Eternal Night The second of heartbeat.
7.7
เขียนโดย Rafael
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
14.13K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
6) HEART BEAT second 06
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความHEART BEAT second 06
Raf Rafael
ไม่นานนักผมก็มาถึงที่หมาย ที่นี่เป็นตึกไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดิบพอดีชั้นหนึ่งเป็นกระจกใสรอบด้านสามารถมองเห็นภายในอาคาร ด้านในเป็นบรรดาเครื่องดนตรีสากลหลากชนิดตั้งเรียงรายโชว์ตัวอยู่บนแท่นโชว์ บางตัวที่เป็นลิมิตเต็ดก็จะวางอยู่บนแท่นยกระดับดูราวกับของล้ำค่า ส่วนชั้นสองและชั้นสามสามารถมองทะลุเข้าไปได้เช่นกันเพียงแต่ตอนนี้มีผ้าม่านสีทึบบดบังสายตาภายนอกไว้
ผมเลี้ยวรถเข้าไปด้านใต้อาคารอย่างไม่ลังเล เป็นชั้นใต้ดินไว้สำหรับจอดรถสำหรับลูกค้าและผู้เข้ามาใช้งาน ที่นี่เป็นสตูดิโอที่สิงสถิตของพวกเราเป็นทั้งห้องซ้อมและห้องนอนในตัว แต่เพราะต้องเตรียมตัวสอบสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัยช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมาพวกผมเลยไม่ได้เข้ามาที่นี่เลย
หลังจากจอดรถให้เข้าที่เข้าทาง ผมเดินขึ้นมาด้านในร้านจากทางทะลุชั้นใต้ดิน มันเหมือนทางเข้าหลังร้านซะมากกว่า แต่ก็เดินเข้าเดินออกทางนี้จนชิน
“อ้าว...บลัด กลับมาซ้อมได้แล้วดิ” ผมหันมองตามเสียงก่อนจะค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่ง ผมสีดำนิลถูกรวบไว้ลวกๆที่ด้านหลัง ใบหน้าติดยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับพื้นมหาสุทรกำลังหรี่ลงน้อยๆ
“ไม่เจอกันนานนะครับ พี่อาโอ” พี่อาโอเป็นเจ้าของตึกนี้ พวกผมเช่าห้องซ้อมถาวรไว้ที่ชั้นสาม จริงๆก็ไม่เชิงเช่า ต้องบอกว่ายึดพื้นที่น่าจะเข้าข่ายกว่า พี่อาโอก็ใจดี ให้อภิสิทธิ์ชั้นสามแก่หนุ่มๆวง Eternal Night เต็มที่ แลกกับการลงมาเรียกลูกค้าหรือเล่นเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าบ้างตามแต่โอกาส หากพวกเราอยู่ละนะ พูดง่ายๆ ก็มาอยู่ให้พี่อาโอใช้งานไปด้วยในตัว ส่วนชั้นสองพี่อาโอเปิดเป็นสตูดิโอให้เช่าเป็นรายชั่วโมง ที่นี่ก็เหมือนเป็นหอพักรวมของพวกเราละมั้ง...ส่วนพวกเรามาสิงอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงต้องย้อนความกันเป็นวันๆกว่าจะจบ
“ได้ข่าวจากเรย์ว่ามีงานเข้ามาแล้วนี่” เสียงของพี่อาโอตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง เมื่อก่อนพี่อาโอเป็นนายหน้าหางานให้พวกเราอยู่บ่อยๆ ค่าตัวพวกเราพี่อาโอก็ได้เปอร์เซ็นไปไม่น้อย แถมบอกว่าขายพวกเราได้ทั้งค่าหน้าตาและค่าฝีมือ เลี้ยงไว้ไม่เสียหาย...นี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราได้ครองชั้นสาม
ผมได้แต่พยักหน้ารับคำ งานนี้เรย์มันพูดเองเออเองรับเองต่างหาก จะพูดได้อย่างเต็มปากไหมนะว่าพวกเรารับงานแล้ว เรียกว่าถูกมัดมือชกจะดีกว่า
“ไว้เจอกันละกัน ลูกค้ารอนานละ” พี่อาโอโบกมือให้พร้อมกับออกวิ่งกลับไปที่ด้านหน้าร้าน ผมเลยแยกตัวเดินขึ้นไปบนบันไดที่คุ้นชิน ระหว่างที่คิดอะไรไปเพลินๆเสียงของเรย์ก็ดังขึ้นดึงสติผมกลับมา
“ไง คุณลีดเดอร์ ช้าไปสามนาทีนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเรย์ที่ยืนอยู่บนระเบียงบันไดชั้นสาม มันส่งยิ้มทะเล้นมาให้ดูท่าจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่ากีตาร์ผมแพงกว่าค่าประกันชีวิตมัน ผมอาจจะเหวี่ยงกีตาร์ลอยไปแล้วก็ได้
“พอดีเจอพี่อาโอ” ผมก้าวเดินขึ้นไปบนบันได จนมาหยุดอยู่บนพื้นในระดับเดียวกับเรย์ มันเดินนำเข้าไปในห้องซ้อมก่อน พอก้าวเข้าไปในห้อง ก็มีอีกสองสายตามองต้อนรับมาก่อนอยู่แล้ว สายตาแรกคือเคลน เหมือนเคลนจะเพิ่งมาถึงไม่นานเพราะมันกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการต่อแอมป์เข้ากับเบส ส่วนอีกคน...
หนุ่มผิวเข้มเพียงคนเดียวในวง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นจนเห็นทรงศีรษะกลมมนอย่างชัดเจน กับนัยน์ตาสีฮาเซลที่ไม่ไหวติงกับสิ่งใด โคโตฮาริ ยู... ยู เป็นมืออิเลคโทนของวงเรา หากเรย์เรียกได้ว่าพูดมาก ยูคงเรียกว่าพูดน้อยถึงน้อยที่สุด ยูจ้องมองผมนิ่งๆมาจากโซฟาด้านหนึ่งของห้อง
“ไง” ผมเดินเข้าไปทักยูก่อน ยูพยักหน้ารับคำเบาๆแต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรารู้จักกันตอนเรียนไฮสคูล ตอนนั้นเรย์เป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับยูก่อน เพราะบุคลิกที่ดูเข้าถึงได้ยากของยูทำให้คนอื่นไม่ค่อยเข้าไปคุยด้วยเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่ายูเล่นอิเลคโทนได้ เราก็เริ่มทาบทามเข้ามาเล่นกับวง จนลากเข้ามาในวงได้สำเร็จ
จริงๆ...เรย์แค่ถามว่ามาเล่นด้วยกันไหม ยูก็พยักหน้าตอบตกลงแบบ งงๆ ทั้งๆที่พวกเราคิดค้นสารพันวิธี ร้อยแปดพันเก้าในการล่อหลอกยูเข้าวง แต่กลับไม่ได้ใช้สักวิธี ถึงยูจะเป็นคนแบบนั้น แต่ก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าที่เรารับยูเข้ามาในวงไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด
“ซ้อมเลยมั้ย” ในที่สุดยูก็เอ่ยปาก เวลายูพูดออกมาสักคำราวกับเรื่องมหัศจรรย์ของโลก เชื่อไหมถึงยูจะพูดกับพวกเรานับคำได้ แต่ในสายตาคนอื่นถือว่ายูพูดเยอะมากกับพวกเรา คงเป็นการแสดงออกถึงความสนิทสนมในแบบของยูละนะ
“แป๊บนะ ขออู้แป๊บ” ผมพูดติดตลก ยูพยักหน้ารับน้อยๆตามเดิม แล้วก็นั่งเงียบๆอยู่ที่เดิม เฮ่อ...ผมไม่มีความสามารถในการพูดคนเดียวเหมือนเรย์ ผมเลยตัดสินใจไปนั่งลงข้างๆเคลน ระหว่างที่มันกำลังซ้อมมืออยู่กับเบส
“ไม่รีบต่อแอมป์เดี๋ยวก็ไม่ได้ซ้อมกันพอดีหรอก พี่”
“ครับ คร๊าบ” ผมทิ้งตัวลงอย่างไม่เกรงใจ พลางกวาดสายตามองรอบๆห้องซ้อม ห้องซ้อมของพวกเราค่อนข้างใหญ่พอตัว กลองชุดของเรย์ วางจองมุมหนึ่งของห้องไปเต็มๆ แถมมีกลองชุดสำรองวางอยู่ข้างๆไม่ใกล้ไม่ไกล อิเลคโทนแบบแป้นสองชั้นของยูก็วางถัดมาจากกลองของเรย์ไม่ไกลนัก ส่วนมุมที่ผมกับเคลนนั่งอยู่เป็นมุมที่รวมอุปกรณ์ของเบสและกีตาร์ไว้ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ กีตาร์ไฟฟ้าตัวสำรองของผมก็อยู่ที่นี่สองตัว เบสของเคลนก็อยู่ที่นี่อีกสองตัว ยังไม่นับรวมมุมโซฟาที่ยูกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ตรงนั้นเป็นจุดรวบรวมหมอนผ้าห่มและฟูกไว้อย่างครบครัน เผื่อวันไหนที่ซ้อมกันจนใกล้ตาย เราก็นอนกันที่นี่เลยนั่นแหละ
ผมเด้งตัวขึ้นมาจัดการเสียบปลั๊กนู่นนี่เข้ากับปลั๊กพ่วง หลังจากหยิบเอฟเฟคกีตาร์ออกมาต่อสองสามก้อน ผมก็หันไปจัดการกับแอมป์ต่อก่อนจะเสียบสายเข้ากับกีตาร์สีดำที่ผมเอามาด้วย ระหว่างที่เริ่มตั้งเสียง ทุกคนก็เริ่มเข้าประจำที่
เมื่อเริ่มดีดอินโทรเพลงขึ้นมา เรย์ก็รู้งานเคาะจังหวะกลองตามมาทันที เคลนเป็นลูกล้อรับกับเรย์ตามมาแทบจะจังหวะเดียวกัน ส่วนยูฟังอินโทรไปแค่ไม่กี่วิก็เล่นตามมาได้อย่างไม่ต้องนัด ถึงแม้ผมจะไม่ได้อ้าปากร้อง แต่จังหวะเพลง ทั้งเสียงเมโลดี้ ฮาโมนี่ ไม่ได้เพี๊ยนไปจากเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน
ราวกับฟื้นคืนชีพจากความเหนื่อยล้าทั้งปวง พอได้ปล่อยตัวให้จมลงไปในเสียงเพลงของ Eternal Night นี่แหละ...เสียงเพลงของพวกเรา
จนเวลาล่วงเลยมาหลังพระอาทิตย์ตก พวกเราทั้งสี่คนก็มานั่งปรึกษากันตรงมุมโซฟาของห้อง เหมือนอีกไม่นานเราต้องไปมอบตัวเข้าแก๊งผิดกฏหมายอะไรสักอย่าง ถึงได้มาสุมหัวคุยเรื่องร้านกันอยู่นี่
“คิดว่าเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง ผู้ชายวะ” เรย์เปิดประเด็นเรื่องนี้มาพวกเราที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากัน
“แกไปดื่มบ่อยสุดไม่ใช่หรอวะ” ผมผลักประเด็นมันกลับไป จะไปรู้ได้ยังไงตลอดเวลาผมก็อยู่แต่ในร้านเบเกอรี่ ส่วนเคลนนอกจากไปเรียนแล้วก็อยู่ที่คอนโด ยูต้องเดินทางไปกลับระหว่างมหาวิทยาลัยกับหอพักคิดว่าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอก มีแต่เจ้าเรย์เนี่ยแหละที่เที่ยวเก่งกว่าเพื่อน
“สาวใหญ่ก็ดีน้า สวยๆยิ่งแหล่มเลย” ขนาดเจ้าของร้านแกยังไม่ละเว้น
“ตื่นเต้นปะ” เรย์กวาดสายตามองใบหน้าพวกเราทีละคน เหมือนย้อนกลับไปทำงานกับพี่อาโออีกครั้ง ตอนนั้นเราเดินสายไปทั่วตามแต่พี่อาโอจะพาไป จนตอนนี้ผมเลยชักชินเวทีซะแล้ว จึงได้แต่ยักไหล่ตอบมันไป
“นิดหน่อยนะครับ” เคลนเป็นคนตอบเรย์ไป แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเคลนจะตื่นเวที
“งานนี้บลัดคงกวาดสาวๆไปอีกแน่เลยวะ” เรย์หันมาแซะเข้าทีหนึ่ง ผมมองมันตาขวางก่อนจะแซะกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันน่ะเป็นแค่อาหารตา ไม่ได้ล่ออาหารกายแบบแก” เรย์หัวเราะร่าตอบกลับมา มันรู้สึกบ้างไหมเนี่ย
“ยูทำงานดึกๆไม่เป็นไรรึ” ผมเลิกสนใจเรย์ที่กำลังอวดสรรพคุณล้านแปดในการจีบสาวของมัน หันไปถามเพื่อนผู้ไม่พูดไม่จาแทน ยูหันมองก่อนตอบกลับมาโดยไม่ต้องคิด
“อยู่ห้องคนเดียว ไม่มีปัญหา”
ก็ตามนั้น... สรุปคือพวกเราทั้งสี่คนตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับครอบครัว เรื่องเวลาเลยไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ติดงาน หรือ เรย์ไม่ติดสาวที่ไหน เวลาที่เหลือของพวกเราก็จะมาขลุกกันอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่นักเรียนไฮสคลูแล้ว เลยค่อนข้างจะต้องจัดตารางชีวิตใหม่จนหัวหมุน ปีนี้เคลนต้องเตรียมตัวสอบแล้วด้วย รู้สึกมีแต่เรื่องเต็มไปหมด
“แล้วจะไปที่ร้านกันเมื่อไหร่” เสียงเรย์ลอยกลับมาเข้าหู
นั่นละที่คิดอยู่
“จะไปกันยังไง” ไม่รู้พิกัดร้านที่แน่นอนด้วยสิ เหมือนคนที่จะนำทางไปได้มีแค่เรย์คนเดียว มันกวาดสายตามองพวกเราทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่อินังขังขอบ
“แท็กซี่น่าจะง่ายสุดว่ะ” พวกเรามองหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวตอนนี้น่ะนะ
แล้วพวกเราก็ตัดสินใจขึ้นแท็กซี่กันมาจริงๆ อย่าเพิ่งถามราคา มันชีช้ำ มันง่ายจริงว้อย! แต่ไม่เห็นบอกว่าไกลขนาดนี้รู้งี้มารถไฟเหมือนเดิมแล้วค่อยมาต่อแท็กซี่ใกล้ๆก็ได้
ผมไม่รู้จะหันไปหักคอ หรือหั่นคอเรย์ทิ้งดี ถึงพวกเราจะหารกันก็เถอะ แต่ผมก็ต้องจ่ายแทนในส่วนของเคลนด้วย แม้แต่ยู ถึงมันจะไม่บ่นอะไรแต่หน้าซีดแบบนั้น เดือนนี้คงได้ทักทายราเมงสำเร็จรูปกันแน่ๆ มีแต่เรย์นั้นละที่ยังหัวเราะร่าอยู่คนเดียว
ตอนนี้เรามาถึงหน้าคลับแล้ว อลังการกว่าที่คาดไว้เยอะทีเดียว พื้นที่คลับทั้งหมดน่าจะรวมร้านแถวๆนั้นมาตั้งเรียงกันสักสี่ห้าร้านถึงจะเท่าคลับนี้ แถมที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นมงกุฎอันเบ้อเริ่มตรงซุ้มประตูทางเข้าร้าน ด้านใต้มงกุฎมีอักษรตัวโตๆอยู่ว่า “Alpha Jewelry”
แน่ใจนะว่ามาถูกที่...ผมเงยหน้ามองมงกุฎอีกครั้ง ลักษณะเป็นมงกุฎห้ายอด แต่ละยอดมีรูปใหญ่ขนาดเกินคนจริงอยู่ด้านในคิดว่าน่าจะเป็นพวกท๊อปไฟว์ของที่นี่
“จะยืนอีกนานมั้ยวะ” เรย์หันมาเร่งพวกเรา ผมยังมองหน้ามันสลับกับหน้าร้าน ยกเลิกงานตอนนี้ทันไหมนะ
แต่จนแล้วจนรอดพวกเราทั้งสามคนก็โดนเรย์ผลักเข้ามาในร้านจนได้ บริกรจัดโต๊ะให้พวกเราโต๊ะหนึ่ง หลังจากนั้นเรย์ก็มุดหายเข้าไปหลังร้าน คงจะมาเที่ยวจนเซียนแล้วสิท่า...ผมลอบถอนหายใจ
ระหว่างที่เคลนกับยูกำลังไล่อ่านเมนูบนจอทัชสกรีนที่ฝังอยู่บนโต๊ะแต่ละมุม ผมกวาดสายตามองภายในร้าน ร้านนี้สมชื่อ Jewelry จริงๆ ผนังโดยรอบประดับประดาด้วยเพชรพลอยมหาศาล ไม่รู้ว่าใช้เพชรจริงรึเปล่า แต่เมื่อเพชรพลอยพวกนั้นกระทบแสงไฟ พวกมันเปล่งประกายแวววาวออกมาจนแสบตา แม้แต่เครื่องแก้วที่ใส่น้ำเปล่ามาเสริฟก็สวยสดราวกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างประณีตบรรจง
โต๊ะภายในร้านค่อนข้างแยกความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าเป็นอย่างดีแต่บริกรสามารถบริการได้อย่างทั่วถึง โต๊ะแต่ละตัวถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีสี่โต๊ะเหมือนกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่โดนตัดแบ่งสี่ส่วนเท่าๆกัน และแต่ละส่วนของสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นจะเป็นโซฟารูปตัวยู ตรงกลางเป็นโต๊ะกระจกใส ด้านที่ไม่มีโซฟาก็คือทางเข้าออกของแต่ละโต๊ะเพราะนอกจากทางเข้าออกแล้วส่วนอื่นจะเป็นกำแพงสูงที่ประดับประดาไปด้วยเพชรพลอยคั่นระหว่างโต๊ะแต่ละโต๊ะ กำแพงที่คั่นระหว่างโต๊ะก็ค่อนข้างสูงทำให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ผมนั่งอยู่ที่โซฟาด้านในสุดทำให้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย โซฟาทางขวามือมีเคลนนั่งอยู่ โซฟาทางซ้ายมือก็มียูนั่งอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนประธานหัวโต๊ะก็ไม่ปาน ถ้าหากโซฟาทั้งสองฝากเป็นสาวๆที่มารุมล้อมละก็ คงให้ความรู้สึกราวกับราชาจริงๆ มิน่าล่ะ...เรย์ มันถึงได้เที่ยวเก่งนัก
แต่นอกจากโต๊ะธรรมดาที่พวกเรานั่งอยู่แล้ว กำแพงร้านทั้งสองฝั่งยังมีมู่ลี่ที่ถักถอจากเพชรนิลจินดากระจายตัวอยู่ตามแต่ละด้านของกำแพงข้างใต้มู่ลี่เป็นผ้าม่านสีขาวสะอาด บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างใต้มู่ลี่ได้เลย แต่มีคนเดินเข้าเดินออกจากภายในห้องที่ถูกปิดมิดชิดนั้น ถ้าให้เดา น่าจะเป็นพวก แขก V.I.P. ละมั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดในร้าน ไม่ใช่โต๊ะที่แวววับ ไม่ใช่เพชรนิลจินดาที่รายล้อม แต่มันคือเวทีที่ใช้จัดแสดงของร้าน เวทีใหญ่อยู่ด้านในสุด เวทีถูกยกระดับขึ้นไปสูงจนคิดว่าลูกค้าที่นั่งอยู่ในโต๊ะแต่ละโต๊ะน่าจะมองเห็นการแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจน แถมจอทัชสกรีนที่ใช้สั่งอาหารเมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้เมนูสั่งอาหารอยู่มันจะกลายเป็นจอมอร์นิเตอร์ถ่ายทอดการแสดงบนเวทีแทน หมายความว่าแค่เราก้าวขึ้นไปบนเวทีนั้นสายตาทุกคู่ภายในร้านก็จะมองมาที่เราอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
นอกจากเวทีใหญ่ด้านในแล้ว ยังมีเวทีทรงกลมที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของร้าน เวทีนี้น่ากลัวกว่าหน่อยเพราะลูกค้าสามารถมองเราได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศาหวังว่าจะไม่ได้ขึ้นเวทีนี้นะ ถ้าแม้แต่ด้านหลังยังโดนจ้องมองผมรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างสุดซึ้ง แล้วจะร้องเพลงออกได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
หลังจากพวกเราสามคนนั่งมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งเรย์ก็โผล่มาพร้อมกับข่าวที่ทำให้พวกเราทั้งหมดใจเต้นระทึก
“เจ๊อยากเจอ ปะ!” เรย์ส่งยิ้มทะเล้นมาให้พวกเราทั้งสามคน ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะลุกขึ้นก้าวตามมันไป
ถ้าบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็คงโกหกตัวเองด้วยละนะ
และแล้วพวกเราก็เดิมตามเรย์มาด้านหลังเวทีใหญ่ ด้านในนี้เหมือนจะเป็นที่สำหรับให้พนักงานพักผ่อนด้วย มีโซฟาเป็นกลุ่มๆวางไว้หลายจุด เครื่องดนตรีก็วางเรียงรายอยู่มุมหนึ่ง นักแสดงหลายคนแต่งตัวอู้ฟู่ อลังการเข้ากับคอนเซปต์เพชรพลอยสุดๆ บางคนก็นุ่งน้อยห่มน้อยซะจนเขินที่จะมอง ได้แต่ภาวนาว่า...ชุดขึ้นเวทีของพวกเราหวังว่าจะได้เลือกกันเองนะ
ผมมองนักแสดงคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ริมฝีปากสีแดงสดเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตา ใบหน้าเรียวยาวรับกับผมสีดำขลับที่สยายอยู่บนแผ่นหลัง ผมหน้ายาวลงมาบดบังดวงตาของเธอไปข้างหนึ่ง แต่นัยน์ตาสีเทาหม่นก็ยังโดดเด่นจนเผลอจ้องมองไปโดยไม่รู้ตัว แก้มสีชมพูระเรื่อ กับทรวดทรงองเอวที่คอดกิ่วถูกบดบังไว้ด้วยชุดราตรีรัดรูปสีชมพูอ่อน แขนอันบอบบางของเธอยังมีขนนกพวงใหญ่เกี่ยวกวัดไว้ ผมพนันได้เลยว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องสยบเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แม้แต่ผมเองยังรู้สึกหวั่นๆเลย...แต่ทว่า รัศมีที่เปล่งออกมาจากเธอนั้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจจับต้อง
“ขอแนะนำให้รู้จัก...” เรย์หันกลับมามองพวกเรา พร้อมกับผายมือไปทางคุณผู้หญิงคนนั้น
“คุณซินเซียร์ เจ้าของคลับนี้” พวกผมโค้งตัวลงกันแทบไม่ทันหลังจากได้ยินสถานะของคนตรงหน้า เท่ากับว่า คนคนนี้เป็นผู้ว่าจ้างพวกเราสินะ
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เสียงก็ยังหวานหยดมีมนุษย์เพศชายกี่คนแล้วนะ ที่ยอมถวายตัวให้เธอแบบไม่คิดชีวิต
หลังจากพวกผมเงยหน้าขึ้น ยืดตัวเต็มความสูงอีกครั้ง คุณซินเซียร์ส่งยิ้มมาให้พวกเรา เมื่อริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออก รู้สึกว่าร่างกายชาไปพักหนึ่ง...ราวกับโดนรอยยิ้มนั่นสะกดไว้
“คนนี้หรอเจ้าของเสียงร้อง” อยู่ๆคุณซินเซียร์ก็เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นมือมาไล้แก้มเบาๆ ผมถึงกับอึกอักพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
“บลัด...” เรย์เดินเข้ามาสะกิดแขนเบาๆ ตอนนั้นล่ะผมถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังเสียมารยาท
“สึกิฮิโตะ บลัดเทียครับ” ผมค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อแนะนำตัว คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาจากลำคอ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ เธอเบนสายตาไปมองอีกสองคนที่อยู่ข้างๆผมแทน เคลนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะโค้งน้อยๆพร้อมแนะนำตัวออกไปเช่นกัน
“สึกิฮิโตะ เคลนลิเอลครับ”
“โคโตฮาริ ยูครับ”
คุณซินเซียร์ดูแตกต่างจากอิมเมจเจ้าของคลับที่พวกเราคิดไว้ แต่ผมไม่แปลกใจเลยที่เธอจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ แต่ว่า...กว่าจะมายืนจุดนี้ได้ เธอต้องล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหนกันนะ
“ยืนคุยกันตรงนี้คงไม่ดีนัก เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่ามั้ยจ๊ะ” คุณซินเซียร์ไม่รอช้า เธอเดินนำพวกเราเข้าไปในห้องหนึ่งหลังร้าน ที่นี่ประดับประดาอย่างหรูหราไม่แพ้ภายในร้านเลย โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กลางห้องกำลังสาดแสงวิบวับลงไปบนกำแพง
เธอค่อยๆทิ้งตัวลงอย่างสง่างามบนโซฟาภายในห้อง ก่อนจะส่งสายตามาให้พวกเรานั่งลงตรงข้ามเธอ เคลนเดินเข้าไปนั่งก่อนตามมาด้วยผม เรย์ และยู รู้สึกว่าผมจะเลือกที่ได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันอยู่ตรงข้ามคุณซินเซียร์เป๊ะ กดดันจิตใจสุดๆ
“ปกติแล้ว ทุกคนมักจะเรียกเจ๊เซียร์ มากกว่าคุณซินเซียร์นะจ้ะ” เสียงใสๆที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ลอยมา เรย์ยิ้มร่าเลย
“งั้นผมขอเรียกแบบนั้นนะครับ เจ๊เซียร์” คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กับเรย์ ก่อนที่เธอจะกล่าวอนุญาตออกมาเสียงหวาน
“ทุกคนแหละจ้ะ เรียกเจ๊เซียร์ก็ได้นะ”
ไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ แม้แต่ความกล้าที่จะเปิดประเด็นเรื่องวงของพวกเราก็ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ผมเบนสายตาลงต่ำจ้องมองดอกไม้ที่ประดับไว้บนโต๊ะกระจกที่คั่นกลางระหว่างโซฟาทั้งสองฝั่งแทน
“Eternal Night…” แล้วคุณซินเซียร์ก็เปรยขึ้นมา
“ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะจ้ะ” รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“ยินดีเช่นกันครับ” ผมกล่าวตอบไป ก่อนจะเบนสายตากลับมามองคนตรงหน้า คุยเรื่องงานโดยหลบสายตานายจ้างแบบนั้น คงดูไม่ค่อยเหมาะนัก ผมเลยทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่หลบเลี่ยง
“ถ้าอย่างนั้น...ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ” มันไม่ใช่เวลาที่จะมาประหม่า รอยยิ้มบนใบหน้าคุณซินเซียร์หายไปแทบจะทันทีที่ผมมองเธอด้วยสายตาจริงจัง เธอจ้องผมกลับมาด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่กำลังประเมินผู้น้อย
เรย์หุบรอยยิ้มทันทีที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป แม้แต่ยูยังยืดตัวขึ้นตรงพลางตั้งใจฟัง ส่วนเคลนก็สลัดใบหน้าติดยิ้มทิ้งไปแล้วเช่นกัน
“กำหนดการ การทำงานคือสี่วันต่ออาทิตย์ เป็นจำนวนสองสัปดาห์ถูกมั้ยครับ” เธอพยักหน้าให้ผม
“ปกติวงหน้าใหม่ จะให้ทดลองในวันธรรมดา แต่พวกเธอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถ้าหากใช้ชื่อเสียงนั้นให้เป็นประโยชน์ทำรายได้ให้คลับเราได้ละก็ ฉันยินดีให้เธอแสดงในเวลาโกเด้นไทม์”
ถ้าหากเราได้เวลานั้น ทั้งชื่อเสียงและค่าตัวคงพุ่งขึ้นสูงเชียวละ
“แต่พวกเรามีนักเรียนไฮสคูลอยู่นะครับ” เคลนเหลือบสายตามองผม สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่ฉายออกมาทางแววตาสีฟ้าอ่อน ยังไงเคลนก็เป็นน้อง ผมจะไม่ยอมให้อนาคตมันต้องมาจบเพราะทำงานในที่แบบนี้หรอก
“ตรงนั้นก็เป็นปัญหานะ แต่...” คุณซินเซียร์จ้องเข้ามาในนัยน์ตา สายตาคู่นั้นกดดันไปถึงข้างใน สัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนที่จะต่อรองด้วยได้ง่ายๆ
“พวกเธอมีเสน่ห์ไม่เบา...ถึงจะเป็นปัญหา แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันนะ”
เธอเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง
“ฉันตั้งความหวังกับพวกเธอไว้สูงนะจ้ะ” ราวกับโดนสายตานั้นทิ่มแทง ทิ่มจนร่างติดกับผนัง ทิ่มไว้จนผมสลัดไม่หลุด รู้สึกว่ายังไงก็คงปฏิเสธงานนี้ไม่ได้แน่ๆ น้ำลายในคอหนืดไปหมด
“เพลงของพวกเธอ คงทำให้คลับคึกคักไม่เบา” เธอฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก
“วันที่เราต้องแสดงล่ะครับ”
เธอปรายตามองพวกเราทีละคน จนสุดท้ายก็หันกลับมามองที่ผมอีกครั้ง
“วันพุธถึงวันเสาร์ เป็นไงจ๊ะ”
สี่วันติด...ผมว่ากาแฟคงเอาไม่อยู่แล้วละ
“สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน” เธอหัวเราะเบาๆออกมาด้วย งานหินเลยนะเนี่ย...เหนื่อยตายกันไปข้างแน่ๆ คนที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็เคลนนั้นละ พวกเราที่เหลืออยู่มหาวิทยาลัยแล้วยังพอถูไถเอาตัวรอดไปได้
“แสดงยี่สิบห้านาที พักได้ห้านาที เรื่องเพลงพวกเธอสามารถเล่นได้ตามใจชอบ...ดีออกใช่มั้ยจ๊ะ” แล้วเธอก็ส่งรอยยิ้มมาให้พวกเรา อยากจะยิ้มตอบหรอกนะ...ผมขมวดคิ้วมุ่นคิดทบทวนถึงเวลางาน ยู กับ เรย์ หันมามองเหมือนกำลังรอให้ผมตัดสินใจ
“เรื่องรับลูกค้า...” เรื่องนี้ค่อนข้างคาใจผมที่สุด และก็เป็นห่วงน้องที่สุดด้วย ยูก็อีกคน ส่วนเรย์น่ะหรอ ปล่อยมันไปเถอะ
“ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทำงานของพวกเธอ แต่ถ้าทำให้ด้วยละก็จะขอบคุณมากเลยละจ้ะ”
ทำหรือไม่ทำก็ได้สินะ
“อุปกรณ์บนเวทีล่ะครับ”
“ทางเรามีทีมงานจัดเตรียมให้ ถ้าหากไม่อยากเล่นกีตาร์ของคลับเธอจะนำของเธอมาด้วยก็ไม่มีปัญหาจ้ะ”
แต่แล้วก็มีเรื่องหนึ่งแว๊บขึ้นมาในหัว ผมมองคุณซินเซียร์ ใบหน้าเธอยังประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากเดิม
“ชุดที่จะใส่แสดงล่ะครับ...”
“ปกติแล้วทางคลับจะจัดให้จ้ะ” ผมช็อกกับคำตอบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำตอบที่ได้รับในเวลาต่อมา
“แต่พวกเธอเป็นพนักงานชั่วคราวเพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะปล่อยให้พวกเธอจัดการกันเอง”
ผมยังคิดทบทวนถึงรายละเอียดต่างๆอยู่อีกพักหนึ่ง เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วละนะ
“เริ่มงานพรุ่งนี้ ไม่มีปัญหานะจ๊ะ”
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมพยักหน้ารับเบาๆได้แต่ตอบออกไปว่า
“ครับ”
คุณซินเซียร์ดูพึงพอใจไม่เบา เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างหวานหยดย้อย
เอาวะ สู้เป็นสู้! ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองเบาๆอยู่ในใจ
หลังจากที่เราออกมาจากห้องของคุณซินเซียร์ เหมือนโดนสูบพลังงานหายไปทั้งตัว เฮ่อ...สายตาแบบนั้น ถึงจะดูเป็นมิตรก็เถอะ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประเมินโดยคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แถมยังรู้สึกว่าถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง
เรย์เดินเข้ามาตบบ่าผมแรงๆ
“เหนื่อยหน่อยนะ คุณลีดเดอร์”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ” เคลนเข้ามาผสมวงด้วยอีกคน
“เหนื่อยหน่อยนะ” ยูด้วย เฮ่อ...พวกนายก็ช่วยฉันมั่งสิ ให้ตายเถอะ
ขากลับพวกเราขึ้นรถไฟกลับมา ยูขอแยกตัวออกไปก่อนเพราะกลับคนละฝั่งกัน ส่วนเรย์ มันยังตามมาก่อกวนถึงในขบวนรถไฟแต่ก็ดีที่มันลงไปก่อนจะถึงสถานีปลายทางของผมกับเคลน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่เราสองพี่น้องในขบวนรถไฟที่มีผู้คนประปราย
“แวะหาอะไรกินก่อนกลับห้องมั้ย” ผมหันไปถามเคลน วันนี้คงทำกับข้าวเองไม่ไหวแล้วละ เคลนพยักหน้าตอบ สุดท้ายเราก็เลยไปหาอะไรทานกันจากในมินิมาร์ทใต้คอนโด
“เคลน ฉันจะกลับไปที่สตูดิโอหน่อย”
“ไปทำไร พี่” เคลนหันมามองอย่างฉงน จะว่ายังไงดีนะ...ผมไม่อยากทิ้งกีตาร์กับรถมอไซค์ไว้ที่นั่น เลยกะจะกลับไปเอา ถ้าไม่กลับไปผมคงนอนไม่หลับแน่ จะบอกว่าเป็นโรคทางจิตใจอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด
“กลับไปเอารถกับกีตาร์หรอ” ผมพยักหน้าตอบเคลนไป มันถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบกลับมา
“หยิบเบสกลับมาด้วยก็ดีนะ” แล้วฉันจะขับรถท่าไหนล่ะนั่นน่ะ
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- แอมป์ = ในที่นี้เราพูดถึงแอมป์กีตาร์ครับ มิใช่แอมป์ที่เป็นหน่วยไฟฟ้า(หัวเราะ) พูดให้เข้าใจง่ายมันคือลำโพงสำหรับกีตาร์นั่นเองครับ
- เอฟเฟคกีต้าร์ = เป็นออฟชั่นอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับเปลี่ยนเสียงกีตาร์ครับ เราจะได้ยินบ่อยๆในท่อนกีตาร์โซโล จะทำให้ได้เสียงกีตาร์แปลกๆครับ เช่น เสียงแตก เสียงเอคโค่(สะท้อน) อยู่ที่ประเภทเอฟเฟคที่เราเลือกใช้ครับ
ขอบคุณทุกท่านคับ // โค้งRaf Rafael
(58/06/25)
Raf Rafael
ไม่นานนักผมก็มาถึงที่หมาย ที่นี่เป็นตึกไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดิบพอดีชั้นหนึ่งเป็นกระจกใสรอบด้านสามารถมองเห็นภายในอาคาร ด้านในเป็นบรรดาเครื่องดนตรีสากลหลากชนิดตั้งเรียงรายโชว์ตัวอยู่บนแท่นโชว์ บางตัวที่เป็นลิมิตเต็ดก็จะวางอยู่บนแท่นยกระดับดูราวกับของล้ำค่า ส่วนชั้นสองและชั้นสามสามารถมองทะลุเข้าไปได้เช่นกันเพียงแต่ตอนนี้มีผ้าม่านสีทึบบดบังสายตาภายนอกไว้
ผมเลี้ยวรถเข้าไปด้านใต้อาคารอย่างไม่ลังเล เป็นชั้นใต้ดินไว้สำหรับจอดรถสำหรับลูกค้าและผู้เข้ามาใช้งาน ที่นี่เป็นสตูดิโอที่สิงสถิตของพวกเราเป็นทั้งห้องซ้อมและห้องนอนในตัว แต่เพราะต้องเตรียมตัวสอบสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัยช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมาพวกผมเลยไม่ได้เข้ามาที่นี่เลย
หลังจากจอดรถให้เข้าที่เข้าทาง ผมเดินขึ้นมาด้านในร้านจากทางทะลุชั้นใต้ดิน มันเหมือนทางเข้าหลังร้านซะมากกว่า แต่ก็เดินเข้าเดินออกทางนี้จนชิน
“อ้าว...บลัด กลับมาซ้อมได้แล้วดิ” ผมหันมองตามเสียงก่อนจะค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่ง ผมสีดำนิลถูกรวบไว้ลวกๆที่ด้านหลัง ใบหน้าติดยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับพื้นมหาสุทรกำลังหรี่ลงน้อยๆ
“ไม่เจอกันนานนะครับ พี่อาโอ” พี่อาโอเป็นเจ้าของตึกนี้ พวกผมเช่าห้องซ้อมถาวรไว้ที่ชั้นสาม จริงๆก็ไม่เชิงเช่า ต้องบอกว่ายึดพื้นที่น่าจะเข้าข่ายกว่า พี่อาโอก็ใจดี ให้อภิสิทธิ์ชั้นสามแก่หนุ่มๆวง Eternal Night เต็มที่ แลกกับการลงมาเรียกลูกค้าหรือเล่นเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าบ้างตามแต่โอกาส หากพวกเราอยู่ละนะ พูดง่ายๆ ก็มาอยู่ให้พี่อาโอใช้งานไปด้วยในตัว ส่วนชั้นสองพี่อาโอเปิดเป็นสตูดิโอให้เช่าเป็นรายชั่วโมง ที่นี่ก็เหมือนเป็นหอพักรวมของพวกเราละมั้ง...ส่วนพวกเรามาสิงอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงต้องย้อนความกันเป็นวันๆกว่าจะจบ
“ได้ข่าวจากเรย์ว่ามีงานเข้ามาแล้วนี่” เสียงของพี่อาโอตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง เมื่อก่อนพี่อาโอเป็นนายหน้าหางานให้พวกเราอยู่บ่อยๆ ค่าตัวพวกเราพี่อาโอก็ได้เปอร์เซ็นไปไม่น้อย แถมบอกว่าขายพวกเราได้ทั้งค่าหน้าตาและค่าฝีมือ เลี้ยงไว้ไม่เสียหาย...นี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราได้ครองชั้นสาม
ผมได้แต่พยักหน้ารับคำ งานนี้เรย์มันพูดเองเออเองรับเองต่างหาก จะพูดได้อย่างเต็มปากไหมนะว่าพวกเรารับงานแล้ว เรียกว่าถูกมัดมือชกจะดีกว่า
“ไว้เจอกันละกัน ลูกค้ารอนานละ” พี่อาโอโบกมือให้พร้อมกับออกวิ่งกลับไปที่ด้านหน้าร้าน ผมเลยแยกตัวเดินขึ้นไปบนบันไดที่คุ้นชิน ระหว่างที่คิดอะไรไปเพลินๆเสียงของเรย์ก็ดังขึ้นดึงสติผมกลับมา
“ไง คุณลีดเดอร์ ช้าไปสามนาทีนะ”
ผมเงยหน้าขึ้นมองเรย์ที่ยืนอยู่บนระเบียงบันไดชั้นสาม มันส่งยิ้มทะเล้นมาให้ดูท่าจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่ากีตาร์ผมแพงกว่าค่าประกันชีวิตมัน ผมอาจจะเหวี่ยงกีตาร์ลอยไปแล้วก็ได้
“พอดีเจอพี่อาโอ” ผมก้าวเดินขึ้นไปบนบันได จนมาหยุดอยู่บนพื้นในระดับเดียวกับเรย์ มันเดินนำเข้าไปในห้องซ้อมก่อน พอก้าวเข้าไปในห้อง ก็มีอีกสองสายตามองต้อนรับมาก่อนอยู่แล้ว สายตาแรกคือเคลน เหมือนเคลนจะเพิ่งมาถึงไม่นานเพราะมันกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการต่อแอมป์เข้ากับเบส ส่วนอีกคน...
หนุ่มผิวเข้มเพียงคนเดียวในวง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นจนเห็นทรงศีรษะกลมมนอย่างชัดเจน กับนัยน์ตาสีฮาเซลที่ไม่ไหวติงกับสิ่งใด โคโตฮาริ ยู... ยู เป็นมืออิเลคโทนของวงเรา หากเรย์เรียกได้ว่าพูดมาก ยูคงเรียกว่าพูดน้อยถึงน้อยที่สุด ยูจ้องมองผมนิ่งๆมาจากโซฟาด้านหนึ่งของห้อง
“ไง” ผมเดินเข้าไปทักยูก่อน ยูพยักหน้ารับคำเบาๆแต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรารู้จักกันตอนเรียนไฮสคูล ตอนนั้นเรย์เป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับยูก่อน เพราะบุคลิกที่ดูเข้าถึงได้ยากของยูทำให้คนอื่นไม่ค่อยเข้าไปคุยด้วยเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่ายูเล่นอิเลคโทนได้ เราก็เริ่มทาบทามเข้ามาเล่นกับวง จนลากเข้ามาในวงได้สำเร็จ
จริงๆ...เรย์แค่ถามว่ามาเล่นด้วยกันไหม ยูก็พยักหน้าตอบตกลงแบบ งงๆ ทั้งๆที่พวกเราคิดค้นสารพันวิธี ร้อยแปดพันเก้าในการล่อหลอกยูเข้าวง แต่กลับไม่ได้ใช้สักวิธี ถึงยูจะเป็นคนแบบนั้น แต่ก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าที่เรารับยูเข้ามาในวงไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด
“ซ้อมเลยมั้ย” ในที่สุดยูก็เอ่ยปาก เวลายูพูดออกมาสักคำราวกับเรื่องมหัศจรรย์ของโลก เชื่อไหมถึงยูจะพูดกับพวกเรานับคำได้ แต่ในสายตาคนอื่นถือว่ายูพูดเยอะมากกับพวกเรา คงเป็นการแสดงออกถึงความสนิทสนมในแบบของยูละนะ
“แป๊บนะ ขออู้แป๊บ” ผมพูดติดตลก ยูพยักหน้ารับน้อยๆตามเดิม แล้วก็นั่งเงียบๆอยู่ที่เดิม เฮ่อ...ผมไม่มีความสามารถในการพูดคนเดียวเหมือนเรย์ ผมเลยตัดสินใจไปนั่งลงข้างๆเคลน ระหว่างที่มันกำลังซ้อมมืออยู่กับเบส
“ไม่รีบต่อแอมป์เดี๋ยวก็ไม่ได้ซ้อมกันพอดีหรอก พี่”
“ครับ คร๊าบ” ผมทิ้งตัวลงอย่างไม่เกรงใจ พลางกวาดสายตามองรอบๆห้องซ้อม ห้องซ้อมของพวกเราค่อนข้างใหญ่พอตัว กลองชุดของเรย์ วางจองมุมหนึ่งของห้องไปเต็มๆ แถมมีกลองชุดสำรองวางอยู่ข้างๆไม่ใกล้ไม่ไกล อิเลคโทนแบบแป้นสองชั้นของยูก็วางถัดมาจากกลองของเรย์ไม่ไกลนัก ส่วนมุมที่ผมกับเคลนนั่งอยู่เป็นมุมที่รวมอุปกรณ์ของเบสและกีตาร์ไว้ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ กีตาร์ไฟฟ้าตัวสำรองของผมก็อยู่ที่นี่สองตัว เบสของเคลนก็อยู่ที่นี่อีกสองตัว ยังไม่นับรวมมุมโซฟาที่ยูกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ตรงนั้นเป็นจุดรวบรวมหมอนผ้าห่มและฟูกไว้อย่างครบครัน เผื่อวันไหนที่ซ้อมกันจนใกล้ตาย เราก็นอนกันที่นี่เลยนั่นแหละ
ผมเด้งตัวขึ้นมาจัดการเสียบปลั๊กนู่นนี่เข้ากับปลั๊กพ่วง หลังจากหยิบเอฟเฟคกีตาร์ออกมาต่อสองสามก้อน ผมก็หันไปจัดการกับแอมป์ต่อก่อนจะเสียบสายเข้ากับกีตาร์สีดำที่ผมเอามาด้วย ระหว่างที่เริ่มตั้งเสียง ทุกคนก็เริ่มเข้าประจำที่
เมื่อเริ่มดีดอินโทรเพลงขึ้นมา เรย์ก็รู้งานเคาะจังหวะกลองตามมาทันที เคลนเป็นลูกล้อรับกับเรย์ตามมาแทบจะจังหวะเดียวกัน ส่วนยูฟังอินโทรไปแค่ไม่กี่วิก็เล่นตามมาได้อย่างไม่ต้องนัด ถึงแม้ผมจะไม่ได้อ้าปากร้อง แต่จังหวะเพลง ทั้งเสียงเมโลดี้ ฮาโมนี่ ไม่ได้เพี๊ยนไปจากเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน
ราวกับฟื้นคืนชีพจากความเหนื่อยล้าทั้งปวง พอได้ปล่อยตัวให้จมลงไปในเสียงเพลงของ Eternal Night นี่แหละ...เสียงเพลงของพวกเรา
จนเวลาล่วงเลยมาหลังพระอาทิตย์ตก พวกเราทั้งสี่คนก็มานั่งปรึกษากันตรงมุมโซฟาของห้อง เหมือนอีกไม่นานเราต้องไปมอบตัวเข้าแก๊งผิดกฏหมายอะไรสักอย่าง ถึงได้มาสุมหัวคุยเรื่องร้านกันอยู่นี่
“คิดว่าเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง ผู้ชายวะ” เรย์เปิดประเด็นเรื่องนี้มาพวกเราที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากัน
“แกไปดื่มบ่อยสุดไม่ใช่หรอวะ” ผมผลักประเด็นมันกลับไป จะไปรู้ได้ยังไงตลอดเวลาผมก็อยู่แต่ในร้านเบเกอรี่ ส่วนเคลนนอกจากไปเรียนแล้วก็อยู่ที่คอนโด ยูต้องเดินทางไปกลับระหว่างมหาวิทยาลัยกับหอพักคิดว่าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอก มีแต่เจ้าเรย์เนี่ยแหละที่เที่ยวเก่งกว่าเพื่อน
“สาวใหญ่ก็ดีน้า สวยๆยิ่งแหล่มเลย” ขนาดเจ้าของร้านแกยังไม่ละเว้น
“ตื่นเต้นปะ” เรย์กวาดสายตามองใบหน้าพวกเราทีละคน เหมือนย้อนกลับไปทำงานกับพี่อาโออีกครั้ง ตอนนั้นเราเดินสายไปทั่วตามแต่พี่อาโอจะพาไป จนตอนนี้ผมเลยชักชินเวทีซะแล้ว จึงได้แต่ยักไหล่ตอบมันไป
“นิดหน่อยนะครับ” เคลนเป็นคนตอบเรย์ไป แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเคลนจะตื่นเวที
“งานนี้บลัดคงกวาดสาวๆไปอีกแน่เลยวะ” เรย์หันมาแซะเข้าทีหนึ่ง ผมมองมันตาขวางก่อนจะแซะกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
“ฉันน่ะเป็นแค่อาหารตา ไม่ได้ล่ออาหารกายแบบแก” เรย์หัวเราะร่าตอบกลับมา มันรู้สึกบ้างไหมเนี่ย
“ยูทำงานดึกๆไม่เป็นไรรึ” ผมเลิกสนใจเรย์ที่กำลังอวดสรรพคุณล้านแปดในการจีบสาวของมัน หันไปถามเพื่อนผู้ไม่พูดไม่จาแทน ยูหันมองก่อนตอบกลับมาโดยไม่ต้องคิด
“อยู่ห้องคนเดียว ไม่มีปัญหา”
ก็ตามนั้น... สรุปคือพวกเราทั้งสี่คนตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับครอบครัว เรื่องเวลาเลยไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ติดงาน หรือ เรย์ไม่ติดสาวที่ไหน เวลาที่เหลือของพวกเราก็จะมาขลุกกันอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่นักเรียนไฮสคลูแล้ว เลยค่อนข้างจะต้องจัดตารางชีวิตใหม่จนหัวหมุน ปีนี้เคลนต้องเตรียมตัวสอบแล้วด้วย รู้สึกมีแต่เรื่องเต็มไปหมด
“แล้วจะไปที่ร้านกันเมื่อไหร่” เสียงเรย์ลอยกลับมาเข้าหู
นั่นละที่คิดอยู่
“จะไปกันยังไง” ไม่รู้พิกัดร้านที่แน่นอนด้วยสิ เหมือนคนที่จะนำทางไปได้มีแค่เรย์คนเดียว มันกวาดสายตามองพวกเราทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่อินังขังขอบ
“แท็กซี่น่าจะง่ายสุดว่ะ” พวกเรามองหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวตอนนี้น่ะนะ
แล้วพวกเราก็ตัดสินใจขึ้นแท็กซี่กันมาจริงๆ อย่าเพิ่งถามราคา มันชีช้ำ มันง่ายจริงว้อย! แต่ไม่เห็นบอกว่าไกลขนาดนี้รู้งี้มารถไฟเหมือนเดิมแล้วค่อยมาต่อแท็กซี่ใกล้ๆก็ได้
ผมไม่รู้จะหันไปหักคอ หรือหั่นคอเรย์ทิ้งดี ถึงพวกเราจะหารกันก็เถอะ แต่ผมก็ต้องจ่ายแทนในส่วนของเคลนด้วย แม้แต่ยู ถึงมันจะไม่บ่นอะไรแต่หน้าซีดแบบนั้น เดือนนี้คงได้ทักทายราเมงสำเร็จรูปกันแน่ๆ มีแต่เรย์นั้นละที่ยังหัวเราะร่าอยู่คนเดียว
ตอนนี้เรามาถึงหน้าคลับแล้ว อลังการกว่าที่คาดไว้เยอะทีเดียว พื้นที่คลับทั้งหมดน่าจะรวมร้านแถวๆนั้นมาตั้งเรียงกันสักสี่ห้าร้านถึงจะเท่าคลับนี้ แถมที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นมงกุฎอันเบ้อเริ่มตรงซุ้มประตูทางเข้าร้าน ด้านใต้มงกุฎมีอักษรตัวโตๆอยู่ว่า “Alpha Jewelry”
แน่ใจนะว่ามาถูกที่...ผมเงยหน้ามองมงกุฎอีกครั้ง ลักษณะเป็นมงกุฎห้ายอด แต่ละยอดมีรูปใหญ่ขนาดเกินคนจริงอยู่ด้านในคิดว่าน่าจะเป็นพวกท๊อปไฟว์ของที่นี่
“จะยืนอีกนานมั้ยวะ” เรย์หันมาเร่งพวกเรา ผมยังมองหน้ามันสลับกับหน้าร้าน ยกเลิกงานตอนนี้ทันไหมนะ
แต่จนแล้วจนรอดพวกเราทั้งสามคนก็โดนเรย์ผลักเข้ามาในร้านจนได้ บริกรจัดโต๊ะให้พวกเราโต๊ะหนึ่ง หลังจากนั้นเรย์ก็มุดหายเข้าไปหลังร้าน คงจะมาเที่ยวจนเซียนแล้วสิท่า...ผมลอบถอนหายใจ
ระหว่างที่เคลนกับยูกำลังไล่อ่านเมนูบนจอทัชสกรีนที่ฝังอยู่บนโต๊ะแต่ละมุม ผมกวาดสายตามองภายในร้าน ร้านนี้สมชื่อ Jewelry จริงๆ ผนังโดยรอบประดับประดาด้วยเพชรพลอยมหาศาล ไม่รู้ว่าใช้เพชรจริงรึเปล่า แต่เมื่อเพชรพลอยพวกนั้นกระทบแสงไฟ พวกมันเปล่งประกายแวววาวออกมาจนแสบตา แม้แต่เครื่องแก้วที่ใส่น้ำเปล่ามาเสริฟก็สวยสดราวกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างประณีตบรรจง
โต๊ะภายในร้านค่อนข้างแยกความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าเป็นอย่างดีแต่บริกรสามารถบริการได้อย่างทั่วถึง โต๊ะแต่ละตัวถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีสี่โต๊ะเหมือนกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่โดนตัดแบ่งสี่ส่วนเท่าๆกัน และแต่ละส่วนของสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นจะเป็นโซฟารูปตัวยู ตรงกลางเป็นโต๊ะกระจกใส ด้านที่ไม่มีโซฟาก็คือทางเข้าออกของแต่ละโต๊ะเพราะนอกจากทางเข้าออกแล้วส่วนอื่นจะเป็นกำแพงสูงที่ประดับประดาไปด้วยเพชรพลอยคั่นระหว่างโต๊ะแต่ละโต๊ะ กำแพงที่คั่นระหว่างโต๊ะก็ค่อนข้างสูงทำให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ผมนั่งอยู่ที่โซฟาด้านในสุดทำให้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย โซฟาทางขวามือมีเคลนนั่งอยู่ โซฟาทางซ้ายมือก็มียูนั่งอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนประธานหัวโต๊ะก็ไม่ปาน ถ้าหากโซฟาทั้งสองฝากเป็นสาวๆที่มารุมล้อมละก็ คงให้ความรู้สึกราวกับราชาจริงๆ มิน่าล่ะ...เรย์ มันถึงได้เที่ยวเก่งนัก
แต่นอกจากโต๊ะธรรมดาที่พวกเรานั่งอยู่แล้ว กำแพงร้านทั้งสองฝั่งยังมีมู่ลี่ที่ถักถอจากเพชรนิลจินดากระจายตัวอยู่ตามแต่ละด้านของกำแพงข้างใต้มู่ลี่เป็นผ้าม่านสีขาวสะอาด บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างใต้มู่ลี่ได้เลย แต่มีคนเดินเข้าเดินออกจากภายในห้องที่ถูกปิดมิดชิดนั้น ถ้าให้เดา น่าจะเป็นพวก แขก V.I.P. ละมั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดในร้าน ไม่ใช่โต๊ะที่แวววับ ไม่ใช่เพชรนิลจินดาที่รายล้อม แต่มันคือเวทีที่ใช้จัดแสดงของร้าน เวทีใหญ่อยู่ด้านในสุด เวทีถูกยกระดับขึ้นไปสูงจนคิดว่าลูกค้าที่นั่งอยู่ในโต๊ะแต่ละโต๊ะน่าจะมองเห็นการแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจน แถมจอทัชสกรีนที่ใช้สั่งอาหารเมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้เมนูสั่งอาหารอยู่มันจะกลายเป็นจอมอร์นิเตอร์ถ่ายทอดการแสดงบนเวทีแทน หมายความว่าแค่เราก้าวขึ้นไปบนเวทีนั้นสายตาทุกคู่ภายในร้านก็จะมองมาที่เราอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
นอกจากเวทีใหญ่ด้านในแล้ว ยังมีเวทีทรงกลมที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของร้าน เวทีนี้น่ากลัวกว่าหน่อยเพราะลูกค้าสามารถมองเราได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศาหวังว่าจะไม่ได้ขึ้นเวทีนี้นะ ถ้าแม้แต่ด้านหลังยังโดนจ้องมองผมรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างสุดซึ้ง แล้วจะร้องเพลงออกได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
หลังจากพวกเราสามคนนั่งมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งเรย์ก็โผล่มาพร้อมกับข่าวที่ทำให้พวกเราทั้งหมดใจเต้นระทึก
“เจ๊อยากเจอ ปะ!” เรย์ส่งยิ้มทะเล้นมาให้พวกเราทั้งสามคน ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะลุกขึ้นก้าวตามมันไป
ถ้าบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็คงโกหกตัวเองด้วยละนะ
และแล้วพวกเราก็เดิมตามเรย์มาด้านหลังเวทีใหญ่ ด้านในนี้เหมือนจะเป็นที่สำหรับให้พนักงานพักผ่อนด้วย มีโซฟาเป็นกลุ่มๆวางไว้หลายจุด เครื่องดนตรีก็วางเรียงรายอยู่มุมหนึ่ง นักแสดงหลายคนแต่งตัวอู้ฟู่ อลังการเข้ากับคอนเซปต์เพชรพลอยสุดๆ บางคนก็นุ่งน้อยห่มน้อยซะจนเขินที่จะมอง ได้แต่ภาวนาว่า...ชุดขึ้นเวทีของพวกเราหวังว่าจะได้เลือกกันเองนะ
ผมมองนักแสดงคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ริมฝีปากสีแดงสดเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตา ใบหน้าเรียวยาวรับกับผมสีดำขลับที่สยายอยู่บนแผ่นหลัง ผมหน้ายาวลงมาบดบังดวงตาของเธอไปข้างหนึ่ง แต่นัยน์ตาสีเทาหม่นก็ยังโดดเด่นจนเผลอจ้องมองไปโดยไม่รู้ตัว แก้มสีชมพูระเรื่อ กับทรวดทรงองเอวที่คอดกิ่วถูกบดบังไว้ด้วยชุดราตรีรัดรูปสีชมพูอ่อน แขนอันบอบบางของเธอยังมีขนนกพวงใหญ่เกี่ยวกวัดไว้ ผมพนันได้เลยว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องสยบเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แม้แต่ผมเองยังรู้สึกหวั่นๆเลย...แต่ทว่า รัศมีที่เปล่งออกมาจากเธอนั้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจจับต้อง
“ขอแนะนำให้รู้จัก...” เรย์หันกลับมามองพวกเรา พร้อมกับผายมือไปทางคุณผู้หญิงคนนั้น
“คุณซินเซียร์ เจ้าของคลับนี้” พวกผมโค้งตัวลงกันแทบไม่ทันหลังจากได้ยินสถานะของคนตรงหน้า เท่ากับว่า คนคนนี้เป็นผู้ว่าจ้างพวกเราสินะ
“ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เสียงก็ยังหวานหยดมีมนุษย์เพศชายกี่คนแล้วนะ ที่ยอมถวายตัวให้เธอแบบไม่คิดชีวิต
หลังจากพวกผมเงยหน้าขึ้น ยืดตัวเต็มความสูงอีกครั้ง คุณซินเซียร์ส่งยิ้มมาให้พวกเรา เมื่อริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออก รู้สึกว่าร่างกายชาไปพักหนึ่ง...ราวกับโดนรอยยิ้มนั่นสะกดไว้
“คนนี้หรอเจ้าของเสียงร้อง” อยู่ๆคุณซินเซียร์ก็เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นมือมาไล้แก้มเบาๆ ผมถึงกับอึกอักพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
“บลัด...” เรย์เดินเข้ามาสะกิดแขนเบาๆ ตอนนั้นล่ะผมถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังเสียมารยาท
“สึกิฮิโตะ บลัดเทียครับ” ผมค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อแนะนำตัว คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาจากลำคอ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ เธอเบนสายตาไปมองอีกสองคนที่อยู่ข้างๆผมแทน เคลนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะโค้งน้อยๆพร้อมแนะนำตัวออกไปเช่นกัน
“สึกิฮิโตะ เคลนลิเอลครับ”
“โคโตฮาริ ยูครับ”
คุณซินเซียร์ดูแตกต่างจากอิมเมจเจ้าของคลับที่พวกเราคิดไว้ แต่ผมไม่แปลกใจเลยที่เธอจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ แต่ว่า...กว่าจะมายืนจุดนี้ได้ เธอต้องล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหนกันนะ
“ยืนคุยกันตรงนี้คงไม่ดีนัก เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่ามั้ยจ๊ะ” คุณซินเซียร์ไม่รอช้า เธอเดินนำพวกเราเข้าไปในห้องหนึ่งหลังร้าน ที่นี่ประดับประดาอย่างหรูหราไม่แพ้ภายในร้านเลย โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กลางห้องกำลังสาดแสงวิบวับลงไปบนกำแพง
เธอค่อยๆทิ้งตัวลงอย่างสง่างามบนโซฟาภายในห้อง ก่อนจะส่งสายตามาให้พวกเรานั่งลงตรงข้ามเธอ เคลนเดินเข้าไปนั่งก่อนตามมาด้วยผม เรย์ และยู รู้สึกว่าผมจะเลือกที่ได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันอยู่ตรงข้ามคุณซินเซียร์เป๊ะ กดดันจิตใจสุดๆ
“ปกติแล้ว ทุกคนมักจะเรียกเจ๊เซียร์ มากกว่าคุณซินเซียร์นะจ้ะ” เสียงใสๆที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ลอยมา เรย์ยิ้มร่าเลย
“งั้นผมขอเรียกแบบนั้นนะครับ เจ๊เซียร์” คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กับเรย์ ก่อนที่เธอจะกล่าวอนุญาตออกมาเสียงหวาน
“ทุกคนแหละจ้ะ เรียกเจ๊เซียร์ก็ได้นะ”
ไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ แม้แต่ความกล้าที่จะเปิดประเด็นเรื่องวงของพวกเราก็ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ผมเบนสายตาลงต่ำจ้องมองดอกไม้ที่ประดับไว้บนโต๊ะกระจกที่คั่นกลางระหว่างโซฟาทั้งสองฝั่งแทน
“Eternal Night…” แล้วคุณซินเซียร์ก็เปรยขึ้นมา
“ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะจ้ะ” รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
“ยินดีเช่นกันครับ” ผมกล่าวตอบไป ก่อนจะเบนสายตากลับมามองคนตรงหน้า คุยเรื่องงานโดยหลบสายตานายจ้างแบบนั้น คงดูไม่ค่อยเหมาะนัก ผมเลยทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่หลบเลี่ยง
“ถ้าอย่างนั้น...ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ” มันไม่ใช่เวลาที่จะมาประหม่า รอยยิ้มบนใบหน้าคุณซินเซียร์หายไปแทบจะทันทีที่ผมมองเธอด้วยสายตาจริงจัง เธอจ้องผมกลับมาด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่กำลังประเมินผู้น้อย
เรย์หุบรอยยิ้มทันทีที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป แม้แต่ยูยังยืดตัวขึ้นตรงพลางตั้งใจฟัง ส่วนเคลนก็สลัดใบหน้าติดยิ้มทิ้งไปแล้วเช่นกัน
“กำหนดการ การทำงานคือสี่วันต่ออาทิตย์ เป็นจำนวนสองสัปดาห์ถูกมั้ยครับ” เธอพยักหน้าให้ผม
“ปกติวงหน้าใหม่ จะให้ทดลองในวันธรรมดา แต่พวกเธอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถ้าหากใช้ชื่อเสียงนั้นให้เป็นประโยชน์ทำรายได้ให้คลับเราได้ละก็ ฉันยินดีให้เธอแสดงในเวลาโกเด้นไทม์”
ถ้าหากเราได้เวลานั้น ทั้งชื่อเสียงและค่าตัวคงพุ่งขึ้นสูงเชียวละ
“แต่พวกเรามีนักเรียนไฮสคูลอยู่นะครับ” เคลนเหลือบสายตามองผม สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่ฉายออกมาทางแววตาสีฟ้าอ่อน ยังไงเคลนก็เป็นน้อง ผมจะไม่ยอมให้อนาคตมันต้องมาจบเพราะทำงานในที่แบบนี้หรอก
“ตรงนั้นก็เป็นปัญหานะ แต่...” คุณซินเซียร์จ้องเข้ามาในนัยน์ตา สายตาคู่นั้นกดดันไปถึงข้างใน สัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนที่จะต่อรองด้วยได้ง่ายๆ
“พวกเธอมีเสน่ห์ไม่เบา...ถึงจะเป็นปัญหา แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันนะ”
เธอเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง
“ฉันตั้งความหวังกับพวกเธอไว้สูงนะจ้ะ” ราวกับโดนสายตานั้นทิ่มแทง ทิ่มจนร่างติดกับผนัง ทิ่มไว้จนผมสลัดไม่หลุด รู้สึกว่ายังไงก็คงปฏิเสธงานนี้ไม่ได้แน่ๆ น้ำลายในคอหนืดไปหมด
“เพลงของพวกเธอ คงทำให้คลับคึกคักไม่เบา” เธอฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก
“วันที่เราต้องแสดงล่ะครับ”
เธอปรายตามองพวกเราทีละคน จนสุดท้ายก็หันกลับมามองที่ผมอีกครั้ง
“วันพุธถึงวันเสาร์ เป็นไงจ๊ะ”
สี่วันติด...ผมว่ากาแฟคงเอาไม่อยู่แล้วละ
“สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน” เธอหัวเราะเบาๆออกมาด้วย งานหินเลยนะเนี่ย...เหนื่อยตายกันไปข้างแน่ๆ คนที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็เคลนนั้นละ พวกเราที่เหลืออยู่มหาวิทยาลัยแล้วยังพอถูไถเอาตัวรอดไปได้
“แสดงยี่สิบห้านาที พักได้ห้านาที เรื่องเพลงพวกเธอสามารถเล่นได้ตามใจชอบ...ดีออกใช่มั้ยจ๊ะ” แล้วเธอก็ส่งรอยยิ้มมาให้พวกเรา อยากจะยิ้มตอบหรอกนะ...ผมขมวดคิ้วมุ่นคิดทบทวนถึงเวลางาน ยู กับ เรย์ หันมามองเหมือนกำลังรอให้ผมตัดสินใจ
“เรื่องรับลูกค้า...” เรื่องนี้ค่อนข้างคาใจผมที่สุด และก็เป็นห่วงน้องที่สุดด้วย ยูก็อีกคน ส่วนเรย์น่ะหรอ ปล่อยมันไปเถอะ
“ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทำงานของพวกเธอ แต่ถ้าทำให้ด้วยละก็จะขอบคุณมากเลยละจ้ะ”
ทำหรือไม่ทำก็ได้สินะ
“อุปกรณ์บนเวทีล่ะครับ”
“ทางเรามีทีมงานจัดเตรียมให้ ถ้าหากไม่อยากเล่นกีตาร์ของคลับเธอจะนำของเธอมาด้วยก็ไม่มีปัญหาจ้ะ”
แต่แล้วก็มีเรื่องหนึ่งแว๊บขึ้นมาในหัว ผมมองคุณซินเซียร์ ใบหน้าเธอยังประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากเดิม
“ชุดที่จะใส่แสดงล่ะครับ...”
“ปกติแล้วทางคลับจะจัดให้จ้ะ” ผมช็อกกับคำตอบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำตอบที่ได้รับในเวลาต่อมา
“แต่พวกเธอเป็นพนักงานชั่วคราวเพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะปล่อยให้พวกเธอจัดการกันเอง”
ผมยังคิดทบทวนถึงรายละเอียดต่างๆอยู่อีกพักหนึ่ง เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วละนะ
“เริ่มงานพรุ่งนี้ ไม่มีปัญหานะจ๊ะ”
ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมพยักหน้ารับเบาๆได้แต่ตอบออกไปว่า
“ครับ”
คุณซินเซียร์ดูพึงพอใจไม่เบา เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างหวานหยดย้อย
เอาวะ สู้เป็นสู้! ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองเบาๆอยู่ในใจ
หลังจากที่เราออกมาจากห้องของคุณซินเซียร์ เหมือนโดนสูบพลังงานหายไปทั้งตัว เฮ่อ...สายตาแบบนั้น ถึงจะดูเป็นมิตรก็เถอะ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประเมินโดยคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แถมยังรู้สึกว่าถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง
เรย์เดินเข้ามาตบบ่าผมแรงๆ
“เหนื่อยหน่อยนะ คุณลีดเดอร์”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ” เคลนเข้ามาผสมวงด้วยอีกคน
“เหนื่อยหน่อยนะ” ยูด้วย เฮ่อ...พวกนายก็ช่วยฉันมั่งสิ ให้ตายเถอะ
ขากลับพวกเราขึ้นรถไฟกลับมา ยูขอแยกตัวออกไปก่อนเพราะกลับคนละฝั่งกัน ส่วนเรย์ มันยังตามมาก่อกวนถึงในขบวนรถไฟแต่ก็ดีที่มันลงไปก่อนจะถึงสถานีปลายทางของผมกับเคลน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่เราสองพี่น้องในขบวนรถไฟที่มีผู้คนประปราย
“แวะหาอะไรกินก่อนกลับห้องมั้ย” ผมหันไปถามเคลน วันนี้คงทำกับข้าวเองไม่ไหวแล้วละ เคลนพยักหน้าตอบ สุดท้ายเราก็เลยไปหาอะไรทานกันจากในมินิมาร์ทใต้คอนโด
“เคลน ฉันจะกลับไปที่สตูดิโอหน่อย”
“ไปทำไร พี่” เคลนหันมามองอย่างฉงน จะว่ายังไงดีนะ...ผมไม่อยากทิ้งกีตาร์กับรถมอไซค์ไว้ที่นั่น เลยกะจะกลับไปเอา ถ้าไม่กลับไปผมคงนอนไม่หลับแน่ จะบอกว่าเป็นโรคทางจิตใจอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด
“กลับไปเอารถกับกีตาร์หรอ” ผมพยักหน้าตอบเคลนไป มันถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบกลับมา
“หยิบเบสกลับมาด้วยก็ดีนะ” แล้วฉันจะขับรถท่าไหนล่ะนั่นน่ะ
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- แอมป์ = ในที่นี้เราพูดถึงแอมป์กีตาร์ครับ มิใช่แอมป์ที่เป็นหน่วยไฟฟ้า(หัวเราะ) พูดให้เข้าใจง่ายมันคือลำโพงสำหรับกีตาร์นั่นเองครับ
- เอฟเฟคกีต้าร์ = เป็นออฟชั่นอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับเปลี่ยนเสียงกีตาร์ครับ เราจะได้ยินบ่อยๆในท่อนกีตาร์โซโล จะทำให้ได้เสียงกีตาร์แปลกๆครับ เช่น เสียงแตก เสียงเอคโค่(สะท้อน) อยู่ที่ประเภทเอฟเฟคที่เราเลือกใช้ครับ
ขอบคุณทุกท่านคับ // โค้งRaf Rafael
(58/06/25)
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ