไมเขาต้องคิดว่าฉันจะรังเกียจเขาด้วย?
จริงอยู่ที่ว่าจูลเป็นคนที่เหมือนจะหลีกหนีจากสังคมจนบางครั้งทำให้เขาคล้ายกับคนมีปัญหา แต่มันไม่ได้หมายความว่าการที่เขาทำแบบนั้นจะทำให้คนรังเกียจเขา แล้วจะมีแค่ฉันที่ไม่ได้รังเกียจเขาและกล้าคุยกับเขา ในอีกแง่มุมหนึ่ง ใช่ว่าคนที่คุยกับเขาจะไม่ได้รังเกียจเขาเช่นเดียวกัน
ฉันไม่อยากส่งเสียงอึกอักให้จูลได้ยิน รู้สึกลิ้นชาอย่างไม่มีสาเหตุ และฉันก็ทำให้การสนทนาครั้งนี้มันเงียบไปจนฉันกลัวว่าจูลจะเป็นฝ่ายตัดสายฉันแทนและพาลจะเข้าใจผิดคิดว่าที่ฉันไม่พูดเป็นเพราะฉันรังเกียจเขาจริงๆ ฉันไม่อยากให้เขาคิดแบบนั้น แต่ก็หาเหตุผลที่ว่ามาพูดไม่ได้
{ฉันง่วงนอนแล้วล่ะ}
จูลส่งเสียงนิ่งๆมาให้อีก ใจที่เต้นโครมครามค่อยๆผ่อนลงบ้างเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้
บางที คำถามที่เขาตั้งกับฉัน เขาอาจไม่ได้ถามเพื่อหวังจะเอาคำตอบก็ได้ ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆฉันก็จะได้ไม่ต้องคิดอะไรให้มันปวดหัว แต่ถ้าไม่ใช่ หลังจากวางโทรศัพท์ ฉันก็จะต้องมานั่งคิดหาคำตอบให้กับคำถามนั้นต่อไป
“ฉันก็เหมือนกัน” ฉันส่งเสียงเรียบๆกลับไปหาเขาบ้าง “ฝันดีนะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ