Eternal Night The second of heartbeat.

7.7

เขียนโดย Rafael

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  14.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) HEART BEAT second 06

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
HEART BEAT second 06
Raf Rafael
            ไม่นานนักผมก็มาถึงที่หมาย ที่นี่เป็นตึกไม่เล็กไม่ใหญ่ตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนนพอดิบพอดีชั้นหนึ่งเป็นกระจกใสรอบด้านสามารถมองเห็นภายในอาคาร ด้านในเป็นบรรดาเครื่องดนตรีสากลหลากชนิดตั้งเรียงรายโชว์ตัวอยู่บนแท่นโชว์ บางตัวที่เป็นลิมิตเต็ดก็จะวางอยู่บนแท่นยกระดับดูราวกับของล้ำค่า ส่วนชั้นสองและชั้นสามสามารถมองทะลุเข้าไปได้เช่นกันเพียงแต่ตอนนี้มีผ้าม่านสีทึบบดบังสายตาภายนอกไว้
            ผมเลี้ยวรถเข้าไปด้านใต้อาคารอย่างไม่ลังเล เป็นชั้นใต้ดินไว้สำหรับจอดรถสำหรับลูกค้าและผู้เข้ามาใช้งาน ที่นี่เป็นสตูดิโอที่สิงสถิตของพวกเราเป็นทั้งห้องซ้อมและห้องนอนในตัว แต่เพราะต้องเตรียมตัวสอบสำหรับเรียนต่อมหาวิทยาลัยช่วงสามสี่เดือนที่ผ่านมาพวกผมเลยไม่ได้เข้ามาที่นี่เลย
            หลังจากจอดรถให้เข้าที่เข้าทาง ผมเดินขึ้นมาด้านในร้านจากทางทะลุชั้นใต้ดิน มันเหมือนทางเข้าหลังร้านซะมากกว่า แต่ก็เดินเข้าเดินออกทางนี้จนชิน
            “อ้าว...บลัด กลับมาซ้อมได้แล้วดิ” ผมหันมองตามเสียงก่อนจะค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทาย ชายหนุ่มวัยกลางคนคนหนึ่ง ผมสีดำนิลถูกรวบไว้ลวกๆที่ด้านหลัง ใบหน้าติดยิ้ม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับพื้นมหาสุทรกำลังหรี่ลงน้อยๆ
            “ไม่เจอกันนานนะครับ พี่อาโอ” พี่อาโอเป็นเจ้าของตึกนี้ พวกผมเช่าห้องซ้อมถาวรไว้ที่ชั้นสาม จริงๆก็ไม่เชิงเช่า ต้องบอกว่ายึดพื้นที่น่าจะเข้าข่ายกว่า พี่อาโอก็ใจดี ให้อภิสิทธิ์ชั้นสามแก่หนุ่มๆวง Eternal Night เต็มที่ แลกกับการลงมาเรียกลูกค้าหรือเล่นเป็นตัวอย่างให้ลูกค้าบ้างตามแต่โอกาส หากพวกเราอยู่ละนะ พูดง่ายๆ ก็มาอยู่ให้พี่อาโอใช้งานไปด้วยในตัว ส่วนชั้นสองพี่อาโอเปิดเป็นสตูดิโอให้เช่าเป็นรายชั่วโมง ที่นี่ก็เหมือนเป็นหอพักรวมของพวกเราละมั้ง...ส่วนพวกเรามาสิงอยู่ที่นี่ได้ยังไง คงต้องย้อนความกันเป็นวันๆกว่าจะจบ
            “ได้ข่าวจากเรย์ว่ามีงานเข้ามาแล้วนี่” เสียงของพี่อาโอตื่นเต้นอย่างไม่ปิดบัง เมื่อก่อนพี่อาโอเป็นนายหน้าหางานให้พวกเราอยู่บ่อยๆ ค่าตัวพวกเราพี่อาโอก็ได้เปอร์เซ็นไปไม่น้อย แถมบอกว่าขายพวกเราได้ทั้งค่าหน้าตาและค่าฝีมือ เลี้ยงไว้ไม่เสียหาย...นี่คงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่พวกเราได้ครองชั้นสาม
ผมได้แต่พยักหน้ารับคำ งานนี้เรย์มันพูดเองเออเองรับเองต่างหาก จะพูดได้อย่างเต็มปากไหมนะว่าพวกเรารับงานแล้ว เรียกว่าถูกมัดมือชกจะดีกว่า
            “ไว้เจอกันละกัน ลูกค้ารอนานละ” พี่อาโอโบกมือให้พร้อมกับออกวิ่งกลับไปที่ด้านหน้าร้าน ผมเลยแยกตัวเดินขึ้นไปบนบันไดที่คุ้นชิน ระหว่างที่คิดอะไรไปเพลินๆเสียงของเรย์ก็ดังขึ้นดึงสติผมกลับมา
            “ไง คุณลีดเดอร์ ช้าไปสามนาทีนะ”
            ผมเงยหน้าขึ้นมองเรย์ที่ยืนอยู่บนระเบียงบันไดชั้นสาม มันส่งยิ้มทะเล้นมาให้ดูท่าจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่ากีตาร์ผมแพงกว่าค่าประกันชีวิตมัน ผมอาจจะเหวี่ยงกีตาร์ลอยไปแล้วก็ได้
            “พอดีเจอพี่อาโอ” ผมก้าวเดินขึ้นไปบนบันได จนมาหยุดอยู่บนพื้นในระดับเดียวกับเรย์ มันเดินนำเข้าไปในห้องซ้อมก่อน พอก้าวเข้าไปในห้อง ก็มีอีกสองสายตามองต้อนรับมาก่อนอยู่แล้ว สายตาแรกคือเคลน เหมือนเคลนจะเพิ่งมาถึงไม่นานเพราะมันกำลังขะมักเขม้นอยู่กับการต่อแอมป์เข้ากับเบส ส่วนอีกคน...
            หนุ่มผิวเข้มเพียงคนเดียวในวง เรือนผมสีน้ำตาลเข้มซอยสั้นจนเห็นทรงศีรษะกลมมนอย่างชัดเจน กับนัยน์ตาสีฮาเซลที่ไม่ไหวติงกับสิ่งใด โคโตฮาริ ยู... ยู เป็นมืออิเลคโทนของวงเรา หากเรย์เรียกได้ว่าพูดมาก ยูคงเรียกว่าพูดน้อยถึงน้อยที่สุด ยูจ้องมองผมนิ่งๆมาจากโซฟาด้านหนึ่งของห้อง
            “ไง” ผมเดินเข้าไปทักยูก่อน ยูพยักหน้ารับคำเบาๆแต่นอกจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เรารู้จักกันตอนเรียนไฮสคูล ตอนนั้นเรย์เป็นฝ่ายเข้าไปคุยกับยูก่อน เพราะบุคลิกที่ดูเข้าถึงได้ยากของยูทำให้คนอื่นไม่ค่อยเข้าไปคุยด้วยเท่าไหร่ แต่พอรู้ว่ายูเล่นอิเลคโทนได้ เราก็เริ่มทาบทามเข้ามาเล่นกับวง จนลากเข้ามาในวงได้สำเร็จ
            จริงๆ...เรย์แค่ถามว่ามาเล่นด้วยกันไหม ยูก็พยักหน้าตอบตกลงแบบ งงๆ ทั้งๆที่พวกเราคิดค้นสารพันวิธี ร้อยแปดพันเก้าในการล่อหลอกยูเข้าวง แต่กลับไม่ได้ใช้สักวิธี ถึงยูจะเป็นคนแบบนั้น แต่ก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาก็พิสูจน์มาหลายครั้งแล้วว่าที่เรารับยูเข้ามาในวงไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิด
            “ซ้อมเลยมั้ย” ในที่สุดยูก็เอ่ยปาก เวลายูพูดออกมาสักคำราวกับเรื่องมหัศจรรย์ของโลก เชื่อไหมถึงยูจะพูดกับพวกเรานับคำได้ แต่ในสายตาคนอื่นถือว่ายูพูดเยอะมากกับพวกเรา คงเป็นการแสดงออกถึงความสนิทสนมในแบบของยูละนะ
            “แป๊บนะ ขออู้แป๊บ” ผมพูดติดตลก ยูพยักหน้ารับน้อยๆตามเดิม แล้วก็นั่งเงียบๆอยู่ที่เดิม เฮ่อ...ผมไม่มีความสามารถในการพูดคนเดียวเหมือนเรย์ ผมเลยตัดสินใจไปนั่งลงข้างๆเคลน ระหว่างที่มันกำลังซ้อมมืออยู่กับเบส
            “ไม่รีบต่อแอมป์เดี๋ยวก็ไม่ได้ซ้อมกันพอดีหรอก พี่”
            “ครับ คร๊าบ” ผมทิ้งตัวลงอย่างไม่เกรงใจ พลางกวาดสายตามองรอบๆห้องซ้อม ห้องซ้อมของพวกเราค่อนข้างใหญ่พอตัว กลองชุดของเรย์ วางจองมุมหนึ่งของห้องไปเต็มๆ แถมมีกลองชุดสำรองวางอยู่ข้างๆไม่ใกล้ไม่ไกล อิเลคโทนแบบแป้นสองชั้นของยูก็วางถัดมาจากกลองของเรย์ไม่ไกลนัก ส่วนมุมที่ผมกับเคลนนั่งอยู่เป็นมุมที่รวมอุปกรณ์ของเบสและกีตาร์ไว้ตรงนี้เป็นส่วนใหญ่ กีตาร์ไฟฟ้าตัวสำรองของผมก็อยู่ที่นี่สองตัว เบสของเคลนก็อยู่ที่นี่อีกสองตัว ยังไม่นับรวมมุมโซฟาที่ยูกำลังนั่งอยู่ตอนนี้ ตรงนั้นเป็นจุดรวบรวมหมอนผ้าห่มและฟูกไว้อย่างครบครัน เผื่อวันไหนที่ซ้อมกันจนใกล้ตาย เราก็นอนกันที่นี่เลยนั่นแหละ
            ผมเด้งตัวขึ้นมาจัดการเสียบปลั๊กนู่นนี่เข้ากับปลั๊กพ่วง หลังจากหยิบเอฟเฟคกีตาร์ออกมาต่อสองสามก้อน ผมก็หันไปจัดการกับแอมป์ต่อก่อนจะเสียบสายเข้ากับกีตาร์สีดำที่ผมเอามาด้วย ระหว่างที่เริ่มตั้งเสียง ทุกคนก็เริ่มเข้าประจำที่
            เมื่อเริ่มดีดอินโทรเพลงขึ้นมา เรย์ก็รู้งานเคาะจังหวะกลองตามมาทันที เคลนเป็นลูกล้อรับกับเรย์ตามมาแทบจะจังหวะเดียวกัน ส่วนยูฟังอินโทรไปแค่ไม่กี่วิก็เล่นตามมาได้อย่างไม่ต้องนัด ถึงแม้ผมจะไม่ได้อ้าปากร้อง แต่จังหวะเพลง ทั้งเสียงเมโลดี้ ฮาโมนี่ ไม่ได้เพี๊ยนไปจากเมื่อสี่ห้าเดือนก่อน
            ราวกับฟื้นคืนชีพจากความเหนื่อยล้าทั้งปวง พอได้ปล่อยตัวให้จมลงไปในเสียงเพลงของ Eternal Night นี่แหละ...เสียงเพลงของพวกเรา
 
            จนเวลาล่วงเลยมาหลังพระอาทิตย์ตก พวกเราทั้งสี่คนก็มานั่งปรึกษากันตรงมุมโซฟาของห้อง เหมือนอีกไม่นานเราต้องไปมอบตัวเข้าแก๊งผิดกฏหมายอะไรสักอย่าง ถึงได้มาสุมหัวคุยเรื่องร้านกันอยู่นี่
            “คิดว่าเจ้าของร้านเป็นผู้หญิง ผู้ชายวะ” เรย์เปิดประเด็นเรื่องนี้มาพวกเราที่เหลือก็ได้แต่มองหน้ากัน
            “แกไปดื่มบ่อยสุดไม่ใช่หรอวะ” ผมผลักประเด็นมันกลับไป จะไปรู้ได้ยังไงตลอดเวลาผมก็อยู่แต่ในร้านเบเกอรี่ ส่วนเคลนนอกจากไปเรียนแล้วก็อยู่ที่คอนโด ยูต้องเดินทางไปกลับระหว่างมหาวิทยาลัยกับหอพักคิดว่าคงไม่ได้ไปเที่ยวไหนหรอก มีแต่เจ้าเรย์เนี่ยแหละที่เที่ยวเก่งกว่าเพื่อน
            “สาวใหญ่ก็ดีน้า สวยๆยิ่งแหล่มเลย” ขนาดเจ้าของร้านแกยังไม่ละเว้น
            “ตื่นเต้นปะ” เรย์กวาดสายตามองใบหน้าพวกเราทีละคน เหมือนย้อนกลับไปทำงานกับพี่อาโออีกครั้ง ตอนนั้นเราเดินสายไปทั่วตามแต่พี่อาโอจะพาไป จนตอนนี้ผมเลยชักชินเวทีซะแล้ว จึงได้แต่ยักไหล่ตอบมันไป
            “นิดหน่อยนะครับ” เคลนเป็นคนตอบเรย์ไป แต่ผมไม่เชื่อหรอกว่าคนอย่างเคลนจะตื่นเวที
            “งานนี้บลัดคงกวาดสาวๆไปอีกแน่เลยวะ” เรย์หันมาแซะเข้าทีหนึ่ง ผมมองมันตาขวางก่อนจะแซะกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้
            “ฉันน่ะเป็นแค่อาหารตา ไม่ได้ล่ออาหารกายแบบแก” เรย์หัวเราะร่าตอบกลับมา มันรู้สึกบ้างไหมเนี่ย
            “ยูทำงานดึกๆไม่เป็นไรรึ” ผมเลิกสนใจเรย์ที่กำลังอวดสรรพคุณล้านแปดในการจีบสาวของมัน หันไปถามเพื่อนผู้ไม่พูดไม่จาแทน ยูหันมองก่อนตอบกลับมาโดยไม่ต้องคิด
            “อยู่ห้องคนเดียว ไม่มีปัญหา”
            ก็ตามนั้น... สรุปคือพวกเราทั้งสี่คนตอนนี้ไม่มีใครอยู่กับครอบครัว เรื่องเวลาเลยไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่ ถ้าผมไม่ติดงาน หรือ เรย์ไม่ติดสาวที่ไหน เวลาที่เหลือของพวกเราก็จะมาขลุกกันอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้ผมไม่ใช่นักเรียนไฮสคลูแล้ว เลยค่อนข้างจะต้องจัดตารางชีวิตใหม่จนหัวหมุน ปีนี้เคลนต้องเตรียมตัวสอบแล้วด้วย รู้สึกมีแต่เรื่องเต็มไปหมด
            “แล้วจะไปที่ร้านกันเมื่อไหร่” เสียงเรย์ลอยกลับมาเข้าหู
            นั่นละที่คิดอยู่
            “จะไปกันยังไง” ไม่รู้พิกัดร้านที่แน่นอนด้วยสิ เหมือนคนที่จะนำทางไปได้มีแค่เรย์คนเดียว มันกวาดสายตามองพวกเราทุกคนอีกครั้ง ก่อนจะยักไหล่อย่างไม่อินังขังขอบ
            “แท็กซี่น่าจะง่ายสุดว่ะ” พวกเรามองหน้ากันอีกครั้งหนึ่ง ก็เหมือนจะเป็นทางเลือกเดียวตอนนี้น่ะนะ
 
            แล้วพวกเราก็ตัดสินใจขึ้นแท็กซี่กันมาจริงๆ อย่าเพิ่งถามราคา มันชีช้ำ มันง่ายจริงว้อย! แต่ไม่เห็นบอกว่าไกลขนาดนี้รู้งี้มารถไฟเหมือนเดิมแล้วค่อยมาต่อแท็กซี่ใกล้ๆก็ได้
ผมไม่รู้จะหันไปหักคอ หรือหั่นคอเรย์ทิ้งดี ถึงพวกเราจะหารกันก็เถอะ แต่ผมก็ต้องจ่ายแทนในส่วนของเคลนด้วย แม้แต่ยู ถึงมันจะไม่บ่นอะไรแต่หน้าซีดแบบนั้น เดือนนี้คงได้ทักทายราเมงสำเร็จรูปกันแน่ๆ มีแต่เรย์นั้นละที่ยังหัวเราะร่าอยู่คนเดียว
            ตอนนี้เรามาถึงหน้าคลับแล้ว อลังการกว่าที่คาดไว้เยอะทีเดียว พื้นที่คลับทั้งหมดน่าจะรวมร้านแถวๆนั้นมาตั้งเรียงกันสักสี่ห้าร้านถึงจะเท่าคลับนี้ แถมที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นมงกุฎอันเบ้อเริ่มตรงซุ้มประตูทางเข้าร้าน ด้านใต้มงกุฎมีอักษรตัวโตๆอยู่ว่า “Alpha Jewelry”
            แน่ใจนะว่ามาถูกที่...ผมเงยหน้ามองมงกุฎอีกครั้ง ลักษณะเป็นมงกุฎห้ายอด แต่ละยอดมีรูปใหญ่ขนาดเกินคนจริงอยู่ด้านในคิดว่าน่าจะเป็นพวกท๊อปไฟว์ของที่นี่
            “จะยืนอีกนานมั้ยวะ” เรย์หันมาเร่งพวกเรา ผมยังมองหน้ามันสลับกับหน้าร้าน ยกเลิกงานตอนนี้ทันไหมนะ
            แต่จนแล้วจนรอดพวกเราทั้งสามคนก็โดนเรย์ผลักเข้ามาในร้านจนได้ บริกรจัดโต๊ะให้พวกเราโต๊ะหนึ่ง หลังจากนั้นเรย์ก็มุดหายเข้าไปหลังร้าน คงจะมาเที่ยวจนเซียนแล้วสิท่า...ผมลอบถอนหายใจ
            ระหว่างที่เคลนกับยูกำลังไล่อ่านเมนูบนจอทัชสกรีนที่ฝังอยู่บนโต๊ะแต่ละมุม ผมกวาดสายตามองภายในร้าน ร้านนี้สมชื่อ Jewelry จริงๆ ผนังโดยรอบประดับประดาด้วยเพชรพลอยมหาศาล ไม่รู้ว่าใช้เพชรจริงรึเปล่า แต่เมื่อเพชรพลอยพวกนั้นกระทบแสงไฟ พวกมันเปล่งประกายแวววาวออกมาจนแสบตา แม้แต่เครื่องแก้วที่ใส่น้ำเปล่ามาเสริฟก็สวยสดราวกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนอย่างประณีตบรรจง
โต๊ะภายในร้านค่อนข้างแยกความเป็นส่วนตัวให้ลูกค้าเป็นอย่างดีแต่บริกรสามารถบริการได้อย่างทั่วถึง โต๊ะแต่ละตัวถูกจัดเป็นกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะมีสี่โต๊ะเหมือนกับสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่โดนตัดแบ่งสี่ส่วนเท่าๆกัน และแต่ละส่วนของสี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้นจะเป็นโซฟารูปตัวยู ตรงกลางเป็นโต๊ะกระจกใส ด้านที่ไม่มีโซฟาก็คือทางเข้าออกของแต่ละโต๊ะเพราะนอกจากทางเข้าออกแล้วส่วนอื่นจะเป็นกำแพงสูงที่ประดับประดาไปด้วยเพชรพลอยคั่นระหว่างโต๊ะแต่ละโต๊ะ กำแพงที่คั่นระหว่างโต๊ะก็ค่อนข้างสูงทำให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะถูกแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง
ผมนั่งอยู่ที่โซฟาด้านในสุดทำให้รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย โซฟาทางขวามือมีเคลนนั่งอยู่ โซฟาทางซ้ายมือก็มียูนั่งอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนประธานหัวโต๊ะก็ไม่ปาน ถ้าหากโซฟาทั้งสองฝากเป็นสาวๆที่มารุมล้อมละก็ คงให้ความรู้สึกราวกับราชาจริงๆ มิน่าล่ะ...เรย์ มันถึงได้เที่ยวเก่งนัก
แต่นอกจากโต๊ะธรรมดาที่พวกเรานั่งอยู่แล้ว กำแพงร้านทั้งสองฝั่งยังมีมู่ลี่ที่ถักถอจากเพชรนิลจินดากระจายตัวอยู่ตามแต่ละด้านของกำแพงข้างใต้มู่ลี่เป็นผ้าม่านสีขาวสะอาด บุคคลภายนอกไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ข้างใต้มู่ลี่ได้เลย แต่มีคนเดินเข้าเดินออกจากภายในห้องที่ถูกปิดมิดชิดนั้น ถ้าให้เดา น่าจะเป็นพวก แขก V.I.P. ละมั้ง
แต่สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นที่สุดในร้าน ไม่ใช่โต๊ะที่แวววับ ไม่ใช่เพชรนิลจินดาที่รายล้อม แต่มันคือเวทีที่ใช้จัดแสดงของร้าน เวทีใหญ่อยู่ด้านในสุด เวทีถูกยกระดับขึ้นไปสูงจนคิดว่าลูกค้าที่นั่งอยู่ในโต๊ะแต่ละโต๊ะน่าจะมองเห็นการแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจน แถมจอทัชสกรีนที่ใช้สั่งอาหารเมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้เมนูสั่งอาหารอยู่มันจะกลายเป็นจอมอร์นิเตอร์ถ่ายทอดการแสดงบนเวทีแทน หมายความว่าแค่เราก้าวขึ้นไปบนเวทีนั้นสายตาทุกคู่ภายในร้านก็จะมองมาที่เราอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
นอกจากเวทีใหญ่ด้านในแล้ว ยังมีเวทีทรงกลมที่ตั้งอยู่ ณ ใจกลางของร้าน เวทีนี้น่ากลัวกว่าหน่อยเพราะลูกค้าสามารถมองเราได้ทั้งสามร้อยหกสิบองศาหวังว่าจะไม่ได้ขึ้นเวทีนี้นะ ถ้าแม้แต่ด้านหลังยังโดนจ้องมองผมรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างสุดซึ้ง แล้วจะร้องเพลงออกได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
หลังจากพวกเราสามคนนั่งมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งเรย์ก็โผล่มาพร้อมกับข่าวที่ทำให้พวกเราทั้งหมดใจเต้นระทึก
“เจ๊อยากเจอ ปะ!” เรย์ส่งยิ้มทะเล้นมาให้พวกเราทั้งสามคน ผมถอนหายใจหนักๆก่อนจะลุกขึ้นก้าวตามมันไป
ถ้าบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลย ก็คงโกหกตัวเองด้วยละนะ
 
            และแล้วพวกเราก็เดิมตามเรย์มาด้านหลังเวทีใหญ่ ด้านในนี้เหมือนจะเป็นที่สำหรับให้พนักงานพักผ่อนด้วย มีโซฟาเป็นกลุ่มๆวางไว้หลายจุด เครื่องดนตรีก็วางเรียงรายอยู่มุมหนึ่ง นักแสดงหลายคนแต่งตัวอู้ฟู่ อลังการเข้ากับคอนเซปต์เพชรพลอยสุดๆ บางคนก็นุ่งน้อยห่มน้อยซะจนเขินที่จะมอง ได้แต่ภาวนาว่า...ชุดขึ้นเวทีของพวกเราหวังว่าจะได้เลือกกันเองนะ
            ผมมองนักแสดงคนนู้นทีคนนี้ทีอย่างสนใจ จนสายตาไปสะดุดเข้ากับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินตรงเข้ามาหาพวกเรา ริมฝีปากสีแดงสดเป็นสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตา ใบหน้าเรียวยาวรับกับผมสีดำขลับที่สยายอยู่บนแผ่นหลัง ผมหน้ายาวลงมาบดบังดวงตาของเธอไปข้างหนึ่ง แต่นัยน์ตาสีเทาหม่นก็ยังโดดเด่นจนเผลอจ้องมองไปโดยไม่รู้ตัว แก้มสีชมพูระเรื่อ กับทรวดทรงองเอวที่คอดกิ่วถูกบดบังไว้ด้วยชุดราตรีรัดรูปสีชมพูอ่อน แขนอันบอบบางของเธอยังมีขนนกพวงใหญ่เกี่ยวกวัดไว้ ผมพนันได้เลยว่าผู้ชายร้อยทั้งร้อยต้องสยบเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ แม้แต่ผมเองยังรู้สึกหวั่นๆเลย...แต่ทว่า รัศมีที่เปล่งออกมาจากเธอนั้น ทำให้รู้สึกว่าเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ที่มิอาจจับต้อง
            “ขอแนะนำให้รู้จัก...” เรย์หันกลับมามองพวกเรา พร้อมกับผายมือไปทางคุณผู้หญิงคนนั้น
            “คุณซินเซียร์ เจ้าของคลับนี้” พวกผมโค้งตัวลงกันแทบไม่ทันหลังจากได้ยินสถานะของคนตรงหน้า เท่ากับว่า คนคนนี้เป็นผู้ว่าจ้างพวกเราสินะ
            “ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ” เสียงก็ยังหวานหยดมีมนุษย์เพศชายกี่คนแล้วนะ ที่ยอมถวายตัวให้เธอแบบไม่คิดชีวิต
            หลังจากพวกผมเงยหน้าขึ้น ยืดตัวเต็มความสูงอีกครั้ง คุณซินเซียร์ส่งยิ้มมาให้พวกเรา เมื่อริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มออก รู้สึกว่าร่างกายชาไปพักหนึ่ง...ราวกับโดนรอยยิ้มนั่นสะกดไว้
            “คนนี้หรอเจ้าของเสียงร้อง” อยู่ๆคุณซินเซียร์ก็เดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับยื่นมือมาไล้แก้มเบาๆ ผมถึงกับอึกอักพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่
            “บลัด...” เรย์เดินเข้ามาสะกิดแขนเบาๆ ตอนนั้นล่ะผมถึงได้รู้สึกตัวว่ากำลังเสียมารยาท
            “สึกิฮิโตะ บลัดเทียครับ” ผมค้อมตัวลงเล็กน้อยเพื่อแนะนำตัว คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักออกมาจากลำคอ ก่อนจะพยักหน้ารับคำ เธอเบนสายตาไปมองอีกสองคนที่อยู่ข้างๆผมแทน เคลนสะดุ้งสุดตัวก่อนจะโค้งน้อยๆพร้อมแนะนำตัวออกไปเช่นกัน
            “สึกิฮิโตะ เคลนลิเอลครับ”
            “โคโตฮาริ ยูครับ”
            คุณซินเซียร์ดูแตกต่างจากอิมเมจเจ้าของคลับที่พวกเราคิดไว้ แต่ผมไม่แปลกใจเลยที่เธอจะมายืนอยู่ ณ จุดนี้ แต่ว่า...กว่าจะมายืนจุดนี้ได้ เธอต้องล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหนกันนะ
            “ยืนคุยกันตรงนี้คงไม่ดีนัก เราไปหาที่นั่งคุยกันดีกว่ามั้ยจ๊ะ” คุณซินเซียร์ไม่รอช้า เธอเดินนำพวกเราเข้าไปในห้องหนึ่งหลังร้าน ที่นี่ประดับประดาอย่างหรูหราไม่แพ้ภายในร้านเลย โคมไฟคริสตัลขนาดใหญ่ที่แขวนไว้กลางห้องกำลังสาดแสงวิบวับลงไปบนกำแพง
            เธอค่อยๆทิ้งตัวลงอย่างสง่างามบนโซฟาภายในห้อง ก่อนจะส่งสายตามาให้พวกเรานั่งลงตรงข้ามเธอ  เคลนเดินเข้าไปนั่งก่อนตามมาด้วยผม เรย์ และยู รู้สึกว่าผมจะเลือกที่ได้ไม่ดีเท่าไหร่ มันอยู่ตรงข้ามคุณซินเซียร์เป๊ะ กดดันจิตใจสุดๆ
            “ปกติแล้ว ทุกคนมักจะเรียกเจ๊เซียร์ มากกว่าคุณซินเซียร์นะจ้ะ” เสียงใสๆที่ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ลอยมา เรย์ยิ้มร่าเลย
            “งั้นผมขอเรียกแบบนั้นนะครับ เจ๊เซียร์” คุณซินเซียร์ส่งเสียงหัวเราะคิกคักให้กับเรย์ ก่อนที่เธอจะกล่าวอนุญาตออกมาเสียงหวาน
            “ทุกคนแหละจ้ะ เรียกเจ๊เซียร์ก็ได้นะ”
            ไม่รู้จะตอบอะไรจริงๆ แม้แต่ความกล้าที่จะเปิดประเด็นเรื่องวงของพวกเราก็ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ผมเบนสายตาลงต่ำจ้องมองดอกไม้ที่ประดับไว้บนโต๊ะกระจกที่คั่นกลางระหว่างโซฟาทั้งสองฝั่งแทน
            “Eternal Night…” แล้วคุณซินเซียร์ก็เปรยขึ้นมา
            “ยินดีที่ได้ทำงานร่วมกันนะจ้ะ” รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว
            “ยินดีเช่นกันครับ” ผมกล่าวตอบไป ก่อนจะเบนสายตากลับมามองคนตรงหน้า คุยเรื่องงานโดยหลบสายตานายจ้างแบบนั้น คงดูไม่ค่อยเหมาะนัก ผมเลยทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่หลบเลี่ยง
            “ถ้าอย่างนั้น...ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยแล้วกันครับ” มันไม่ใช่เวลาที่จะมาประหม่า รอยยิ้มบนใบหน้าคุณซินเซียร์หายไปแทบจะทันทีที่ผมมองเธอด้วยสายตาจริงจัง เธอจ้องผมกลับมาด้วยสายตาของผู้ใหญ่ที่กำลังประเมินผู้น้อย
            เรย์หุบรอยยิ้มทันทีที่บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป แม้แต่ยูยังยืดตัวขึ้นตรงพลางตั้งใจฟัง ส่วนเคลนก็สลัดใบหน้าติดยิ้มทิ้งไปแล้วเช่นกัน
            “กำหนดการ การทำงานคือสี่วันต่ออาทิตย์ เป็นจำนวนสองสัปดาห์ถูกมั้ยครับ” เธอพยักหน้าให้ผม
            “ปกติวงหน้าใหม่ จะให้ทดลองในวันธรรมดา แต่พวกเธอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ถ้าหากใช้ชื่อเสียงนั้นให้เป็นประโยชน์ทำรายได้ให้คลับเราได้ละก็ ฉันยินดีให้เธอแสดงในเวลาโกเด้นไทม์”
            ถ้าหากเราได้เวลานั้น ทั้งชื่อเสียงและค่าตัวคงพุ่งขึ้นสูงเชียวละ
            “แต่พวกเรามีนักเรียนไฮสคูลอยู่นะครับ” เคลนเหลือบสายตามองผม สัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจที่ฉายออกมาทางแววตาสีฟ้าอ่อน ยังไงเคลนก็เป็นน้อง ผมจะไม่ยอมให้อนาคตมันต้องมาจบเพราะทำงานในที่แบบนี้หรอก
            “ตรงนั้นก็เป็นปัญหานะ แต่...” คุณซินเซียร์จ้องเข้ามาในนัยน์ตา สายตาคู่นั้นกดดันไปถึงข้างใน สัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่ใช่คนที่จะต่อรองด้วยได้ง่ายๆ
            “พวกเธอมีเสน่ห์ไม่เบา...ถึงจะเป็นปัญหา แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันนะ”
            เธอเว้นจังหวะไปพักหนึ่ง
            “ฉันตั้งความหวังกับพวกเธอไว้สูงนะจ้ะ” ราวกับโดนสายตานั้นทิ่มแทง ทิ่มจนร่างติดกับผนัง ทิ่มไว้จนผมสลัดไม่หลุด รู้สึกว่ายังไงก็คงปฏิเสธงานนี้ไม่ได้แน่ๆ น้ำลายในคอหนืดไปหมด
            “เพลงของพวกเธอ คงทำให้คลับคึกคักไม่เบา” เธอฉีกยิ้มหัวเราะคิกคัก
            “วันที่เราต้องแสดงล่ะครับ”
            เธอปรายตามองพวกเราทีละคน จนสุดท้ายก็หันกลับมามองที่ผมอีกครั้ง
            “วันพุธถึงวันเสาร์ เป็นไงจ๊ะ”
            สี่วันติด...ผมว่ากาแฟคงเอาไม่อยู่แล้วละ
            “สี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน” เธอหัวเราะเบาๆออกมาด้วย งานหินเลยนะเนี่ย...เหนื่อยตายกันไปข้างแน่ๆ คนที่ผมเป็นห่วงที่สุดก็เคลนนั้นละ พวกเราที่เหลืออยู่มหาวิทยาลัยแล้วยังพอถูไถเอาตัวรอดไปได้
            “แสดงยี่สิบห้านาที พักได้ห้านาที เรื่องเพลงพวกเธอสามารถเล่นได้ตามใจชอบ...ดีออกใช่มั้ยจ๊ะ” แล้วเธอก็ส่งรอยยิ้มมาให้พวกเรา อยากจะยิ้มตอบหรอกนะ...ผมขมวดคิ้วมุ่นคิดทบทวนถึงเวลางาน ยู กับ เรย์ หันมามองเหมือนกำลังรอให้ผมตัดสินใจ
            “เรื่องรับลูกค้า...” เรื่องนี้ค่อนข้างคาใจผมที่สุด และก็เป็นห่วงน้องที่สุดด้วย ยูก็อีกคน ส่วนเรย์น่ะหรอ ปล่อยมันไปเถอะ
            “ไม่ได้อยู่ในขอบเขตการทำงานของพวกเธอ แต่ถ้าทำให้ด้วยละก็จะขอบคุณมากเลยละจ้ะ”
ทำหรือไม่ทำก็ได้สินะ
            “อุปกรณ์บนเวทีล่ะครับ”
            “ทางเรามีทีมงานจัดเตรียมให้ ถ้าหากไม่อยากเล่นกีตาร์ของคลับเธอจะนำของเธอมาด้วยก็ไม่มีปัญหาจ้ะ”
            แต่แล้วก็มีเรื่องหนึ่งแว๊บขึ้นมาในหัว ผมมองคุณซินเซียร์ ใบหน้าเธอยังประดับไปด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากเดิม
            “ชุดที่จะใส่แสดงล่ะครับ...”
            “ปกติแล้วทางคลับจะจัดให้จ้ะ” ผมช็อกกับคำตอบไปพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่กับคำตอบที่ได้รับในเวลาต่อมา
            “แต่พวกเธอเป็นพนักงานชั่วคราวเพราะฉะนั้นเรื่องนี้จะปล่อยให้พวกเธอจัดการกันเอง”
            ผมยังคิดทบทวนถึงรายละเอียดต่างๆอยู่อีกพักหนึ่ง เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วละนะ
            “เริ่มงานพรุ่งนี้ ไม่มีปัญหานะจ๊ะ”
            ทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม ผมพยักหน้ารับเบาๆได้แต่ตอบออกไปว่า
“ครับ”
คุณซินเซียร์ดูพึงพอใจไม่เบา เธอถึงได้ฉีกยิ้มกว้างหวานหยดย้อย
            เอาวะ สู้เป็นสู้! ผมได้แต่ให้กำลังใจตัวเองเบาๆอยู่ในใจ
 
            หลังจากที่เราออกมาจากห้องของคุณซินเซียร์ เหมือนโดนสูบพลังงานหายไปทั้งตัว เฮ่อ...สายตาแบบนั้น ถึงจะดูเป็นมิตรก็เถอะ แต่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกประเมินโดยคนที่มีประสบการณ์มากกว่าอยู่ตลอดเวลา ไม่ชอบใจอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน แถมยังรู้สึกว่าถูกมองออกทะลุปรุโปร่ง
            เรย์เดินเข้ามาตบบ่าผมแรงๆ
            “เหนื่อยหน่อยนะ คุณลีดเดอร์”
            “เหนื่อยหน่อยนะครับ” เคลนเข้ามาผสมวงด้วยอีกคน
            “เหนื่อยหน่อยนะ” ยูด้วย เฮ่อ...พวกนายก็ช่วยฉันมั่งสิ ให้ตายเถอะ
 
            ขากลับพวกเราขึ้นรถไฟกลับมา ยูขอแยกตัวออกไปก่อนเพราะกลับคนละฝั่งกัน ส่วนเรย์ มันยังตามมาก่อกวนถึงในขบวนรถไฟแต่ก็ดีที่มันลงไปก่อนจะถึงสถานีปลายทางของผมกับเคลน ตอนนี้ก็เลยเหลือแค่เราสองพี่น้องในขบวนรถไฟที่มีผู้คนประปราย
            “แวะหาอะไรกินก่อนกลับห้องมั้ย” ผมหันไปถามเคลน วันนี้คงทำกับข้าวเองไม่ไหวแล้วละ เคลนพยักหน้าตอบ สุดท้ายเราก็เลยไปหาอะไรทานกันจากในมินิมาร์ทใต้คอนโด
            “เคลน ฉันจะกลับไปที่สตูดิโอหน่อย”
            “ไปทำไร พี่” เคลนหันมามองอย่างฉงน จะว่ายังไงดีนะ...ผมไม่อยากทิ้งกีตาร์กับรถมอไซค์ไว้ที่นั่น เลยกะจะกลับไปเอา ถ้าไม่กลับไปผมคงนอนไม่หลับแน่ จะบอกว่าเป็นโรคทางจิตใจอย่างหนึ่งก็ไม่ผิด
            “กลับไปเอารถกับกีตาร์หรอ” ผมพยักหน้าตอบเคลนไป มันถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบกลับมา
            “หยิบเบสกลับมาด้วยก็ดีนะ” แล้วฉันจะขับรถท่าไหนล่ะนั่นน่ะ
 
 

 
 
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- แอมป์ = ในที่นี้เราพูดถึงแอมป์กีตาร์ครับ มิใช่แอมป์ที่เป็นหน่วยไฟฟ้า(หัวเราะ) พูดให้เข้าใจง่ายมันคือลำโพงสำหรับกีตาร์นั่นเองครับ
            - เอฟเฟคกีต้าร์ = เป็นออฟชั่นอย่างหนึ่งที่ใช้สำหรับเปลี่ยนเสียงกีตาร์ครับ เราจะได้ยินบ่อยๆในท่อนกีตาร์โซโล จะทำให้ได้เสียงกีตาร์แปลกๆครับ เช่น เสียงแตก เสียงเอคโค่(สะท้อน) อยู่ที่ประเภทเอฟเฟคที่เราเลือกใช้ครับ
 
ขอบคุณทุกท่านคับ // โค้งRaf Rafael
(58/06/25)

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา