Eternal Night The second of heartbeat.

7.7

เขียนโดย Rafael

วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.

  13 ตอน
  0 วิจารณ์
  14.12K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) HEART BEAT second 05

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

HEART BEAT second 05

Raf Rafael

 

                      เมื่อต้นสัปดาห์มาถึง ผมต้องงัดสังขารออกมาจากเตียงอย่างไม่เต็มใจ การตื่นเช้านี่...มันเป็นศัตรูตัวฉกาจชัดๆ หลังจากเสร็จธุระในห้องน้ำระหว่างกำลังแต่งตัวอยู่ในห้อง ได้ยินเสียงลูคัสกับเคลนดังลอยมาจากด้านนอก สองคนนั้นออกไปเรียนแล้ว เท่ากับว่า...เหลือแค่ผมกับเรนสินะ

อันตรายๆ ผมดึงความตื่นเต้นที่กำลังเต้นอยู่ในอกออกไปให้พ้นทางก่อนจะเดินออกไปจากห้องนอน

            “บลัด อรุณสวัสดิ์” เรนนั่งอยู่ที่โต๊ะทานข้าว อาหารเช้าวางเตรียมไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแต่เหมือนเธอจะยังไม่ได้ลงมือทานเลยสักคำ

            “อือ อรุณสวัสดิ์”

            ผมเดินเลยจากโต๊ะทานข้าวไปวางกระเป๋าไว้ที่โซฟาตัวยาว ก่อนจะเดินกลับมานั่งข้างๆเรน

            “ทานก่อนก็ได้ รอฉันเดี๋ยวก็เย็นพอดี”

            “จะได้หม่ำพร้อมๆกันไง”

รู้สึกเลยว่าหัวใจกำลังเร่งจังหวะ มันส่งเสียงตึกตักออกมาดังจนกลัวเรนจะได้ยิน

เช้าๆแบบนี้ปกติมีแค่เคลนที่อยู่ด้วยกัน พอมีเรนกับลูคัสเข้ามาอยู่ด้วย ห้อง 801 ก็มีสีสันขึ้นมาไม่น้อย แม้แต่เกมที่ปกติเคลนจะนั่งเล่นอยู่แค่คนเดียว เขาดูสนุกขึ้นเยอะเวลาลูคัสมาเล่นด้วย แถมตอนนี้มีอีกหนึ่งสาวมาร่วมแจมด้วยอีกคน

ห้องที่มีไว้แค่ซุกหัวนอนกลับกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นขึ้นมา และตอนนี้เวลาที่ผมต้องนั่งทานข้าวเพียงคนเดียว เดี๋ยวนี้ก็มีคนนั่งทานข้างๆแล้ว

            “ทานแล้วนะครับ” หลังจากผมหยิบตะเกียบ เรนก็ขยับตัวหยิบช้อนส้อมขึ้นมาบ้าง ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างเคอะเขิน

            “มะ...หม่ำแล้วนะคะ”

            ผมหัวเราะคิกคักในลำคอ นะ...น่ารัก

แต่เหมือนเรนจะไม่ค่อยพอใจที่ผมหัวเราะเท่าไหร่นะ ถึงได้ส่งสายตาเขียวปั๊ดพร้อมแก้มแดงๆมาให้ ราวกับลูกสุนัขตัวน้อยๆที่กำลังทำท่าไม่พอใจเจ้านายอยู่เชียวละ

 

            หลังจากผมกับเรนช่วยกันรวบรวมจานชามมาไว้ในครัว พวกเราก็เตรียมตัวออกเดินทางไปมหาวิทยาลัยบ้าง พอก้าวเท้าพ้นประตูห้อง 801 เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น เหมือนจะมีอีเมลเข้านะ

            ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตรวจดูระหว่างที่เราลงลิฟท์ เป็นข้อความจากเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของผมคนหนึ่ง มันจะอยากนัดผมไปเจอตอนเย็น ผมน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ถ้าจะปล่อยเรนกลับบ้านคนเดียวก็เป็นห่วง

            “เรน เย็นนี้แวะไปข้างนอกด้วยกันหน่อยนะ”

            เธอสะดุ้งโหยงเพราะคำชวนที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กลัวผมจะพาไปไหนเรอะ!

            “เพื่อนฉัน อยากนัดไปคุยธุระหน่อย ไปด้วยกันก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน”

            ทีนี้ผมเห็นเรนถอนหายใจด้วย ท่าทางโล่งอกจมต้องมองสำรวจตัวเอง หน้าตาผมเหมือนโรคจิตไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรอ

 

            หลังจากเรียนกันอย่างหนักหน่วงถึงเรนจะบอกว่า ผมน่ะ...หลับอย่างหนักหน่วงมากกว่า

ผมพาเรนขึ้นรถไฟขบวนเดิม วันนี้เรานั่งรถไฟกันไม่นานเพราะร้านที่เพื่อนผมนัดไว้ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยเท่าไหร่ นั่งรถไฟไปแค่สองสถานีก็ถึงแล้ว แต่ระหว่างนั้นก็ถามเรนถึงเรื่องที่ค้างคาใจ

            “ทำไมตอนเจอกันครั้งแรก เรนถึงพูดภาษาอังกฤษล่ะ”

            เรนหันหน้ามามอง เราสบตากัน เรนเกาแก้มเก้อเขินราวกับอายที่จะเอ่ยปาก ผมจึงไม่ได้เร่งรัดเธอ รอให้เรนเอ่ยปากขึ้นมาเองดีกว่า

            “ฉันไม่นึกว่า... นายจะเป็นคนญี่ปุ่น”

            “ห๊ะ! ฉันไม่เหมือนคนญี่ปุ่นตรงไหน” ผมขมวดคิ้วพลางจ้องมองเธออย่างสงสัย

            “สีผม สีตา สีผิว ไม่เห็นจะเหมือนสักนิด”

            พอเรนเอ่ยมาผมจึงเริ่มสำรวจตัวเอง สีผม อืม...ผมสีเงินแบบนี้คงไม่มีใครมี นอกจากจะย้อมสีผม แม้ว่าจะย้อมสีเอาก็อาจจะไม่ได้สีเงินบริสุทธิ์ขนาดนี้

สีตา...นัยน์ตาผมมีสีแดง ก็ไม่เคยเห็นใครมีอีกนั่นล่ะ

สีผิว...ผมยกแขนตัวเองขึ้นมาดู ผมว่ามันก็เหมือนๆคนอื่นนะ คนที่นี่ส่วนใหญ่มีผิวขาว และผมก็มีผิวขาวไม่ต่างจากคนอื่น เรนน่ะผิวขาวอมชมพูดูแตกต่างจากคนอื่นมากกว่าผมเยอะ สีชมพูระเรื่อน่างับมันให้เป็นรอย อืม...ความคิดล้ำหน้าล่วงเกินเธอซะแล้ว

            “ตัวก็สูง หุ่นก็ไม่เหมือนคนเอเชีย” ผมมองร่างของผมต่อ ที่สูงอาจจะเพราะเล่นกีฬามาตั้งแต่เด็กละมั้ง

            “จมูกโด่ง หน้าเรียว” ผมเผลอยกมือขึ้นจับใบหน้าตัวเองตามคำของเธอ แล้วมันไม่เหมือนคนญี่ปุ่นตรงไหนกัน

            “บ่ากว้าง” เป็นผู้ชายมันก็ต้องกว้างสิ

            “เอาเป็นว่า นายไม่เหมือนคนอื่นเลยสักนิด” แต่ยังถือว่าฉันเป็นคนอยู่ใช่ไหมเรน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนจะเถียงเธอกลับไปว่า

            “ฉันทำงานอยู่ในร้าน ในญี่ปุ่นก็ต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้สิ”

            “ก็ฉันไม่รู้นี่ นายดูเหมือนคนญี่ปุ่นที่ไหนกัน” เธอยื่นริมฝีปากออกมาน้อยๆอย่างไม่พอใจ ผมหัวเราะคิกคักกับท่าทางของเรน

            “ฉันไม่ผิดซะหน่อย” เธอยังไม่ยอมแพ้ โอเคๆ ผมยอมเธอก็ได้ ผมยิ้มให้เรนพลางชูมือขึ้นทั้งสองข้างแทนการยอมจำนน เธอดูน่าเอ็นดูมากเลยเชียว ถึงแม้จะกำลังทำหน้าเหมือนเด็กโดนขัดใจอยู่ก็เถอะ

 

 

            ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาถือไว้ในมือ ตอนนี้ผมได้แต่ยิ้มอยู่เดียว ฮิฮิ...อีกไม่นานบลัดจะมาถึงแล้ว หัวใจของผมกำลังสั่นระริก ถ้าผมลากไปมันไปทำงานได้นะ หวานเชียวละ...งานนี้ผมคงมีงบเลี้ยงสาวได้สบายไปอีกพักใหญ่ๆ ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่าฮ่าฮ่า!! มาตกหลุมพรางฉันซะดีๆ บลัดเอ๋ย!!

            ผมกำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขอยู่ในร้านฟาสต์ฟู้ดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟ พยายามควบคุมรอยยิ้มที่เริ่มฉีกกว้าง แต่ไม่ว่าจะพยายามควบคุมแค่ไหนก็คุมเอาไว้ไม่อยู่ อ่า...ผมกำลังมีความสุขสุดๆ

ทำไมมานั่งยิ้มอยู่คนเดียวแบบนี้อะนะ ฮิฮิ...บลัดน่ะ เป็นหัวหน้าวงดนตรีของพวกเรา

ผมฮิคารุย เรย์วิเลียน เป็นมือกลอง ส่วนมือเบสก็เคลนลิเอล น้องชายของบลัด แล้วก็มีมืออิเลคโทนอีกคนชื่อยู ส่วนบลัดเป็นมือกีตาร์ควบตำแหน่งนักร้องนำ พวกเราเคยแสดงด้วยกันบ่อยๆตอนอยู่ไฮสคูล จนวงเราพอมีชื่อเสียงอยู่บ้างจากการโพสคลิปวีดีโอ ไลฟ์คอนเสิร์ตตามเว็บ และก็มีบล็อกของวงด้วยนะ บลัดได้คะแนนความนิยมนำโด่งเลย

อ๋อ...เมื่อสองปีที่แล้ว ตอนที่ลูคัสเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่โรงเรียนของเรา เขาได้มาแจมในวงเราอยู่ช่วงหนึ่งด้วย สาวๆกรี๊ดเขาไม่เบาเหมือนกัน ชื่อวงของเราคือ “Eternal Night” เป็นวงดนตรีที่ตั้งขึ้นมาเพราะความอยากเล่นล้วนๆ ไม่คิดว่าจะมีชื่อเสียงขึ้นมาได้

และตอนนี้...ผมกำลังรอให้หัวหน้าวงที่รักนำตัวมาประเคนให้ผมไปขึ้นค่านายหน้า ฮิฮิฮิ...รอก่อนนะสาวๆ ปะป๋ามาแล้ว

มีอะไรน่าดีใจนักอะหรอ...พูดแล้วเหยียบไว้ล่ะ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ระหว่างที่กำลังเรียนอยู่ในคลาสตามปกติ ผมเจอเพื่อนเก่าของผมคนหนึ่ง เรารู้จักกันตอนที่ผมไปนั่งดื่มในไนท์คลับแห่งหนึ่ง แต่ว่า...ห้ามบอกบลัดนะ พอดีวันนั้นโดดซ้อมไป ถ้ามันรู้เข้าได้ขุดหลุมเตรียมฝังไว้ได้เลย

แล้ววงที่ต้องขึ้นแสดงมือกลองดันขาด ผมเลยอาสาขึ้นไปเล่นให้ และเพื่อนผมคนนี้ก็เป็นหัวหน้าวงของวงที่พูดถึงเนี่ยแหละ มันรู้จักผมจากคลิปวีดีโอ ไลฟ์คอนเสิร์ตมาก่อนด้วย เราเลยคุยกันได้ง่าย

แล้วตอนนี้คลับที่ผมหนีไปดื่มมาเนี่ย กำลังต้องการวงหน้าใหม่เพื่อขึ้นแสดง ถึงแม้พวกเราจะไม่ถือว่าเป็นวงหน้าใหม่แล้ว แต่เพราะมีชื่อเสียงอยู่บ้างมันเลยสนใจ ตอนแรกก็พยายามปฏิเสธอย่างสุดความสามารถนะ เพราะรู้ว่าบลัดคงไม่เอา แถมผมก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะตัดสินใจอะไรได้

แต่แล้ว... มันก็บอกว่าถ้าผมลากวงมาขึ้นเวทีได้นอกจากค่าตัวที่ทางร้านจ่ายให้แล้ว มันจะให้ค่านายหน้าอีกเท่าหนึ่งเป็นค่าเหนื่อยที่ลากบลัดมาได้ ฮิฮิฮิ...ผมเลยมานั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่นี่ และจะต้องลากบลัดไปทำงานให้จงได้!!!

            เพื่อบรรดาสาวน้อย สาวใหญ่ของผม เราจะได้มีความสุขด้วยกันสองเราในห้องสวีทของโรงแรมหรู หรืออาจจะเป็นในอ่างจากุซซี่ ที่โปรยไปด้วยกรีบดอกกุหลาบสีแดงเร่าร้อน พร้อมดินเนอร์มื้อหรูที่เธอจะไม่มีวันลืม พร้อมใจยกกายถวายชีวีให้ ฮิฮิ...แค่คิดก็เคลิ้ม

            งานที่กำลังจะดึงบลัดไปทำเนี่ยหรอ...เป็นงานแสดงไลฟ์คอนเสิร์ตในไนท์คลับแห่งหนึ่งอยู่ในย่านคลับ ย่านบาร์ ย่านดริ้งขนาดใหญ่ แถมที่นี่เป็นใจกลาง ศูนย์รวมที่ครบครันที่สุดแห่งหนึ่งของสถานบันเทิง เป็นไนท์คลับชั้นแนวหน้าที่มีอิทธิพลอยู่ในวงการไม่เบา ถ้าเราได้ขึ้นแสดงที่นั่น นอกจากเงินค่าตัวเป็นกอบเป็นกำ ยังทำให้ดังเปรี๊ยงไม่รู้ตัว ที่แน่ๆนะ ฮิฮิ...สาวๆจะหนีไปไหนพ้น

            แต่ที่ต้องระวังหน่อย คลับนี้ไม่กำจัดเพศของลูกค้าซะด้วย แปลว่านอกจากจะมีสาวๆเป็นอาหารใจ อาจจะมีไม่ใช่สาวปะปนมาด้วย หากสาวๆที่นั่งข้างตัวเป็นประเภท เนื้อ นม ไข่ละก็ น้องชายอาจจะฝ่อใช้งานไม่ได้อีกเป็นแน่ งานนี้อาจจะต้องคลำกันดีๆหน่อยแล้ว

            แถมงานนี้ หากเรารับลูกค้าให้กับทางร้านอีก นอกจากจะเนียนลงไปร่วมวงกับบรรดาลูกค้าได้แล้ว ทางร้านยังให้ค่าตัวเพิ่มอีกไม่น้อย ถ้าหากลูกค้าชอบใจจนได้เป็นพนักงานดีเด่นอีกละก็ค่าตัวพุ่งสูงจนคาดไม่ถึงเลยละ มีแต่ได้กับได้

แต่ว่านะคนอื่นน่ะไม่น่าจะมีปัญหา แต่หัวหน้าวงของเราเนี่ยละ บลัดไม่ชอบการเป็นเป้าสายตาอย่างที่สุด ยกเว้นเวลามันขึ้นเวที แต่ถ้าหากมันไม่ได้อยู่ในฐานะนักแสดงเมื่อไหร่ จะเจอสายตาไม่เป็นมิตรส่งไปให้ทันทีถ้าไปจ้องมัน อย่างบลัดคงไม่ยอมไปรับลูกค้าแน่ เสียดายหน้าตามันนะ ถ้ายอมยิ้มซะหน่อย รับรองสาวร้อยทั้งร้อยจะไปไหนได้

            ผมนั่งเพ้อฝันไปอีกสักพักหนึ่ง จนได้ยินเสียงมือถือแผดลั่น อีเมลเข้า...ผมยิ้มกริ่มเมื่อเปิดอ่านเนื้อหาด้านใน ฮิฮิ...เหยื่อของเรามาถึงแล้วละ...เตรียมบอกสาวๆได้เลยว่าป๋าพร้อมแล้วนะจ้ะ เลดี้

            ผมยืนขึ้นจากโต๊ะเพื่อให้บลัดตามหาผมได้ง่าย อ๊ะ!...เห็นมันแล้ว ตัวสูงๆของบลัดเนี่ยทำให้ไม่ต้องกวาดสายตามองหาก็เจอเลย ยังมีผมสีเงินนั่น ต่อให้สายตาสั้นเป็นพันๆก็รู่ว่านั่นบลัด ผมเหลือบไปเห็นสาวน้อยคนหนึ่งเดินตามมันมาด้วย โฮะ...น่ารักไม่เบาเลย แฟนมันรึเปล่านะ ไม่ได้รวมวงไม่กี่เดือนมันถึงกับมีเวลาไปหาคู่ใจเชียวเรอะ

ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ก็ยิ่งน่ารัก เฮ้ย!...ถึงผมจะไร้จรรยาบรรณในการเป็นสามีที่ดีแค่ไหน ก็ไม่คิดจะเอาของของเพื่อนหรอก แต่...ใบหน้าของเธอแลดูคุ้นตาจนน่าแปลกใจ ราวกับเคยพบเจอที่ไหนมาก่อน

“แฟนหรอวะ” ผมทักบลัดไปคำหนึ่ง มันตวัดนัยน์ตาสีแดงจ้องกลับมาจนกะโหลกแทบทะลุ ก่อนจะเชิญให้สาวน้อยนั่งลงก่อน มันถึงนั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม

“พี่สาวลูคัส พอดีเรียนอยู่คณะเดียวกัน” บลัดตอบผมมา คนนี้น่ะหรอพี่สาวของลุค เหมือนจะชื่อ...ลอเรนรึเปล่านะ มิน่า...ถึงได้คุ้นตา โครงหน้าคล้ายกับลุคเลย

ผมเบนสายตาไปมองเธอ เธอส่งยิ้มมาให้ด้วย อ่า...หัวใจของผมกำลังเบิกบานราวกับมีดอกไม้สักร้อยดอกกำลังสะพรั่ง ถ้าไม่ใช่แฟนบลัดละก็ ผมขอก็ไม่เป็นไรสินะ

“ครอว์ฟอร์ด ลอเรนค่ะ เรียกลอเรนก็ได้” เสียงใสอย่างกับระฆังแก้ว เพียงแค่ได้ยินก็เคลิบเคลิ้ม

“เรนจังหรอ ผมเรย์วิเลียนนะ เรียกเรย์ก็ได้ครับ” ผมยื่นมือตรงไปข้างหน้าหวังจะจับมือกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอซะหน่อย แต่แล้ว... ‘หมับ!!’

“มีอะไร” บลัดจ้องเขม็ง นัยน์ตาสีแดงคู่นั้นคุกรุ่นราวกับเปลวไฟที่กำลังโหมกระพือ หวงด้วยว่ะ แล้วก็นะบลัด...ฉันอยากจับมือนิ่มๆนวลๆของสาวน้อย ไม่ได้อยากจับมือใหญ่ๆกร้านๆอย่างแก!! ผมชักมือกลับด้วยความไวเสียง ก่อนจะเริ่มแผนการที่วางไว้

“มะรืนนี้มีงานแสดงในคลับ เขาชวนพวกเราไปแสดงว่ะ ไปปะ” พยายามชักชวนด้วยทางท่าทีนิ่งเรียบที่สุด ไม่ว่ายังไงก็ต้องลากมันไปให้ได้

“ฉันมีงานที่ร้านแกก็ได้รู้”

“ไม่เป็นไรๆ เราแสดงตอนสี่ทุ่ม”

“เลิกกี่โมง” อ๊ะ! มันถามถึงเวลาเลิกแล้ว แบบนี้ก็มีโอกาสลากมันไปได้ใช่ปะ

“เลิกแสดงอะ...เที่ยงคืน แต่อยู่ช่วยงานในร้านต่อก็ได้นะ อาจจะราวๆตีหนึ่ง”

“ตีหนึ่ง! แล้วฉันจะเอาเวลาไหนไปนอนวะ” บลัดจ้องกลับมาเหมือนจะไม่พอใจเข้าแล้ว ไม่ได้ๆ ผมต้องเอามันไปทำงานให้ได้

“แต่ค่าตัวสูงมากเลยนะโว้ย แกไม่ต้องไปทำงานที่ร้านเบเกอรี่ยังอยู่ได้สบายๆเลย แล้วก็...ถ้าแกจะไม่อยู่รับลูกค้าต่อ แสดงเสร็จก็กลับได้เลย”

“ฉันสงสารเถ้าแก่ ท่านอายุมากแล้วงานนี้ยังไงก็ดึกไปอยู่ดีว่ะ” เสียงของบลัดอ่อนลงเวลาพูดถึงพวกท่าน ก็แน่ละ...ตั้งแต่ย้ายเข้ามาเรียนในเมือง มันก็ทำงานอยู่ที่ร้านนั้นมาตลอด คงเรียกได้ว่าเป็นสายใยผูกพันก็เป็นได้

“น่าๆ ถือว่าไปเอาประสบการณ์ก็ได้”

“น้องชายฉันมีเรียน แล้วเคลนยังเป็นนักเรียนไฮสคูลจะให้น้องไปทำงานในคลับเนี่ยนะ”

“แต่ฉันโทรถามยูแล้วนะ หมอนั่นก็โอเคถ้าเราจะรับงาน”

“เคลนยังอยู่ไฮสคูลนะ เรย์”

“ถ้าน้องมันอยากไปก็ไม่น่ามีปัญหาเปล่าวะ”

“ทำไมแกถึงดึงดันจะไปให้ได้วะ” ผมแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง เอาแล้วไง...ไม่เคยชนะคนคนนี้ได้จริงๆ

“เรย์...” ผมหลบสายตาบลัดทำทีเป็นจ้องมองคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้านหน้าร้าน

“แกมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกฉันรึเปล่า”

สาวๆครับ...หากป๋าไม่อยู่แล้ว อย่าลืมส่งความคิดถึงมาให้ป๋าบนสรวงสวรรค์ด้วยนะครับ

 

 

            หลังจากนั้นเรย์ก็สารภาพออกมาจนหมดเปลือก มันกำลังจะขายวงเรอะ!! ฉันจะหั่นแกกี่ท่อนดีเรย์...แถมพรุ่งนี้เราทั้งสี่คนต้องไปให้เจ้าของร้านดูตัว เพื่อตกลงถึงชุดการแสดงอะไรพวกนั้น

            ผมถอนหายใจหนักๆ ก่อนจะหันไปถามเรย์ว่า

            “ฉันไม่รับ ปฏิเสธเพื่อนแกไปซะ” มันอึกอักเป็นการใหญ่หลังจากผมเอ่ยออกไปแบบนั้น

            “คะ...คือ” เรย์ยกมือขึ้นมาขยี้เรือนผมสีทองจาง จนตอนนี้ผมสีทองยาวประบ่าที่ถูกจัดทรงมาอย่างดิบดีกำลังเสียรูป เรย์เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น อังกฤษ นัยย์ตาสีมรกต รอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรกับนิสัยทะเล้นๆ ความสามารถในการล่อหลอกผู้หญิงได้อย่างเป็นธรรมชาติทำให้เหล่าสาวน้อยสาวใหญ่พร้อมใจต่อคิวควงมันจนท้ายแถวยาวเป็นหางว่าว เรียกได้ว่าเป็นเสือผู้หญิงแถวหน้าก็ว่าได้

พวกเรารู้จักกันมานานเพราะเรย์กับผมเกิดในเมืองเดียวกัน บ้านเราก็อยู่กันไม่ไกล ตอนอนุบาลก็เรียนมาด้วยกัน พอเข้าประถมก็ยังเจอหน้ามันอยู่ พอขึ้นมัธยมต้นก็เรียนโรงเรียนประจำเมืองด้วยกัน พอขึ้นมัธยมปลายผมย้ายหนีมาเรียนในโตเกียว มันก็ยังย้ายตามมาเรียนด้วย จนขึ้นมหาวิทยาลัยเนี่ยละ เราถึงอยู่กันคนละที่

            “คือมันส่งเดโม่ กับรูปของวงไปที่คลับแล้ว บอกไปแล้วว่าเราจะไป”

            ‘กร๊อบ!!’ เสียงกระดูกนิ้วของผมลั่นเปรี๊ยะ เรย์กำลังส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาให้สาวข้างตัว แต่เรนก็ได้แต่มองตาปริบๆ

            “สรุป ยังไงก็ต้องไปไม่ใช่หรอวะ” ผมยกมือกุมขมับ ท่าทางอาจจะต้องหัดกินกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลังอะไรพวกนั้นไว้ซะแล้ว อนาคตคงแทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนกันแน่ๆ

            “เจ้าของคลับชอบเสียงแกมากนะเว้ย เขาบอกว่าถ้าแกโอเคก็ยินดีรับไว้เป็นพนักงานประจำเลย”

            “หน้าฉัน...บอกว่าอยากทำมากสินะ” ผมขมวดคิ้วมุ่นจงใจจิกสายตาใส่มันอย่างไม่ปราณี

            “ก็ไปทำขำๆ เอาประสบการณ์ไง” เสียงของเรย์ค่อยๆแผ่วลง ผมล่ะไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี

            “ไม่ได้เล่นรวมวงกันมาตั้งนานแล้ว จะได้เรื่องเรอะ อยู่ๆก็มาบอกว่าต้องขึ้นเวที ไม่เรียกมามะรืนนี้แล้วบอกว่าขึ้นคืนนี้ซะเลยล่ะวะ” ผมพาลใส่มันอย่างหัวเสีย

            “เอาเพลงที่เคยๆกันอยู่ก็ได้” ตอนนี้เหมือนเรย์จะตัวลีบลง พลางหดหัวงุดๆสบสายตากับผมอย่างกล้าๆกลัวๆ แม้แต่เรนยังส่งสายตาเห็นใจไปให้

ผมเงียบไปนาน พลางครุ่นคิดอะไรไปด้วย เรื่องร้านเบเกอรี่ ผมเป็นพนักงานคนเดียวเพราะเถ้าแก่ยืนยันหนักแน่นว่าท่านยังทำงานไหว ถึงได้ไม่ยอมรับพนักงานเพิ่ม หากจะลางานเลยก็เป็นห่วง อาจจะต้องขอเลิกงานเร็วแทน

            “พรุ่งนี้เจอกัน สตูดิโอสี่โมง” ผมเห็นสายตาเรย์มันวิ้งวับเลย

            “ถ้าจะรับงานก็ต้องซ้อม ฉันไม่ยอมขายหน้าแน่ ถ้าเบี้ยวซ้อมละก็...” ผมเงยหน้าเพ่งนัยน์ตาตรงไปทางเรย์ จ้องมองมันไว้พร้อมยื่นคำขาด

            “ฉันจะส่งแกลงไปนอนเล่นใต้ดินตลอดชีวิต” เรย์พยักหน้าหงึกหงักซะจนคอจะหลุดออกจากบ่า ผมได้แต่ถอนหายใจให้มันอีกหลายๆเฮือกเท่านั้น

            หลังจากผมกับเรย์คุยรายละเอียดงานต่อกันอีกสักพัก ถึงได้รู้ว่างานนี้เป็นงานชั่วคราว เรามีสัญญาต้องไปทำงานกับทางคลับ สองอาทิตย์อาทิตย์ละสี่วัน รวมแล้วแค่แปดวัน เพราะฉะนั้นก็น่าจะพอไหว ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย คงต้องไปคุยกันเองที่คลับในวันพรุ่งนี้

            “ส่วนค่านายหน้านั่น...” เพียงแค่เกริ่นออกมา เรย์ก็หน้าเจื่อนไปเลย

            “ถ้าไม่หารกัน แกจะไม่ได้โผล่ไปหาสาวที่ไหนอีกแน่ เรย์”

            เรย์ได้แต่พยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับน้ำตานองหน้า คิดว่าจะสงสารมันเรอะฮิ...ไม่ริบค่าตัวมันก็บุญแค่ไหนแล้ว คุณเรย์วิเลียน

 

            พอผมเอาเรื่องนี้ไปบอกเคลน มันแสดงอาการตื่นเต้นจนออกนอกหน้า

            “นายมีเรียนเช้าทั้งอาทิตย์ไม่เป็นไรเรอะ”

            “สบายมาก พี่” เคลนตอบกลับมาพร้อมนัยน์ตาไหวระริก

            ผมไม่ควรพาน้องเข้าไปในสถานที่แบบนั้นจริงๆ แถมพาเข้าไปหาเงินอีกต่างหากจะโดนจับเอาไหมเนี่ย ผมได้แต่ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เอาวะ!...ยังไงก็แค่แปดวัน เสี่ยงกันสักตั้ง

 

            วันต่อมาผมไปเรียนคาบเช้าตามปกติ ยังดีที่วันนี้เรามีเรียนแค่ครึ่งวันจึงยังพอมีเวลาหายใจหายคอบ้าง

            “เดี๋ยวฉันพาไปส่งที่ห้องก่อนแล้วกัน กินอะไรก่อนมั้ย” ผมหันไปถามสาวข้างตัว ระหว่างที่เราอยู่บนรถไฟขบวนเดิม เรนหันมามองพลางเอียงคอครุ่นคิด

            “อยู่มาสักพักแล้วแต่ยังไม่ได้ลองไปเที่ยวไหนเลยใช่มะ” เรนพยักหน้าให้ผมแทนคำตอบ

            “ไหนๆแล้ว ไปหาอะไรกินในเมืองกัน” ยังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อยจะกลับไปนอนฆ่าเวลาเฉยๆก็น่าเสียดาย

            ผมไม่รอให้เธอตัดสินใจ จับข้อมือเรนไว้ก่อนจะดึงเธอออกจากรถไฟทันทีที่เรามาถึงสถานีต่อไป สุดท้ายผมตัดสินใจพาเรนมาย่านการค้า ย่านหนึ่ง แถวนี้เป็นแหล่งชอปปิ้งที่รวบรวมห้างสรรพสินค้า กับร้านอาหารไว้ด้วยกันจนลายตา

            ผู้คนเดินกันขวักไขว่เต็มถนนหนทาง ผมกลัวว่าเราจะหลงกันเลยจับข้อมือของเรนไว้แบบนั้น จนเราเดินมาถึงบริเวณที่คนบางตา ถึงได้ปล่อยข้อมือเธอ

            เรนดูตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศรอบตัว เธอตาลุกวาวมองนั่น มองนี่ไปทั่ว เหมือนพาเด็กมาเดินเที่ยวเลยผมหัวเราะเบาๆ พลางลอบมองเธอไปด้วย บางครั้งที่เรนหันมาสบตากับผมเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ เธอจะคลี่ยิ้มหวานก่อนหันไปมองนู้น มองนี่ต่อ เรนจะรู้ไหมนะ...ว่าตอนนี้ผมควบคุมแรงเต้นของหัวใจไม่อยู่แล้ว

            “ยังไม่หิวหรอ หรือตื่นเต้นจนลืมหิวไปแล้ว” ผมเข้าไปหยอกล้อเธอเล่น

            “ก็หิวนะ แต่ไปดูตรงนั้นก่อนได้มั้ย นะ น้า~” เรนเข้ามากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้า ก่อนจะวิ่งนำไปทางที่เรนชี้เมื่อครู่นี้ ผมได้แต่ยิ้มให้เธออย่างจนใจก่อนจะก้าวเท้าตามเธอไป

            มันเป็นซอยที่มีร้านเสื้อผ้าเรียงรายอยู่เต็ม ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่ผมไม่ค่อยสันทัดด้านนี้เท่าไหร่ ผมจะให้เคลนเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้มากกว่า เรนหยุดอยู่หน้าร้าน ร้านหนึ่ง หน้าร้านเป็นกระจกใสที่สามารถมองทะลุเข้าไปดูสินค้าภายในร้านได้ ผมเหลือบมองอยู่ด้านหลังเธอ

            นาฬิกาข้อมือหรอ...ผมก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือของตัวเอง ถึงมันจะยังใช้ได้อยู่แต่ก็โชกโชนไม่เบา เป็นรอยตรงนู้นตรงนี้เพียบเลย หรือจะซื้อใหม่บ้างดีไหมนะ ระหว่างที่กำลังพินิจพิเคราะห์นาฬิกาของตัวเอง ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงสะกิดของเรน

            “หิวแล้วละ ไปหม่ำข้าวกัน”

            นะ...น่ารักอีกแล้ว ใครสอนคำนี้ให้เธอกันนะเรน

 

            “ล็อกห้องดีๆนะ” ผมกำชับเรนเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ ตอนนี้เธอต้องอยู่ที่ห้องคนเดียว ลูคัสก็ยังไม่กลับมา แต่ผมต้องออกไปทำงานที่ร้านแล้วน่ะสิ

            “คืนนี้ฉันกับเคลนคงกลับดึก อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ” เรนพยักหน้าหงึกหงัก ผมจึงค่อยๆวางมือลงบนศีรษะของเธอ พลางลูบเบาๆ

            “ล็อกห้องด้วยล่ะ” เรนเริ่มจะเบ้หน้าแล้ว ถ้าผมขืนย้ำต่อไปมากกว่านี้อาจจะโดนโกรธขึ้นมาก็ได้

            “ไปนะ”

            “ไปดีมาดีนะ” ขอกอดลาสักครั้งได้ไหมนะ แต่ก็...ถ้าผมกล้ากอดเรน จะมายืนคิดอยู่ตรงนี้รึ

            วันนี้ต้องวิ่งวุ่นน่าดู แทนที่จะเดินไปที่ร้านเหมือนปกติ ผมเลยตัดสินใจพาคู่หูออกไปด้วย

ผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกมาพร้อมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ คว้าเสื้อแจ็คเก็ตหนังออกมาด้วยและไม่ลืมคว้ากีตาร์ตัวโปรดออกมาจากห้อง ผมหยิบกุญแจรถออกมาจากลิ้นชักบนตู้รองเท้า ท้ายที่สุดก็เดินออกจากห้องไป

            มาดูกันว่าแกยังฟิตเหมือนเดิมรึเปล่า...ผมเดินเข้าไปเปิดโรงรถอย่างอารมณ์ดี พลางวางมือลูบบริเวณถังน้ำมันบนรถบิ๊กไบท์ของผมเบาๆ ก่อนจะตวัดตัวขึ้นคร่อมตัวรถอย่างชำนาญพลางปรับสายกระเป๋ากีตาร์ให้รัดอกแน่นขึ้นอีกหน่อยเพื่อที่มันจะไม่โดนลมต้านจนหลุดจากหลังไป ทันทีที่สตาร์ทเครื่อง เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่น ให้มันได้แบบนี้

 

            วันนี้ทั้งเถ้าแก่ทั้งคุณซาโยะจ้องผมไม่วางตา อาจเพราะผมไม่ได้เดินมาที่ร้านเหมือนอย่างเคย แต่กลับมาพร้อมบิ๊กไบท์สีดำเงาตัดด้วยเฟรมและวงล้อสีแดงสด ปกติจะมาในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคเป็นส่วนใหญ่ วันนี้มาพร้อมแจ็คเก็ตหนังกางเกงยีนส์ กับแว่นกันลมเลนส์สีดำสนิท กระเป๋ากีตาร์บนหลังก็ทำให้ท่านแปลกใจไม่น้อย

คุณซาโยะเดินออกมาจากร้านตรงเข้ามาหา เถ้าแก่ก็เดิมตามออกมาด้วย รู้สึกว่าคุณซาโยะจ้องผมพลางเบิกตาโต ยิ่งเดินเข้ามาใกล้เท่าไหร่ ดวงตาก็ยิ่งเบิกโตจนผมชักจะอยากกลับไปเปลี่ยนชุดซะแล้ว

            “บลัดคุง ใส่แบบนี้แล้ว ยายจำแทบไม่ได้เลย” ผมรีบถอดแว่นออกทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทก่อนจะโค้งทักทายเถ้าแก่กับคุณซาโยะพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ

            “สวัสดีครับ วันนี้ลูกค้าที่ร้านเยอะมั้ยครับ”

            “ก็เรื่อยๆนั่นละ” เถ้าแก่เป็นคนตอบ ท่านเป็นอีกคนที่ยังจ้องผมไม่วางตา ชักจะเขินแล้วสิ ตอนนี้นอกจากเถ้าแก่กับคุณซาโยะแล้ว บรรดาคนที่เดินผ่านไปมาก็เริ่มจ้องผมเป็นตาเดียว แถมยังซุบซิบอะไรกันด้วย

            “งั้นผมขอตัว...เอารถไปจอดก่อนแล้วเดี๋ยวจะไปเปลี่ยนชุดนะครับ” ผมโค้งให้เถ้าแก่กับคุณซาโยะอีกครั้ง ก่อนนำรถไปจอดไว้ในตรอกเล็กๆด้านข้างร้าน ผมรีบวิ่งเข้ามาทางหลังร้านเพื่อตรงไปห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที ไม่รู้ว่าคนที่เห็นผมจะซุบซิบกันว่ายังไง ไม่ว่าจะชื่นชมแค่ไหนก็ไม่ชอบให้ใครมองอยู่ดี

            “เถ้าแก่ครับ...” ผมเข้าไปเรียกท่านที่กำลังอบขนมอยู่หลังร้าน เถ้าแก่หันมายิ้มให้ มันทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจนิดหน่อยที่จะพูดออกไป

            “คือ...ช่วงนี้ผมจะขอเลิกงานเร็วหน่อย สักสองอาทิตย์ได้มั้ยครับ”

            เถ้าแก่ผละมือจากการอบขนมมานั่งคุยกับผมแทน ผมนั่งลงบนเก้าอี้ที่ไม่ไกลจากท่านนัก ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ และเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป

            “ช่วงนี้ผมมีงานแสดงดนตรีช่วงดึกน่ะครับ”

            “วงดนตรีของสึกิฮิโตะคุงน่ะหรอ” เถ้าแก่ถามอย่างสนอกสนใจ ผมพยักหน้าให้ท่านเพื่อรับคำ

            “ครับ... มีงานว่าจ้างเข้ามาครับ ทางเรารับงานไว้แล้ว ผมเลยจะขอเลิกงานไวกว่าปกติเพื่อเตรียมการแสดงครับ แต่ว่า...ก็จะช่วยงานที่ร้านอย่างสุดความสามารถครับ” ผมลุกขึ้นยืนและโค้งให้เถ้าแก่ตัวตรง เก้าสิบองศาขนานพื้น รู้สึกว่าตัวเองมาขออู้งานยังไงไม่รู้ รู้สึกไม่ดีสุดๆ แต่ก็ผิดคาด...นอกจากเถ้าแก่จะไม่ว่าอะไรแล้ว ท่านยังยื่นมือออกมาลูบศีรษะผมเบาๆอย่างเอ็นดู

            “สึกิฮิโตะคุง ทำงานอยู่ที่นี่ทุกวัน ยายแกยังบ่นอยู่เลยว่าไม่ใช้ชีวิตวัยรุ่นให้คุ้มค่าบ้าง” ท่านพูดติดตลก แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี

            “ไปเถอะสึกิฮิโตะคุง ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ดีซะอีกวันหนึ่งจะได้ให้วงเธอมาแสดงให้คนแก่ที่นี่ได้ดูบ้าง” ครั้งนี้ผมถึงพอยิ้มออก ท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมไปแล้วหากได้รับอนุญาตจากท่านผมถึงจะเบาใจ เรื่องงานที่ร้านยังไงก็จะมาช่วยอย่างเต็มที่แน่นอนครับ

            “อย่าลืมรักษาสุขภาพบ้างล่ะ เธอน่ะผอมไปแล้วจริงๆนะ” เถ้าแก่ยังทำท่าจริงจังดุเรื่องหุ่น ผมว่าตัวเองก็ไม่ได้ผอมจริงๆนะ

            ผมเลยทำงานอย่างจริงจังมากกว่าปกติ เพื่อชดเชยในส่วนที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่พอเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่แขวนอยู่ภายในร้าน ผมก็รู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้ง ใกล้ถึงเวลาที่นัดซ้อมไว้แล้ว หัวหน้าวงไปสายเองคงไม่ดีแน่ แต่การจะขอกลับก่อนเนี่ย ไม่ว่ายังไงก็รู้สึกกระอักกระอ่วนใจจริงๆ

            “ต้องไปซ้อมแล้วหรอจ๊ะ” ผมสะดุ้งกับเสียงของคุณซาโยะที่ดังมาจากเคาน์เตอร์ ท่านคงสังเกตอาการกระสับกระส่ายของผมมานานแล้ว

            “ขอโทษด้วยนะครับ ที่ต้องขอเลิกงานเร็วแบบนี้” ผมก้มหน้างุดๆลงไปในคอเสื้อ เฮ่อ...รู้สึกแย่สุดๆ

            “บลัดคุงจ้ะ” ผมเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก

            “อย่าลืมมาเล่นให้ยายฟังบ้างนะ” เสียงของท่านทำให้อบอุ่นใจจริงๆ ผมพยักหน้ารับท่านครั้งหนึ่ง คุณซาโยะคลี่ยิ้มให้ ใบหน้าของท่านมีริ้วรอยตามวัยอยู่เต็มไปหมดแต่รอยยิ้มของท่านกลับงดงามไม่แพ้คนหนุ่มสาวเลยแม้แต่น้อย

            “ขอตัวก่อนนะครับ” เมื่อสบายใจขึ้นมาหน่อยแล้ว ผมจึงโค้งให้คุณซาโยะ และก้าวเท้าเข้ามาในห้องเปลี่ยนชุดทันที

            ก่อนที่ผมจะออกไป ผมเข้าไปคุยกับเถ้าแก่และคุณซาโยะอีกสักพักเพื่อขอโทษพวกท่านอีกครั้ง คุณซาโยะก็ยังทักเรื่องการแต่งตัวของผมวันนี้อยู่ดี จะถือว่าเป็นคำชมแล้วกันนะครับ แม้ว่าจะนำรถออกมาที่ถนนแล้วผมก็ยังหันไปค้อมตัวให้ท่านทั้งสองอีกครั้ง คุณซาโยะโบกมือมาให้พร้อมรอยยิ้ม

            ผมตวัดตัวขึ้นรถพลางกระชับกระเป๋ากีตาร์อีกครั้ง

            เอาล่ะ...ฉันลงทุนลางานแล้ว ถ้ามีใครเบี้ยวซ้อมละก็ มันจะไม่ได้มาซ้อมอีกตลอดกาล

 

 


 

 

เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ

 

- เดโม่ = เหมือนสินค้าตัวอย่างครับ ทั้งตัวอย่างเพลง หรือตัวอย่างเกมก็ใช้คำว่าเดโม่ได้เหมือนกัน

- อายุที่อนุญาตให้ดื่มได้ = สำหรับคนญี่ปุ่นอายุที่สามารถดื่มได้คืออายุ 20 ปีครับ แต่โดยปกติ เด็กๆที่อายุต่ำกว่านั้นครอบครัวก็สอนให้ดื่มตั้งแต่รุ่นๆอยู่ดี เพื่อเตรียมให้เด็กๆสามารถเข้าสังคมดื่มสังสรรค์ได้ในอนาคตครับ 

ขอบคุณทุกท่านคับ // โค้งRaf Rafael

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา