30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย
10.0
เขียนโดย enzang2660
วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.
16 บท
3 วิจารณ์
19.84K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย
13) บทที่ 12 เดท(ครึ่งแรก)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 12
เดท(ครึ่งแรก)
ปึง ๆ !
อะไรบางอย่างพยายามจะออกมาจากตู้ล็อกเกอร์ มันกระทุ้งบานประตูโลหะอย่างบ้าคลั่ง ผมเองก็ยิ่งหดขาถอยชิดติดประตูด้วยความหวาดกลัว
ปึง ๆ !!
เสียงตึงตังยังคงดัง ซ้ำยิ่งทวีคูณความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้แต่ภาวนาว่าข้างในคงไม่ใช่..ผี โอ้ย ไม่อยากคิดเลยมืดแบบนี้ผีแน่ ๆ!
ปัง!
บานล็อกเกอร์เปิดออกพร้อมกับร่างเจ้าหนูตัวเกือบเท่าแมววิ่งกรูกันออกมา 2-3 ตัว ผมยกมือทาบอกถอนหายใจอย่างโล่งอก ชะเง้อดูห่าง ๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรออกมาจังหวะเดียวกันกำไลสีทองก็กลิ้งออกมาจากตู้ มันกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าผม
ผมก้มลงเก็บและขณะที่เงยหน้าขึ้นผมก็เห็นชายผ้าถุงจับจีบปักดิ้นทอง หัวสมองผมมันขาวโพลนพยายามนึกย้ำว่าในห้องมีแต่เรา แล้วคนที่ใส่ผ้าถุงอย่างกับนางรำคนนี้เป็นใคร
“ฮืด..ฮา..”
รู้สึกหายใจไม่ทัน ไม่สิจังหวะหายใจมันแปรปรวนไปหมดแล้ว ผมไม่กล้ามองเลยขึ้นไปอีกฝ่ายจึงค่อยก้มลงมาและนั่นก็ทำให้ผมว้ากลั่นห้อง
“อ๊าก! ออกไปอย่ามายุ่งกับผม! อ๊ากกก! ”
ปึง ๆ !
“ยู! ฉันมาแล้ว! ได้ยินไหมยู!”
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้ผมตาลุกวาว กว่าจะมาแม่งผมจะบ้าอยู่แล้ว ผมรีบทุบประตูตะโกนเรียกธันไม่นานคนข้างนอกก็เปิดประตูออกให้ผม
“ไอ้ธัน!”
ผมโผล่กอดร่างสูงกว่าไว้แน่น ผมขย้ำแผ่นหลังคนตรงหน้าราวกับกลัวว่าคนข้างหน้าจะเป็นเพียงภาพจิตนการของผมก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไรแล้วนะยู! ใจเย็น ๆ นะ”
มันพูดพลางลูบหัวผม ผมดันตัวออกมองใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อมันคงรีบมากเหงื่อนี่ซกไปทั่วแผ่นหลังมันเลย
“ไม่เป็นไรแล้ว... ทำไมมาช้าแบบนี้ห๊ะ!”
ผมบ่นพร้อมจับตัวมันเขย่า ผมจะสติแตกตายอยู่แล้ว
“ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกฉันก็บ่นไปงั้นแหละ ว่าแต่แกเห็น...ผู้หญิงใส่ชุดนางรำในห้องไหม”
กำไลในมือผมหายไปไหน ไม่ใช่ว่าทำหายหรอกนะ ถ้าผีมาหักคอผมๆจะทำยังไงเนี่ย!
“อ่า เห็นแต่หุ่นโชว์ที่ใส่ชุดนางรำ”
จริงดิ ผมลองหันหลังชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องก็เห็นหุ่นตั้งอยู่ข้างประตู ผมชนลุกซู่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“เฮ้ย!”
ไอ้ธันผลักตัวผมไปข้างหน้าก่อนดึงตัวผมกลับ ผมแทบหัวใจวายเพราะเกือบจะชนหุ่น เดี๋ยวแม่นางเอานิ้วจิ้มตาผมจะทำยังไงล่ะทีนี้!
“เล่นเชี่ยไรเนี่ย!”
ผมด่าพร้อมยกเท้าถีบมัน มันอมยิ้มลากขาผมเข้าไปแนบลำตัวกลายเป็นว่าตอนนี้ท่อนล่างผมกับมันกำลังเบียดชิดกันอยู่ หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาเฉย ๆ อีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสตอนผมชะงักโน้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“มึง! มึง ๆๆ” ชี้หน้ามันแล้วด่า แต่นึกคำด่าไม่ออก
“วันอาทิตย์หน้าเราไปเดทกันนะ”
วันอาทิตย์หน้าโน่นหรอ มันตรงกับวัน...สิ้นเดือนไม่ใช่หรอ ผมจ้องหน้ามันเล็กน้อย แววตามันดูอ่านยากจนผมไม่กล้าเดาว่ามันกำลังนึกสนุก ซึมเศร้า หรือคาดหวัง มันคงไม่เศร้าหรอก ขาดผมไปออกซิเจนในโลกก็ยังเหลือพอให้มันหายใจอยู่แล้ว
“ถ้าไม่ไปล่ะ”
“ยูไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
“เผด็จการ!”
เดทกับผู้ชายเนี่ยนะ มันต้องทำยังไงวะเนี่ย
ตลอดสัปดาห์นี้ผมยังโดนแกล้งไม่หยุดหย่อนแต่เบาลงกว่าเดิมเยอะ คงเพราะกลัวลูกหลงจะมาหล่นใส่ไอ้ธันด้วยล่ะมั้ง ตอนนี้ไอ้ธันถือเป็นยันต์กันภัยประจำตัวผมเลย
“งานวัดมันเริ่มทุ่มนึงไม่ใช่หรอ”
ถามคนที่เดินเคียงกัน มันขยับยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำหน้าผมไป
“ใครบอกว่าฉันจะพายูมาเดทที่งานวัด หืม?”
ในวัดมันมีที่ ๆ สุนทรีย์กว่านี้หรอ ให้ฟังเทศน์ฟังธรรมหรือไง แค่ลอดซุ้มประตูวัดเข้ามาได้โดยไม่แสบไม่คันก็บุญแล้ว ให้ไปนั่งหน้าพระโดนน้ำมนต์สาดผมวิญญาณแตกสลายกันพอดี
“เฮ้ย....อย่าบอกนะว่า..”
มองต้นไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ สายสิญจน์สีขาวที่ผ่านแดดผ่าฝนมาแรมปีกร่อนขาด บ้างก็เป็นสีเทาขุ่น บนพื้นมีเศษกระจกสีที่หลุดร่อนออกจากที่บรรจุอัฐิ คาดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่เก่าพอสมควรและไม่ค่อยมีใครเข้ามาถึง ในตอนนี้มีเพียงผมกับธันที่เดินเข้ามา
“พระอาทิตย์จะตกแล้วนะเว้ย..”
ไม่กล้าพูดดังกลัวคน (?) ที่นี่จะตื่น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงแต่แสงรำไรที่ฉายอยู่บนฟ้า อากาศก็ดูเหมือนจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเดินเข้ามาลึก ๆ ยิ่งเย็นตัดขั้วหัวใจผมเลย
“เลือกที่ได้โรแมนติคชิบหายเลย กลับดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ”
มันดึงแขนผม ผมขืนตัวสุดฤทธิ์มองมันตาขวาง ก็รู้ว่ากลัวผีก็ยังจะพามา ยิ่งผมทำหน้าบึ้งมันก็ออกแรงฉุดเต็มที่ ขาผมเกือบเตะกระถางธูปจึงจำใจต้องเดินตามมันไปบนทางเดินแคบ ๆ
“ฉันอยากให้ยูมาเจอใครคนหนึ่ง”
“คนจริงหรือเปล่า...”
เดินมายังไม่เจอคนเลย ผีด้วยแต่ไม่อยากเจอหรอกนะครับ!
“...ผีแล้วกัน”
ไม่! ผมอ้าปากร้องแต่เสียงไม่ออก มันพาผมเดินมาหยุดอยู่หน้าที่เก็บกระดูกที่มีรูปผู้ชายหน้าตาคล้ายคลึงมันอย่างกับฝาแฝด ผมแอบถอยเท้ามองรูปกับหน้ามันสลับกันไปมา
...ไม่ใช่แจ็คพ็อตว่ามันตายตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนะ!!...
“ผมพายูมาไหว้พ่อครับ”
“พ่อหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าเป็นฉันหรือไง”
“บ้า! ไม่ได้คิดแบบนั้น...” ซะที่ไหน อย่าให้พ่อแกมาหักคอฉันนะเว้ย
“ฉันอยากพายูมาพบพ่อนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส”
“ทำอย่างกับพาภรรยามาแนะนำตัวกับคุณพ่อเลย”
“อือ เดี๋ยวฉันจะให้พ่อไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอยูแล้วกัน”
“อย่าๆ! อย่าลำบากพ่อแกเลย ให้เขานอนสงบ ๆเถอะ”
ถึงเป็นกระดูกแล้วผมก็กลัวจะออกมาทักทายผมจริง ๆ ไม่เอานะครับผมกลัวผี
“ยูฉันมีเรื่องอยากจะบอกยู..คือฉันชะ...”
“ยุงกัด!”
ผมฟาดมือลงประหารเจ้ายุงตัวดี เผลอทำบาปในวัดจะโดนปรับไหมเนี่ย ว่าแต่เมื่อครู่ธันมันพูดอะไรนะ
“แกพูดอะไรนะ?”
มันยิ้มพลางส่ายหัว หันไปจุดธุปยื่นให้ผมแทน ผมลอบมองใบหน้ามัน ดวงตามันดูหงอยเหงาผมว่ามันคงคิดถึงพ่อมันมาก พ่อใครใครก็รักเนอะ ผมเองยังคิดถึงพ่อเลยแต่พ่อทำงานอยู่ต่างจังหวะนาน ๆ กลับมาที ส่วนมัน... พอมันคงกลับมาไม่ได้แล้ว
“ไปกันเถอะ”
ผมยื่นมือไปแตะแขนเรียกมัน ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยผมว่ามันต้องร้องไห้แน่เลย มันหันมายิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขยี้หัวผมเบา ๆ
ก็ไม่ได้รำคาญหรอกนะ.... แต่กูเสร็จผมมาสองชั่วโมงดันมาบ่นปี้เอาภายในสองวินาทีเนี่ยนะ เวรกรรมจริง ๆ
“ไปเดินงานวัดกันเถอะ”
“ไปดิรออะไร วันนี้จะกินให้เรียบต้องแต่ร้านแรกยันร้านสุดท้ายเลย!”
“ได้ ฉันเลี้ยงเอง”
“แหม่ พ่อบุญทุ่ม อย่ามาร้องโหยหวนตอนกระเป๋าฉีกล่ะ”
“ขอแค่อยู่วันนี้ได้อยู่กับยูนาน ๆ ก็พอ”
มันคว้าแขนผมพร้อมกับเอ่ยออกมา ดวงตาดวงเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมจนผมรู้สึกประหม่าจนต้องหลบตาและเฉไฉพูดกลบเกลื่อน ทำไมมันรู้สึกหวิว ๆ วะแค่มองตาเองนะเว้ย!
“เอ่อ... ใช่ ก่อนไหว้พ่อแก แกจะพูดอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ได้ฟังจริงๆหว่ะ”
“ความลับ”
“งั้นกลับ!”
“เดี๋ยว ๆ โอเคบอกก็ได้”
“ว่า?”
มันโบกมือเรียกให้ผมเอียงหูไปหา
“...ฉันเห็นใครไม่รู้ยืนจับไหล่ยูน่ะ”
เฮ้ย....จริงดิ ผมเบะปากทำหน้าเหมือนกลืนมะระ พอกระซิบบอกผมเสร็จแล้วมันก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ผมเลยรีบวิ่งออกจากสุสานทันที ใครจะไปอยู่ต่อกันเล่า!
“รอกูด้วยไอ้ธัน~ !”
++++++++++++++++++++
เน็ตที่บ้านล่มค่ะ กลับมาใช้ได้ดีใจมากกก
หวังว่าจะไม่หายไปอีกนะ ขออภัยที่ลงช้านะคะ
เดท(ครึ่งแรก)
ปึง ๆ !
อะไรบางอย่างพยายามจะออกมาจากตู้ล็อกเกอร์ มันกระทุ้งบานประตูโลหะอย่างบ้าคลั่ง ผมเองก็ยิ่งหดขาถอยชิดติดประตูด้วยความหวาดกลัว
ปึง ๆ !!
เสียงตึงตังยังคงดัง ซ้ำยิ่งทวีคูณความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ผมได้แต่ภาวนาว่าข้างในคงไม่ใช่..ผี โอ้ย ไม่อยากคิดเลยมืดแบบนี้ผีแน่ ๆ!
ปัง!
บานล็อกเกอร์เปิดออกพร้อมกับร่างเจ้าหนูตัวเกือบเท่าแมววิ่งกรูกันออกมา 2-3 ตัว ผมยกมือทาบอกถอนหายใจอย่างโล่งอก ชะเง้อดูห่าง ๆ ให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรออกมาจังหวะเดียวกันกำไลสีทองก็กลิ้งออกมาจากตู้ มันกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าผม
ผมก้มลงเก็บและขณะที่เงยหน้าขึ้นผมก็เห็นชายผ้าถุงจับจีบปักดิ้นทอง หัวสมองผมมันขาวโพลนพยายามนึกย้ำว่าในห้องมีแต่เรา แล้วคนที่ใส่ผ้าถุงอย่างกับนางรำคนนี้เป็นใคร
“ฮืด..ฮา..”
รู้สึกหายใจไม่ทัน ไม่สิจังหวะหายใจมันแปรปรวนไปหมดแล้ว ผมไม่กล้ามองเลยขึ้นไปอีกฝ่ายจึงค่อยก้มลงมาและนั่นก็ทำให้ผมว้ากลั่นห้อง
“อ๊าก! ออกไปอย่ามายุ่งกับผม! อ๊ากกก! ”
ปึง ๆ !
“ยู! ฉันมาแล้ว! ได้ยินไหมยู!”
เสียงตะโกนจากด้านนอกทำให้ผมตาลุกวาว กว่าจะมาแม่งผมจะบ้าอยู่แล้ว ผมรีบทุบประตูตะโกนเรียกธันไม่นานคนข้างนอกก็เปิดประตูออกให้ผม
“ไอ้ธัน!”
ผมโผล่กอดร่างสูงกว่าไว้แน่น ผมขย้ำแผ่นหลังคนตรงหน้าราวกับกลัวว่าคนข้างหน้าจะเป็นเพียงภาพจิตนการของผมก็เท่านั้น
“ไม่เป็นไรแล้วนะยู! ใจเย็น ๆ นะ”
มันพูดพลางลูบหัวผม ผมดันตัวออกมองใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อมันคงรีบมากเหงื่อนี่ซกไปทั่วแผ่นหลังมันเลย
“ไม่เป็นไรแล้ว... ทำไมมาช้าแบบนี้ห๊ะ!”
ผมบ่นพร้อมจับตัวมันเขย่า ผมจะสติแตกตายอยู่แล้ว
“ขอโทษ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกฉันก็บ่นไปงั้นแหละ ว่าแต่แกเห็น...ผู้หญิงใส่ชุดนางรำในห้องไหม”
กำไลในมือผมหายไปไหน ไม่ใช่ว่าทำหายหรอกนะ ถ้าผีมาหักคอผมๆจะทำยังไงเนี่ย!
“อ่า เห็นแต่หุ่นโชว์ที่ใส่ชุดนางรำ”
จริงดิ ผมลองหันหลังชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องก็เห็นหุ่นตั้งอยู่ข้างประตู ผมชนลุกซู่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
“เฮ้ย!”
ไอ้ธันผลักตัวผมไปข้างหน้าก่อนดึงตัวผมกลับ ผมแทบหัวใจวายเพราะเกือบจะชนหุ่น เดี๋ยวแม่นางเอานิ้วจิ้มตาผมจะทำยังไงล่ะทีนี้!
“เล่นเชี่ยไรเนี่ย!”
ผมด่าพร้อมยกเท้าถีบมัน มันอมยิ้มลากขาผมเข้าไปแนบลำตัวกลายเป็นว่าตอนนี้ท่อนล่างผมกับมันกำลังเบียดชิดกันอยู่ หน้าผมร้อนวูบขึ้นมาเฉย ๆ อีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสตอนผมชะงักโน้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่
“มึง! มึง ๆๆ” ชี้หน้ามันแล้วด่า แต่นึกคำด่าไม่ออก
“วันอาทิตย์หน้าเราไปเดทกันนะ”
วันอาทิตย์หน้าโน่นหรอ มันตรงกับวัน...สิ้นเดือนไม่ใช่หรอ ผมจ้องหน้ามันเล็กน้อย แววตามันดูอ่านยากจนผมไม่กล้าเดาว่ามันกำลังนึกสนุก ซึมเศร้า หรือคาดหวัง มันคงไม่เศร้าหรอก ขาดผมไปออกซิเจนในโลกก็ยังเหลือพอให้มันหายใจอยู่แล้ว
“ถ้าไม่ไปล่ะ”
“ยูไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ”
“เผด็จการ!”
เดทกับผู้ชายเนี่ยนะ มันต้องทำยังไงวะเนี่ย
ตลอดสัปดาห์นี้ผมยังโดนแกล้งไม่หยุดหย่อนแต่เบาลงกว่าเดิมเยอะ คงเพราะกลัวลูกหลงจะมาหล่นใส่ไอ้ธันด้วยล่ะมั้ง ตอนนี้ไอ้ธันถือเป็นยันต์กันภัยประจำตัวผมเลย
“งานวัดมันเริ่มทุ่มนึงไม่ใช่หรอ”
ถามคนที่เดินเคียงกัน มันขยับยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินนำหน้าผมไป
“ใครบอกว่าฉันจะพายูมาเดทที่งานวัด หืม?”
ในวัดมันมีที่ ๆ สุนทรีย์กว่านี้หรอ ให้ฟังเทศน์ฟังธรรมหรือไง แค่ลอดซุ้มประตูวัดเข้ามาได้โดยไม่แสบไม่คันก็บุญแล้ว ให้ไปนั่งหน้าพระโดนน้ำมนต์สาดผมวิญญาณแตกสลายกันพอดี
“เฮ้ย....อย่าบอกนะว่า..”
มองต้นไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ สายสิญจน์สีขาวที่ผ่านแดดผ่าฝนมาแรมปีกร่อนขาด บ้างก็เป็นสีเทาขุ่น บนพื้นมีเศษกระจกสีที่หลุดร่อนออกจากที่บรรจุอัฐิ คาดว่าที่นี่คงเป็นสถานที่เก่าพอสมควรและไม่ค่อยมีใครเข้ามาถึง ในตอนนี้มีเพียงผมกับธันที่เดินเข้ามา
“พระอาทิตย์จะตกแล้วนะเว้ย..”
ไม่กล้าพูดดังกลัวคน (?) ที่นี่จะตื่น ดวงอาทิตย์ก็เริ่มลับขอบฟ้าไปแล้วเหลือเพียงแต่แสงรำไรที่ฉายอยู่บนฟ้า อากาศก็ดูเหมือนจะเย็นขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเดินเข้ามาลึก ๆ ยิ่งเย็นตัดขั้วหัวใจผมเลย
“เลือกที่ได้โรแมนติคชิบหายเลย กลับดีกว่า”
“เดี๋ยวสิ”
มันดึงแขนผม ผมขืนตัวสุดฤทธิ์มองมันตาขวาง ก็รู้ว่ากลัวผีก็ยังจะพามา ยิ่งผมทำหน้าบึ้งมันก็ออกแรงฉุดเต็มที่ ขาผมเกือบเตะกระถางธูปจึงจำใจต้องเดินตามมันไปบนทางเดินแคบ ๆ
“ฉันอยากให้ยูมาเจอใครคนหนึ่ง”
“คนจริงหรือเปล่า...”
เดินมายังไม่เจอคนเลย ผีด้วยแต่ไม่อยากเจอหรอกนะครับ!
“...ผีแล้วกัน”
ไม่! ผมอ้าปากร้องแต่เสียงไม่ออก มันพาผมเดินมาหยุดอยู่หน้าที่เก็บกระดูกที่มีรูปผู้ชายหน้าตาคล้ายคลึงมันอย่างกับฝาแฝด ผมแอบถอยเท้ามองรูปกับหน้ามันสลับกันไปมา
...ไม่ใช่แจ็คพ็อตว่ามันตายตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วนะ!!...
“ผมพายูมาไหว้พ่อครับ”
“พ่อหรอ?”
“ก็ใช่น่ะสิ คิดว่าเป็นฉันหรือไง”
“บ้า! ไม่ได้คิดแบบนั้น...” ซะที่ไหน อย่าให้พ่อแกมาหักคอฉันนะเว้ย
“ฉันอยากพายูมาพบพ่อนานแล้วแต่ยังไม่มีโอกาส”
“ทำอย่างกับพาภรรยามาแนะนำตัวกับคุณพ่อเลย”
“อือ เดี๋ยวฉันจะให้พ่อไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอยูแล้วกัน”
“อย่าๆ! อย่าลำบากพ่อแกเลย ให้เขานอนสงบ ๆเถอะ”
ถึงเป็นกระดูกแล้วผมก็กลัวจะออกมาทักทายผมจริง ๆ ไม่เอานะครับผมกลัวผี
“ยูฉันมีเรื่องอยากจะบอกยู..คือฉันชะ...”
“ยุงกัด!”
ผมฟาดมือลงประหารเจ้ายุงตัวดี เผลอทำบาปในวัดจะโดนปรับไหมเนี่ย ว่าแต่เมื่อครู่ธันมันพูดอะไรนะ
“แกพูดอะไรนะ?”
มันยิ้มพลางส่ายหัว หันไปจุดธุปยื่นให้ผมแทน ผมลอบมองใบหน้ามัน ดวงตามันดูหงอยเหงาผมว่ามันคงคิดถึงพ่อมันมาก พ่อใครใครก็รักเนอะ ผมเองยังคิดถึงพ่อเลยแต่พ่อทำงานอยู่ต่างจังหวะนาน ๆ กลับมาที ส่วนมัน... พอมันคงกลับมาไม่ได้แล้ว
“ไปกันเถอะ”
ผมยื่นมือไปแตะแขนเรียกมัน ถ้าอยู่ต่ออีกหน่อยผมว่ามันต้องร้องไห้แน่เลย มันหันมายิ้มเล็กน้อยก่อนยกมือขยี้หัวผมเบา ๆ
ก็ไม่ได้รำคาญหรอกนะ.... แต่กูเสร็จผมมาสองชั่วโมงดันมาบ่นปี้เอาภายในสองวินาทีเนี่ยนะ เวรกรรมจริง ๆ
“ไปเดินงานวัดกันเถอะ”
“ไปดิรออะไร วันนี้จะกินให้เรียบต้องแต่ร้านแรกยันร้านสุดท้ายเลย!”
“ได้ ฉันเลี้ยงเอง”
“แหม่ พ่อบุญทุ่ม อย่ามาร้องโหยหวนตอนกระเป๋าฉีกล่ะ”
“ขอแค่อยู่วันนี้ได้อยู่กับยูนาน ๆ ก็พอ”
มันคว้าแขนผมพร้อมกับเอ่ยออกมา ดวงตาดวงเข้มจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผมจนผมรู้สึกประหม่าจนต้องหลบตาและเฉไฉพูดกลบเกลื่อน ทำไมมันรู้สึกหวิว ๆ วะแค่มองตาเองนะเว้ย!
“เอ่อ... ใช่ ก่อนไหว้พ่อแก แกจะพูดอะไรหรือเปล่า ฉันไม่ได้ฟังจริงๆหว่ะ”
“ความลับ”
“งั้นกลับ!”
“เดี๋ยว ๆ โอเคบอกก็ได้”
“ว่า?”
มันโบกมือเรียกให้ผมเอียงหูไปหา
“...ฉันเห็นใครไม่รู้ยืนจับไหล่ยูน่ะ”
เฮ้ย....จริงดิ ผมเบะปากทำหน้าเหมือนกลืนมะระ พอกระซิบบอกผมเสร็จแล้วมันก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไป ผมเลยรีบวิ่งออกจากสุสานทันที ใครจะไปอยู่ต่อกันเล่า!
“รอกูด้วยไอ้ธัน~ !”
++++++++++++++++++++
เน็ตที่บ้านล่มค่ะ กลับมาใช้ได้ดีใจมากกก
หวังว่าจะไม่หายไปอีกนะ ขออภัยที่ลงช้านะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ