Silence
เขียนโดย touch
วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.15 น.
แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 16.52 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Introduction 1
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความกึก!
“เหวอออ”
หมับ!
ฉันนึกว่าตัวเองจะต้องล้มลงตัวกระแทกพื้นจนต้องได้รับบาดเจ็บอะไรสักอย่าง แต่ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะตอนนี้มีชายคนหนึ่งรีบเข้ามารับฉันไว้
การประดับเพดานด้วยสติ๊กเกอร์ดวงดาวจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้บันไดปีนขึ้นไปติดมัน แต่เพราะตอนนี้ก็เป็นเวลาเลิกเรียน และที่โรงยิมก็กำลังมีการแข่งขันบาสเกตบอลประจำภาคเรียน ซึ่งวันนี้เป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ มีนักเรียนชายที่เป็นดารานักกีฬาทั้งยังเป็นที่คลั่งไคล้ของนักเรียนหญิงหลายคนลงแข่ง นักเรียนทั้งหมดจึงกรูกันไปอยู่ที่โรงยิม รวมทั้งคนที่มีหน้าที่จัดการตกแต่งห้องเรียนเพื่อต้อนรับวันเกิดโรงเรียน ก็ขออนุญาตไปแออัดกันที่นั่นด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือแค่ฉันและไวท์ที่อาสาจะเป็นคนคอยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย
ระหว่างที่เราตกแต่งห้องเรียนให้มีบรรยากาศหวานๆ สวยงาม และสนุกสนานไปกับวันเกิดโรงเรียนที่กำลังมาถึง เสียงร้องเชียร์จากโรงยิมก็ดังสนั่นมาถึงห้องเรียนนี้ ฉันกับไวท์ทำงานด้วยกันก็จริง แต่เราทั้งสองก็เอาแต่คุยเรื่องการแข่งขันบาสเกตบอลตลอด ไวท์เชื่อว่าทีม 200 หลา จะสามารถเอาชนะทีมฝั่งตรงข้ามได้ เพราะมีดาวเด่นประจำทีมอย่าง พีพี ซึ่งเป็นถึงนักกีฬาโรงเรียนเป็นตัวชูโรง แต่ฉันกลับไม่เห็นด้วย ฉันคิดว่าแม้พีพีจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่กีฬาที่มีผู้เล่น 5 คนก็ต้องอาศัยการร่วมมืออย่างเป็นทีม ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าทีม 200 หลา จะเป็นเพื่อนด้วยกันทั้งทีม แต่ก็ใช่ว่าวิธีการเล่นกีฬาที่แตกต่างของแต่ล่ะคนจะทำให้เกมส์ดำเนินไปอย่างไม่มีอะไรขัดข้องได้ ในจังหวะนี้นี่แหละที่ทีมฝั่งตรงข้ามจะอาศัยข้อเสียเปรียบเอาชนะทีม 200 หลา
เราเถียงกันสักพัก เสียงเชียร์จากโรงยิมก็เงียบไป เราได้ยินเสียงนกหวีดดังมาเป็นระยะทำให้รู้ว่าการแข่งขันกำลังดำเนินอยู่ ระหว่างนั้นไวท์เกิดอยากเข้าห้องน้ำขึ้นมา เธอจึงบอกฉันและออกไปจากห้องเรียน
ฉันจะรอให้ไวท์กลับมาแล้วค่อยปีนขึ้นไปติดสติ๊กเกอร์ก็ได้ แต่ฉันอยากเซอร์ไพรต์เธอมากกว่า ฉันอยากให้เธอเห็นตอนที่เพดานห้องเรียนของเราเต็มไปด้วยดวงดาว อยากเห็นสีหน้าว่าเธอจะรู้สึกชื่นชมมันมากแค่ไหน แต่เพราะความไม่ระวังของฉันนี่เอง ที่ทำให้ฉันเอี้ยวตัวผิดไปจนเท้าหลุดออกจากบันไดและกำลังจะตกลงมา ก่อนที่จะมีใครสักคนมาคว้าตัวฉันเอาไว้ได้ทัน
สายตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมองมาที่ฉันอย่างนิ่งงัน นัยน์ตาดำสนิทนั่นไม่ได้ฉายอะไรออกมา โดยเฉพาะ ไม่ได้ฉายความรู้สึกตกใจที่จะต้องเข้ามาช่วยคนที่กำลังจะตกลงมาจากที่สูงแล้วล้มหัวคะมำอย่างฉันด้วย
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
น้ำเสียงทุ้มของเขาทำให้ฉันลืมอาการตกใจเมื่อกี้ ฉันรีบผละออกจากลำแขนของเขาที่ช่วยพยุงตัวฉันเอาไว้ก่อนจะจัดแจงถ้ายืน และทรงผมของตัวเองให้ดี
ผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้ามองท่าทางฉันด้วยสายตาท่าทางที่ไร้อารมณ์ เขาไม่ได้ยิ้มหรือแสดงท่าทางตลกขบขำฉันที่ทำตัวซุ่มซ่ามจนตัวเองเกือบจะได้รับอุบัติเหตุ แต่ถึงอย่างงั้นฉันก็กลับหน้าแดงมากยิ่งขึ้นที่จะต้องมารู้ว่าตัวเองเผลอทำอะไรให้คนที่ไม่รู้จักได้เห็นเข้า
“เอ่อ ขอบคุณนะ” ฉันบอกขอบคุณชายคนนั้น
ชายคนนั้นมองมาที่ฉันด้วยสายตานิ่งๆเหมือนเดิม ก่อนจะค่อยๆยิ้มให้ที่มุมปาก
“เอ๊ะ...”
ฉันพอจะนึกออกแล้วว่าเขาเป็นใคร เขาคือเพื่อนนักเรียนวัยเดียวกันที่เคยเรียนชมรมเดียวกับฉันเมื่อตอนเกรด 10 นี่เอง แต่ฉันไม่เคยคุยกับเขาสักครั้งหรอกนะ เพราะเขาดูจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยคุยหรือผูกมิตรกับใครเลย และมันก็ดูผิดที่ผิดทางมากๆด้วยที่คนอย่างเขาจะมาเข้าชมรมโต้วาที ถึงอย่างงั้นฉันก็ได้รู้ความจริงในภายหลังว่าชมรมเทควันโดที่เขาต้องการจะเข้าดันมีสมาชิกมาสมัครเข้าชมรมมากเกินกว่าจะรับเขาเข้าไปอีกคน เขาจึงจะต้องมาเข้าชมรมนี้ เพื่ออย่างน้อยตัวเองจะได้มีคะแนนการเข้าร่วมทำกิจกรรม
แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุหลักเพียงสาเหตุเดียวที่ทำให้ฉันจำเขาได้หรอกนะ จริงๆแล้วถ้าเขาไม่ได้เป็นคนโดดเด่นอะไร ฉันก็คงจะจำเขาไม่ได้ แต่มันไม่ใช่แบบนั้น
ลักษณะทางกายของเขา ทำให้เขาดูโดดเด่น จนไม่ว่าเวลาเดินไปไหนก็ต้องมีคนเหลียวหลังหันกลับไปมอง ไม่ใช่แค่ผิวที่ขาวซีดจนดูผิดปกติ แต่เพราะลำตัวสูงของเขา ผนวกกับผมและนัยน์ตาดำสนิทเป็นรูปคมกริบ รับกับจมูกโด่ง พร้อมปากบางแดงระเรื่อซึ่งจะเม้มแน่นสนิทเอาไว้เสมอ ทุกครั้งที่เห็นเขา (แม้จะนานๆครั้ง) ฉันก็มักจะตั้งคำถามในใจเสมอว่าทำไมคนที่มีหน้าตาแบบเขาจึงไม่ได้รับคัดเลือกให้ไปประกวดเป็นดาราของโรงเรียน แต่แล้วฉันก็สามารถตอบคำถามนั้นได้ด้วยตัวเองทุกครั้ง
ก็เพราะเขามักจะชอบหายตัวไปบ่อยๆ รวมทั้งเขาไม่คุยกับใครเลยยังไงล่ะ
และนี่ไง คือสาเหตุที่ทำให้แม้ฉันจะเคยอยู่ชมรมเดียวกับเขา ฉันก็ไม่รู้จักเขาเลย แม้กระทั่งชื่อของเขาก็ตาม
“ดูท่าเธอจะไม่เป็นอะไรแล้วนะ”
น้ำเสียงเรียบๆของเขาชวนให้ฉันกลัวนิดหน่อย และเริ่มคิดว่าฉันควรจะดีใจที่ได้เขามาช่วยเอาไว้ หรือควรจะสงสัยว่าทำไมวันนี้ฉันจึงมาเจอเขาในฐานะคนที่บังเอิญมาช่วยฉันดี
“ใช่”
ฉันพยายามทำน้ำเสียงให้ร่าเริงเหมือนปกติ และพยายามสลัดความคิดทั้งหมดที่ว่าฉันเคยพบเขาที่ไหน แล้วทำไมฉันจึงไม่รู้จักเขา ทั้งๆที่เราก็เคยเรียนชมรมเดียวกัน
“ก็เพราะฉันยังไม่ได้หงายหลังล้มลงมา จะเป็นอะไรไปได้ไงล่ะ”
รอยยิ้มของฉันเจื่อนลงเล็กน้อยเมื่อพบว่าคนตรงหน้าได้แต่มองหน้าฉันเฉยๆ ไม่ได้ยิ้มแย้มไปกับฉันด้วย
ตอนนี้ฉันเริ่มคิดถึงไวท์ยังไงไม่รู้นะ
“เอ่อ... ขอบใจนะ” ฉันพูดอีกครั้ง เผื่อว่าที่พูดไปเมื่อก่อนหน้านี้เขาจะไม่ได้ยินมัน
“หึ”
เขากระตุกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง ก่อนจะเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินผ่านฉันไปยังกระดานดำ ที่ฉันและไวท์ช่วยกันวาดภาพหน้าเพื่อนๆเป็นรูปการ์ตูนลงไปในนั้น เขายืนพินิจมันสักพักก่อนจะหันมาหาฉัน
“ฉันคิดว่ามันน่าสนใจดีนะ”
“ฮะ?”
“เธอวาดมันคนเดียวเลยอย่างงั้นหรอ”
สายตาของเขาเริ่มฉายอะไรบางอย่างออกมาบ้าง ซึ่งมันมีส่วนอย่างแรงกล้าที่ทำให้นัยน์ตาของเขาไม่นิ่งงันจนทำให้ฉันพูดอะไรไม่ออก
“ไม่ใช่หรอก” ฉันยิ้มให้เขาอีกครั้งอย่างที่เป็นนิสัยประจำตัว “ฉันช่วยกันวาดกับเพื่อนอีกคนน่ะ”
“งั้นหรอ”
เขาหันกลับไปมองที่กระดานดำอีกครั้ง
“แล้วเขาไปไหนแล้วล่ะ”
“ไปห้องน้ำน่ะ เดี๋ยวคงกลับมา”
ฉันพูดไปพลางก่อนจะเอามือมาประสานกันไว้ที่ด้านหน้าลำตัว
รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกใครสักคนหนึ่งตรวจผลการทำงาน ฉันเริ่มรู้สึกเหงื่อแตกและใจก็เต้นไม่ค่อยเป็นสุขเท่าไหร่ ถึงอย่างงั้นฉันก็มั่นใจว่าตัวเองคงจะไม่เป็นลมล้มพับไปตอนนี้
“เพื่อนของเธอ คือผู้หญิงที่ผูกผมเป็นหางม้าสีแดง ใส่เสื้อสีฟ้าอ่อนรึเปล่า”
“ใช่... ทำไมถึงรู้ล่ะ”
“ฉันเพิ่งเดินสวนทางกับเธอตอนขึ้นบันไดมา เหมือนเธอจะตรงไปที่โรงยิมนะ ได้ยินมาว่าที่นั่นกำลังมีการแข่งขันบาสเกตบอลนี่นา บางทีเธออาจจะกำลังรีบไปให้ทันก่อนการแข่งขันครึ่งแรกจะจบก็ได้”
“ฮะ!”
หมายความว่าไงในสิ่งที่เขาพูด
ไวท์ไม่ได้ไปห้องน้ำ แต่ไปโรงยิมเพื่อไปดูการแข่งขันบาสเกตบอลที่เธอบ่นกับฉันตลอดการทำงานว่าอยากไปอยู่ที่นั่นมากกว่าที่จะต้องมาจัดการตกแต่งห้องเรียนอะไรแบบนี้ แล้วสุดท้ายเธอก็ทิ้งฉันไป ปล่อยให้ฉันต้องทำงานคนเดียวอย่างงั้นหรอ!
เลวร้ายที่สุดเลย
ฉันเห็นรอยยิ้มของชายที่ช่วยฉันเอาไว้ผุดออกมาบนใบหน้า คราวนี้เขายิ้มยิงฟันเหมือนกำลังชอบใจที่เห็นฉันทำหน้าตาไม่รู้เรื่องกับสิ่งที่เขาเพิ่งพูดให้ฟัง
“ตลกดีนะ ตอนที่ฉันเห็นเพื่อนเธอก็เมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาแล้ว แล้วก็มายืนมองเธอทำงานเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมาด้วย น่าแปลกที่เธอไม่เอะใจเรื่องที่เพื่อนไปเข้าห้องน้ำนานจนผิดปกติ”
เขาพูดไปยิ้มไปจนทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นเยอะ และคิดไปเองว่าบางทีฉันอาจจะคุยกับเขาได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่จริงฉันลืมเรื่องที่ตัวเองกำลังคุยกับคนที่ไม่รู้จักไปแล้วด้วยซ้ำ ตอนนี้ฉันกำลังโกรธไวท์ที่ทิ้งฉันไว้ให้ทำงานคนเดียวตั้งครึ่งชั่วโมง
“เธอเป็นแบบนี้เสมอเลยใช่ไหม”
ฉันมองหน้าชายคนนั้นอีกครั้ง รู้สึกตัวเองกำลังคิ้วขมวด ไม่ได้ไม่พอใจกับการป้อนคำถามของเขาที่พูดถึง ‘การเป็นแบบนี้’ ของฉัน แต่ฉันยังไม่คลายความโมโหไวท์
“เธอมักจะทำงานจนลืมเวลา แล้วก็กลับบ้านสายเป็นประจำทุกที”
“เอ๊ะ...”
“ฉันรู้ได้ไงน่ะหรอ”
เขายิ้มอีกครั้ง
“ก็เพราะฉันก็กลับบ้านสายเหมือนเธอ แล้วก็เจอเธอที่ป้ายรถเมล์ทุกครั้งตอนที่จะกลับบ้าน”
ฉันพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านๆมา ซึ่งฉันมักจะกลับบ้านสาย เพราะงานบริหารโรงเรียนของฝ่ายสภาเป็นอะไรที่วุ่นวายมาก แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ปัญหาของฉันคนเดียวหรอกนะ เพื่อนๆในฝ่ายสภาทุกคนก็ต้องร่วมกันแก้ไขมันด้วย และเพราะแบบนี้มันจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอะไรที่จะกลับบ้านค่ำมืดทุกวัน ถึงยังไงอย่างน้อยก็มีเพื่อนกลุ่มใหญ่กลับพร้อมฉัน ส่วนเรื่องที่ทำให้แปลกใจ ดูจะกลายเป็นเรื่องที่ว่าทำไมฉันไม่เคยสังเกตเห็นเขามาก่อน ทั้งที่เขาสังเกตเห็นฉัน
“ไม่เคยรู้เลยแฮะว่านายอยู่แถวนั้น”
เขาลดรอยยิ้มลงนิดหน่อยจนทำให้ฉันคิดไปเองอีกว่า ฉันอาจจะพูดอะไรผิดไปก็ได้ แต่ท่าทีของเขาที่แสดงออกมากลับไม่ได้สนใจในคำพูดของฉัน เขาตรงไปที่โต๊ะซึ่งเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ดวงดาว ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
“ถ้าตกกลางคืนแล้วมันจะเรืองแสงใช่ไหม”
ฉันตอบโดยการยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา
“เธอจะติดมันบนเพดานทั้งหมดเลยหรอ”
เขาแหงนมองขึ้นไปบนเพดาน แล้วก็พบว่ามีสติ๊กเกอร์ดวงดาวบางส่วนที่ฉันติดไปบ้างแล้วก่อนหน้านี้
“ใช่” ฉันยังคงมีน้ำเสียงร่าเริง และยิ้มให้เขา
“ถ้างั้นห้องเรียนของเธอก็จะเต็มไปด้วยดวงดาว”
เขายิ้มที่มุมปากนิดๆ เหมือนกำลังฝันและนึกภาพตอนที่สติ๊กเกอร์ดวงดาวทั้งหมดถูกติดบนเพดานจนเสร็จ
“ถ้านายชอบ จะลองทำแบบเดียวกันที่ห้องเรียนของนายก็ได้นะ”
เขาหันมามองฉันนิดหน่อย ก่อนจะวางสติ๊กเกอร์ที่ว่านั่นลงบนโต๊ะตรงที่ๆมันเคยวางเอาไว้ เสมือว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้หยิบมันขึ้นมา
มันอาจจะไม่จำเป็นก็ได้ที่เขาจะต้องบรรจงวางสติ๊กเกอร์ลงแบบนั้น แต่เขาอาจจะเป็นคนพิถีพิถันเกินกว่าที่ฉันจะคาดคิด หรือเขาอาจจะจงใจทำมัน เพราะไม่อยากให้ฉันมองว่าเขาเข้ามาก้าวก่ายหรือรบกวนงานที่ฉันทำอยู่
แต่นี่มันแค่เรื่องวางสติ๊กเกอร์เองนะ อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้
“ถ้าเลียนแบบ มันก็ไม่ใช่ในแบบที่เป็นของเราน่ะสิ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ แต่แฝงไปด้วยอารมณ์บางอย่างที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจ
“ถ้าต้องการเป็นที่จดจำ ก็ต้องทำในสิ่งที่แปลกใหม่ ไม่เลียนแบบใคร และโดดเด่น อย่างการแต่งห้องเรียนของเธอ เท่าที่ฉันเดินผ่านมาทุกๆห้อง มีเพียงห้องเรียนห้องนี้ที่ตกแต่งต่างจากห้องอื่น แล้วก็ยังมีคนอยู่ในห้องเรียน”
“ใช่สิ ก็เพราะทุกคนไปรวมตัวกันที่โรงยิมทั้งหมดนี่นา” ฉันหัวเราะร่วน
“ไม่ใช่ทุกคนหรอก”
เสียงหัวเราะของฉันหายไปโดยปริยาย
สายตานิ่งงันของเขาที่ฉันเห็นตอนแรกไม่ได้แฝงอะไรออกมา มันว่างเปล่าก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้ฉันกลับมองว่ามันกลายเป็นแววตาขวางที่แฝงความร้ายกาจ และอารมณ์ร้อนแรงเกินจะทานทนไหวเอาไว้ ถึงอย่างงั้นก็เป็นสิ่งที่ฉันจินตนาการเกี่ยวกับสายตาของเขา ตัวตนที่แท้จริงของเขาออกจะเรียบเฉย เขาไม่ได้คลุกคลีกับใคร โดดเดียว อ้างว้าง และนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่แท้จริงมากกว่าที่ทำให้เขามีสายตาว่างเปล่า ก็เพราะเขาไม่มีอะไรให้หนักใจ ไม่มีเรื่องอะไรให้คิดนี่นา
“เธออาจจะลืมนับฉันไป”
เขาทำน้ำเสียงโล่งๆและยิ้มออกมานิดหน่อย เหมือนจงใจทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาร่าเริง ยิ้ม และหัวเราะไปพร้อมกับฉันด้วย
“ก็นะ นายเป็นคนที่กำลังยืนคุยกับฉันอยู่ตอนนี้ มันก็เลยหลงๆลืมๆกันบ้าง”
“หึ”
เขาหัวเราะนิดๆก่อนจะยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดที่จัดแถวเป็นระเบียบสวยงาม ซึ่งมันน่าดูชมมาก รอยยิ้มของเขาทำให้ใบหน้าที่ทำให้ฉันไม่ค่อยแน่ใจกับการคุยของเขา กลายเป็นใบหน้าที่น่ามอง และมีมนต์เสน่ห์ทำให้ละสายตาไม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ฉันไม่แปลกใจหรอก ฉันไม่ได้มีความสำคัญกับเธอ เราไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ชื่อฉัน เธอก็อาจไม่รู้”
มันเป็นความจริงอย่างที่เขาพูด แต่ถ้าจะเอาเรื่องความสำคัญมาพูดกันตั้งแต่ครั้งที่เคยคุยกัน ฉันคิดว่ามันออกจะเร่งด่วนเกินไปรึเปล่า การที่คนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญของอีกคนหนึ่งได้ ต้องมีความผูกพันที่ลึกซึ้งนี่นา ซึ่งฉันและเขาไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ไม่ได้รู้จักกัน มาพูดแบบนี้จงใจทำให้ฉันรู้สึกแย่ หรือบอกให้รู้ว่าเขาอยากเป็นเพื่อนฉันกันแน่นะ
เอ๊ะ! เพื่อนงั้นหรอ?
ถ้าพูดกันจริงๆ การที่ฉันมายืนคุยกับเขาแบบนี้ แม้เราจะยังไม่ได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ แต่ก็อาจจะไปสู่การทักทายที่ทำให้รู้จักกันได้ในวันข้างหน้า และฉันก็อาจจะได้เป็นเพื่อนกับเขา
มันคงจะแปลกพิลึกที่คนกว้างขวางและมีเพื่อนมากมายในแบบฉัน จะมีเขาเป็นเพื่อนอีกคน แต่ให้ทำไงได้ คนที่ช่วยฉันเอาไว้วันนี้เป็นเขานี่นา ถ้าไวท์อยู่ที่นี่ ฉันอาจจะไม่มีวันได้พบเขาในลักษณะการพูดคุยกันแบบนี้ก็ได้
“เธออาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราเคยเรียนชมรมเดียวกันมาก่อน”
“อ๊ะ! เปล่านะ”
ฉันขัดคอเขาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างพอจะตั้งคำถามกลับมาได้
“ชมรมโต้วาที” ฉันพูด “นายอยากเข้าชมรมเทควันโด แต่ต้องมาอยู่ชมรมโต้วาที ฉันเจอนายครั้งแรกตอนเกรด 10 เรื่องนี้ฉันจำได้นะ”
ฉันหัวเราะออกมานิดหน่อย และรู้สึกหน้าร้อนผ่าวๆด้วยที่พูดแบบนี้ออกไป ส่วนเขาที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันก็ยิ้มออกออกมาอีก ก่อนจะเอามือเกาที่ศีรษะแก้อาการที่เขาอาจจะเป็นแบบเดียวกับฉันตอนนี้
“ก็คิดอยู่ เพราะถ้าเธอไม่เคยเห็นฉันมาก่อน เธอก็คงไม่กล้าคุยกับฉันในตอนนี้”
นั่นก็เป็นความจริงด้วยเช่นกัน แต่จะโทษคนอื่นก็ไม่ได้หรอกนะ ที่จริงมันเกิดจากเขาตางหาก ท่าทางของเขาคงมีคนอยากคุยด้วยน้อย หรืออาจจะไม่มีคนคุยด้วยเลยก็ได้
“นายเป็นคนชวนฉันคุยหรอกนะ แล้วก็เพราะ...”
แปลกแฮะ! ฉันคิดว่าเขาจะไม่คุยกับใครเลย และไม่คิดว่าวันนี้ฉันจะได้คุยกับเขาโดยที่เขาเป็นฝ่ายชวนฉันคุยด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างมันผิดไปจากที่ฉันคิดไปหมด
เขาคนนี้ เป็นคนแบบไหนกันแน่นะ?
“นายมาช่วยฉันเอาไว้เมื่อกี้ เราก็เลยได้คุยกัน” ฉันพูดต่อจนจบ
“จริงด้วยสินะ”
เขาเอามือล้วงกระเป๋าเหมือนในครั้งแรก
“แล้วถ้าฉันอยากคุยกับเธอต่อ ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายชวนคุย แล้วก็ต้องช่วยเหลือเธออีก อย่างงั้นใช่ไหม”
สิ่งที่เขากำลังพูดอยู่กับฉัน คือวิธีการที่เขาคิดว่าจะได้ฉันเป็นเพื่อนรึเปล่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เขาคงเป็นคนที่มีความเชื่อเรื่องการแลกเปลี่ยนมากเกินไปล่ะนะ
“นายไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้”
“หึ”
เขายิ้มที่มุมปาก จนฉันเข้าใจแล้วว่านี่คือลักษณะท่าทางประจำตัวของเขา
“นายชื่ออะไรงั้นหรอ”
เพื่อไม่ให้การพบกันระหว่างเขากับฉันรวมถึงเนื้อหาการพูดคุยระหว่างเราไม่เสียเปล่า ฉันควรจะให้เขาแนะนำตัวเอง เผื่อวันไหนที่ฉันพบเขา ฉันจะได้ทักทายเขาบ้าง แต่เพราะคำถามของฉันมันเป็นคำถามที่แย่รึเปล่า ที่ทำให้ฉันสังเกตได้ถึงรอยยิ้มที่หายไปจากใบหน้าของเขาแทบจะในทันที
“ถ้าฉันแนะนำตัวกับเธอ เธอจะแนะนำตัวกับฉันไหม โมนา”
“เอ๊ะ...”
“เธอเป็นสภานักเรียน แล้วก็เป็นดาราโรงเรียนที่มักจะถ่ายรูปขึ้นปกสมุด หรือโปสเตอร์ประกาศเสมอ มันคงไม่แปลกหรอกใช่ไหมที่ฉันจะรู้จักเธอ... และอาจจะรู้จักเธอดีมากกว่าที่เธอรู้จักฉันด้วยก็ได้”
“อ่าฮะ” ฉันยิ้มและจะหัวเราะออกมาอีกให้ได้เมื่อรู้แบบนั้น
ใช่ว่าการที่เขาไม่ได้เป็นเพื่อนกับใคร การที่ฉันเห็นเขาไม่คุยหรือมีปฏิสัมพันธ์กับใครเลย มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่รู้เรื่องคนอื่น เขาไม่ได้อยู่กับตัวเองจนไม่ได้คิดเรื่องของคนอื่น อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าฉันชื่ออะไร ผิดกับใครอีกหลายคนที่รู้จักแค่ว่าฉันคือดาราหน้าปกสมุดของโรงเรียน แต่ไม่รู้ชื่อของฉัน
“จูล”
“ฮะ?”
“ชื่อของฉัน”
เขายิ้มให้ฉัน สายตาแฝงไมตรีออกมา
“ฉันชื่อจูล ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
เป็นครั้งที่สองที่รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันละสายตาไปมองอย่างอื่นไม่ได้เลย
“จ๊ะ ฉันก็ยินดีที่ได้รู้จักนะ” ฉันยิ้มแย้มให้เขาเหมือนที่ตัวเองทำมาตลอดการคุยกับเขา
“ถ้างั้นแล้ว เธอมีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า”
เขาไม่พูด ถอดกระเป๋าสะพายข้างออกแล้ววางมันไว้บนเก้าอี้ในห้องเรียน เอามือเท้าสะเอวเล็กน้อย แล้วมองดูสติ๊กเกอร์ดวงดาวบนโต๊ะที่เขาหยิบมันขึ้นมาเมื่อกี้ ทำท่าทางและตั้งคำถามเหมือนเขาอยากจะช่วยงานเรื่องการตกแต่งห้องเรียน ซึ่งมันเป็นหน้าที่ฉัน
“นายจะช่วยฉันแต่งห้องเรียนนี้หรอ”
“ใช่”
เขาลากเสียงทุ้มเล็กน้อย จนมันกลายเป็นเสียงหวานๆได้
“แต่ว่า...”
“ฉันอาจจะช่วยเธอไม่ได้ดีไปกว่าเพื่อนของเธอ แต่ฉันจะอยู่ช่วยเธอจนงานเสร็จแน่ๆ”
ฉันจ้องมองริมฝีปากของเขาที่ดูจะพูดและแสดงท่าทางเป็นธรรมชาติ ผสมกับความเป็นมิตรมากยิ่งขึ้น
“และฉันคงไม่อยู่ที่นี่แต่แรก เธอคงจะตกจากบันไดลงมาจนเจ็บตัว ถ้าฉันไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้มันน่าสนใจ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ