จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)
7.0
เขียนโดย Lady_Madeline
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.
10 ตอน
1 วิจารณ์
11.64K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) ตอนที่ 4 สัญญาณ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 4
"บาดแผลแบบนี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์แน่นอนครับ" เซนวิกเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังสำรวจร่างไร้วิญญาณของพลทหารนายหนึ่ง ซึ่งมีแผลเหวอะหวะ และเลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
"พวกลากูนสินะ" เชสเตอร์เอ่ยในขณะที่ใช้นัยน์ตาสีเงินสอดส่ายไปทั่วค่ายพักทหารที่ถูกบางสิ่งโจมตีจนไม่เหลือสภาพก่อนหน้าให้ได้เห็น เต็นท์พักแรมสีเขียวเข้มขาดแหว่ง ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับรอยเลือดสีแดงสดกับกลิ่นคาวที่คละคลุ้งไปทั่ว
"ข้าคงไม่กล้าที่จะสรุป บางทีอาจเป็นสัตว์ป่า แต่หากท่านจะสันนิษฐานว่าเป็นพวกลากูนก็มีความเป็นไปได้ครับ" เซนวิกกล่าวพร้อมกับเดินสำรวจรอบบริเวณที่เกิดเหตุ
"แต่ที่น่าแปลกใจคือ... ศพทุกศพจะถูกตัดขาออกไป รอยตัดสะอาดและเรียบร้อยเหมือนกับถูกของที่คมจัดตัดเข้าทันที"
"ถ้าแบบนั้นคงไม่ใช่ฝีมือสัตว์ป่า... ไอหมาลอบกัด" เชสเตอร์สบถด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ ภายตาแววตาสีเงินที่ดูนิ่งสงบกลับคุกกรุ่นด้วยอารมณ์ร้อน เขาอยากจะจัดการพวกนี้ให้สิ้นซากเสียที แต่ทว่าเขากลับไม่มีพลังมากพอที่จะจัดการมันได้สักครั้ง และครั้งล่าสุดที่เขาเข้าไปถล่มรังพวกลากูน ก็เป็นครั้งเดียวกันที่เขาได้รอยแผลเป็นที่รักษาด้วยเวทย์มนต์ หรือคำสาปไม่หาย แม้เขาจะเคยพยามทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการวิ่งฝ่าดงพวกลากูนเข้าไปให้มันฆ่าตาย แต่เขาก็กลับไม่ตายเพราะคำสาปทำให้เขาเป็นอมตะ แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับเขาแทน และเขาต้องทนทุกข์ทรมาณอยู่อย่างนั้นแรมปี
"ข้าว่าตอนนี้เราควรกลับกันก่อน หากฟ้ามืดจะเดินทางลำบากนะครับ" เซนวิกกระโดดขึ้นหลังม้า หลังจากที่จดบันทึกและสำรวจศพเสร็จ
"อืม... ข้าฝากเจ้าจัดการศพทหารเหล่านี้ด้วย" เชสเตอร์เอ่ยแล้วยกฮู้ดของผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะและใบหน้าก่อนจะควบม้าออกไป
"และฝากแจ้งครอบครัวของพวกเขาด้วยว่า ทหารหาญได้ตายในหน้าที่อย่างกล้าหาญ และท่านเชสเตอร์จะส่งค่าตอบแทนความกล้าตามมาให้ทีหลัง" เซนวิกยังคงสุขุมนุ่มลึกเช่นเคย เขาสั่งการทหารเพิ่มเติมจากที่เชสเตอร์ได้กล่าวไว้ หลังจากที่นายทหารยกมือขวาขึ้นทาบอกซ้ายเป็นการตอบรับคำสั่ง เซนวิกก็ควบม้าตามเชสเตอร์ไป
ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งตระงานอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของโดโรเรสนั้นกว้างใหญ่มากเหลือเกิน และมันก็ยิ่งกว้างมากไปอีกสำหรับหญิงสาวผู้หลงทิศ เธอเดินออกจากห้องนอนหลังจากที่ทั้งเชสเตอร์ และเซนวิกเร่งรีบออกไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอกวาดมองทิศทางรอบตัวด้วยความประหลาดใจ สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบโรโคโคได้อย่างสวยงาม รูปสลักและปูนปั้นที่ประดับอยู่ตามเสาหินด้วยดูอ่อนช้อย แต่แฝงด้วยความน่าเกรงขามไปพร้อมๆ เพดานสูงของโถงทางเดินแม้จะดูวิจิตรตระกาลตาและปลอดโปร่งด้วยโถงเพดานสูง แต่เวลานี้กลับช่างน่าอึดอัดสำหรับหญิงสาว เมื่อเธอกำลังเดินไปตามโถงทางเดินที่ดูเหมือนจะทอดยาวไปไม่รู้จบ แถมรองเท้าส้นสูงที่ชีวิตนี้ของเธอเกิดมาก็เพิ่งเคยสวมใสก็ยังกัดเธออย่างไร้ปราณี
"ทำไมยิ่งเดินยิ่งหลงละ" เธอรำพึงกับตัวเองพร้อมกับถอดรองเท้าสูงที่ช่วยเสริมความสง่างามออก เธอเดินลึกเข้าไปด้านในปราสาทเรื่อยๆ จนมาถึงห้องโถงใหญ่ ที่เมื่อมองขึ้นไปบนเพดานจะเป็นเห็นรูปโดม ซึ่งมีภาพวาดของท้องฟ้าสีครึ้ม กับสัตว์ประหลาดที่มีเขาบนหัว มีหางเป็นลูกศร มีปีกคล้ายค้างคาว และหน้าตาดูไม่เป็นมิตรกำลังแสยะยิ้มและใช้นัยน์ตาสีแดงก่ำจ้องมองลงมายังคนที่อยู่ในห้องโถง อีกทั้งตามยอดของเสาหินก็มีรูปปั้นของกากอยด์นั่งอยู่ มันดูนิ่งสงบแต่สายของรูปปั้นกลับดูน่ากลัว ราวกับมันกำลังจ้องมองมาที่เธอ ด้านในสุดของโถงทางเดิน เป็นบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลม ซึ่งปูทับพื้นหินอ่อนด้วยพรมสีแดงสดราวสีเลือด
"นั้นใครน่ะ" ในขณะที่หญิงสาวกำลังสำรวจทั่วห้องกว้างที่มีบรรยกาศน่าเกรงขาม เธอก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงแหลมสูงของผู้หญิงดังขึ้นมา หญิงสาวพยามใช้นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอกวาดมองไปรอบห้องโถงเพื่อหาที่มาของเสียง จนในที่สุด ที่ขั้นบนสุดของบันใด เธอได้พบกับสตรีรูปงาม ซึ่งมีนัยน์ตาสีม่วงวาววับดูแปลกประหลาดแต่นัยน์ก็เสริมให้เธอดูสวยโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เรือนร่างที่สวยงาม มีส่วนเว้าโค้งอย่างสวยงามกลับนุ่งห่มเพียงเกาอีกสีดำตัวจิ๋ว ซึ่งมันแทบปิดอกอิ่มอวบของเธอได้ไม่มิด
"ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร" น้ำเสียงของผู้ถามเจือด้วยความไม่พอใจ เมื่อหญิงสาวผู้มาใหม่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ เช่นนั้นเรือนร่างอรชรจึงเดินลงมาจากบันได เผยให้เห็นเรียวขาขาวซึ่งมีเพียงผ้าบางๆสีดำพันไว้อย่างสวยงามรอบเอว นัยน์ตาสีน้ำตาลของหญิงสาวผู้มาใหม่มองแฟชั่นสุดเซ็กส์ซี่ด้วยแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องตอบคำถามของเธอ ก่อนที่เธอจะโมโหไปมากกว่านี้
"เอ่อ... เราจำชื่อตัวเองไม่ได้... แต่ว่าท่านเชสเตอร์กับคุณหมอเซนวิกพาเรามาที่นี่" หลังจากที่หญิงสาวเอ่ยตอบคำถามไป สตรีผู้มีนัยน์ตาสีม่วงดูจะแปลกใจอยู่มาก เธอรีบสาวเท้าเดินเข้ามาเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มีสีหน้างุนงงในทันที
"ไม่รู้ว่าท่านเชสเตอร์เปลี่ยนรสนิยมเสียตั้งแต่เมื่อไหร่" เธอใช้ปลายนิ้วเชยคางหญิงสาว พร้อมกับใช้นัยน์ตาสีม่วงพิจารณาใบหน้าที่ดูอ่อนใส แต่ทว่ากลับไร้เสน่ห์เย้ายวนให้อยากจะมอง หรือเคลิบเคลิ้ม
"หน้าตาแสนธรรมดา รูปร่างก็ไม่งดงาม กริยามารยาทของเจ้าก็ใช่ว่าจะอ้อนช้อย..."
"..."
"ท่านแกรนด์ดยุคคงอยากลองของแปลกสินะ" เธอพูดพร้อมกับเดินวนรอบตัวหญิงสาวด้วยท่าทีที่ดูสง่างาม
"เราก็ไม่ทราบค่ะ... ตอนนี้เราหลง เราเดินมาเรื่อยๆตาม..."
"ถ้าเจ้าเป็นสนมใหม่ของท่านเชสเตอร์ ห้องพักของเจ้าก็อยู่ทางนี้ และข้าคืออาคาเซีย... เจ้าต้องฟังทุกคำที่ข้าพูด และทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง ห้ามขัดขืน เพราะที่นี่ข้าคือผู้ปกครอง" หญิงสาวนัยน์ตาสีม่วงเอ่ย พร้อมกับเดินขึ้นบันไดหินอ่อนไป ปล่อยให้อีกคนยืนงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แกรนด์ดยุค? สนมใหม่? ทำไมที่นี่ถึงมีแต่เรื่องชวนให้ไม่เข้าใจทั้งนั้นเลยนะ
หลังจากที่เธอทบทวนความคิดที่ไม่อาจจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้จนเสร็จ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินย้อนไปทางที่ตัวเองมา หากคิดในแง่ดีเธออาจจะหาทางกลับเจอ หรือไม่ก็ได้หลงไปอยู่ที่อื่นอีก ซึ่งมันอาจจะทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเธอในตอนนี้มากขึ้นก็เป็นได้
"ท่านเชสเตอร์ ท่านคิดว่านางเป็นแอมเชลจริงเหรอครับ" เซนวิกเอ่ยถามในขณะที่เดินตามหลังเชสเตอร์กลับเข้ามาในปราสาท หากให้พูดกันตามตรง แม้เขาจะเป็นคนพูดเรื่องคำทำนายนี้เอง แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าผู้หญิงที่ดูไม่มีอะไรพิเศษจะเป็นนางฟ้า ที่สามารถแก้คำสาปให้นายเหนือของเขาได้
"เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือไง ว่านางจะมาทางน้ำ และนางจะขอข้าแต่งงานก่อน ซึ่งนางก็ตรงตามเงื่อนไข" เชสเตอร์เอ่ยเสียงเรียบ
"ใช่ครับ ข้าเป็นคนบอกท่านเอง แต่ว่า... คำพูดขอแต่งงานของนางข้าคิดว่า..."
"จะอย่างไรก็ตามนางก็ขอข้าแต่งงานแล้ว คำทำนายก็ไม่ได้ระบุไว้ว่านางจะต้องคุกเขาถือแหวนขอข้าแต่งงานเสียหน่อย" เชสเตอร์ตอบกลับ ซึ่งนั้นเองทำให้เซนวิกต้องเงียบไป ไม่ใช่เพราะว่าเข้าเถียงไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่อยากจะเถียงด้วยเสียมากกว่า เพราะแม้ว่านางจะไม่ใช่แอมเชลตัวจริง แต่ในตอนนี้นางก็ทำให้นายเหนือของเขาดูสดใส และกระฉับกระเฉงกว่าที่เคยเป็น
"ข้าจะไปเติมพลังชีวิต ข้าฝากเจ้าดูแลแอมเชลด้วย ส่วนเรื่องงานแต่งไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้อีกที" เชสเตอร์กล่าวจบ เขาก็สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่ปีกตะวันตก ซึ่งเป็นที่ที่เขาจะได้ 'เติมพลัง' ในทันที
เซนวิกค้อมศีรษะรับคำสั่งของนายเหนือที่ดูเร่งรีบอย่างอ่อนน้อม พร้อมความรู้สึกนึกสงสาร เพราะหากการมีเซ็กส์นั้นคือความสุขของมนุษย์เชสเตอร์ก็ควรจะมีความสุขยิ่งกว่าใคร เพราะเขามีสาวงามมากมายอยู่ในปราสาท ที่พร้อมจะพลีกายถวายหัวใจเป็นทาสรับใช้แรงสวาทของเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น แต่ทว่าสำหรับเชสเตอร์ การมีเซ็กส์นั้นกลับเป็นเพียงกิจวัตรที่ต้องทำเพื่อให้มีชีวิตรอด ไออุ่นจากเรือนร่างหญิงสาวกลับไม่ได้มอบความสุข หรือความรู้สึกให้ชวนเคลิบเคลิ้มปรารถนาใด สิ่งเดียวที่เขาได้รับจากเซ็กส์นั้นก็คือพลังชีวิต ที่ทำให้เขามีชีวิต มีกำลัง มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนเช่นที่ควรจะมี
ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินหลงอยู่ภายในปราสาทกว้างใหญ่ พลันเสียงแหลมแสบแก้วหูก็ดังขึ้นภายในหัว เธอล้มลงพร้อมความรู้สึกเจ็บปวดที่ศีรษะอย่างรุนแรง เสียงแหลมชวนปวดประสาทนั้นยังไม่ยอมหายไป ร่างของเธอซบลงแนบกับพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก พร้อมกับใช้สองมือบีบรัดศีรษะเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
"...แซ.... แซนด์.... แซนด์...แซ..."
เสียงแหลมสูงถูกเปลี่ยนเป็นเสียงเรียกแผ่วเบา พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดที่จางหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าวิ่งเข้ามาในตัวเธอเพียงชั่วขณะ ก่อนที่หญิงสาวคลายปมที่หัวคิ้วออก พร้อมกับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"เจ้าเป็นอะไร มานอนที่พื้นทำไม" ภาพแรกที่หญิงสาวเห็น คือภาพของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงิน เขาจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด
"เมื่อกี้นี่ มีเสียงในหัว... เสียงในพูดว่าแซนด์.... เราคิดว่านั้นคือชื่อของเราค่ะ" เธอค่อยๆลุกขึ้นแล้วเล่าเหตุการณ์ให้คนตรงหน้าฟัง สีหน้าของเขาดูเรียบเฉย แต่ทว่าในชั่วขณะแววตาของเขาฉายความหวาดหวั่นออกมา
"...ก็ดีแล้วที่เจ้าจำชื่อตัวเองได้" หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกด้านในของปราสาท เขาหวังว่าการที่หญิงสาวจดจำชื่อของตัวเองได้ มันจะไม่ใช่สัญญาณแจ้งเตือนของสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะไม่มีดวงวิญญาณสักดวง หรือใครสักคนที่มาจากโลกมนุษย์ ผ่านทะเลแห่งการหลงลืมเข้ามายังโดโรเรสแล้วจะจำเรื่องราวของตัวเองได้
"บาดแผลแบบนี้ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์แน่นอนครับ" เซนวิกเอ่ยขึ้นในขณะที่กำลังสำรวจร่างไร้วิญญาณของพลทหารนายหนึ่ง ซึ่งมีแผลเหวอะหวะ และเลือดสีแดงสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ
"พวกลากูนสินะ" เชสเตอร์เอ่ยในขณะที่ใช้นัยน์ตาสีเงินสอดส่ายไปทั่วค่ายพักทหารที่ถูกบางสิ่งโจมตีจนไม่เหลือสภาพก่อนหน้าให้ได้เห็น เต็นท์พักแรมสีเขียวเข้มขาดแหว่ง ข้าวของกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับรอยเลือดสีแดงสดกับกลิ่นคาวที่คละคลุ้งไปทั่ว
"ข้าคงไม่กล้าที่จะสรุป บางทีอาจเป็นสัตว์ป่า แต่หากท่านจะสันนิษฐานว่าเป็นพวกลากูนก็มีความเป็นไปได้ครับ" เซนวิกกล่าวพร้อมกับเดินสำรวจรอบบริเวณที่เกิดเหตุ
"แต่ที่น่าแปลกใจคือ... ศพทุกศพจะถูกตัดขาออกไป รอยตัดสะอาดและเรียบร้อยเหมือนกับถูกของที่คมจัดตัดเข้าทันที"
"ถ้าแบบนั้นคงไม่ใช่ฝีมือสัตว์ป่า... ไอหมาลอบกัด" เชสเตอร์สบถด้วยน้ำเสียงข่มอารมณ์ ภายตาแววตาสีเงินที่ดูนิ่งสงบกลับคุกกรุ่นด้วยอารมณ์ร้อน เขาอยากจะจัดการพวกนี้ให้สิ้นซากเสียที แต่ทว่าเขากลับไม่มีพลังมากพอที่จะจัดการมันได้สักครั้ง และครั้งล่าสุดที่เขาเข้าไปถล่มรังพวกลากูน ก็เป็นครั้งเดียวกันที่เขาได้รอยแผลเป็นที่รักษาด้วยเวทย์มนต์ หรือคำสาปไม่หาย แม้เขาจะเคยพยามทำเรื่องโง่ๆ ด้วยการวิ่งฝ่าดงพวกลากูนเข้าไปให้มันฆ่าตาย แต่เขาก็กลับไม่ตายเพราะคำสาปทำให้เขาเป็นอมตะ แต่มันกลับสร้างความเจ็บปวดแสนสาหัสให้กับเขาแทน และเขาต้องทนทุกข์ทรมาณอยู่อย่างนั้นแรมปี
"ข้าว่าตอนนี้เราควรกลับกันก่อน หากฟ้ามืดจะเดินทางลำบากนะครับ" เซนวิกกระโดดขึ้นหลังม้า หลังจากที่จดบันทึกและสำรวจศพเสร็จ
"อืม... ข้าฝากเจ้าจัดการศพทหารเหล่านี้ด้วย" เชสเตอร์เอ่ยแล้วยกฮู้ดของผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะและใบหน้าก่อนจะควบม้าออกไป
"และฝากแจ้งครอบครัวของพวกเขาด้วยว่า ทหารหาญได้ตายในหน้าที่อย่างกล้าหาญ และท่านเชสเตอร์จะส่งค่าตอบแทนความกล้าตามมาให้ทีหลัง" เซนวิกยังคงสุขุมนุ่มลึกเช่นเคย เขาสั่งการทหารเพิ่มเติมจากที่เชสเตอร์ได้กล่าวไว้ หลังจากที่นายทหารยกมือขวาขึ้นทาบอกซ้ายเป็นการตอบรับคำสั่ง เซนวิกก็ควบม้าตามเชสเตอร์ไป
ปราสาทหลังใหญ่ที่ตั้งตระงานอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุดซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของโดโรเรสนั้นกว้างใหญ่มากเหลือเกิน และมันก็ยิ่งกว้างมากไปอีกสำหรับหญิงสาวผู้หลงทิศ เธอเดินออกจากห้องนอนหลังจากที่ทั้งเชสเตอร์ และเซนวิกเร่งรีบออกไป นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของเธอกวาดมองทิศทางรอบตัวด้วยความประหลาดใจ สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบโรโคโคได้อย่างสวยงาม รูปสลักและปูนปั้นที่ประดับอยู่ตามเสาหินด้วยดูอ่อนช้อย แต่แฝงด้วยความน่าเกรงขามไปพร้อมๆ เพดานสูงของโถงทางเดินแม้จะดูวิจิตรตระกาลตาและปลอดโปร่งด้วยโถงเพดานสูง แต่เวลานี้กลับช่างน่าอึดอัดสำหรับหญิงสาว เมื่อเธอกำลังเดินไปตามโถงทางเดินที่ดูเหมือนจะทอดยาวไปไม่รู้จบ แถมรองเท้าส้นสูงที่ชีวิตนี้ของเธอเกิดมาก็เพิ่งเคยสวมใสก็ยังกัดเธออย่างไร้ปราณี
"ทำไมยิ่งเดินยิ่งหลงละ" เธอรำพึงกับตัวเองพร้อมกับถอดรองเท้าสูงที่ช่วยเสริมความสง่างามออก เธอเดินลึกเข้าไปด้านในปราสาทเรื่อยๆ จนมาถึงห้องโถงใหญ่ ที่เมื่อมองขึ้นไปบนเพดานจะเป็นเห็นรูปโดม ซึ่งมีภาพวาดของท้องฟ้าสีครึ้ม กับสัตว์ประหลาดที่มีเขาบนหัว มีหางเป็นลูกศร มีปีกคล้ายค้างคาว และหน้าตาดูไม่เป็นมิตรกำลังแสยะยิ้มและใช้นัยน์ตาสีแดงก่ำจ้องมองลงมายังคนที่อยู่ในห้องโถง อีกทั้งตามยอดของเสาหินก็มีรูปปั้นของกากอยด์นั่งอยู่ มันดูนิ่งสงบแต่สายของรูปปั้นกลับดูน่ากลัว ราวกับมันกำลังจ้องมองมาที่เธอ ด้านในสุดของโถงทางเดิน เป็นบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ทรงครึ่งวงกลม ซึ่งปูทับพื้นหินอ่อนด้วยพรมสีแดงสดราวสีเลือด
"นั้นใครน่ะ" ในขณะที่หญิงสาวกำลังสำรวจทั่วห้องกว้างที่มีบรรยกาศน่าเกรงขาม เธอก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเสียงแหลมสูงของผู้หญิงดังขึ้นมา หญิงสาวพยามใช้นัยน์ตาสีน้ำตาลของเธอกวาดมองไปรอบห้องโถงเพื่อหาที่มาของเสียง จนในที่สุด ที่ขั้นบนสุดของบันใด เธอได้พบกับสตรีรูปงาม ซึ่งมีนัยน์ตาสีม่วงวาววับดูแปลกประหลาดแต่นัยน์ก็เสริมให้เธอดูสวยโดดเด่นอย่างไม่ต้องสงสัย เรือนร่างที่สวยงาม มีส่วนเว้าโค้งอย่างสวยงามกลับนุ่งห่มเพียงเกาอีกสีดำตัวจิ๋ว ซึ่งมันแทบปิดอกอิ่มอวบของเธอได้ไม่มิด
"ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร" น้ำเสียงของผู้ถามเจือด้วยความไม่พอใจ เมื่อหญิงสาวผู้มาใหม่ไม่ยอมตอบคำถามของเธอ เช่นนั้นเรือนร่างอรชรจึงเดินลงมาจากบันได เผยให้เห็นเรียวขาขาวซึ่งมีเพียงผ้าบางๆสีดำพันไว้อย่างสวยงามรอบเอว นัยน์ตาสีน้ำตาลของหญิงสาวผู้มาใหม่มองแฟชั่นสุดเซ็กส์ซี่ด้วยแปลกใจ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองต้องตอบคำถามของเธอ ก่อนที่เธอจะโมโหไปมากกว่านี้
"เอ่อ... เราจำชื่อตัวเองไม่ได้... แต่ว่าท่านเชสเตอร์กับคุณหมอเซนวิกพาเรามาที่นี่" หลังจากที่หญิงสาวเอ่ยตอบคำถามไป สตรีผู้มีนัยน์ตาสีม่วงดูจะแปลกใจอยู่มาก เธอรีบสาวเท้าเดินเข้ามาเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มีสีหน้างุนงงในทันที
"ไม่รู้ว่าท่านเชสเตอร์เปลี่ยนรสนิยมเสียตั้งแต่เมื่อไหร่" เธอใช้ปลายนิ้วเชยคางหญิงสาว พร้อมกับใช้นัยน์ตาสีม่วงพิจารณาใบหน้าที่ดูอ่อนใส แต่ทว่ากลับไร้เสน่ห์เย้ายวนให้อยากจะมอง หรือเคลิบเคลิ้ม
"หน้าตาแสนธรรมดา รูปร่างก็ไม่งดงาม กริยามารยาทของเจ้าก็ใช่ว่าจะอ้อนช้อย..."
"..."
"ท่านแกรนด์ดยุคคงอยากลองของแปลกสินะ" เธอพูดพร้อมกับเดินวนรอบตัวหญิงสาวด้วยท่าทีที่ดูสง่างาม
"เราก็ไม่ทราบค่ะ... ตอนนี้เราหลง เราเดินมาเรื่อยๆตาม..."
"ถ้าเจ้าเป็นสนมใหม่ของท่านเชสเตอร์ ห้องพักของเจ้าก็อยู่ทางนี้ และข้าคืออาคาเซีย... เจ้าต้องฟังทุกคำที่ข้าพูด และทำตามที่ข้าสั่งทุกอย่าง ห้ามขัดขืน เพราะที่นี่ข้าคือผู้ปกครอง" หญิงสาวนัยน์ตาสีม่วงเอ่ย พร้อมกับเดินขึ้นบันไดหินอ่อนไป ปล่อยให้อีกคนยืนงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แกรนด์ดยุค? สนมใหม่? ทำไมที่นี่ถึงมีแต่เรื่องชวนให้ไม่เข้าใจทั้งนั้นเลยนะ
หลังจากที่เธอทบทวนความคิดที่ไม่อาจจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้จนเสร็จ เธอจึงตัดสินใจที่จะเดินย้อนไปทางที่ตัวเองมา หากคิดในแง่ดีเธออาจจะหาทางกลับเจอ หรือไม่ก็ได้หลงไปอยู่ที่อื่นอีก ซึ่งมันอาจจะทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเธอในตอนนี้มากขึ้นก็เป็นได้
"ท่านเชสเตอร์ ท่านคิดว่านางเป็นแอมเชลจริงเหรอครับ" เซนวิกเอ่ยถามในขณะที่เดินตามหลังเชสเตอร์กลับเข้ามาในปราสาท หากให้พูดกันตามตรง แม้เขาจะเป็นคนพูดเรื่องคำทำนายนี้เอง แต่เขาก็ไม่มั่นใจนักว่าผู้หญิงที่ดูไม่มีอะไรพิเศษจะเป็นนางฟ้า ที่สามารถแก้คำสาปให้นายเหนือของเขาได้
"เจ้าเป็นคนบอกข้าเองไม่ใช่หรือไง ว่านางจะมาทางน้ำ และนางจะขอข้าแต่งงานก่อน ซึ่งนางก็ตรงตามเงื่อนไข" เชสเตอร์เอ่ยเสียงเรียบ
"ใช่ครับ ข้าเป็นคนบอกท่านเอง แต่ว่า... คำพูดขอแต่งงานของนางข้าคิดว่า..."
"จะอย่างไรก็ตามนางก็ขอข้าแต่งงานแล้ว คำทำนายก็ไม่ได้ระบุไว้ว่านางจะต้องคุกเขาถือแหวนขอข้าแต่งงานเสียหน่อย" เชสเตอร์ตอบกลับ ซึ่งนั้นเองทำให้เซนวิกต้องเงียบไป ไม่ใช่เพราะว่าเข้าเถียงไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่อยากจะเถียงด้วยเสียมากกว่า เพราะแม้ว่านางจะไม่ใช่แอมเชลตัวจริง แต่ในตอนนี้นางก็ทำให้นายเหนือของเขาดูสดใส และกระฉับกระเฉงกว่าที่เคยเป็น
"ข้าจะไปเติมพลังชีวิต ข้าฝากเจ้าดูแลแอมเชลด้วย ส่วนเรื่องงานแต่งไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้อีกที" เชสเตอร์กล่าวจบ เขาก็สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปที่ปีกตะวันตก ซึ่งเป็นที่ที่เขาจะได้ 'เติมพลัง' ในทันที
เซนวิกค้อมศีรษะรับคำสั่งของนายเหนือที่ดูเร่งรีบอย่างอ่อนน้อม พร้อมความรู้สึกนึกสงสาร เพราะหากการมีเซ็กส์นั้นคือความสุขของมนุษย์เชสเตอร์ก็ควรจะมีความสุขยิ่งกว่าใคร เพราะเขามีสาวงามมากมายอยู่ในปราสาท ที่พร้อมจะพลีกายถวายหัวใจเป็นทาสรับใช้แรงสวาทของเขาอย่างไม่จบไม่สิ้น แต่ทว่าสำหรับเชสเตอร์ การมีเซ็กส์นั้นกลับเป็นเพียงกิจวัตรที่ต้องทำเพื่อให้มีชีวิตรอด ไออุ่นจากเรือนร่างหญิงสาวกลับไม่ได้มอบความสุข หรือความรู้สึกให้ชวนเคลิบเคลิ้มปรารถนาใด สิ่งเดียวที่เขาได้รับจากเซ็กส์นั้นก็คือพลังชีวิต ที่ทำให้เขามีชีวิต มีกำลัง มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนเช่นที่ควรจะมี
ในขณะที่หญิงสาวกำลังเดินหลงอยู่ภายในปราสาทกว้างใหญ่ พลันเสียงแหลมแสบแก้วหูก็ดังขึ้นภายในหัว เธอล้มลงพร้อมความรู้สึกเจ็บปวดที่ศีรษะอย่างรุนแรง เสียงแหลมชวนปวดประสาทนั้นยังไม่ยอมหายไป ร่างของเธอซบลงแนบกับพื้นหินอ่อนเย็นยะเยือก พร้อมกับใช้สองมือบีบรัดศีรษะเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
"...แซ.... แซนด์.... แซนด์...แซ..."
เสียงแหลมสูงถูกเปลี่ยนเป็นเสียงเรียกแผ่วเบา พร้อมกับความรู้สึกเจ็บปวดที่จางหายไป ความรู้สึกว่างเปล่าวิ่งเข้ามาในตัวเธอเพียงชั่วขณะ ก่อนที่หญิงสาวคลายปมที่หัวคิ้วออก พร้อมกับลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ
"เจ้าเป็นอะไร มานอนที่พื้นทำไม" ภาพแรกที่หญิงสาวเห็น คือภาพของชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีเงิน เขาจ้องมองเธอราวกับเธอเป็นตัวประหลาด
"เมื่อกี้นี่ มีเสียงในหัว... เสียงในพูดว่าแซนด์.... เราคิดว่านั้นคือชื่อของเราค่ะ" เธอค่อยๆลุกขึ้นแล้วเล่าเหตุการณ์ให้คนตรงหน้าฟัง สีหน้าของเขาดูเรียบเฉย แต่ทว่าในชั่วขณะแววตาของเขาฉายความหวาดหวั่นออกมา
"...ก็ดีแล้วที่เจ้าจำชื่อตัวเองได้" หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็รีบสาวเท้าเดินเข้าไปยังส่วนลึกด้านในของปราสาท เขาหวังว่าการที่หญิงสาวจดจำชื่อของตัวเองได้ มันจะไม่ใช่สัญญาณแจ้งเตือนของสิ่งที่ไม่คาดคิด เพราะไม่มีดวงวิญญาณสักดวง หรือใครสักคนที่มาจากโลกมนุษย์ ผ่านทะเลแห่งการหลงลืมเข้ามายังโดโรเรสแล้วจะจำเรื่องราวของตัวเองได้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ