จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)
เขียนโดย Lady_Madeline
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
10)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ตอนที่ 9 เซเรธ
มีคำกล่าวไว้เสมอว่า เราจะเห็นค่าของสิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นหายไป คำกล่าวนี้ดูจะเป็นจริง เพราะหลังจากที่นางฟ้าได้สยายปีกออกแล้วบินจากไป แกรนด์ดยุคหนุ่มก็ไม่ออกมาจากห้องนอนของแซนด์อีกเลย อีกทั้งยังไม่ยอมให้ใครเข้าพบ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่เสพสำราญ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเศร้าที่เกาะกุมหัวใจ แต่เป็นเพราะต้องการไขปริศนาและหาให้ได้ว่าใครจับตัวเธอไป
แม้เวลาจะผ่านไปแล้วสองวัน แต่ทุกอย่างในห้องนอน ห้องที่มีสีสันที่สุดในปราสาทที่เชสเตอร์เคยสั่งให้เซนวิกตระเตรียมไวยังคงเป็นเช่นวันที่เกิดเหตุ รอยเลือดกับถ้อยความสะเทือนใจยังอยู่บนพื้นห้อง ข้าวของในห้องยัคงงกระจัดกระจายระเนระนาด ผ้าปูที่นอนมีรอยฉีกขาด หน้าต่างถูกเปิดออก กับผ้าม่านที่หลุดออกจากราว ที่เสาของเตียงนอนสไตล์ยุโรปมีรอยขีดเป็นแนวยาวและมีเลือดติดอยู่
บนโต๊ะข้างเตียงมีนิทานภาพสำหรับเด็ก และชุดน้ำชา และขนมหวานที่ยังกินไม่เสร็จ ทุกอย่างในห้องนี้บอกเรื่องราวได้ชัดเจนว่าแซนด์กำลังทำอะไร แต่ไม่อาจจะบอกได้เลยว่าถูกใคร หรือ อะไรจับตัวไป
ในเวลาบ่ายที่สงบเธออาจกำลังนั่งอ่านนิทานภาพที่เธอไม่แม้จะเข้าใจสักตัวอักษรในหนังสือ พร้อมกับกินและดื่มของว่างยามบ่ายอย่างมีความสุข แต่ก็มีบางสิ่งบุกเข้ามา และพยามจะพรากเธออกไป เธอขัดขืนสิ่งนั้นสุดกำลังที่มีจึงเกิดการต่อสู้ขึ้น และสุดท้ายเธอก็พ่ายต่อสิ่งนั้น และมันก็พาตัวเธอไป
แม้จะพอปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นได้ แต่ทว่าเขากลับหาไม่ได้ว่าใครเป็นคนพาเธอไป และสิ่งนั้นเข้ามา และออกจากปราสาทโดยไม่มีใครรับรู้ได้อย่างไร เชสเตอร์เดินสำรวจทั่วทั้งห้องเพื่อหาเบาะแส แต่กลับไม่มีอะไรที่ทำให้เขาสามารถสาวไปถึงตัวคนร้ายได้ จะมีก็แต่ลอยที่เสาเตียงซึ่งดูเหมือนรอยของกงเล็บ และรอยของกงเล็บแบบนี้มันช่างคล้ายกับรอยของพวกลากูน แต่ทว่ามันเป็นไปแทบไม่ได้ที่พวกลากูนจะสามารถบุกเข้ามาในปราสาท เข้ามาถึงห้องที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มที่สุด ห้องที่ได้ลงยันต์ป้องกันสิ่งชั่วร้ายเอาไว้
"ท่านเชสเตอร์บ่ายนี้ท่านมีประชุมกับสภาเรื่องการจัดสรรที่ดินสำหรับชาวนา หากท่านยังอยู่ในนั้นข้าเกรงว่าจะเกิดข้อครหาได้ขอรับ" เสียงของเซนวิกดังมาจากด้านนอกของบานประตู แม้ว่าเชสเตอร์จะไม่อยากออกจากห้องนี้ไปสักเท่าไหร่ เพราะเขาต้องการที่จะตามตัวแซนด์โดยไว เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่จับตัวแซนด์ไปจะทำร้ายแซนด์หรือไม่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกพิศวาสนางฟ้าองค์นี้สักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะหากเธอเป็นอะไรไป การรอคอยที่แสนทรมาณและเจ็บปวดต้องดำเนินต่อไปอีกอย่างน้อยก็สองร้อยปี แต่จะมัวสนใจเรื่องของแซนด์จนละเลยหน้าที่ความเป็นผู้ปกครองดินแดนก็ไม่ได้ เพราะชาวนามากมายก็ต้องการความช่วยเหลือจากเขา ในที่สุดเชสเตอร์ก็ตัดสินใจไปเข้าร่วมกันการประชุม เมื่อเปิดประตูไม้ออกก็เห็นเซนวิกยืนรออยู่แล้ว
"... ข้าคิดว่ายังพอมีเวลาให้ท่านได้อาบน้ำแต่งตัว" เซนวิกเอ่ยแซว เมื่อสภาพของเชสเตอร์นั้นดูไม่ดีนักหากจะเข้าร่วมประชุมสภากับเหล่าขุนนาง ผมสีดำยาวประบ่าดูยุ่ง และใบหน้าก็ดูไม่สดชื่น อีกทั้งเสื้อผ้าก็ดูไม่สะอาดและสวยงามสมฐานะของเจ้าแคว้นสักเท่าไหร่
"อย่าให้ใครเข้าไปในห้อง... ระหว่างที่ข้าประชุม ข้าอยากให้เจ้าหาเบาะแสว่าเป็นฝีมือใคร หรืออย่างน้อยก็หาว่านางอยู่ที่ไหน... ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็แล้วแต่" เชสเตอร์สั่งกับเซนวิกก่อนจะเดินไปยังห้องนอนของตนเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก เซนวิกน้อมศีรษะรับคำสั่งแล้วถอนหายใจเบาๆ
"ไม่ว่าด้วยวิธีได้ก็แล้วแต่... คงหมายถึงอยากให้ใช้เวทย์มนต์สินะ" เซนวิกทวนคำพูดของเชสเตอร์แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนของแซนด์ ถุงมือสีขาวถูกถอดออกแล้ววางไว้บนโต๊ะข้างเตียง จากนั้นเซนวิกเดินสำรวจรอบห้องเพื่อมองหาสิ่งที่น่าสนใจ ร่างสูงยกมือทั้งสองข้างขึ้นในระดับสายตาแล้วแบออกช้าๆ แสงสีฟ้าอ่อนก่อตัวขึ้นบนมือทั้งสองข้างเขา ก่อนที่มันจะพุ่งออกไป ลำแสงนับสิบเส้น วิ่งวุ่นไปมาทั่วทั้งห้อง เซนวิกยืนสงบนิ่งมองดูลำแสงเหล่านั้นทำหน้าที่ของมัน แต่เขากลับจับพลังงานอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สัมผัสได้เพียงยันต์คุ้มครองที่เขาได้ลงไว้ในห้องถูกทำลายทางหน้าต่าง ซึ่งพอจะสรุปได้ว่าบางสิ่งเข้ามา และลักพาตัวแซนด์ออกไปทางหน้าต่าง
แม้จะพยามอีกครั้งแต่ก็ยังล้มเหลว เวทย์มนต์ของเซนวิกไม่สามารถตามหาร่องรองของสิ่งที่ลักพาตัวนางฟ้าของเชสเตอร์ไปได้ หรือแม้กระทั้งสัญญาณของแซนด์ แม้ว่าจะแตะข้าวของเครื่องใช้ที่แซนด์เคยใช้และพยามค้นหาร่องรอยพลังชีวิต แต่กลับว่างเปล่า หากสิ่งนั้นไม่ได้หมายความว่าแซนด์ตายไปแล้ว ก็อาจหมายความว่าแซนด์เป็นคนจากอีกโลกที่มีคลื่นพลังงานชีวิตไม่เหมือนกับคนในดินแดนนี้ ซึ่งแน่นอนว่านั่นไม่ใช่เรื่องดีนัก
"รอยที่เสาเตียง..." เซนวิกพิจารณาร่องรอยที่เสาเตียงอยู่พักใหญ่ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยไม่แสดงถึงอารมณ์อะไร ไม่แสดงว่ารู้ หรือไม่รู้ว่าสิ่งใดลักพาตัวแซนด์ไป แต่เซนวิกกลับเดินออกจากห้องของแซนด์ออกมาในทันที
"เจ้าเข้าอยู่ตรงนี้ตลอดเลยหรือ?" เซนวิกเอ่ยกับทหารยามหน้าห้องที่สวมชุดเกราะโลหะ และมีหมวกโลหะปิดบังใบหน้าเอาไว้
"ขอรับ" น้ำเสียงเข้มและห้าวหาญดังตอบมาจากทหารหนุ่ม
"วันก่อนที่ท่านหญิงถูกลักพาตัวไป เจ้าก็เข้าเวรตรงนี้สินะ" เซนวิกเอ่ยถาม และเช่นครับทหารหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงแข็งขัน
"ไม่ได้ยิน หรือสัมผัสได้เลยเหรอว่ามีใครเข้ามา" เซนวิกเอ่ยถามอีกครั้ง
"ขอรับ..." ทหารหนุ่มตอบรับ แต่เซนวิกกลับส่ายหัว
"การพูดโกหกต่อหน้าตัวแทนของท่านเชสเตอร์อาจทำให้หัวของเจ้าหลุดออกจากบ่าได้นะ" เซนวิกขู่ และดูเหมือนว่าเขาจะได้เสียงกลืนน้ำลายดังเอื๊อกมาจากชายหนุ่มในชุดเกราะเหล็กนั้น
".... ก่อนวันเกิดเหตุ... ท่านหญิงอาคาเซียเข้ามาพบท่านหญิงแซนด์ในห้องขอรับ" นายทหารหนุ่มปริปากเล่าเหตุการณ์ด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่ห้าวหาญเช่นเคย ในน้ำเสียงผสมด้วยความกลัว และความยำเกรงต่อผลที่อาจตามมาเมื่อตนเอ่ยออกไป
"แล้ว..."
"ข้าไม่รู้ว่าท่านหญิงอาคาเซียพูดอะไรกับท่านหญิงแซนด์ แต่ว่าท่านหญิงอาคาเซียเข้ามาหาท่านหญิงแซนด์ไม่นานก็ออกมา และข้าก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกขอรับ ข้าสาบานได้ว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นเป็นความจริงขอรับ"
"แล้วทำไมเจ้าไม่บอกท่านเชสเตอร์ตั้งแต่แรก" เซนวิกยังคงซักไซร้ไล่เรียงเหตุการณ์กับผู้ต้องสงสัยตรงหน้า
"ท่านหญิงอาคาเซียบอกข้าไว้ว่าห้ามข้าบอกใครถึงการมาของท่านหญิง ... ท่านหญิงมีบุญคุณต่อลูกเมียข้า ข้าไม่กล้าที่จะเนรคุณท่านหญิงหรอกขอรับ..."
"เจ้า กำลังเนรคุณท่านเชสเตอร์" เซนวิกเอ่ยสวนขึ้นมาทันควัน แม้จะเป็นในชุดเกราะ แต่นายทหารหนุ่มก็แสดงท่าที่หวาดกลัวออกมาจนเหล็กกล้าไม่อาจจะปกปิดความ อ่อนแอของเขาได้ เสียงของชุดเกราะลั่นเบาๆเพราะแขนขาที่เริ่มสั่น เมื่อถูกนัยน์ตาสีฟ้าที่เคยเป็นมิตรของเซนวิกจับจ้องอย่างไร้ไมตรี
"...ข้าเองก็ไม่มีสิทธิ์จะตัดสินประหารใคร... โทษของเจ้าก็สุดแล้วแต่ท่านเชสเตอร์จะปราณี... แต่หากเจ้าคิดหนี... ข้าคงรับประกันความปลอดภัยให้ไม่ได้หรอก....นะครับ..." น้ำเสียงเย็นของเซนวิกเอ่ยออกมา ก่อนจะเร่งฝีเท้าไปหาเชสเตอร์ที่ห้องประชุม เพื่อเล่าเรื่องราวที่ตนเองรู้มาให้นายเหนือฟัง
ห่างจากโดโรเรสทางทิศตะวันออกไปราวสองพันไมล์ พื้นดินส่วนมากชื่นแฉะเป็นโคลนตม ต้นไม้ที่มีอยู่ประปรายก็กลับแห้งตายเหลือแต่ซาก สิ่งมีชีวิตที่นี่ก็ดูหน้าตาแปลกประหลาดไม่ว่าจะเป็นอีกกาสองหัว หรือสิ่งมีชีวิตที่เดินสองขาได้เหมือนคนแต่กลับมีกรงเล็บและฟันที่แหลมคมราวกับสัตว์ป่า ใบหน้าดูประหลาดจมูกยืดยาวนัยน์ตากลวงโบ๋และลึก กับท่าเดินที่ดูตายซาก ยิ่งทำให้ดินแดนนี้ดูไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่
ภายในปราสาทที่สร้างจากหินสีดำสนิทซึ่งดูไม่หรูหราและงดงามเหมือนปราสาทของแกรนด์ดยุคแห่งโดโรเรส มีร่างของหญิงสาวที่ดูผิดแผกไปจากสิ่งมีชีวิตที่นี่นอนนิ่งอยู่กลางห้องโถง เธอมีผิวหนังที่มีเลือดฝาด และมีดวงตาที่ดูมีชีวิต แม้ตอนนี้จะถูกปิดซ่อนไว้ด้วยเปลือกตาบางและแพขนตาหนา แต่ทว่าร่างของเธอที่แม้จะไม่ได้งดงามอย่างอิสตรีพึงเป็นแต่มันก็ดึงดูดให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ในมุมมืดหยุดเลียริมฝีปากของเขาไม่ได้
"ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย ที่ทำให้เจ้าเจ็บตัว... แต่มันคงจะดีกว่านี้หากเจ้าไม่ขัดขืน และยอมมากับข้าแต่โดยดี" ชายหนุ่มในมุมมืดเอ่ยขึ้น เมื่อนักโทษของเขาเริ่มขยับตัวไปมา เธอพยามลุกขึ้นนั่งแม้ว่าแขนและขาจะถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยเชือกเส้นหนา
"ใจจริงข้าก็ไม่ได้อยากให้เจ้าบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เพราะเลือดของนางฟ้านั้นล้ำค่ากว่าสิ่งใด แต่สิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าก็คือหัวใจอันบริสุทธิ์ของนางฟ้า"
แม้แซนด์จะยังมึนงง แต่เธอก็พอจะจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ลางๆ ในตอนบ่ายที่เงียบสงบ ไม่มีเสียงก่นด่า หรือเสียงตวาด ตะคอก ไม่มีอะไรให้กังวลใจ นางกำนัลยกของหวานเข้ามาให้ถึงเตียงนอน หนังสือภาพเล่มใหม่ที่ท่านเซนวิกมอบให้เป็นสิ่งแก้เบื่อได้ดียามที่หนุ่มๆออกไปรบ ความสงบสุขกำลังเกิดขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยม แต่ทว่าเมื่อชามิ้นต์รสละมุนชื่นใจยังไม่ทันได้จรดที่ริมฝีปาก หน้าต่างบานยาวสูงจากพื้นจรดเพดานก็ถูกพังออก พร้อมกับคน ... ไม่สิ ไม่น่าจะเป็นคนด้วยซ้ำ เพราะสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดนั้นมีปีกคล้ายปีกค้างคาวยาวราวสองเมตร และความวุ่นวายก็เกิดขึ้น
"หากเจ้าไม่ทำให้ปีกข้าต้องเจ็บ ข้าคงไม่โมโหขนาดทำร้ายเจ้า.... ว่าแต่ขาของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือเปล่า?" ชายหนุ่มลุกออกจากบัลลังก์ของเขาซึ่งตั้งอยู่ในมุมมืดแล้วก้าวเดินอย่างเชื่องช้ามาหาร่างของหญิงสาวที่ยังสับสนอยู่กลางห้องโถง
ทันทีที่ร่างของชายหนุ่มปะทะเข้ากับแสงสลัวของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามาจากด้านนอก ผ่านหน้าต่างกระจกทรงกลมบานใหญ่ด้านบนของเพดาน ก็เผยให้เห็นร่างของเขา บุรุษผู้มีร่างกายสูงใหญ่ เขาตัวสูงราวสูงราวสองเมตรเห็นจะได้ แต่นอกจากส่วนสูงที่ทำให้เขาดูแปลกและโดดเด่น ก็ยังมีปีกที่ดูคล้ายกับปีกค้างคาวขนาดใหญ่อยู่ด้านหลังของเขาอีกด้วย
"ลุกไหวไหม?" มือเรียวยาวพร้อมกงเล็บที่แหลมคมถูกส่งออกมาพร้อมน้ำเสี่ยงนุ่มทุ้มที่ดูหวงใย แม้ว่าบุรุษร่างสูงผู้นี้จะยืนหันหลังให้แสงไฟ แต่นัยน์ตาสีทองของเขาคงดูเฉิดฉายแม้ในความมืด แซนด์ได้แต่มองเขาด้วยใบหน้าที่ดูหวาดกลัว เพราะคนตรงหน้าเป็นคนลักพาตัวเธอมาจากปราสาทของเชสเตอร์
"อ่า... ข้าต้องแก้มัดเจ้าก่อนสินะ ข้านี่บื้อเสียจริง" เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินมายังด้านหลังของนางฟ้าไรปีก ที่ตอนนี้ตัวสั่นน้อยๆเป็นลูกนก เธอหวาดกลัวในทุกการกระทำของเขา มากเสียกว่ารูปลักษณ์ที่ดูแปลกประหลาดเสียอีก ทันทีที่มือของเธอเป็นอิสระ หญิงสาวรีบลูบข้อมือที่เป็นรอยแดงเพราะเชือกในทันที เธอพยามจะแกะปมเชือกที่เท้าด้วย แต่ดูเหมือนมันจะเกินความสามารถของเธอไปเสียหน่อย นัยน์เองทำให้รอยยิ้มถูกฉายออกมาบนใบหน้าของชายร่างสูง
"อย่าใจร้อนนักสิ ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้าอีก ตราบใดที่เจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายข้าเช่นกัน" เขาพูดแล้วย่อตัวลง แกะปมเชือกที่ข้อเท้าของแซนด์ออกอย่างเบามือ ทันทีที่แซนด์เป็นอิสระ เธอก็ลุกขึ้นแล้วพร้อมจะวิ่งไปทางประตูใหญ่ทันที
แม้ว่าขาของเธอจะก้าวและสับด้วยจังหวะที่เร็วแค่ไหน แต่พลังของคนธรรมดาก็ไม่อาจจะต้านพลังของสิ่งมีชีวิตรูปงามที่เธอไม่รู้จักได้ แม้เจ้าของร่างจะสูงกว่าสองเมตร แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเชื่องช้าเลย และด้วยปีกใหญ่ยักษ์บนหลัง นั้นทำให้เขาเคลื่อนตัวมาจับแขนของเธอได้เร็วกว่าที่เธอจะคิดไว้เสียอีก
"อย่าทำอะไรโง่ๆแบบนี้สิ... ข้างนอกมันอันตราย" แม้น้ำเสียงทุ่มต่ำนั้นจะดูอบอุ่นและเป็นมิตรกว่าเจ้าของปราสาทหลังเก่าที่เธอเคยได้รับ แต่เธอก็ไม่อาจจะตกหลุมพรางและเชื่อใจคนตรงหน้าได้ง่ายๆ เพราะชายผู้นี้คือคนที่ลักพาตัวเธอมา แถมยังจับเธอมัดมือมัดเท้าราวเป็นนักโทษ ดังนั้นเธอไม่มีทางจะย่ามใจกับคนคนนี้เด็ดขาด
"ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ตั้งใจจะทำให้เจ้าเจ็บตัว จริงๆข้าอยากจะเชิญเจ้ามาดีๆให้สมเกียรติในฐานะนางฟ้าเสียด้วยซ้ำ แต่หมอนั้นคงไม่มีทางยอมให้เจ้ามาเดินเล่นที่นี่หรอก" เขาย่อตัวลงมาเพื่อให้นัยน์ตาสีทองแวววาวสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มขี้สงสัยของหญิงสาวได้ถนัด นี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นใบหน้าของโจรลักพาตัวได้อย่างชัดเจน ผิวของเขามีสีเข้ม แต่ไม่คล้ำ ไม่ใช่สีผิวเข้มแบบมนุษย์ แต่เป็นสีออกเทา หูของบุรุษตรงหน้าก็ดูแปลกประหลาด เพราะหูของเขานั้นแหลมและชี้ขึ้นราวกับหูของเอล์ฟ แต่เอล์ฟที่ไหนจะตัวใหญ่และมีปีกแบบนี้ละ!
"ข้านึกมาตลอดว่านางฟ้าจะสวยกว่านี้."
"...." แซนด์ไม่กล่าวอะไรโต้ตอบ แต่เหมือนจะได้เสียงดึงฉึกเบาๆอยู่ในใจ ก็ตั้งแต่เธอมาที่นี่ใครๆก็เอาแต่พร่ำบอกถึงความผิดหวังกับรูปร่างหน้าตาของเธอที่ไม่เหมือนนางฟ้า จริงๆแล้วเธอก็อยากจะแหกปากตะโกนใส่หน้าทุกคนที่เอาแต่พร่ำว่าเธอเป็นนางฟ้าด้วยซ้ำไปว่าเธอไม่ใช่นางฟ้า... แต่ดูเหมือนว่าการกระทำนั้นจะไม่ฉลาดนัก เพราะตราบใดที่ใครๆยังคิดว่าเธอเป็นนางฟ้า ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครกล้าทำอะไรเธอ ... เว้นแต่เชสเตอร์ และบุรุษประหลาดตรงหน้านี้
"รูปร่างหน้าตาของข้าไม่ได้น่าเฉยชมงดงามเหมือนเชสเตอร์ แต่เจ้าพอจะเปิดใจให้ข้าได้ไหม?" บุรุษประหลาดเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมกับใช้นัยน์ตาสีทองจ้องมายังคนตัวเล็กกว่า
"เราเป็นคู่หมั้นของท่านเชสเตอร์... คุณกำลังจะขอให้เรานอกใจท่านเชสเตอร์" แซนด์จ้องย้ำไปยังนัยน์ตาสีทองอย่างอาจหาญ แม้ว่าลึกๆแล้วเธอจะรู้สึกหวาดระแวงและเกรงกลัวอยู่บ้าง แต่ถ้าเธอต้องเป็นผู้หญิงนิสัยเสีย ที่มีเจ้าของแล้ว แต่ทำตัวมั่วร้ายไปทั่ว ความตายก็คงเป็นสิ่งที่เลอค่ากว่า
แปะ แปะ แปะ
เสียงปรบมือพร้อมกับรอยยิ้มของบุรุษตรงหน้าปรากฏขึ้น เขาปรายนัยน์ตาสีทองมองคนตัวเล็กกว่าด้วยความวูบไหว ก่อนจะเอ่ยพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม
"ช่างเป็นผู้หญิงที่ซื่อสัตย์.... แน่ละสมเป็นนางฟ้า นางสวรรค์ .... ทำไมเธอถึงซื่อสัตย์กับหมอนั้น ทั้งๆที่มันจับเธอขังเอาไว้ราวกับเป็นนักโทษ ทำเธอร้องไห้เสียใจ และโยนความหวังดี กุหลาบสีแดงดอกนั้นของเธออย่างไม่ใยดี"
แซนด์สะดุ้งเล็กน้อย เมื่อสิ่งที่บุรุษผู้แปลกประหลาดตรงหน้าเอ่ยมันเป็นความจริงทุกประการ และเป็นความจริงที่มีแค่เธอกับเชสเตอร์ที่รู้ คนตัวเล็กเริ่มหวาดระแวงบุรุษแปลกหน้าอีกครั้ง
"ข้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่มันสำคัญว่าทำไมเธอถึงซื่อสัตย์กับหมอนั้นเสียจริง" น้ำเสียงของเขาไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบอะไร เพียงแต่ผสมปนขุ่นด้วยความน้อยใจบางๆก็เท่านั้น
"แหวนหมั้นสักวงหมอนั้นก็ยังไม่เคยมอบให้เจ้า พิธีหมั้น หรือแต่งตั้งเจ้าเป็นสตรีชั้นสูงหมอนั้นก็ไม่เคยจัดให้ แล้วทำไมเจ้าถึงซื่อสัตย์ จงรักภักดีกับหมอนั้นอีก" คำพูดของเขาทำให้แซนด์นิ่งสนิท
ใช่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา นับแต่วันที่เธอหลุดปากประชดท้าให้เชสเตอร์แต่งงานกับเธอไป นอกจากคำพูดรับปากว่าจะแต่งงานกับเธอ มันก็ไม่มีมากไปกว่านั้น ไม่มีพิธีอะไร ไม่มีการพูดคุยถึงงานหมั้น หรืองานแต่ง หรือแม้เข้ามาพูดคุยเพื่อศึกษาใจซึ่งกันและกัน จะมีก็แค่ห้องนอนกว้างสีสดใส กับเครื่องใช้ที่ไร้ชีวิต และนานๆทีจะมีคนเข้ามาให้เธอได้พูดคุยคลายเหงา ทั้งหมดนั้นมันก็ไม่ต่างกับการเป็นนักโทษ ห้องขังจะไม่ลูกกรงซี่ แต่เธอก็ไม่ได้รับอิสระให้ไปไหนมาไหน ไม่ได้รับอิสระให้พูดคุยกับใคร ไม่ได้แม้จะรู้จักว่าที่สามีมากไปกว่าเจ้าของปราสาทใจร้ายป่าเถื่อน
"หากเธอจะซื่อสัตย์กับหมอนั้นเพราะการเลี้ยงดูรับรองที่ดีแล้วละก็ ข้าก็อยากให้เธอเปิดใจ เพราะข้าเองก็เลี้ยงดูรับรองเธอให้ดีในฐานะนางฟ้าที่เสด็จมาเยือนดินแดนอันต่ำต้อย ไม่ใช่ในฐานะนักโทษในกรงขัง... อิสระเป็นของเธอ เพียงแต่ หากจะออกนอกปราสาท ขอให้ข้าไปด้วย ที่นี่มันอันตราย" เมื่อพูดจบ เขาก็โน้มศีรษะในลักษณะก้มโค้งทำความเคารพ มือซ้ายทาบอยู่ที่อก มือขวายื่นออกไปหานางฟ้าผู้สับสน ปีกค้างคาวสยายออกจนเต็มความยาว
แซนด์รู้สึกลำบากใจ เธอไม่แน่ใจว่าถ้าเธอตอบตกลงไปเธอจะมีชะตากรรมเช่นไร เช่นเดียวกันกับที่ไม่แน่ใจว่าหากปฎิเสธแล้วเธอจะหนีไปทางไหน เพราะยังไงคนตรงหน้าก็คงไม่มีทางพาเธอกลับไปยังปราสาทของเชสเตอร์แน่ๆ และดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ถูกกันเสียด้วย
"... ดูเหมือนว่าข้ายังทำตัวไม่ดีพอให้นางฟ้าเปิดใจ แต่ไม่เป็นไร... ตามข้ามาสิ ข้าจะพาไปดูห้องพัก ข้าตั้งใจเตรียมมันให้ดีที่สุดเท่าที่อมนุษย์ตนหนึ่งจะเตรียมให้ได้" บุรุษประหลาดชักมือกลับมือหญิงสาวไม่ตอบอะไร ภายใต้แสงสลัวของโถงประสาทที่กว้างใหญ่ ที่นี่มันดูอ้างว้างและเปล่าเปลี่ยว หญิงสาวมองไปรอบทิศ แต่ก็ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต
"ข้ารู้ว่าที่นี่ไม่ได้สวยงามเหมือนปราสาทของหมอนั้น ข้าเองก็ไม่เก่งเรื่องตกแต่งนัก แต่หากเธอไม่ชอบบรรยกาศแบบนี้ข้าคงต้องตกแต่งมันใหม่" บุรุษร่างสูงเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบเมื่อสังเกตเห็นท่าทีของหญิงสาว
"ท่าน ชื่ออะไร" แซนด์เอ่ยถาม ในขณะที่เดินตามหลังและใช้สายตาจ้องมองปีกใหญ่ที่ดูแปลกประหลาดของคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนว่าปีข้างหนึ่งจะมีรอยขาดซึ่งเกิดจากฝีมือของเธอ
"ราเซธ" ร่างสูงเอี้ยวตัวมาหา แล้วเอ่ยนามของตัวเอง นั้นเองทำให้หญิงสาวต้องถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อหลบปีกใหญ่ของอีกคน
"เราชื่อแซนด์ค่ะ" เธอเอ่ยแนะนำตัวกลับ อีกฝ่ายก็ยิ้มรับอย่างมีไมตรี
"ทำไมถึงต้องลักพาตัวเรามาที่นี่" แซนด์เอ่ยถามเรื่องสงสัยในใจ พร้อมกับถอยหลังออกสองสามก้าวเพื่อความรู้สึกปลอดภัย
"ใครๆก็อยากอยู่ใกล้นางฟ้ากันทั้งนั้น ข้าเองก็เช่นกัน.... หากจะมีนางฟ้าสักองค์มาโปรดอมนุษย์แบบข้าก็น่าจะดี" ราเซธพูดแล้วเดินต่อไป
"เราคงช่วยอะไรท่านไม่ได้หรอก.... เราไม่มีพลังวิเศษอะไร หรือถ้ามี.... เราก็จำอะไรไม่ได้" แซนด์เอ่ย แต่นั้นก็ทำให้ราเซธหยุดเดินในทันที คนตัวเล็กกว่าที่เดินตามหลังอยู่ก็ต้องรีบเบรกฝีเท้า ไม่เช่นนั้นได้เดินชนปีกใหญ่ยักษ์ของอีกคนเป็นแน่
"ข้าไม่ได้อยากได้ความช่วยเหลืออะไรมากไปว่า การเติมเต็มชีวิตที่แห้งเฉาให้กับปราสาทนี้"
ไม่นานนักหลังจากที่เดินผ่านห้องโถงของปราสาท ไปตามทางเดินก็มาถึงห้องนอนใหม่ของแซนด์ ซึ่งอยู่แยกออกมาจากตัวปราสาท ที่นี่เป็นเหมือนหอคอยที่มีทางเดินเชื่อมกับตัวปราสาท มีเถาว์กุหลาบเลื่อยไปมาอยู่สองข้างทาง เมื่อประตูไม้บานหนาถูกเปิดออกก็เผยให้เห็นเตียงนอนที่มีเสาทรงสูงสีขาว ซึ่งตั้งอยู่ติดกับหน้าต่างกระจกหลากสี ตรงข้ามกับเตียงนอนเป็นอ่างน้ำตกเล็กๆ ที่มีน้ำใสสะอาดที่มีเถาว์กุหลาบเลื่อยไปมา ข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องมีไม่มาก มีแค่เตียงนอก ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง แต่ก็นับว่าครบครัน ขนาดของห้องแม้จะเล็กกว่าห้องที่ปราสาทเชสเตอร์ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือคับแคบอะไร
"หวังว่าพรุ่งนี้เช้า เราจะเจอกัน พักผ่อนให้สบายละ" เซเรธเอ่ยก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งให้หญิงสาวสำรวจห้องเพียงลำพัง แม้ว่าการตอนรับของเซเรธจะดูดีและอบอุ่น แต่แซนด์ก็ยังอดไม่ได้ว่าการที่เธอหายตัวมานั้นจะทำให้ใครเดือดร้อนหรือไม่ เชสเตอร์ และเซนวิกอาจจะกำลังตามหาอยู่ก็ได้ เธอจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่คืนนี้
--------------------------------- To be con...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ