จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)
7.0
เขียนโดย Lady_Madeline
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.
10 ตอน
1 วิจารณ์
11.62K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) ตอนที่ 8 จุดเริ่มต้นของสงคราม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 8
การเริ่มต้นของสงคราม
ณ ป้อมค่ายซึ่งอยู่ในป่าทึบทางทิศตะวันตกของโดโรเรส เหล่าทหารในชุดเกราะหนัก และเกราะเบาเดินขวักไขว่ไปมา เพื่อตั้งค่ายพักชั่วคราวให้เสร็จสิ้นก่อนที่ตะวันจะตกดิน ในเต็นท์หลังใหญ่สีขาวซึ่งด้านบนมีธงมังกรสีดำอยู่บนพื้นสีแดงประดับอยู่กำลังวุ่นวาย เหล่าขุนนางชั้นสูงซึ่งอยู่ในชุดเกราะโลหะกำลังเข้าร่วมประชุมวางแผนการรบกันอย่างเข้มข้น
"ข้าไม่นึกเลยว่าพวกมันจะกล้าบุกมาในยามกลางวันแสกๆเช่นนี้" ฟอร์เทสแม่ทัพหนุ่มเอ่ยขึ้นกับเหล่าขุนนางในที่ประชุม พร้อมกับใช้มือซึ่งอยู่ภายใต้ถุงมือเหล็กลูบคางซึ่งประบางด้วยหนวดเคราไปมา
"เห็นทีเราคงต้องรีบจัดการมันให้สิ้นซากก่อนที่เราจะสูญเสียแนวหน้าฝีมือดีไปมากกว่านี้" เอเดนหัวหน้าทหารม้าผู้ใจร้อน เอ่ยพร้อมกับทุบกำปั้นเหล็กลงบนโต๊ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลลุกไหม้ด้วยไฟพิโรจน์ แต่ทว่าเชสเตอร์แกรนด์ดยุคผู้ปกครองโดโรเรสกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย
"ฟอร์เทส เราสูญเสียทหารไปเท่าไหร่"
"พลธนู 20 นาย ทหารเกราะหนัก 40 นาย ทหารเกราะเบา 67 นาย ทหารม้า 15 นาย...."
".... และหนึ่งในนั้นเป็นญาติข้า!"หลังจากที่ฟอร์เทสเอ่ยรายงานความสูญเสียที่เกิดขึ้นยังไม่ทันจบ เอเดนก็แทรกเสียงขึ้นด้วยอารมณ์คุกกรุ่น
"ข้าเสียใจกับความสูญเสียของเจ้าด้วยเอเดน" เชสเตอร์เอ่ย แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ทำให้เอเดนพึงพอใจเลยสักนิด เขาทุบกำปั้นเหล็กลงบนโต๊ะอีกครั้ง
"ข้าไม่ต้องการถ้อยคำสงสาร ข้าต้องการล้างแค้น"
"นั้นเป็นสิ่งที่เราจะทำ แต่ไม่ใช่ตอนนี้" นัยน์ตาสีเงินของเชสเตอร์นั้นดูนิ่งสงบยิ่งนัก เมื่อมองไปยังเอเดนนายกองผู้เดือดดาล
"ท่านไม่เข้าใจ! หากยิ่งเราเคลื่อนพลช้ามาเท่าไหร่ การสูญเสียก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น!!"นายกองทหารม้าหนุ่มแย้งขึ้นด้วยเสียงอันดัง ดังเสียจนนกกาที่อยู่ใกล้ต่างตกใจบนหนีกันจนวุ่น เหล่าพลทหารด้านนอกที่กำลังกางเต็นท์ตระเตรียมของให้พร้อมรบก็สะดุ้งโหยงกันไปตามกัน
" ไม่มีใครในโดโรเรสจะชำนาญการรบมากไปกว่าข้า!! ที่ดินในดินแดนนี้ทุกตารางนิ้วไม่มีใครคุ้นเคยมากไปกว่าข้า เจ้ากล้าดียังไงมาสอนวิธีการรบกับข้า!!!!"เชสเตอร์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ แล้วแผดเสียงดังอย่างเดือดดาลไปยังเอเดน
"ข้ารู้ว่าเราควรทำอะไร เจ้าก็ต้องใจเย็น และทำตามที่ข้าบอก ไม่อย่างนั้นพวกลากูนคงมอบความปราณี ด้วยการส่งเจ้ากลับไปหาญาติของเจ้าที่นรกภูมิ!!" เชสเตอร์ย้ำคำหนักทำให้เอเดนยอมสงบลง
"ท่านฟอร์เทสสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง" เซนวิกเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน ฟอร์เทสกระแอมไอสองสามครั้ง แล้วหยิบแผ่นหนังซึ่งเป็นแผนที่โดยรอบของป่าที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงออกมากางลงบนโต๊ะ
"ตอนนี้เรายังจับทิศทางการโจมตีของพวกลากูนไม่ได้ชัดเจนนัก แต่ส่วนมากจะโจมตีจากทางตอนใต้ของป่าซึ่งใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง การโจมตีครั้งแรกเกิดหลังมหาพายุที่มหาสมุทรแห่งการลืมเลือน.... สิ่งที่น่าสนใจคือก่อนหน้านี่พวกลากูนไม่เคยเข้ามารุกรานในเขตของเมืองเพราะพวกมันแพ้ไฟ แต่ตอนนี้มันกลับเข้าใกล้หมู่บ้านเข้ามาเรื่อยๆ และข้าก็ยังหาสาเหตุของการโจมตีนี้ไม่ได้" เมื่อสิ้นคำรายงานของฟอร์เทส ทุกคนในที่ประชุมก็ต่างครุ่นคิด
"นี่ไม่ใช่การหาอาหารอย่างที่พวกมันเคยทำ" เอเดนเอ่ยขึ้น
"เป็นไปได้ว่า.. พวกมันกำลังตามหาอะไรบางอย่าง" เชสเตอร์เอ่ยสมทบ พร้อมกับใช้นัยน์ตาสีเงินกวาดมองลงไปบนแผนที่ของฟอร์เทส เขาพยามจับจ้องมองเครื่องหมายสีแดงที่เป็นตำแหน่งที่พวกลากูนเคยเข้าโจมตีเพื่อหาความสัมพันธ์ของแต่ละจุด
"พวกมันต้องการอะไรที่หมู่บ้านชาวประมง" เซนวิกเอ่ยขึ้น
"ข้าไม่แน่ใจนัก... ฟอร์เทส จัดกำลัง 150 นาย ลาดตระเวณและคุ้มกันหมู่บ้านชาวประมง แต่อย่าทำอะไรกระโตกกระตาก เอเดนจัดม้าเร็ว 3 นาย ไว้ที่หมู่บ้านชาวประมงหากเกิดอะไรขึ้นข้าต้องการข่าวเร็วที่สุด สามวันนี้เราจะปักหลักกันอยู่ในป่าเพื่อสังเกตการณ์การโจมตีของพวกลากูน ระหว่างนี้พวกเจ้าต้องเตรียมทหารให้พร้อม หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินเราจะสู้กับพวกลากูนจนกว่าพวกมันจะออกจากชายแดนโดโรเรสไป" เชสเตอร์เอ่ยสั่งเหล่านายกองอย่างสุขุม นัยน์ตาสีเงินยังฉายแววความคิดที่ไม่จบสิ้น
เอเดน และฟอร์เทสโน้มศีรษะน้อมรับคำสั่งของเชสเตอร์ ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ไปเพื่อทำหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย เชสเตอร์ยกไวน์ขึ้นจิบเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมากนัก เพราะนอกจากเรื่องรบที่น่าเป็นห่วง ก็ยังมีอีกเรื่องที่ทำให้เข้ารู้สึกกังวลใจอยู่เสมอ
"เซนวิก... นางเป็นอย่างไรบ้าง"
"ท่านหมายถึงใครขอรับ" เซนวิกรู้ดีว่านายเหนือของตนหมายถึงใคร
"เจ้าก็รู้"
"นางของท่านมีมาก ไม่ว่าจะเป็นท่านหญิงอาคาเซีย สาวงามจากรีเวียร์ นางงามจากเมเดล่า หรือว่า...."
"ข้าหมายถึงแอมเชล"
"ข้านึกว่าท่านลืมไปเสียแล้วว่าท่านมีแอมเชลอยู่ในปราสาทของท่าน" เซนวิกเอ่ยประชด เพราะนับแต่วันที่ได้พาตัวแซนด์เข้ามาในปราสาท เชสเตอร์ไม่เคยได้ดูแลคนที่ได้ชื่อว่าเป็นนางฟ้าเลยสักครั้ง ของสักชิ้นก็ไม่เคยมอบให้ ซึ่งผิดกับเหล่านางสนมที่เชสเตอร์ให้เหล่าทหารนำของกำนัลทั้งเครื่องประดับ เสื้อผ้า เครื่องประทินความงามไปเสนอให้อยู่ไม่ขาด ทั้งๆที่แซนด์ซึ่งเป็นนางฟ้าควรจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษแท้ๆ
"ข้าถามเจ้า หน้าที่ของเจ้าคือการตอบคำถามข้า" เชสเตอร์เอ่ยเสียงดุ
"นางสบายดีขอรับ สุขภาพแข็งแรงแม้น้ำหนักตัวกับส่วนสูงจะทำให้นางดูอวบไปบ้างแต่นางยังแข็งแรงดี" คำพูดของเซนวิกทำให้เชสเตอร์ขมวดคิ้วแล้วตบโต๊ะเตือนอย่างไม่พอใจ
"ข้าไม่สนุกกับสิ่งที่เจ้ากำลังเล่น...."
"ถึงแม้ว่าการมาของนางจะทำให้ท่านดูสดใสขึ้น แต่ท่านกลับทำตัวอมทุกข์ ท่านผิดหวังหรือที่นางไม่ใช้สาวงามรูปร่างสะโอดสะองดั่งที่ท่านวาดฝันไว้" เชสเตอร์ไม่ตอบคำถามอะไรของเซนวิก เขายังจิบไวน์แดงรสนุ่ม และแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินประโยคเสียดสีที่ที่ปรึกษาของเขากล่าวออกมา
"นางคิดว่าท่านเป็นคนน่ากลัว อารมณ์ร้าย เย็นชา ซ้ำนางยังบอกกับข้าว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ท่าน นางมักจะทำให้ท่านหงุดหงิดอยู่เสมอ นางจึงไม่อยากจะเข้าใกล้ท่าน" ในที่สุดเซนวิกก็เอ่ยสิ่งที่เชสเตอร์อยากรู้ออกมา แม้ว่ามันฟังดูแล้วจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่แกรนด์ดยุคหนุ่มคิดไว้สักเท่าไหร่ แต่หากเป็นต่อไปเช่นนี้แซนด์คงไม่มีทางที่จะรักเชสเตอร์ได้เลย และแน่นอนว่าคำสาปร้ายนี้ก็คงไม่สามารถจบสิ้นลงได้
"ท่านทำให้อิสตรีหลงใหล หลงรักท่านมาได้มากมาย แต่ท่านกลับทำให้นางฟ้าองค์เดียวมีความรู้สึกที่ดีต่อท่านไม่ได้... ข้าคิดว่าท่านควรต้องทบทวนบางสิ่ง" เซนวิกเอ่ยย้ำอีกครั้ง เชสเตอร์ยังคงนิ่งไม่กล่าวอะไร เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะร้ายใส่หญิงสาวนัก แต่ทว่าทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้นางมันต้องมีสักอย่างที่ทำให้เขาต้องเลือดขึ้นหน้า นางมักทำอะไรให้เขารู้สึกไม่พอใจอยู่เสมอ และอีกเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงไม่สามารถนิ่งสงบ สุขุมได้อย่างที่เคยเป็นเมื่ออยู่กับนาง มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดให้ผู้อื่นเข้าใจได้ยากยิ่งกว่าสิ่งใด และแม้ว่าเขารู้ดีแก่ใจว่าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปแซนด์จะไม่มีทางรักเขาแน่ แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าสำหรับเขาคือ เขาก็จะไม่มีทางมอบความรักให้กับสตรีที่ทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ร่ำไปได้เช่นกัน หนทางการล้างคำสาปของเขามันคงจบไม่สวยแน่
"สิ้นสุดการรบครั้งนี้ ข้าจะดูแลนางให้ดีขึ้น" เชสเตอร์เอ่ยเสียงเรียบ เขาพยามทำสัญญากับตนเอง น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อนได้ หากการทำดีกับแซนด์แม้วันละน้อย ก็น่าจะทำให้นางยอมใจอ่อนและมาตกหลุมรักเขาได้
"ข้าหวังว่าท่านจะทำเช่นนั้น"
นกฮูกส่งเสียงร้องระงม ผู้คนต่างกลับเข้าบ้านเมื่องดวงจันทร์ลอยขึ้นเหนือศีรษะ ทั่วทั้งเมืองด้วยเงียบสงบไร้ความเคลื่อนไหว จะมีก็เพียงเสียงเดินเบาๆของเหล่าทหารกล้าที่มาเดินลาดตระเวณเพื่อรักษาความสุขทั่วหมู่บ้านก็เท่านั้น ในขณะที่เหล่าทหารกล้ากำลังกินดื่มอยู่ที่แคมป์ไฟบริเวณทางเข้าหมู่บ้าน เขาก็เห็นเงาตะคุ่มกำลังมุ่งตรงมาหาเขาอย่างช้าๆ นายทหารหนุ่มชักดาบสีเงินวาวออกมาจากฝักยืนมั่นในท่าเตรียมรบ
"นั้นใครน่ะ" ทหารอีกนายซึ่งถือคบเพลิงอยู่พยามจะใช้แสงจากคบไฟสาดไปยังเขาตะคุ่มนั้น ทหารทุกนายถือดาบในท่าพร้อมต่อสู้ พลธนูที่อยู่ด้านหลังก็เงื้อคันศรขึ้นเช่นกัน ความเงียบครอบคลุมทุกอณูอากาศอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เหล่าทหารเกราะหนักกองหน้าจะเคลื่อนพลอย่างกล้าหาญเข้าไปหาเงาตะคุ่มที่น่าสงสัยนั้น
เมื่อแสงจากคบไฟสาดไปกระทบเจ้าของเงาตะคุ่ม เหล่าทหารกล้าถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อภาพเบื้องหน้าเป็นชายชราหลังค่อม ในชุดเสื้อคลุมยาวมอซอ กับไม้เท้าผุๆ เขาย้ำเดินช้าๆตามประสาคนแก่
"อย่าทำอะไรข้าเลยพ่อหนุ่ม" ชายชราเอ่ยออกมาเสียงแหบพร่า
"มืดค่ำป่านนี้ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่ในบ้าน" นายทหารเกราะหนักเอ่ยถาม
"ข้าเสียบ้านให้กับพวกลากูน ลูกชายลูกสาวข้าตายหมด ข้าจึงต้องเดินมาจนถึงที่นี่.... เพื่อส่งจดหมายให้กับทหารของพระราชา" ชายชราเอ่ยเสียงพร่า แล้วใช้มือเหี่ยวย่นควักซองจดหมายยับเยินออกมา แล้วยื่นให้นายทหารที่สวมเกราะหนักด้วยมือสั่นงันงก
"ช่วยนำจดหมายนี้ไปส่งให้พระราชาด้วย" ชายชราล้มลงพร้อมกับซองจดหมายในมือ นายทหารหนุ่มทรุดตัวลงจับชีพจรของชายชรา ซึ่งไม่มีสัญญาชีพใดแสดงให้เห็น ลมหายใจ กับสัญญาณชีพดับลง นายทหารหนุ่มมองซองจดหมายยับเยินในมือชายชราอย่างชั่งใจ แต่สุดท้ายเขาก็หยิบมันออกมาแล้วถือวิสาสะเปิดอ่านถ้อยความในจดหมายนั้น
นางฟ้าไม่ควรถูกขังในปราการหิน
นางฟ้าควรได้รับการดูแลเยี่ยงเทพธิดา
นางฟ้าไม่สมควรอยู่กับปีศาจ
นางฟ้าไม่ควรอยู่ในแดนนรก
นางฟ้าสยายปีกออก
นางฟ้าบินหนีออกไปแล้ว
หลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายจบ ทหารหนุ่มส่ายหน้าก่อนจะไม่ใส่ใจเศษกระดาษยับเยินแผ่นนั้นอีก เพราะถ้อยความที่จับสาระไม่ได้นั้นดูเหมือนจะเป็นจดหมายไร้สาระ หรือเทพนิยายปรัมปรามากกว่า ซึ่งมันไม่มีค่าพอที่แกรนด์ดยุคผู้ต้องทำงานหนักเพื่อปกครองประเทศจะต้องรับรู้
ณ ป้อมค่ายในป่าทางทิศตะวันออกของโดโรเรส ค่ำคืนวันที่สามหลังจากการเฝ้าสังเกตการณ์ ทหารมากมายล้มเจ็บ และทหารไม่น้อยต้องตายลงระหว่างการลาดตระเวนด้วยน้ำมือของ'ลากูน' เชสเตอร์พยามวางท่าทีสงบนิ่งที่สุดเพื่อไม่ให้เหล่าทหารต้องเสียขวัญกำลังใจ แม้ว่าตอนนี้เขาจะเริ่มหวั่นในพลังที่มากขึ้นของพวกลากูน
"ท่านแกรนด์ดยุค ท่านต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ตอนนี้คนของเราบาดเจ็บและล้มตายไปจำนวนมาก และทหารอีกมากมายกำลังเสียขวัญ" ฟอร์เทสเดินเข้ามาในเต็นท์ของเชสเตอร์แล้วรายงานข่าว น้ำเสียงของนายกองหนุ่มแฝงด้วยความหวั่นวิตก
"ข้ารู้ แต่ตอนนี้เราต้องปกป้องหมู่บ้านก่อน ... ข้าจับทิศทางการโจมตีของมันได้แล้ว สายของข้ารายงานมาว่าเจอรังของพวกลากูนแล้วอยู่ใกล้กับหมู่บ้านชาวประมง พรุ่งนี้เราจะยกทัพกันไปขับไล่มันออกจากโดโรเรส ให้มันกลับไปอยู่หลังกำแพงความตาย" เชสเตอร์เอ่ยตอบ ก่อนจะเดินออกจากเต็นท์ที่พักของเขามายังบริเวณค่ายพักของทหารซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เหล่าทหารที่กำลังวุ่นวายต่างหยุดยืนนิ่งแล้วยกมือขวาขึ้นวางไว้ที่อกด้านซ้ายตำแหน่งของหัวใจ ซึ่งเป็นท่าทำความเคารพแด่แกรนด์ดยุคผู้สูงศักดิ์
"ข้ามีเรื่องอยากจะพูดกับพวกเจ้าเหล่าทหารกล้า" ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องขยายเสียงใด น้ำเสียงทรงอำนาจของเชสเตอร์เมื่อเอ่ยออกไปทุกคนพร้อมใจกันหยุดส่งเสียง ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ ซึ่งเงียบมากพอที่จะทำให้ทหารยามซึ่งอยู่อีกฝากของค่ายได้ยินเสียงของเชสเตอร์
"ข้ารู้ดีสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร... ข้าเห็นชัดเจนว่าเราเสียงพวกพ้องที่ร่วมรบไปมากกเท่าไหร่" นัยน์ตาทุกคู่ของเหล่าทหารในชุดเกราะมองมากยังร่างสูงสง่าของเชสเตอร์ สายตาของพวกเขาไม่ได้ดูฮึกเหิมเช่นแต่ก่อน นัยน์ตาทุกคู่มีบางอย่างครอบงำอยู่
"...แต่ตอนนี้ข้าเห็น ความกลัว... ความกลัวกำลังคืนคลานและกัดกินพวกเจ้า พวกเจ้ากลัวที่ตาย กลัวที่จะไม่ได้กลับเห็นหน้าลูกเมียอันเป็นที่รัก พวกเจ้าล้วนกลัว... ซึ่งข้าก็กลัวเช่นกัน.... ข้ากลัวประชาชนบนแผ่นดินนี้จะถูกพวกลากูนรุกราน กลัวว่าบ้านของลูกเมียพวกเจ้าจะกลายเป็นบ้านร้างที่มีแค่ศพ และเศษซาก เพราะฝีมือของพวกอมหิตนั้น ข้ากลัวเหมือนที่เจ้ากลัว แต่ข้าก็อยากจะสู้ไปพร้อมกับพวกเจ้าเพื่อขจัดความกลัวนี้ให้หมดสิ้นไปจากโดโรเรส ข้าไม่บังคับหากพวกเจ้าอยากจะถอดชุดเกรา โยนอาวุธทิ้งแล้วขี่ม้ากลับบ้านไปกอดลูกเมียที่เจ้ารัก แต่ข้าจะยินดียิ่งกว่าหากเจ้าพร้อมจะร่วมรบในแนวหน้าไปกับข้าเพื่อขจัดความกลัวนี้ให้หมดสิ้นไป มีใครจะไปร่วมรบกับข้าบ้าง!!!" เชสเตอร์เอ่ยปลุกระดมพลทหารในค่าย ซึ่งทุกคนต่างส่งเสียงเฮกึกก้อง เพราะแม้กษัตริย์ที่มีห่วงและภาระมากมายยิ่งกว่าเหล่าทหาร ยังยินดีที่จะมาร่วมรบในแนวหน้า ดังนั้นเหล่าทหารผู้สิ้นหวังจะกลับมามีความหวังอีกครั้ง หากไม่ขจัดความกลัวให้สิ้นซาก ก็คงต้องวิ่งหนีความกลัวตลอดไป
ในวันที่ดวงอาทิตย์สาดแสงสดใส เมฆบางกระจายตัวอยู่ประปรายทั่วท้องฟ้าสีคราม แสงแดดอ่อนชวนให้รู้สึกสดชื่นมากเหลือเกิน ทุกอย่างช่างดูสุขสงบ แต่ภายในป่าลึกใกล้กับหมู่บ้านชาวประมงทิศวันออกเฉียงใต้ของโดโรเรส กำลังเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เสียงกระดูกแตก เสียงกล้ามเนื้อฉีกขาด และเสียงร้องของเหล่าทหารกล้าดังก้องไปทั่วผืนป่า กองกำลังรอยัลอาร์มี่ของโดโรเรสกำลังบุกเข้ายึกถ้ำที่พวกลากูนอาศัยอยู่
ลากูน เป็นสัตว์ประหลาดตัวสูงราวสองเมตรถึงสองเมตรครึ่ง มีผิวหนังสีดำสนิท มีดวงตากลมโตสีเขียวซึ่งสะท้อนแสงในเวลากลางคืน มีแขนขาที่ยาวและลีบผอม กรงเล็บและฟันที่แหลมคมเป็นอาวุธชั้นดี ที่มันใช้สังหารชาวบ้านและเหล่าทหารในโดโรเรส พวกมันไม่เกรงกลัวการต่อสู้เลยสักนิด ไม่มีความรู้สึกนึกคิด ไม่มีหัวจิตหัวใจ มันเป็นเครื่องจักรสังหารที่ หรือเป็นสัตว์ร้ายที่ทำเพียงฆ่าไปเรื่อยๆ ฆ่าเพื่ออาหารเท่านั้น
แต่นอกจากมันจะเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว มันยังสร้างความรำคาญใจให้เชสเตอร์อยู่ตลอดเวลา เพราะชาวบ้านต้องเดือดร้อน สินค้าต้องเสียหาย ก็เพราะพวกลากูน ดังนั้นเมื่อมีหนูที่คอยจ้องจะทำลายข้าวของอยู่ในบ้าน เชสเตอร์ในฐานะเจ้าของบ้านก็ต้องกำจัดมันให้สิ้นซาก
แกรนด์ดยุคหนุ่มในชุดเกราะเบาสีน้ำตาลแดงบุกเข้าจู่โจมฝูงลากูนอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้เหล่าทหารนั้นยิ่งฮึกเหิมเข้าไปใหญ่ ปลายดาบสีเงินตวัดเฉือนร่างสีทมิฬของสัตว์ประหลาดนักฆ่าอย่างไร้ความปราณี แม้เลือดสีแดงของมันจะเกราะกรังติดเต็มตัว แต่ร่างสูงก็ยังบุกเข้าไปพร้อมกับดาบคู่ใจ การตวัดดาบอย่างชำนาญและว่องไว้ ทำให้สัตว์นักสังหารต้องจบชีวิตลงอย่างเร็ว
ในตอนแรกนั้นกองกำลังของโดโรเรสดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะสามารถบุกยึดพื้นที่คืนจากพวกลากูนได้เรื่อยๆ จนกระทั้งมาถึงชายขอบของป่าซึ่งเป็นเหวลึกไม่รู้จบ และกว้างราวๆ 2 กิโลเมตร เหล่าทหารมากมายถูกพวกลากูนที่ซุ่มอยู่ริมปากเหวฉุดร่วงลงไปเป็นจำนวนมาก และสัตว์ประหลาดพวกนี้ก็ปีนขึ้นจากปากเหวมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อและไม่รู้จบ
"ทั้งหมดถอยทัพ!"เชสเตอร์ตะโกนบอกทหารในสมรภูมิ ก่อนจะรีบร่นถอยออกมา เพราะหากยังอยู่ที่ปากเหวต่อเขาต้องเสียทหารไปทั้งกองทัพแน่ๆ
"พลธนูยิงธนูไฟ" เชสเตอร์เอ่ยกับเอเดนที่ยืนกำกับพลธนูอยู่ด้านหลัง
"ธนูไฟ ยิง!!!"เมื่อทหารแนวหน้าร่นถอยมาจนถึงที่ปลอดภัย เอเดนตะโกนสั่งให้พลธนูร่วมร้อยชีวิตโก่งคันศรยิงลูกธนูไฟออกไป ห่าฝนเพลิงเผาไหม้พวกลากูนตายไปเป็นระรอก แต่ดูเหมือนพวกมันจะมีเยอะจนไม่อาจจะกวาดล้างได้หมด เชสเตอร์กวาดมองไพร่พลผู้กล้าที่เหลือน้อยลงอย่างไม่มั่นใจ
"....ข้าว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้นหรอกครับ" เซนวิกเอื้อมมือแตะบ่าเชสเตอร์เบาๆ เพื่อสกัดความคิดของนายเหนือ เขารู้ดีว่านายเหนือของเขากำลังจะทำสิ่งใด มันเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ได้ชัยชนะแน่นอน แต่รับรองได้อีกเช่นกันว่าชัยชนะที่ได้มาจะไม่คุ้มกับสิ่งที่อาจจะสูญเสียต่อจากนี้
"ข้าไม่ต้องการให้ใครตายเพิ่มอีกแล้ว หากจะมีใครตายก็ควรจะเป็นพวกเดียรัจฉานนั้น" เชสเตอร์ชี้ปลายดาบไปที่พวกลากูน ซึ่งกำลังรุกเข้ามายังเขตปลอดภัยของรอยัลอาร์มี่ แม้การยิงธนูเพลิงจะช่วยถ่วงเวลาให้พวกสัตว์ประหลาดไร้หัวใจเคลื่อนตัวเข้ามาได้ช้า แต่มันก็ยังเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมกับจำนวนที่มากขึ้นเช่นกัน
เชสเตอร์ปักดาบสีเสียงวาววับลงบนพื้น ก่อนจะลงไปคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ท่ามกลางสมรภูมิการต่อสู้ที่วุ่นวาย นัยน์ตาสีเงินถูกปิดลงจนสนิท ไม่เห็นสิ่งใดรอบตัว ร่างสูงทำสมาธิจนนิ่ง เขาไม่รับรู้ ไม่สัมผัส ไม่ได้ยินสิ่งใดรอบตัว เสียงร้องของเหล่าทหารและพวกลากูนถูกแทนที่ด้วยความเงียบ
"ท่านเชสเตอร์ขอคำสั่งด้วยขอรับ!!"เอเดนเอ่ยเสียงดังพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นตระหนก เมื่อกองทัพลากูนปุกเข้ามาประชิดแนวปลอดภัย เชสเตอร์ที่ยังทำสมาธินิ่งสงบอยู่ไม่โต้ตอบอะไร ความหวาดกลัวเข้าครอบงำเมื่อร่างสีนิลเริ่มฉีกร่างของทหารกล้าในแนวหน้าออกเป็นชิ้น หนำซ้ำมันยังขบเคี้ยวศพของผู้กล้าราวเป็นของกินเล่น เหล่าทหารเริ่มเสียขวัญกำลังใจ แนวหน้าบางส่วนพยามตั้งรับเต็มที่ แต่บางส่วนกลับวิ่งหนีด้วยความกลัวตาย
"พร้อมแล้วเอเดนจัดการเลย!!"ฟอร์เทสที่ตัวท่วมไปด้วยเลือดวิ่งฝ่าวงล้อมของทหารเข้า เอเดนได้ยินดังนั้นจึงสั่งให้พลธนูระดมยิ่งธนูไฟอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ธนูไฟไม่ได้ถูกเล็งไปที่พวกลากูน แต่เป็นที่พื้น เมื่อธนูไฟปักลงบนพื้นดิน เสียงระเบิดก็ดังขึ้น เป็นดังแผนที่ฟอร์เทสได้เตรียมการไว้
ที่พื้นมีน้ำมัน และดินปืนอยู่จำนวนมากเมื่อมีไฟเข้าจึงทำให้ดินปืนระเบิด และเกิดไฟลุกโหมทั่วบริเวณ แม้ว่านั้นจะไม่ได้ฆ่าพวกลากูนไปมากมาย แต่นั้นก็ช่วยซื้อเวลาได้มาก ขณะเดียวกันเชสเตอร์ก็ลุกขึ้นยืน เขากำดาบไว้ในมือมั่น และตรงดิ่งเดินผ่านกำแพงไฟที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน นัยน์ตาสีเงินถูกเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ตาขาวถูกกลืนกินด้วยสีดำทำให้แววตาของผู้นำโดโรเรสดูไม่เหมือนดวงตาของคน เขาตวัดดาบฟาดฟันสะบั้นทุกร่างขวางอยู่เบื้อหน้า ทั้งนายทหารผู้ขี้ขลาดและลากูน เมื่อร่างสูงเดินพ้นกำแพงไฟไป ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ใดอีกเลย ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องของพวกลากูนที่ดังมาเป็นระรอก
"ช้าก่อนท่านฟอร์เทส" เซนวิกเอ่ยขัดฟอร์เทสที่กำลังจะสั่งให้ทหารตั้งแถวเข้าไปร่วมรบกับเชสเตอร์
"บางครั้งท่านเชสเตอร์ก็ชอบลุยเดี่ยว... ข้าว่าท่านตั้งแนวรับให้มั่นดีกว่าครับ" เซนวิกเอ่ยพร้อมโปรยยิ้มบางเช่นทุกที แม้ว่าฟอร์เทสจะไม่เข้าใจ แต่ในสนามรบคนที่ใหญ่รองมาจากเชสเตอร์ก็คือเซนวิก ที่ปรึกษาส่วนพระองค์ ด้วยเหตุนี้ฟอร์เทสจึงไม่ได้ส่งกำลังเสริมออกไป
เมื่อกำแพงไฟที่ลุกโหมมอดลง เหล่านักธนูก็โก่งคันศรไว้มั่น นัยน์คมกริบจับจ้องรอหมอกควันจาง เพื่อเริ่มเปิดศึกอีกครั้ง แต่ทันทีที่ควันไฟจางลงจนทำให้ทัศนแจ่มชัด คันศรทั้งหมดถูกลดลง พร้อมกับเสียงโห่ร้องกึกก้องป่า ร่างเห็นยืนอยู่ตรงนั้นมีเพียงร่าของเชสเตอร์ที่โชกไปด้วยเลือดของพวกลากูนเท่านั้น เหล่าทหารโห่ร้องดีใจกับชัยชนะครั้งนี้ ฟอร์เทส และเอเดนรีบตั้งแถวเหล่าทหารเพื่อตรวจสอบความเสียหาย และเพื่อเคลื่อนพลกลับไปยังที่พัก
เซนวิกรีบวิ่งไปหาเชสเตอร์ที่เยื่องย่างอย่างเชื่องช้า เขาไม่อาจจะรู้เลยว่าเลือดสีแดงที่เห็นบนตัวของแกรนด์ดยุคผู้สูงศักดิ์นั้นจะเป็นเพียงเลือดของพวกลากูน ทันทีที่เซนวิกมาถึงร่างของเชสเตอร์ ร่างสูงศักดิ์ก็ล้มลงในทันที
ณ ค่ายทหารใกล้หมู่บ้านชาวประมง ทางทิศตะวันตกของเฉียงใต้ของโดโรเรส
เมื่อสงครามจบลง เหล่าทหารที่บาดเจ็บก็ได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนที่จะถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลในราชสำนัก เหล่าทหารที่ยังเรี้ยงแรงดีก็ดื่มสังสรรค์กันเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะกันอย่างรื่นเริง เรื่องราวการบุกเดียวเพื่อเอาชนะกองทัพลากูนของเชสเตอร์เป็นกล่าวขวัญถึงในวงสนทนาของพวกทหาร บ้างก็ว่าเป็นเพราะแรงระเบิดทำให้พวกลากูนตาย บ้างก็ว่าเป็นเพราะเทพลงมาช่วย ซึ่งเรื่องนี้คงถูกหยิบยกเป็นตำนานให้เล่าขานไปอีกหลายปี
ถัดจากเต็นท์ของพลทหารที่วุ่นวาย เชสเตอร์จิบไวน์แดงพร้อมกับสาวงามข้างกายถึงสองนาง นี่เป็นเวลาเติมพลังชีวิตหลังจากที่เขาต้องแลกมันเข้ากับสงคราม แต่นัยน์ตาสีเงินยังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ทำให้พวกลากูนหนีไป
ใช่... พวกมันหนีไป ภายใต้หมอกควันหลังการระเบิด ร่างสูงที่ไร้สติ รู้สำนึกเพียงสิ่งเดียวคือการสังหารทุกชีวิตที่อยู่เบื้องหน้า กวัดแขว่งคมดาบผ่าร่างของสัตว์ประหลาดต่ำช้าออกเป็นสองส่วนตัวแล้วตัวเล่า แต่ดูเหมือนว่ายิ่งฆ่ามากเท่าไหร่ จำนวนสัตว์ประหลาดก็จะยิ่งเพิ่มทวีคูณมากเท่านั้น แต่แล้วในขณะที่เขาปั่นหัวลากูนตัวสูงสามเมตรไปได้ จู่ๆพวกลากูนทั้งหมดก็ถอยกลับไป
เชสเตอร์พยามเชื่อมโยงเหตุการณ์ อาจจะเป็นไปได้ว่าการสังหารสัตว์ประหลาดตัวยักษ์จะทำให้พวกมันหวาดกลัว แต่หากทฤษฎีนี้เป็นจริง ทำไมก่อนหน้านี้ทั้งๆที่เขาสังหารลากูนสูงสามเมตรมากมาย พวกลากูนถึงไม่ยอมถอยเลยสักครั้ง
"ข้าหวังว่าท่านจะไม่ลืมคำพูดของท่านนะขอรับ" เซนวิกเดินเข้ามาพร้อมกับวางขวดยาที่โต๊ะข้างเตียงนอนของเชสเตอร์
"ข้ารู้..." เชสเตอร์เอ่ยเรียบๆแล้วละสมองจากเรื่องที่คิดอยู่ โดยไม่รอให้เซนวิกออกไป แกรนด์ดยุคหนุ่มผู้หิวกระหายพลังงานชีวิตก็เริ่มบรรเลงบทเพลงรักกับสาวงามทั้งสองอย่างใคร่กระหาย มือหนาเอื้อมสัมผัสกอบกุมอกอิ่มของสองสาวงามราวเป็นเจ้าของ ในขณะที่บทเพลงรักถูกบรรเลงจนถึงช่วงที่มีความสุขที่สุด แกรนด์ดยุคหนุ่มกับหยุดความสุขไว้เพียกลางทาง เขาถอนร่างออกจากสาวงามแล้วลุกขึ้นแต่งตัวทันที แม้ว่าพวกเธอจะงุนงง แต่การตั้งคำถามในการกระทำของนายเหนือนั้นไม่ใช่หน้าที่ของเธอ เธอจึงได้แต่มองหน้ากันและกันอย่างไม่เข้าใจ
"ข้าจะกลับปราสาท"
หลังจากที่แวะเข้าไปเก็บดอกกุหลาบสีแดงสดที่สวนด้านหลังปราสาทแล้ว เชสเตอร์ก็เดินตรงดิ่งไปยังห้องของแซนด์ในทันที เขามองดอกไม้ที่เขาเกลียดที่สุดในมือก่อนจะถอนหายใจ ใบหน้าเรียบนิ่งถูกเติมแต้มด้วยรอยยิ้มที่เขาพยามปั้นให้มันดูเป็นมิตรที่สุด เขาหวังว่าทันทีที่หญิงสาวเห็นดอกกุหลาบ และของขวัญพิเศษที่เขาหามาจะทำให้เธอพอใจ และเป็นมิตรกับเขามากขึ้น
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ชายหนุ่มในชุดเกราะยืนปั้นยิ้มอยู่หน้าประตูบานใหญ่หลังจากเคาะเรียงคนในห้องไปสองสามที ทุกอย่างในห้องเงียบสนิท เขาจึงเคาะประตูอีกครั้งเพื่อเรียกหญิงสาว แต่เมื่อเสียงตอบกลับจากปลายทางเป็นเพียงความเงียบ รอยยิ้มที่อุส่าปั้นแต่งก็หุบลง ชายหนุ่มไขกุญแจห้องเข้าไปในทันทีด้วยความหงุดหงิดใจ
แต่ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้อารมณ์หงุดหงิดของเขาหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ทว่ากลับแทนที่ด้วยความรู้สึกมามากที่ผสมปนเปกันไป ดอกกุหลาบสีแดงสด ดอกไม้โปรดของหญิงสาวหลุดร่างลงพื้นอย่างไม่ตั้งใจ เช่นเดียวกับกล่องดนตรีแก้วที่ตกแตกกระจายในทันที เชสเตอร์เดินเข้าไปในห้องนอนของหญิงสาวที่เละเทะไม่มีชิ้นดี บนพื้นหินก่อนของห้องมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยเลือด
นางฟ้าไม่ควรถูกขังในปราการหิน
นางฟ้าควรได้รับการดูแลเยี่ยงเทพธิดา
นางฟ้าไม่สมควรอยู่กับปีศาจ
นางฟ้าไม่ควรอยู่ในแดนนรก
นางฟ้าสยายปีกออก
นางฟ้าบินหนีออกไปแล้ว
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ