จงต้องสาปตราบนิจนิรันดร์ (the eternal curse)
เขียนโดย Lady_Madeline
วันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 01.57 น.
แก้ไขเมื่อ 28 เมษายน พ.ศ. 2558 02.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) ตอนที่ 1 นางฟ้า
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1
“ตื่นๆ ยัยแซนด์ ใจคอจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ไปล้างหน้าล้างตาแล้วไปตลาดกับป้าเดี๋ยวนี้” เสียงดุๆดังขึ้นภายในห้องสี่เหลี่ยมเหลี่ยมขนาดเล็กที่มืดสนิทที่ภายในมี เฟอร์นิเจอร์เป็นเตียงเดี่ยวขนาดเล็กเพียงหนึ่งหลัง และนั้นก็มากพอที่จะทำให้นอนที่เล็กกระจิดริดดูคับแคบจนแทบไม่มีทางเดิน
“ค่า ค่า ค่า” คนใต้ผ้าห่มส่งเสียงตอบรับอย่างงัวเงีย หลังจากที่หญิงวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นป้าของเธอเดินจากไป เเม้ใบหน้าของคนขี้เซาจะดูไม่สดชื่นสักเท่าไหร่ ตาข้างหนึ่งก็ยังลืมไม่เต็มที่ ส่วนอีกข้างก็ปิดลงเพื่อเลี่ยงแสงจากไฟนีออนที่เเยงตา แม้ว่าจะไม่อยากลุกจากเตียง แต่หญิงสาวก็ยอมสลัดความขี้เกียจแล้วเดินเปะปะไปล้างหน้าล้างตาแต่โดยดี
อากาศตอนที่สามย่ำตีสี่นั้นไม่ร้อนเหมือนตอนกลางวัน และออกจะเย็นเสียด้วยซ้ำ มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เหมาะกับการนอนคุดคูอยู่บนเตียง มากว่ามาเดินตลาดสดที่มีผู้คนมาจับจ่ายสินค้ากันประปราย
“ป้าจ๋า วันนี้ป้าจะทำอะไรขายบ้างอะ” เพื่อสลัดความรู้สึกไม่สดชื่นออกไป เด็กสาวจึงก้มลงมองของในตระกร้าที่มีทั้งผักสด และเนื้อสัตว์ก่อนจะไปทำตาหวานใส่ผู้เป็นป้า
“ผัดเผ็ดปลากดุก แกงส้มชะอมทอด ไก่ทอด ผัดผัก เนื้อผัดกระเทียม”
“ว้าวว ไก่ทอดกับแกงส้มชะอม น่ากินจังเลยป้า” หญิงสาวออดอ้อน พร้อมยิ้มร่าอย่างดีใจ แต่ทว่าเสียงดุของป้าทำให้เธอต้องเปลี่ยนสีหน้าเป็นเบ้ปากน้อยๆแทน
“พอเลยยัยแซนด์ ของซื้อของขายจะเอามากินได้ไง รอให้มันเหลือโน้นแล้วค่อยกิน ถ้าจะเอาข้าวไปกินที่มหาลัยเอามาม่าไปผัดไป” แต่เมื่อหญิงสาวถูกดุ ใบหน้าใสที่ออดอ้อนก็เปลี่ยนสีในทันที ผู้เป็นป้าเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วก็อดใจอ่อนไม่ได้ เพราะถึงจะไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ แต่แซนด์ก็เป็นหลานรักที่ตั้งใจเรียนขยันขันแข็งช่วยงานการอย่างสม่ำเสมอ
“งั้นเอาแกงส้มชะอมไปกินก็ได้ แต่ต้องช่วยป้าตั้งร้านก่อนนะ” หลังจากได้ยินเรื่องของกินเข้าหู หญิงสาวหน้ามุ้ยก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นเบิกบานในทันที คนที่เคยเดินง่วงหาวก็ดูจะตื่นตัวเต็มที่เมื่อพูดถึงของกิน
เมื่อตะวันเริ่มทอแสงสีทอง แผ่ไออุ่นยามมายังพื้นโลก ไก่แจ้ที่ข้างบ้านเลี้ยงไว้เริ่มร้องขันอย่างขันแข็ง ปลุกให้คนในชุมชนขนาดเล็กตื่นขึ้นมาทำมาหากิน ก็เป็นเวลาเดียวกันที่แซนด์ซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษาเตรียมตัวออกจากบ้านพอดี
“ป้าจ๋า แซนด์ไปเรียนแล้วนะ” หญิงสาวพูดเสียงหวาน แล้วกอดหุ่นอวบๆของป้าผู้เป็นที่รักเบาๆ
“เออๆ โชคดีตั้งใจเรียน”
“ป้าก็ขายของระวังฟืนไฟ น้ำร้อนด้วยนะ” เด็กสาวพูดแล้วหอมแก้มป้าซ้ายขวา
“เออๆ รู้แล้ว พูดอยู่ทุกวี่ทุกวัน”
“ก็เป็นห่วงอ่า ไปแล้วนะคะ” หลังจากที่ออดอ้อนป้าเป็นพิธี หญิงสาวที่อยู่ในชุดนักศึกษาก็ออกเดินทางไปเรียนเหมือนเช่นทุกวัน
โดยปกติแล้วเธอจะต้องโดยสารเรือเพื่อขึ้นท่าน้ำที่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เธอเรียนอยู่ และแซนด์ก็มักจะได้ขึ้นเรือเป็นคนแรกๆอยู่เสมอ และจากป้ายเรือที่เธอขึ้นนั้นก็มักจะมีแค่ไม่กี่คนที่โดยสารไปด้วย ซึ่งบางวันเช่นวันนี้ก็ไม่มีใครนอกจากเธอ และมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่เธอจะเป็นผู้โดยสารเฟิร์สคลาสล่องเรือด่วนเจ้าพระยาอย่างสงบเพียงลำพัง
แต่สิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้น ในขณะเรือแล่นไปตามลำน้ำเจ้าพระยา ก็เกิดเมฆฝนครึ้มก่อตัวหนา หญิงสาวมองกลุ่มเมฆก้อนหนาที่ลอยตัวต่ำสีดำครึ้มอย่างอ่อนใจ เพราะเธอดันไม่ได้พกร่มมาเสียได้ ถ้าฝนตกลงมาก็คงได้ตัวเปียกเข้าไปนั่งหนาวสั่นในห้องบรรยายที่แอร์เย็นเฉียบแน่ๆ ซ้ำร้ายคงจะต้องเป็นหวัดกลับมานอนซมให้ปวดหัว คิดแล้วก็อดจะภาวนาในใจขอให้เมฆฝนเคลื่อนตัวไปไกลๆไม่ได้
หลังจากที่ละความสนใจจากสภาพอากาศที่แม้จะภาวนาของเทวดาบนฟ้าให้เป่าไล่เมฆษฝนออกไป แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แซนด์จึงกลับมาสนใจใจกระเป๋าผ้าสะพายข้างใบใหญ่ของตัวเอง ที่นอกจากจะใส่หนังสือ ก็ยังมีกล่องข้าวเล็กๆที่มีมาม่าผัด ไก่ทอด กับแกงส้มชะอมทอดสูตรเด็ดของป้าติดมา ด้วย หญิงสาวมองอาหารที่ในกล่องเล็กด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ แม้ว่าเธอจะต้องแบ่งกินสองมื้อ และมันดูเหมือนจะน้อยไปสำหรับกล่องข้าวใบกระจิ๋ว แต่เธอก็มีความสุข เมื่อนึกถึงใบหน้าของคนทำอาหารในกล่องให้เธอ เธอยิ้มกับตัวเองอยู่พักใหญ่
หลังจากละสายตากล่องข้าว หญิงสาวก็ฆ่าเวลาด้วยการหยิบเอกสารที่ใช้เรียนขึ้นมาอ่าน แต่เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อลำเรือปะทะเข้ากับคลื่นน้ำลูกใหญ่เข้าอย่างจัง ทำให้เรือโคลงเคลงไปมา หญิงสาวที่ตั้งท่าจะอ่านเอกสารก็ตกใจรีบเก็บทุกอย่างเอาไว้ในเป๋าแล้วรีบหา ที่ยึดเกาะ แต่เพราะเธอมั่วง่วนกับการเก็บข้าวของ นั้นจึงเป็นเหตุให้เธอไม่สามารถคว้าอะไรไว้ได้ เธอล้มลงบนพื้นเรือที่โคลงเคลงไปมาอย่างหน้าเวียนหวั เรือลำน้อยถูกเหวี่ยงไปมาราวเป็นของเล่นด้วยแรงของคลื่นน้ำที่โหดร้าย แม้หญิงสาวจะพยามลุกกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล เธอล้มแล้วล้มอีกทุกครั้งด้วยสภาพพื้นเรือที่ไม่มั่นคง ร่างของเธอถูกเหวี่ยงซ้ายที ขวาที กระแทกกับและที่นั่งพลาสติก ตามแรงของคลื่นน้ำที่ประทะลำเรือ จนในที่สุดร่างของเธอก็ถูกคลื่นน้ำซัดกระเด็นออกจากลำเรือ ตกลงสู่เวิ้งน้ำที่เกรี้ยวกราดในที่สุด
แม้แซนด์พยามจะใช้ความรู้เรื่องการว่ายน้ำที่เคยเรียนเมื่อตอนประถมมาประครองชีวิตของเธอเอาไว้ แต่มันกลับไม่ได้ผล เพราะคลื่นน้ำก็คอยเอาแต่จะโถมซัดให้เธอจมลงในแม่น้ำ หญิงสาวที่ว่ายน้ำไม่แข็งก็ได้แต่ดำผุดดำว่าย หวังจะตะกายขอความช่วยเหลือ แต่ทุกครั้งที่เธออ้าปากหมายจะร้องขอความช่วยเหลือ คลื่นน้ำก็เข้าปากจนทำให้ต้องกลืนน้ำเข้าไปไม่รู้กี่ลิตร และแม้เธอจะพยามอย่างหนักเพื่อที่จะว่ายน้ำเข้าฝั่งที่ดูห่างไกลท่ามกลางกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว แต่สุดท้ายร่างกายของเธอก็อ่อนล้าและหมดแรง
แม้ว่าสมองของเธอจะพยาม สั่งการให้ทุกส่วนในร่างกายนั้นเคลื่อนไหวเพื่อเอาชีวิตรอดมากแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจนึก นัยน์ตาสีน้ำตาลอย่างคนเอเชียที่แม้จะมองภาพเบื้องหน้าไม่ชัดด้วยความพร่าเลือนก็ยังพยามลืมตาแม้ว่ามันจะแสบเหลือแสน เธอพยามจ้องมองแสงสว่างเหนือผิวน้ำ พร้อมกับพยามถีบตัวขึ้นไป แต่คลื่นน้ำบ้าระห่ำกลับไม่ปราณีเธอ มันฉุดรั้งร่างของหญิงสาวให้จมลงใต้น้ำ เช่นเดียวกับเเสงสว่างเหนือผิวน้ำที่พล่าเลือนลงทุกที
‘ตอนนี้เราจะต้องตายจริงๆใช่ไหม?’
สติริบหรี่บอกตัวเองพร้อมกับแสงสว่างบนผิวน้ำที่ค่อยๆคลายเป็นสีดำสนิท แม้น้ำตาจะไม่ได้ไหลออกมา แต่หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงความเศร้าอย่างบอกไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าความแน่นเจ็บที่หน้าออกนี้มันคือความรู้สึกเศร้าเสียใจที่ต้องตายไปก่อนเวลาที่คิดไว้ หรือเป็นเพราะแรงดันน้ำที่กำลังบีบรัดตัวเธอกันแน่ แม้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของเธอจะพยามเบิกกว้างมองหาแสดงสว่างที่หริบหรี่ แต่สิ่งที่เธอมองเห็นมีเพียงสีดำสนิท ราวกับอยู่ในห้องมืดที่เงียบเหงาและเย็นเฉียบ
ภาพความทรงจำมากมายค่อยๆไหลย้อนกลับมาเข้ามาในหัวตั้งแต่วันที่เธอยังอยู่กับพ่อและแม่ในบ้านที่แสนอบอุ่น และลูกสุนัขตัวเล็กหนึ่งตัว ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นครอบครัวที่มีความสุข ฉากภาพแห่งความสุขถูกตัดลงด้วยแสงสีขาววาบ และฉายภาพแห่งความทุกข์ระทมที่สุดในชีวิตของเธอ หญิงสาวในวัยเด็กและครอบครัวอยู่ภายในรถบ้าน ที่มีคุณพ่อผู้แสนใจดีเป็นคนขับ รถเคลื่อนที่ไปตามถนนลาดยางอย่างมั่นคง แต่ก็เกิดเครื่องไม่คาดคิดถึงเมื่อมีรถบรรทุกขับสวนมาอย่างไร้ทิศทาง ทำให้พ่อของเธอต้องหักหลบจนไปชนกับต้นไม้ริมทางอย่างจัง แทบทุกคนในรถบ้านนั้นเสียชีวิตเว้นเสียแต่เด็กสาวตัวเล็กที่บาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเธอจะรอดชีวิต แต่เธอก็กลายเป็นเด็กกำพร้าที่โชคร้าย
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดีที่มีญาติห่างๆของพ่อที่เธอเรียกว่าป้า มาเลี้ยงดูเธอพร้อมกับลูกๆของป้า แม้ว่าชีวิตของเธอจะไม่ได้สนุกสนานและสะดวกสบายเหมือนแต่ก่อน เพราะเธอต้องทำงานหนักเสียแต่เด็กเพื่อช่วยให้ป้ามีเงินมาพอที่จะส่งเสียให้ เธอและลูกของป้าได้เรียนหนังสือ ภาพหนังชีวิตเล่นเรื่อยจนกระทั้งทุกอย่างมืดดับลง เธอไม่ได้เห็น เธอไม่ได้ยิน เธอไม่รู้สึกอะไร ทุกอย่างเป็นสีดำและสงบที่สุดเท่าที่ชีวิตมนุษย์จะเคยสัมผัส
“มีคนติดมาในอวน!!!” น้ำเสียงแตกตื่นของชาวประมงคนหนึ่งดังขึ้นที่ท่าเรือ เมื่ออวนที่เขาใช้จับปลามีสิ่งไม่พึงประสงค์ติดมาด้วย ซึ่งนั้นก็คือร่างของหญิงสาวที่อยู่ในชุดนักศึกษา เสื้อเชิ้ตสีขาว กับกระโปรงยาวอัดกลีบสีดำ ชาวบ้านที่ได้ยินเสียงร้องของชาวประมงคนดังกล่าว ก็แห่กันเข้ามาดู
“จะ มายืนบื้อทำไม ไปตามหมอสิโว้ย” เสียงดูมีอายุของชายแก่ดังขึ้นจากในกลุ่มไทมุง จึงทำให้มีชาวบ้านบางส่วนสลายตัวออกไปจากกลุ่มผู้อยากรู้อยากเห็น ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาไปขอความช่วยเหลือ หรือแค่จากไปทำธุระของตัวเองกันแน่
ในขณะที่ชาวบ้านกำลังวิพากย์ วิจารณ์หญิงสาวที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น ซึ่งสวมเสื้อที่ดูแล้วแปลกประหลาดไม่เข้ากับคนในพื้นที่ ก็มีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม ซึ่งมีเอกลักษณ์เป็นใบหน้าและรอยยิ้มที่อบอุ่น ควบม้าเยาะๆมาทางท่าเรือ หนุ่มร่างสูงที่แต่งดูดีมีฐานะมองไปยังกลุ่มฝูงชนที่กำลังมุงอะไรสักอย่าง ด้วยความสงสัยจึงควบม้าไปดู และด้วยความที่เขาอยู่บนหลังม้า ทำให้เขามองเห็นสิ่งที่ขาวบ้านกำลังมุงกันได้โดยไม่ตรงแทรกเบียดตัวเข้าไป
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรครับ” เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ พร้อมกับจับจ้องสำรวจไปที่เธอ เสื้อผ้าอาภรณ์ที่ดูแปลกประหลาดดูไม่เหมือนที่นี่ อีกทั้งเธอยังมาทางน้ำซึ่งสอดคล้องกับในหนังสือที่เขาเคยอ่านเจอ
“ผมเพิ่งกลับจากไปจับปลา ตอนลากอวนขึ้นมาบนเรือก็ไม่เห็นจะมีผู้หญิงติดมาด้วย แต่พอจะลากอวนจากเรือขึ้นบนก็มีเธอติดขึ้นมา ท่านช่วยเธอได้หรือเปล่า หรือเธอตายแล้ว” ชาวประมงอธิบายอย่างรีบร้อน ก่อนจะถามไถ่อย่างเป็นห่วง
“แน่นอนเธอตายแล้ว เหมือนที่พวกเราทุกคนตายแล้ว ถ้ายังไม่ตายก็คงไม่ได้มาอยู่ที่โดโรเรสกันใช่ไหมละ” ชายหนุ่มว่าพลางกระโดดลงจากหลังม้า “ส่วนหญิงสาวคนนี้เดี๋ยวผมจะดูแลเอง ผมเป็นหมอหลวง ที่บังเอิญจะมาหาซื้อปลาไปจัดงานเลี้ยงฉลอง” ชายหนุ่มพูดติดตลก พร้อมกับใช้กำลังชายชาตรีอุ้มหญิงสาวที่ยังสลบสไลขึ้นไปบนหลังม้า แน่นอน พร้อมกับถุงผ้าของเธอที่ชาวประมงวิ่งตามเอามาให้ทีหลังด้วย
ชายหนุ่มรูปร่างสง่าเดินจูงมาที่บรรทุกร่างแน่นิ่งของหญิงสาวเดินอย่างไม่ ได้รีบร้อนนัก ออกจากท่าเรือขึ้นไปทางทิศเหนือของหมู่บ้านชาวประมง ไปยังรถม้าที่จอดอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ เขาเคาะประรถม้าที่ดูกลางเก่ากลางใหม่สองสามทีก่อนที่จะเปิดประตูออกแล้ว ค้อมศีรษะลงทำความเคารพผู้โดยสารในนั้น
“ผมพบเธอแล้วครับท่านเชสเตอร์ สตรีต้องสงสัยว่าจะเป็นแอมเชล” ชายหนุ่มพูดอุ้มร่างสลบสไลของหญิงสาวเข้าไปในรถม้า
ผู้โดยสารภายในรถม้าพิจารณาร่างสลบไสลอยู่นาน ถึงแม้จะนึกในใจว่านางดูผิดจากที่นึกเอาไว้ นางไม่ได้มีใบหน้าที่งดงามหยดย้อยชวนให้ต้องตาต้องใจ ไม่ได้มีเรือนรางสวยงามตามสัดส่วนเว้าโค้งที่สตรีพึงมี นางไม่ได้มีผิวพรรณที่ดูงดงามเปล่งปลั่งกระจ่ายใส นางไม่มีอะไรโดดเด่น ดูเผินๆเป็นเพียงแค่สตรีสาวพื้นๆทั่วไป
“ขอบใจมาเซนวิก… ถึงนางจะดูอ้วนเกินไปสำหรับนางฟ้า แต่ถ้านางเป็นแอมเชลจริงข้าจะได้พ้นคำสาปนี้สักที”
-------------------
จบตอนที่ 1 ;_; อ้วนเกินไปสำหรับนางฟ้า โถ๊ะ!!
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ