30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  19.84K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

13) บทที่ 12 เดท(ครึ่งแรก)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่ 12
เดท(ครึ่งแรก)
 
                   ปึง ๆ !
                   อะไรบางอย่างพยายามจะออกมาจากตู้ล็อกเกอร์  มันกระทุ้งบานประตูโลหะอย่างบ้าคลั่ง ผมเองก็ยิ่งหดขาถอยชิดติดประตูด้วยความหวาดกลัว   
                  
                   ปึง ๆ !!
 
                   เสียงตึงตังยังคงดัง ซ้ำยิ่งทวีคูณความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้แต่ภาวนาว่าข้างในคงไม่ใช่..ผี โอ้ย ไม่อยากคิดเลยมืดแบบนี้ผีแน่ ๆ!
 
                   ปัง!
 
                   บานล็อกเกอร์เปิดออกพร้อมกับร่างเจ้าหนูตัวเกือบเท่าแมววิ่งกรูกันออกมา 2-3 ตัว  ผมยกมือทาบอกถอนหายใจอย่างโล่งอก  ชะเง้อดูห่าง ๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรออกมาจังหวะเดียวกันกำไลสีทองก็กลิ้งออกมาจากตู้ มันกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าผม
                   ผมก้มลงเก็บและขณะที่เงยหน้าขึ้นผมก็เห็นชายผ้าถุงจับจีบปักดิ้นทอง  หัวสมองผมมันขาวโพลนพยายามนึกย้ำว่าในห้องมีแต่เรา แล้วคนที่ใส่ผ้าถุงอย่างกับนางรำคนนี้เป็นใคร
                   “ฮืด..ฮา..”
                   รู้สึกหายใจไม่ทัน ไม่สิจังหวะหายใจมันแปรปรวนไปหมดแล้ว  ผมไม่กล้ามองเลยขึ้นไปอีกฝ่ายจึงค่อยก้มลงมาและนั่นก็ทำให้ผมว้ากลั่นห้อง
                   “อ๊าก! ออกไปอย่ามายุ่งกับผม! อ๊ากกก! ”
 
                   ปึง ๆ !
 
                   “ยู! ฉันมาแล้ว! ได้ยินไหมยู!”
                   เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้ผมตาลุกวาว   กว่าจะมาแม่งผมจะบ้าอยู่แล้ว  ผมรีบทุบประตูตะโกนเรียกธันไม่นานคนข้างนอกก็เปิดประตูออกให้ผม
                   “ไอ้ธัน!”
                   ผมโผล่กอดร่างสูงกว่าไว้แน่น  ผมขย้ำแผ่นหลังคนตรงหน้าราวกับกลัวว่าคนข้างหน้าจะเป็นเพียงภาพจิตนการของผมก็เท่านั้น
                   “ไม่เป็นไรแล้วนะยู! ใจเย็น ๆ นะ”
                   มันพูดพลางลูบหัวผม  ผมดันตัวออกมองใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อมันคงรีบมากเหงื่อนี่ซกไปทั่วแผ่นหลังมันเลย
                   “ไม่เป็นไรแล้ว... ทำไมมาช้าแบบนี้ห๊ะ!”
                   ผมบ่นพร้อมจับตัวมันเขย่า  ผมจะสติแตกตายอยู่แล้ว
                   “ขอโทษ”
                   “ไม่ต้องขอโทษหรอกฉันก็บ่นไปงั้นแหละ ว่าแต่แกเห็น...ผู้หญิงใส่ชุดนางรำในห้องไหม”
                   กำไลในมือผมหายไปไหน  ไม่ใช่ว่าทำหายหรอกนะ  ถ้าผีมาหักคอผมๆจะทำยังไงเนี่ย!
                   “อ่า เห็นแต่หุ่นโชว์ที่ใส่ชุดนางรำ”
                   จริงดิ  ผมลองหันหลังชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องก็เห็นหุ่นตั้งอยู่ข้างประตู  ผมชนลุกซู่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
                   “เฮ้ย!”
                   ไอ้ธันผลักตัวผมไปข้างหน้าก่อนดึงตัวผมกลับ  ผมแทบหัวใจวายเพราะเกือบจะชนหุ่น เดี๋ยวแม่นางเอานิ้วจิ้มตาผมจะทำยังไงล่ะทีนี้!
                   “เล่นเชี่ยไรเนี่ย!”
                   ผมด่าพร้อมยกเท้าถีบมัน มันอมยิ้มลากขาผมเข้าไปแนบลำตัวกลายเป็นว่าตอนนี้ท่อนล่างผมกับมันกำลังเบียดชิดกันอยู่  หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาเฉย ๆ อีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสตอนผมชะงักโน้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่
                   “มึง! มึง ๆๆ” ชี้หน้ามันแล้วด่า แต่นึกคำด่าไม่ออก
                   “วันอาทิตย์หน้าเราไปเดทกันนะ”
                   วันอาทิตย์หน้าโน่นหรอ มันตรงกับวัน...สิ้นเดือนไม่ใช่หรอ  ผมจ้องหน้ามันเล็กน้อย  แววตามันดูอ่านยากจนผมไม่กล้าเดาว่ามันกำลังนึกสนุก  ซึมเศร้า หรือคาดหวัง มันคงไม่เศร้าหรอก ขาดผมไปออกซิเจนในโลกก็ยังเหลือพอให้มันหายใจอยู่แล้ว
                   “ถ้าไม่ไปล่ะ”
                   “ยูไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
                   “เผด็จการ!”
                   เดทกับผู้ชายเนี่ยนะ มันต้องทำยังไงวะเนี่ย
 
 
                   ตลอดสัปดาห์นี้ผมยังโดนแกล้งไม่หยุดหย่อนแต่เบาลงกว่าเดิมเยอะ คงเพราะกลัวลูกหลงจะมาหล่นใส่ไอ้ธันด้วยล่ะมั้ง  ตอนนี้ไอ้ธันถือเป็นยันต์กันภัยประจำตัวผมเลย
                   “งานวัดมันเริ่มทุ่มนึงไม่ใช่หรอ”
                   ถามคนที่เดินเคียงกัน  มันขยับยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำหน้าผมไป
                   “ใครบอกว่าฉันจะพายูมาเดทที่งานวัด หืม?”
                   ในวัดมันมีที่ ๆ สุนทรีย์กว่านี้หรอ ให้ฟังเทศน์ฟังธรรมหรือไง  แค่ลอดซุ้มประตูวัดเข้ามาได้โดยไม่แสบไม่คันก็บุญแล้ว ให้ไปนั่งหน้าพระโดนน้ำมนต์สาดผมวิญญาณแตกสลายกันพอดี
                   “เฮ้ย....อย่าบอกนะว่า..”
                   มองต้นไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่  สายสิญจน์สีขาวที่ผ่านแดดผ่าฝนมาแรมปีกร่อนขาด บ้างก็เป็นสีเทาขุ่น  บนพื้นมีเศษกระจกสีที่หลุดร่อนออกจากที่บรรจุอัฐิ คาดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่เก่าพอสมควรและไม่ค่อยมีใครเข้ามาถึง  ในตอนนี้มีเพียงผมกับธันที่เดินเข้ามา
                   “พระอาทิตย์จะตกแล้วนะเว้ย..”
                   ไม่กล้าพูดดังกลัวคน (?) ที่นี่จะตื่น  ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงแต่แสงรำไรที่ฉายอยู่บนฟ้า  อากาศก็ดูเหมือนจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเดินเข้ามาลึก ๆ ยิ่งเย็นตัดขั้วหัวใจผมเลย
                   “เลือกที่ได้โรแมนติคชิบหายเลย กลับดีกว่า”
                   “เดี๋ยวสิ”
                   มันดึงแขนผม ผมขืนตัวสุดฤทธิ์มองมันตาขวาง  ก็รู้ว่ากลัวผีก็ยังจะพามา  ยิ่งผมทำหน้าบึ้งมันก็ออกแรงฉุดเต็มที่  ขาผมเกือบเตะกระถางธูปจึงจำใจต้องเดินตามมันไปบนทางเดินแคบ ๆ
                   “ฉันอยากให้ยูมาเจอใครคนหนึ่ง”
                   “คนจริงหรือเปล่า...”
                   เดินมายังไม่เจอคนเลย ผีด้วยแต่ไม่อยากเจอหรอกนะครับ!
                   “...ผีแล้วกัน”
                   ไม่! ผมอ้าปากร้องแต่เสียงไม่ออก  มันพาผมเดินมาหยุดอยู่หน้าที่เก็บกระดูกที่มีรูปผู้ชายหน้าตาคล้ายคลึงมันอย่างกับฝาแฝด  ผมแอบถอยเท้ามองรูปกับหน้ามันสลับกันไปมา
                   ...ไม่ใช่แจ็คพ็อตว่ามันตายตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนะ!!...
                   “ผมพายูมาไหว้พ่อครับ”
                   “พ่อหรอ?”
                   “ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าเป็นฉันหรือไง”
                   “บ้า! ไม่ได้คิดแบบนั้น...” ซะที่ไหน อย่าให้พ่อแกมาหักคอฉันนะเว้ย
                   “ฉันอยากพายูมาพบพ่อนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส”
                   “ทำอย่างกับพาภรรยามาแนะนำตัวกับคุณพ่อเลย”
                   “อือ เดี๋ยวฉันจะให้พ่อไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอยูแล้วกัน”
                   “อย่าๆ! อย่าลำบากพ่อแกเลย ให้เขานอนสงบ ๆเถอะ”
                   ถึงเป็นกระดูกแล้วผมก็กลัวจะออกมาทักทายผมจริง ๆ ไม่เอานะครับผมกลัวผี
                   “ยูฉันมีเรื่องอยากจะบอกยู..คือฉันชะ...”
                   “ยุงกัด!”
                   ผมฟาดมือลงประหารเจ้ายุงตัวดี เผลอทำบาปในวัดจะโดนปรับไหมเนี่ย  ว่าแต่เมื่อครู่ธันมันพูดอะไรนะ
                   “แกพูดอะไรนะ?”
                   มันยิ้มพลางส่ายหัว  หันไปจุดธุปยื่นให้ผมแทน  ผมลอบมองใบหน้ามัน  ดวงตามันดูหงอยเหงาผมว่ามันคงคิดถึงพ่อมันมาก พ่อใครใครก็รักเนอะ  ผมเองยังคิดถึงพ่อเลยแต่พ่อทำงานอยู่ต่างจังหวะนาน ๆ กลับมาที  ส่วนมัน... พอมันคงกลับมาไม่ได้แล้ว
                   “ไปกันเถอะ”
                   ผมยื่นมือไปแตะแขนเรียกมัน  ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยผมว่ามันต้องร้องไห้แน่เลย  มันหันมายิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขยี้หัวผมเบา ๆ
                   ก็ไม่ได้รำคาญหรอกนะ.... แต่กูเสร็จผมมาสองชั่วโมงดันมาบ่นปี้เอาภายในสองวินาทีเนี่ยนะ เวรกรรมจริง ๆ
                   “ไปเดินงานวัดกันเถอะ”
                   “ไปดิรออะไร วันนี้จะกินให้เรียบต้องแต่ร้านแรกยันร้านสุดท้ายเลย!”
                   “ได้ ฉันเลี้ยงเอง”
                   “แหม่ พ่อบุญทุ่ม อย่ามาร้องโหยหวนตอนกระเป๋าฉีกล่ะ”
                   “ขอแค่อยู่วันนี้ได้อยู่กับยูนาน ๆ ก็พอ”
                   มันคว้าแขนผมพร้อมกับเอ่ยออกมา  ดวงตาดวงเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมจนผมรู้สึกประหม่าจนต้องหลบตาและเฉไฉพูดกลบเกลื่อน ทำไมมันรู้สึกหวิว ๆ วะแค่มองตาเองนะเว้ย!
                   “เอ่อ... ใช่ ก่อนไหว้พ่อแก แกจะพูดอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ได้ฟังจริงๆหว่ะ”
                   “ความลับ”
                   “งั้นกลับ!”
                   “เดี๋ยว ๆ โอเคบอกก็ได้”
                   “ว่า?”
                   มันโบกมือเรียกให้ผมเอียงหูไปหา 
                   “...ฉันเห็นใครไม่รู้ยืนจับไหล่ยูน่ะ”
                   เฮ้ย....จริงดิ  ผมเบะปากทำหน้าเหมือนกลืนมะระ พอกระซิบบอกผมเสร็จแล้วมันก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ผมเลยรีบวิ่งออกจากสุสานทันที  ใครจะไปอยู่ต่อกันเล่า!
                   “รอกูด้วยไอ้ธัน~ !”
 
 
++++++++++++++++++++
เน็ตที่บ้านล่มค่ะ กลับมาใช้ได้ดีใจมากกก
หวังว่าจะไม่หายไปอีกนะ ขออภัยที่ลงช้านะคะ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา