30 days for youสามสิบวันของผมกับนายเจ้าหนี้ตัวร้าย

10.0

เขียนโดย enzang2660

วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.42 น.

  16 บท
  3 วิจารณ์
  19.56K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 10.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) บทที่ 11 กลั่นแกล้ง ยกที่ 2(100%)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 11

กลั่นแกล้ง[ยกที่ 2]

 

                   งานโอเพ่นเฮาส์ที่ใกล้จะมาถึง  สร้างความปั่นป่วนไปทั่วทุกสารแห่ง  ไม่ว่าจะเดินไปซอกไหนหลืบไหนก็เจอแต่ความวุ่นวาย  ผมเองก็เช่นกัน เพียงแต่งานอาจจะหนักน้อยหน่อย  แค่ยกเสื้อผ้า ประกอบเวที ทาสีป้ายและอีกมากมาย 

                   ...แรงงานจิปาถะนั่นเอง..

                   ใครเรียกใช้ก็ต้องไปหมด ส่วนงานประจำก็เป็นคนยกของให้ชมรมการแสดง

                   “นายยกพร็อบที่เหลือไปไว้หลังเวทีด้วยนะ”

                   ผมทำหน้าฉงน  ลากปลายนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง  เธอคนนี้กำลังพูดกับผมหรอ

                   “ยังไม่หมดอีกหรอ” ผมถามพลางปาดเหงื่อ

                   “ยัง รีบไปยกเถอะน่า”

                   “อีกเยอะไหม จะได้ไปตามเพื่อนมา”

                   “ไม่เยอะหรอก เร็วเข้าจะได้ล็อกห้องกลับบ้านซะที”

                   ผมจำได้ว่าเธออยู่ชมรมการแสดงน่ะแหละแต่ไม่รู้ชื่อ  เธอดันตัวผมให้รีบเดินไปที่ห้องเก็บเสื้อผ้า  พอเปิดประตูเข้าไปผมก็ตรงดิ่งไปที่หลังราวเสื้อผ้าสองฝากฝั่ง  ค้นหาพร็อบที่เหลือ

                   “เธอเปิดไฟหน่อยดิ มันมืดอ่ะ”

                   แสงจากด้านนอกสาดเข้ามาข้างในก็จริง  แต่ห้องนี้มันทึบและมืดเกินไป

                   “เธอ! เปิดไฟหน่อยดิ”

                   ผมบอกคนที่หน้าประตูอีกรอบ  แสงสว่างที่ลอดผ่านบานประตูเริ่มตีวงแคบลงเรื่อย ๆ ผมชักสังหรณ์ใจไม่ดี  ยัยนั่นหูแตกหรือไง ผมบอกให้เปิดไฟ ไม่ใช่ปิดประตู

                   “นี่เธอ!”

                   ผมรีบวิ่งไปที่ประตูก่อนแสงจะถูกปังหายไปหมด  ผู้หญิงที่ประตูรีบกระชากประตูปิดใส่หน้าผม 

                   “เล่นอะไรเนี่ย เปิดเดี๋ยวนี้นะ!”

                   ถึงจะเตะจะถีบอย่างไรก็เปิดไม่ออก  เสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินคือเสียงล็อกแม่กุญแจ  ยิ่งทำให้ผมคลั่งถีบทึ้งประตูอย่างหนัก

                   “เปิดเดี๋ยวนี้นะ!!”

                   ผมแหกปากจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไร้วี่แวว 

                   “โธ่เว้ย!”

                   ผมต่อยประตูอย่างหัวเสีย  แต่ก็ต้องเอามือกลับมาเป่าเพราะมันเจ็บ  โธ่! ข้าวยังไม่ได้กินเลยนะเว้ย! ยัยผู้หญิงบ้า! ถ้าหลุดออกไปได้นะพ่อจะขโมยข้าวกินให้หมดหม้อเลย!!

                   “เสียงอะไรกันเนี่ย  บนตึกนี้ยังมีคนอยู่อีกหรอ”

                   น้ำเสียงเริงร่าแหลมแสบหูดังลอดเข้ามาด้านใน  ผมรีบทุบประตูเรียกให้คนข้างนอกเปิดประตู

                   “นี่! เปิดประตูให้ผมหน่อย”

                   “ตายแล้ว เสียงผีหรือเปล่านะ น่ากลัวจังรีบลงดีกว่า”

                   “ยัยเจ้โรส! เปิดเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้! ผมรู้นะเว่าเป็นฝีมือเจ้! ไม่ต้องมาเยาะเย้ยกันเลย!”

                   “ในเมื่อรู้ฉันก็จะปล่อยแล้วกัน...”

                   มีหวังแล้ว  ผมลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก  คนข้างนอกหยิบแม่กุญแจทำให้เกิดเสียงก๊อกแก๊กยิ่งจุดความหวังให้ผมอีกมาก  ถ้าออกไปคงต้องกอดเจ้เขาเสียหน่อยแล้ว

                  

                   กึก!

 

                   โลหะอันคล้องอยู่ที่ประตูถูกปล่อยลงประแทกบานประตูอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงเอ่ยตามมา

                   “ฉันจะปล่อยให้นายนอนเล่นที่นี่ซักคืนแล้วกันนะ...ยู”

                   “เดี๋ยวสิ!!”

                   ผมทุบประตูและร้องเรียกผู้หญิงคนนั้น  เสียงรองเท้ายิ่งไกลออกไปเรื่อยเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้แยแสกับเสียงร้องของผมเลย 

                   บ้าจริง!! ซวยชะมัด  เวลานี้ต้องมือถือ...มือถือ!

                   ผมรีบกดเบอร์หาไอ้เฟรมทันที  เหอะ! คนดีผีคุ้ม  ยังไงผมก็ไม่ยอมติดแหงกอยู่ที่นี่หรอก! ไอ้มุกแบตหมดหรอ ใช้ไม่ได้กับผมหรอก  แบตผมมีตั้ง30%

                   (...กรุณาเติมเงินค่ะ คุณมีค่าโทรคงเหลือ...)

                   อืม.... เอาที่สบายใจแล้วกัน

 

 

+++++++++++++50%++++++++++++++

                   แสงไฟจากหน้ารถสาดไปบนถนน  เสียงเครื่องยนต์เบาหยุดลงเมื่อถึงที่หมาย  ธันควักเงินจ่ายค่าโดยสารให้วิมอเตอร์ไซค์แล้วมองไปยังหน้าบ้านที่มีร่างของหญิงวัย 40 ยืนอยู่  เธอชะเง้อเหมือนรอคอยใครบางคนจนกระทั่งเธอเห็นเขาจึงร้องทักขึ้น

                   “ธันไม่ได้กลับมาพร้อมยูเหรอลูก”

                   ยินรดาเอ่ยถาม  ธันเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือมันบอกเวลาว่าตอนนี้ใกล้จะล่วงเข้าไป 3 ทุ่มแล้ว

                   “ผมเห็นพวกเพื่อนยูกลับหมดแล้วนะครับ”

                   “เมื่อยูบอกน้าว่าจะกลับดึกหน่อย แต่เห็นมันมืดน้าก็อดห่วงไม่ได้”

                   “คุณน้าโทรหายูหรอยังครับ”

                   “ยังเลยลูก เดี๋ยวน้าลองโทรก่อนนะ ไม่ใช่ไปเถลไถลที่ไหนแน่เลย!”

                   “ใจเย็นก่อนนะครับ เอางี้ผมจัดการให้ดีกว่า”

                   ด้วยกลัวว่ายูจะโดนฉามข้าวเจ้าเปาเพ่งกบาล เขายอมจัดการยูเองดีกว่าดังนั้นเขาจึงต่อสายหายูโดยทันที

                   (ฮัลโหล!)

                   ปลายสายตะโกนกลับมาเสียงดังด้วยความยินดี  จะไม่ให้ยินดีได้อย่างไรก็เขารอคนโทรหาตั้งนานแล้ว แม่ก็ไม่เป็นห่วงเขาหรือไง มัวแต่โอ๋ไอ้เปาอยู่ใช่ไหมล่ะ เขากำลังจะบ้าตายอยู่แล้วนะ

                   “ไม่ต้องตะโกนก็ได้..”

                   (โทรมาทำไม!)

                   พอรู้ว่าเป็นธัน ความโมโหจากเมื่อวานก่อนโน่นก็ไหลย้อนเข้ามาในหัว

                   “โอเค งั้นวางล่ะ”

                   (เดี๋ยว! อย่างเพิ่งวางนะ)

                   “ยูอยู่ไหน”

                   (ฉัน...ฉัน ฉันติดอยู่ในห้องเก็บเสื้อของชมรมการแสดงอ่ะ)

                   “ติด?”

                   (ห้องมันล็อกน่ะสิ ก็เจ้..!)

                   ยูกลืนคำพูดลงคอ  ถึงเขาจะบอกไปว่าใครทำอีกฝ่ายก็ไม่เชื่ออยู่ดี  เมื่อเห็นว่ายูเงียบธันก็ถามขึ้น

                   “เจ้? ใคร?”

                   (ช่างเถอะ! รีบมาเร็ว ๆ จะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ยห้องมืดแบบนี้ไม่รู้จะมีอะไรโผล่มาหรือเปล่า)

                   “จะไปเดี๋ยวนี้แหละ ...ระวังหุ่นในห้องนั้นไว้ด้วยล่ะ”

                   ถึงจะรู้ว่ายูกลัวผีถึงขั้นฉี่ราดได้เลยก็ยังอดที่จะแหย่ก่อนกดวางสายไม่ได้  พอมาคิดดูอีกที ถ้าอีกฝ่ายออกมาจากห้องได้ต้องกระทืบเขาแน่นอน ดังนั้น...

                   ...จะไปช่วยดีไหมเนี่ย....

 

 

                   หลังจากเสียเงินนั่งวินมาลงที่มหา’ลัยอีกรอบธันก็กดมือถือโทรหายู  ป่านนี้ไม่สติแตกโดนตึกลงมาแล้วหรอ  ตลอดทางเขาคิดมาตลอดกลัวยูจะกลัวผีจนประสาทเสียไป

                   (ไอ้เวร! มึงนะ..มึงๆๆ)

                   ถึงสรรพนามที่ใช้เรียกจะหยาบคายไปหน่อย แต่ก็วางใจได้ว่ายูยังไม่ตายแค่เริ่มบ้าเฉย ๆ

                   “ใจเย็นนะยู ฉันกำลังวิ่งไปที่ตึก B แล้ว”

                   (รีบมาเลยนะเว้ย! กูเห็นเงาอะไรไม่รู้อ่ะ! เฮ้ย! เหมือนหุ่นมันมองกูอยู่เลยหว่ะ! มันจะเดินมาหากูหรือเปล่าวะ!)

                   “ไม่มีอะไรหรอกยู อย่าไปเรียกมันสิ”

                   (ไอ้ธันมึงรีบมาเลย! กูกลัวแล้วนะเว้ย!)

                   “กลัวก็อย่ามองสิ หลับตา ๆ”

                   (หลับตาก็ก็ได้ยินเสียงหายใจอ่ะ มึง! รีบมาเดี๋ยวนี้เลย!)

                   บางทีเขาควรจะโทรตามจิตแพทย์มาด้วย  ไม่แน่พออยู่ออกมาคงจะบ้าไปเรียบร้อยแล้ว

                   “ฉันวางก่อนนะวิ่งไม่ถนัดเลย”

                   (ไม่เอา! อย่าวาง ๆ อยู่กับกูก่อน!)

                   “อยากให้ฉันไปถึงเร็ว ๆ ไม่ใช่หรอ พอฉันไปถึงฉันจะกอดปลอบยูเอง ไม่ต้องกลัวนะ”

                   (วางก็ได้! มึงรีบมาเถอะ! มาถึงจะกอด จะจูบ จะลูบ จะคลำ กูให้ทำหมดเลย รีบมาก็พอ!)

                   “งั้นแค่นี้ก่อนนะ”

                   วางสายเสร็จใบหน้าหล่อก็อมยิ้มพร้อมติดสปีดสองเท่าตัว พอไปถึงเมื่อไหร่จะจูบให้หนำใจไปเลยก็อีกฝ่ายอนุญาตแล้วนี่

                   เมื่อถึงบันไดที่ทอดยาวเข้าไปในมุมอับแสงร่างสูงเพียวราวกับนางแบบหลุดออกมาจากแม็กกาซีนก็ควงพวงกุญแจสบัดไปมา  แสงสว่างรำไรเผยให้เห็นริมฝีปากอวบฉ่ำไปด้วยลิปกลอสขยับยิ้มเมื่อเห็นชายหนุ่มหายใจเหนื่อยหอบ

                   “มาทำอะไรดึกๆดื่นๆหรอธัน”

                   “โรส..”

                   ดวงตาสีเข้มจ้องมองแฟนเก่าโดยไร้ความรู้สึก  ทำเธอถึงยังมาป้วนเปี้ยนในชีวิตของเขาอีก  เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว และโรสก็เป็นฝ่ายทิ้งเขาไปเองด้วยซ้ำ

                   “ขอกุญแจด้วย”

                   “แล้วถ้าไม่ให้ล่ะ?”

                   โรสยิ้มยวนพลางขยับตัวเข้ามาใกล้ร่างสูง  เธอแกว่งพวงกุญแจล่อหากแต่อีคนยังคงนิ่งเฉยซ้ำยังฉายแววหงุดหงิดเสียด้วย

                   “อยากได้ทำไมไม่หยิบล่ะ ไม่หยิบใช่ไหม”

                   พวงโลหะเย็นถูกหย่อนลงไปในเสื้อในสีดำสนิท  เพราะเสื้อเชิ้ตขาวนั้นค่อนข้างบางและแนบเนื้อจึงเห็นอะไรต่อมิอะไรปลอดโป่ง  ไม่ต้องพูดถึงทรวงอกอวบอิ่มที่แทบจะทะลักออกมาเกยบนคอ  ธันเองก็เป็นผู้ชาย  เขายอมรับว่าเคยมองว่ามันสวยดีแต่ก็ไม่ได้อยากจะทำให้แปดเปื้อน 

                   ..สุภาพบุรุษควรจะให้เกียรติเพศแม่ให้มากเข้าไว้..

                   “เอากุญแจมาโรส”

                   “ก็เข้ามาหยิบสิ”

                   “อย่าลดค่าตัวเองแบบนี้เลย  โรสเป็นผู้หญิงที่มีค่ามากนะ”

                   “ถ้ามีค่าแล้วทำไมถึงไม่เลือกฉันล่ะ”

                   โรสเม้มปากแน่นข่มเสียงสั่นเครือในลำคอ  หากธันคิดว่าเธอมีค่าแล้วทำไมตอนเธอมาขอคืนดีธันกลับไม่ยอมคืนดีล่ะ

                   “ฉันอาจจะเลือกโรส..ถ้าโรสยังเป็นโรสแบบเมื่อก่อน”

                   เป็นเพียงหญิงสาวที่มีใบหน้าใสสะอาด ปราศจากเครื่องสำอางจัดจ้านอย่างตอนนี้  เป็นคนที่ควรค่าแก่การทะนุถนอม และดีพอที่เขาจะตั้งความหวังให้เป็นแม่ของลูกเลยด้วยซ้ำ  ติดก็เพียงว่าถึงรอบข้างจะสรรเสริญว่าเขาทั้งคู่เหมาะสมกัน  แต่ใจของเขากลับคิดถึงคนอื่นเสมอ  มันก็สมควรที่เธอจะทิ้งเขา   “ที่โรสแต่งตัวสวย แต่งหน้าสวย ๆ ก็เพื่อธันนะ จะให้โรสกับไปเป็นเหมือนเดิม โรสก็ไม่ยอมหรอก  ธันคิดว่าโรสเป็นผู้หญิงซื่อ ๆ เรียบร้อย หัวอ่อนขนาดไหนกัน  โรสเองก็ต้องการความรักนะ  จูบโรสบ้าง กอดโรสบ้าง เราเดือนจูงมือกันมาตั้งสามเดือน! ธันเองก็เบื่อโรสใช่ไหมที่โรสเป็นผู้หญิงจืดชืดแบบนั้น!”

                   “ไม่ใช่หรอก...”

                   “ไม่ใช่? แต่ธันก็มองผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมล่ะ  ตอนจับมือกันตอนนั้นธันคิดถึงใครอยู่... ตอนมองหน้าโรสธันก็คิดถึงคนอื่นใช่ไหม”

                   “ฉันขอโทษ ฉันไม่มีอะไรจะแก้ตัว ฉันกำลังคิดถึงคนอื่นอยู่จริง ๆ”

                   ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปิดบังหรือแก้ตัว  ในเมื่อทำแบบนั้นก็ต้องยอมรับ  เขาโล่งใจด้วยซ้ำที่อีกฝ่ายมาบอกเลิกเพราะเขาก็ไม่อยากทรมานเธอเหมือนกัน

                        “เลว! คนที่..คิดถึงน่ะ ผู้ชายคนนั้นใช่ไหม”

                   ไร้ซึ่งคำตอบ หากแต่มองใบหน้าของชายหนุ่มแล้วเธอก็อยากจะปรี๊ดแตกขึ้นมา  ขอแค่พูดออกมาว่าเป็นผู้หญิงคนอื่นเธอยังจะเสียใจน้อยกว่านี้เลย

                   “ฉันไม่น่าปล่อยมือเลย... ฉันน่าจะยอมเจ็บเพื่อเก็บนายเอาไว้”

                   “โรสทำถูกแล้ว ถึงโรสไม่บอกเลิกฉัน..ฉันคงต้องบอกเลิกโรสซักวันอยู่ดี”

                   โรสสายหน้า เธอสุดทนกับการกลั้นน้ำตาจึงได้แต่ปล่อยให้มันไหลออกมา

                   “..บอกเหตุผลมาหน่อยได้ไหม ทำไม..ฉันไม่ดีตรงไหนหรอ”

                   ธันข่มสีหน้า  การทำให้ผู้หญิงร้องไห้มันทำให้เขารู้สึกแย่ที่สุด

                   “โรสดีทุกอย่าง เพียงแต่...”

                   “แต่อะไร!”

                   เขาควรจะพูดออกไปเพื่อชี้ชัดให้เธอแน่ใจ  แต่มันก็แลกกับการทำร้ายเธออีกรอบ

                   “ขอโทษนะ.. ฉันรักยู”

                   ไม่ต้องว่าความต่อโรสก็ปล่อยโฮออกมา  จังหวะที่เธอทรุดตัวนั่งกับพื้นกุญแจในชั้นในก็กระเด็นหล่นลงมา  ธันชั่งใจจะยื่นมือไปปลอบประโลมเธอ  แต่ถ้าทำแบบนั้นมันจะเป็นการให้ความหวังโรสหรือเปล่า 

 

                   แก๊ก

 

                   เขาเลือกคว้ากุญแจขึ้นมาก่อนจะบอกคนที่ร้องไห้ว่า

                   “อย่ามาร้องไห้ให้คนเลว ๆ อย่างฉันเลย”

                   “ฮือ ธัน! นายมันใจร้าย!”

                   ธันหันหลังให้ร่างบางที่ร้องไห้ก่อนวิ่งขึ้นไปด้านบน  เสียงแหลมก็ตะโกนไล่หลังขึ้นมา

                   “ฉันขอแช่งนาย! นายจะต้องโดนทิ้งแบบฉัน!”

                   ธันรับทุกคำใส่สมองก่อนวิ่งขึ้นไปชั้นบนปล่อยให้คนข้างล่างร้องระงมต่อไป  ถึงเขาจะต้องโดนกรรมตามสนองแต่เขาก็เลือกที่จะยอมรับ เพียงแต่...ขอให้ตอนนี้เขาได้เก็บโกยความสุขแค่เล็กน้อยจากยูบ้างก็พอ และเมื่อถึงวันนั้นก็ต้องก้มหน้ายอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง

 

 

++++++++++++++++++++++

จริงๆมีพล็อตสั้นกับยาว แต่เอาแบบสั้นดีกว่า กลัวไม่มีเวลามาแต่ง 

พล็อตยาวได้ค้างยาวด้วยแน่ ไว้มีโอกาสจะมารีไรท์แบบอีกพล็อตนึงนะคะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา