Eternal Night The second of heartbeat.
7.7
เขียนโดย Rafael
วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 02.50 น.
13 ตอน
0 วิจารณ์
14.14K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มีนาคม พ.ศ. 2558 02.58 น. โดย เจ้าของนิยาย
4) HEART BEAT second 04
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความHEART BEAT second 04
Raf Rafael
วันนี้ถือว่าโชคดี ขนมในร้านขายหมดเร็วกว่าปกติ ตอนนี้ผมถึงได้กำลังเปลี่ยนชุดเพื่อจะกลับบ้านแล้ว เถ้าแก่เดินเข้ามาด้านในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในระหว่างที่ผมกำลังถอดชุดยูนิฟอร์มสีขาวออกจากตัว ยูนิฟอร์มของร้านเราเป็นเสื้อกุ๊กสีขาวสะอาด กับกางเกงสแลคสีดำที่มีผ้ากับเปื้อนผืนเล็กยาวลงมาจากเอวถึงกลางต้นขา
“อย่าลืมหยิบถุงที่เคาน์เตอร์กลับบ้านด้วยนะ” เสียงของเถ้าแก่ดังขึ้น ถึงแม้ทั้งเถ้าแก่และคุณซาโยะ ภรรยาของเถ้าแก่จะอายุเข้าเลขแปดแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็แข็งแรงมากทีเดียว เสียงของท่านทั้งสองยังฟังดูสดใส กระปรี้กระเปร่าราวกับหนุ่มสาวแรกรุ่น
“คุณซาโยะแอบเก็บขนมไว้ให้อีกแล้วหรอครับ” ผมยิ้มตอบเถ้าแก่ไป ท่านหัวเราะขึ้นเบาๆพลางมองผมอย่างเอ็นดู
“ยายแกเป็นห่วง กลัวสึกิฮิโตะคุงจะผอมไปมากกว่านี้”
“อย่างผมไม่ถือว่าผอมแล้วนะครับ”
เถ้าแก่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีพาลให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นไปด้วย ท่านทั้งสองไม่มีลูกหลานที่ไหน นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมได้รับความเอ็นดู กรุณามากขนาดนี้
“ขอบคุณในความเหนื่อยยาก สำหรับวันนี้ครับ” ผมพูดเสียงดังฟังชัด ให้เถ้าแก่และคุณซาโยะที่กำลัง
ล๊อกประตูร้านพลางตรวจสอบความเรียบร้อยภายในร้านกันอยู่ ผมฉวยเอาถุงขนมที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ติดมือมาด้วย ก่อนโค้งขอบคุณให้สองสามีภรรยาอีกครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณมากนะบลัดคุง... เจอกันพรุ่งนี้นะจ้ะ” คุณซาโยะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบและท่าทางเป็นมิตร ผมยืนขึ้นยืดตัวเต็มความสูงส่งยิ้มให้ท่านทั้งสองอีกครั้ง ก่อนเดินออกไปทางประตูหลังร้าน
ฟ้ายังไม่มืดเลย ผมได้กลับบ้านเร็วกับเขาด้วย รู้สึกเวลาส่วนตัวที่หายไปนานกำลังกลับมาอีกครั้ง
ขายหมดเร็วๆแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ ผมคิดไปพลางระหว่างเดินกลับบ้าน
ตอนนี้เคลนน่าจะกำลัง เตรียมอาหารเย็นแล้ว นานๆทีจะได้กลับไปนั่งทานข้าวพร้อมกับเคลน ตอนนี้คงต้องพูดว่า นานๆทีจะได้กลับไปนั่งทานข้าวพร้อมกับทุกคน แต่อยู่ๆใบหน้าของสาวน้อยเพียงคนเดียวก็ลอยขึ้นมาในหัว
ผมเผลอล่วงเกินเธอไป เรนจะโกรธไหมนะ แต่ว่า...กลิ่นแชมพูของเรนหอมมาก หอมจนเคลิ้มไปชั่วขณะ เพียงแค่คิดถึงใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเอง เพื่อปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ เรื่องแบบนี้
เคลนน่ะโคตรไวเลย แค่วันที่ผมกลับช้าไปไม่กี่นาที มันก็มาด้อมๆมองๆสำรวจรอบตัว ก่อนจะฟันธงว่าแอบไปเที่ยวกับใครมาใช่ไหม เคลนได้เชื้อแม่มาเยอะสินะ
“กลับมาแล้ว” ผมพูดตามปกติทันทีที่เปิดประตูห้องออก
“วันนี้กลับไวจังพี่” เสียงเคลนลอยออกมาจากห้องครัวจริงๆด้วย พอต้องทำอาหารมากขึ้น เคลนก็ต้องใช้เวลาทำอาหารมากขึ้นตามไป จนสงสัยว่าเดี๋ยวนี้มันนอนในครัวด้วยรึเปล่า เจอหน้ามันทีไรก็มุดอยู่แต่ในครัว
“เรน กับ ลุคล่ะ” ผมถามออกไปพร้อมๆเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรมาเติมท้อง
“ยังไม่เห็นนะ” เคลนตอบผมพลางหั่นนู่น ต้มนี่ ลวกนั่นไป ผมนำถุงขนมที่คุณซาโยะให้มาไปวางบนเคาน์เตอร์ในครัว ก่อนจะหันไปบอกเคลนว่า
“คุณซาโยะฝากมา เก็บให้ทีละกัน”
เห็นเคลนพยักหน้าน้อยๆ ผมเลยเดินออกจากครัวแล้วเดินตรงเข้าห้องตัวเองไป หลังจากนั้นก็โยนกระเป๋าสะพายไว้บนชั้นตรงมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงสอดส่ายสายตามองภายในห้องตัวเอง ก่อนไปสะดุดสายตาเข้ากับของรักของหวงของผมชิ้นหนึ่งที่วางไว้ติดกับผนังตรงปลายเตียง ไหนๆวันนี้ก็กลับมาเร็วแล้วละนะ ไม่ได้จับมานานแล้วเหมือนกัน
ผมเดินไปยืนด้อมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง เพื่อตัดสินใจว่าจะหยิบชิ้นไหนออกไปดี สายตาเบนไปสบที่ของรักชิ้นแรก มันคือกีตาร์ไฟฟ้าตัวสีดำเงาทรงStratocaster กีตาร์คู่ใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมานาน ไม่ว่าจะมองมันกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงความยากลำบากมากมายที่ผ่านมาด้วยกัน
ผมยืนมองกีตาร์ที่กำลังโชว์ตัวอยู่บนแท่นวาง แต่จะให้หยิบไปดีดตอนนี้ก็กลัวบรรดาเพื่อนพ้องในคอนโดจะส่งเสียงเชยชมในความหนวกหูของมัน เพราะตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนแล้ว ผมไม่ควรจะทำเสียงดังรบกวน แม้จะชอบจับกีตาร์ไฟฟ้ามากกว่าก็เถอะ
ผมจึงเบนสายตาจากกีตาร์ไฟฟ้า มาสบกับกีตาร์โปร่งสีน้ำตาลเข้มข้างๆแทน ถึงจะไม่ใช่สไตล์ผมโดยตรงแต่ก็ใช้ซ้อมมือได้ดีไม่เบา
ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับกีตาร์โปร่งในมือ พลางหาที่ทิ้งตัวแถวห้องรับแขก ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวกลางห้อง ทันทีที่กีตาร์ในมือเริ่มส่งเสียง เจ้าเคลนก็โผล่หัวออกมาจากห้องครัว
“ฮิ...ไม่ได้จับนานเลยนะ” เคลนทอดสายตามองลอดช่องเล็กๆตรงเคาน์เตอร์ ระหว่างที่ผมกำลังตั้งเสียงกีตาร์ในมือ
“ไม่สนใจไปหยิบเบสออกมาบ้างไง”
“กับข้าวยังไม่เสร็จ” เคลนยักไหล่ ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ผมเลยไม่หันไปสนใจมันอีก หลังจากเสียงเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมจึงใช้ปิ๊กกีตาร์จรดเบาๆลงบนสายก่อนจะดีดมันออกมาเป็นจังหวะเพลง ทำให้คิดถึงวงขึ้นมาเลย เราไม่ได้เล่นรวมวงกันมาสอง สามเดือนแล้ว เพราะต่างคนต่างยุ่งอยู่กับการสอบ
หลังจากวอร์มนิ้วอยู่ได้สักพัก ผมก็เริ่มเล่นบทเพลงที่คุ้นเคย พวกเราเล่นเพลงแนวร็อคกันเป็นส่วนใหญ่ จังหวะเพลงที่ค่อนข้างเร็วทำให้ผมเริ่มสนุก แถมได้ยินเสียงเคลนฮัมเพลงล้อกับเสียงกีตาร์ออกมาด้วย
ค่อนข้างทำให้สบายใจและสงบใจลงไปเยอะเวลาจมอยู่ภายใต้เสียงเพลง จนผมเริ่มอ้าปากและส่งเสียงร้องออกมารับกับเสียงเคลนที่ร้องคลอมาจากในครัว คิดถึงวงเหมือนกันนะไว้ต้องโผล่ไปที่สตูดิโอบ้างแล้ว
ฉันนั่งเล่นอยู่ในห้อง 802 มองลูคัสที่กำลังทำการบ้านอย่างตั้งใจ แต่ฉันว่างง่ะ... ฉันชะเง้อมองลุค มองแล้วมองอีก ว่าเมื่อไหร่น้องชายถึงจะทำการบ้านเสร็จ จะได้มีเวลามาดูแลพี่สาวบ้าง
“ลูคาสสสสส~” ฉันเรียกลุคออกไปพลางเข้าไปก่อกวนเขา ฉันทิ้งแขนทั้งสองข้างลงไปจากไหล่ของเขา และใช้คางพาดไว้บนศีรษะของลุค
“อย่าเพิ่งเล่นสิ” ลุคดุเข้าให้ แต่ฉันอยากนั่งเล่น นั่งคุยกับเขาบ้างนี้ ฉันยังก่อกวนลุคอยู่ในท่านั้นพลางโยกตัวไปมา ลุคที่โดนเกาะอยู่จึงตัวโยกตามไปด้วย
“ลอเรน” ลุคเรียกชื่อฉันเชิงห้ามปราม ฉันจึงหยุดโยกตัว พลางมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
“ไปเล่นกับพี่บลัดก่อนนะ”
บลัดอีกละ
“ฉันเกรงใจพวกเขานี่...อีกอย่างบลัดกลับจากทำงานรึยังก็ไม่รู้” ฉันทำเสียงออดอ้อนลุคแต่เหมือนวันนี้จะใช้ไม่ได้ผล ลุคตั้งใจทำงานจนฉันรู้สึกผิดในใจเลยนะเนี่ย
“งานวันนี้ผมต้องใช้สมาธิ” ลุคพูดโดยไม่ละสายตาออกจากงานแม้แต่น้อย ฉันเลยเบ้ปากน้อยๆทำท่าจะร้องไห้หลอกเขา แต่ลุคไม่หันมามองเลยแม้แต่น้อย ฉันจะงอนจริงๆแล้วนะ
“งั้นก็ไปช่วยพี่บลัดทำการบ้านละกัน”
บลัดอีกแล้ว... นี่ลุคนายกำลังยัดเยียดฉันให้บลัดเทียรึเปล่า แถมไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยสิเนี่ย
“วันนี้ยังไม่มีการบ้านนี่น่า...”
“ไปช่วยพี่เคลนทำอาหารเย็นมั้ย น่าสนุกนะ” ลุคยังพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าไล่ฉันไปห้องนู้นให้ได้ ฉันจะน้อยใจแล้วนะ แต่ลุคเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆซะแล้ว ฉันเลยจำใจต้องปล่อยร่างน้องชายออก และตั้งใจจะเดินไปห้องสองหนุ่มจริงๆ
ฉันก้าวขาออกจากห้อง 802 พลางบ่นอุบอิบ ก่อนที่จะหันไปทางห้อง 801 แล้วเจอกับหนึ่งในเจ้าของห้องกำลังเดินออกมาพอดี
“ไปไหนหรอ เคลน” ฉันทักทายเขา เคลนหันมายิ้มให้ก่อนตอบฉันว่า
“จะแวะลงไปมินิมาร์ทข้างล่างหน่อย เอาไรมั้ย”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ แบบนี้ในห้อง 801 ก็ไม่มีใครอยู่น่ะสิ ปกติบลัดจะกลับมาราวสองสามทุ่ม ตอนนี้เพิ่งจะเกือบทุ่มหนึ่งเอง แต่ยังไม่ทันได้หันหลังกลับเคลนก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“พี่บลัดอยู่ในห้องแหนะ”
ฉันหันไปมองหน้าเคลน บลัดอีกละ... หน้าฉันนี้มีชื่อเขาเขียนแปะไว้หรอ ทำไมมีแต่คนพูดถึงเขาให้ได้ยินอยู่เรื่อย
“เข้าไปรอในห้องก่อนก็ได้นะ” เคลนไม่พูดเปล่า เขาเปิดประตูห้องให้ด้วย เสียงเพลงเบาๆลอยคลอออกมาจากด้านในดึงความสนใจจากฉันได้อย่างดี เคลนจับประตูอ้าไว้แบบนั้นรอให้ฉันเดินเข้าไป พร้อมรอยยิ้มพรายบนใบหน้า
ฉันมองใบหน้าเคลนสลับกับมือของเขา พลันถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ก่อนจะเยื้องย่างสังขารเข้าไปในห้อง 801 ฉันหันกลับมาโค้งน้อยๆเพื่อขอบคุณที่เขาอุส่าห์เปิดประตูให้
พอก้าวเข้าไปในห้อง ฉันกลับต้องยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู เสียงของบลัด เสียงของเขาจริงๆ บลัดกำลัง...ร้องเพลง
ฉันแอบเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องรับแขก แต่ยังซ่อนร่างไว้ในซอกเล็กๆที่ไว้สำหรับสับเปลี่ยนรองเท้า และเป็นชั้นวางรองเท้าในตัว
เขานั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวกลางห้อง ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังแต่เสียงร้องของเขาสัมผัสได้ถึงความสนุกสนานและอารมณ์ดีโดยไม่จำเป็นต้องเห็นสีหน้า บลัดบรรเลงเพลงออกมาอย่างไม่มีสะดุด กำลังเพลิดเพลินจนไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของฉัน
ฉันลอบฟังเสียงของเขาอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ เสียงเพลงที่กำลังแทรกเข้าไปในใจอาจจะต้องหยุดชะงักลง
เสียงของบลัดนุ่มละมุน แต่กลับทรงพลังอย่างประหลาด เสียงของเขาไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไป เป็นโทนเสียงที่ชวนให้หลงใหล พาให้คนที่ได้ฟังไม่สามารถหลุดไปจากเสียงสะกดของเขา เวลาเขาดึงเสียงขึ้นสูง หรือกดเสียงลงต่ำ เสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นหนักแน่น มั่นคงแต่ละมุนละไม ชัดเจนและอบอุ่น ฉันรู้สึกว่ามันแอบเซ็กซี่ด้วยละ
เมื่อเขาเว้นจังหวะหายใจ ฉันแทบจะหยุดหายใจไปพร้อมเสียงของเขา หรือเวลาเขาลากเสียงยาว มันราวกับจะดึงฉันให้อยากเข้าไปฟังใกล้ๆ เวลาเขาทิ้งเสียงลงต่ำมันกำลังทำให้หัวใจของฉันสั่นไหว
อยากจะเข้าไปนั่งข้างๆเขา อยากจะฟังเสียงของเขาใกล้ๆ อยากจะเห็นสีหน้าของเขา อยากเห็นท่าทางเวลาเขาบรรเลงเพลง ฉันชักอยากจะรู้จักผู้ชายคนนี้ ฉันอยากรู้จักบลัดเทีย
ฉันยกมือขึ้นวางบนหน้าอกของตัวเอง มันกำลังเต้นแรง หัวใจฉันกำลังเต้นแรง แทบจะเต้นไปตามจังหวะเพลงของเขาเลย เต้นไปตามเสียงของเขา บลัด...
“ไม่เข้าไปข้างในหรอ”
ฉันสะดุ้งโหยงสุดตัว ก่อนหันขวับไปมองเจ้าของเสียง ไม่คิดว่าเคลนจะกลับมาเร็วขนาดนี้ มาด้อมๆมองๆหน้าบ้านเขา แถมเจ้าของบ้านจับได้แบบนี้ อายจนอยากจะวิ่งกลับห้องตัวเองไปตอนนี้เลยเชียว
เสียงเพลงที่ดังอยู่เมื่อครู่หยุดลงแล้ว บลัดรู้ตัวแล้วว่าฉันมา เขาส่งเสียงเรียกให้เข้าไปด้านในด้วยอีกแรง ฉันถึงได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โซฟาเดี่ยวตัวเล็ก ที่ตั้งหันหน้าเข้าหาโต๊ะกลาง พลางหันมองกีตาร์ในมือเขาอย่างสนใจ
“เมื่อกี้นายเล่นเพลงอะไรหรอ” ฉันถามเขาออกไปพร้อมรอยยิ้ม บลัดส่งยิ้มบางๆกลับมาให้ ฉันเลยฮัมทำนองเพลงที่พอจำได้ออกไป นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างมองฉันอย่างแปลกใจ
“ได้ฟังแป๊บเดียว จำได้แล้วหรอ”
ฉันจำได้เพราะเสียงร้องของเขายังดังก้องกังวานอยู่ในอก เสียงกีตาร์ของเขาดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจ้องมองมือใหญ่ที่กำลังบรรเลงเพลง เมื่อบลัดฮัมเพลงออกมา ก็อดที่จะร้องตามเขาไม่ได้ ราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นดนตรีกับลุคอีกครั้ง แต่ในวันนี้ฉันกำลังขับร้องบรรเลงท่วงทำนองไปพร้อมกับหนุ่มเรือนผมสีเงิน ที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอคนที่พาให้ใจฉันอบอุ่นเช่นเขา
หลังจากนั้นรู้สึกว่า ฉันแอบลอบมองบลัดบ่อยๆ แอบฟังเสียงเวลาเขาพูดหยอกล้อกับเคลน เวลาเขาหันไปโวยวายใส่เคลน เวลาเขาหันมาชวนฉันทานข้าว ราวกับค่อยๆจดจำทุกอย่างที่เป็นบลัดเทียทีละน้อย
โต๊ะที่เรานั่งทานอาหารกันทุกวันนั้นเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ใหญ่นัก มีเก้าอี้อยู่ฝั่งละสองตัว เคลนที่มักเป็นคนเดินหยิบนั่นหยิบนี่จากในครัวมาเติมให้เรา เขาถึงได้นั่งเก้าอี้ฝั่งที่ติดกับทางเดินเข้าออกครัว เพื่อที่จะเดินได้สะดวก ส่วนลุคก็ดันนั่งข้างเคลนจนเป็นที่ประจำ ฉันเลยจำใจต้องนั่งตรงข้ามน้องชาย และอีกที่หนึ่งที่เหลือข้างๆตัว เลยเป็นที่ของบลัดไปโดยปริยาย
เหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าพี่ชายที่อังกฤษ ถึงตอนนี้คนข้างตัวฉันจะไม่ใช่พี่ แต่พวกเขาก็ต้อนรับฉันอย่างดี ราวกับว่าไม่ได้จากครอบครัวมาไกล ทำให้หัวใจอบอุ่นและไม่รู้สึกเหงา ต้องขอบคุณสองพี่น้องข้างห้องละนะ
“เรน เรน...ลอเรน”
“หื้อ หื้อ..” ฉันรีบหันไปตอบเสียงเรียกของเขา
“เหม่อๆนะ ไหวมั้ยเนี่ย” บลัดขยับตัวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีแดงของเขาจ้องฉันไม่กระพริบ เพียงเพราะฉันไม่ตอบเขาเรื่องเรียนวันพรุ่งนี้
ไหวน่ะไหว แต่นายไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันเห็นลูคัสจ้องฉันเขม็ง ถึงแม้ปากจะกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ แต่สายตานั่นจ้องฉันจนแทบถลน แถมฉันเห็นอะไรบางอย่างกำลังไหวระริกอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้นของลุค รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมานิดๆแล้วละ
หลังจากเรียนมาทั้งอาทิตย์ในที่สุดก็ถึงวันหยุดซะที
ฉันกับลุคมานั่งเล่นที่ห้อง 801 เหมือนอย่างเคย รู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี้มากกว่าห้องของตัวเองซะอีก กลิ่นอาหารเช้าลอยคลุ้งออกมาจากห้องครัว
วันนี้เคลนทำอะไรให้หม่ำน้า
ระหว่างที่กำลังคิดถึงเมนูอาหารเช้า ฉันก็รู้สึกว่าโซฟาที่กำลังนั่งอยู่มันยวบลงไป ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ทันทีว่าใคร เพียงแค่หางตาเหลือบไปเห็นเรือนผมสีเงิน ฉันก็รู้ว่าเป็นบลัดเทีย
ฉันแอบเบือนสายตาลอบมองเขา เขาอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆเสื้อแขนสั้นทำให้มองเห็นท่อนแขนแกร่งได้อย่างชัดเจน กลิ่นสบู่อ่อนๆเคล้ามากับอากาศ วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเขาถึงไม่ได้ใส่น้ำหอมกลิ่นเดิมสินะ
“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านหรอ บลัด” ฉันเอ่ยปากถามเขาเพื่อทำลายความเงียบระหว่างที่เขาเปลี่ยนช่องในทีวีไปเรื่อยเปื่อย
“เดี๋ยวค่อยไปบ่ายๆ” บลัดตอบฉันพลางหาวหวอด เขาคงเหนื่อยน่าดูที่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แถมยังต้องเลี้ยงฉันกับลูคัสเพิ่มอีกสองคน ฉันพอจะช่วยอะไรเขาได้บ้างไหมนะ
“โกโก้หน่อยมั้ย” ฉันถามเขาพร้อมรอยยิ้มจางๆ บลัดพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจรายการในทีวี ฉันลุกขึ้นอย่างกระชับกระเฉง ตรงเข้าไปในครัว พอเปิดประตูครัวกลิ่นอาหารหอมฟุ้งก็ลอยออกมา
ลูคัสกับเคลนกำลังง่วนอยู่กับการจัดอาหาร มีชามใบใหญ่สี่ใบวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา เคลนวางแผ่นๆใหญ่ๆที่คล้ายแผ่นแฮมลงไปในชามด้วย แต่ฉันว่าคงไม่ใช่แฮมจริงๆหรอก
ลูคัสดูสนอกสนใจเวลาเคลนทำอาหาร เขามักจะตามเข้ามาช่วยเป็นลูกมือพี่ชายต่างสายเลือดในครัว สองคนนี้ดูสนิทสนมราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน
ฉันเดินตรงเข้าไปตรงตู้ที่เก็บบรรดาเครื่องดื่มชนิดต่างๆไว้ ก่อนจะหยิบกระปุกโกโก้ออกมาจากชั้นวางอย่างชำนาญ ฉันเป็นคนชงให้เขาทุกวันจนไม่จำเป็นต้องมองหาก็รู้ว่ากระปุกโกโก้อยู่ที่ไหน เมื่อก่อนเคลนเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ชงให้บลัดดื่มก่อนไปมหาวิทยาลัยในอาทิตย์ที่ผ่านมา เคลนก็ปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาพวกเขาไปได้เรื่องหนึ่งแล้วละนะ
หลังจากตักโกโก้ลงไปในแก้วกระเบื้องเคลือบ ฉันหันไปหยิบกล่องใส่นมข้นออกมาจากตู้เย็น เพื่อให้ตักใช้งานได้สะดวก เคลนจึงเทนมข้นหวานจากกระป๋องเก็บไว้ในกล่องที่มีฝาปิดแทน
ฉันตักนมข้นหวานลงไปในแก้วด้วยช้อนเล็กๆ ก่อนเทน้ำร้อนลงไปในแก้วกระเบื้องพลางคนให้เข้ากัน กลิ่นโกโก้หอมหวานลอยออกมาจากแก้ว สุดท้ายก็หยิบจานรองแก้วใบเล็กๆขึ้นมารอง ก่อนยกเครื่องดื่มออกไปให้บลัด
บลัดรับแก้วกระเบื้องไป เขาเป่าลมที่ปากแก้วนิดหน่อยเพื่อไล่ความร้อน ก่อนจรดปากแก้วกับริมฝีปาก ระหว่างนั้น ฉันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขาตามเดิมพลางใจเต้นตึกตักลุ้นระทึกไปด้วยว่าจะถูกปากเขาไหม
“อร่อยแล้ว” บลัดเปรยขึ้นเบาๆหลังจากดื่มโกโก้ไปอึกใหญ่ ฉันยิ้มรับคำชมจากเขา พอมีคนชมก็รู้สึกดีใจจริงๆนะ พอจะเข้าใจเคลนแล้วว่า เวลาลุคชมฝีมือทำอาหารของเขามันคงมีความสุขแบบนี้สินะ
“ขอบคุณ..” ฉันขอบคุณในคำชมของเขา บลัดหันมายิ้มให้ด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของเขานะ เวลาที่นัยน์ตาสีแดงคมหรี่ลงพร้อมรอยยิ้มพราย มันทำให้ฉันอยากจะฉีกยิ้มหวานๆตอบเขาเป็นร้อยๆครั้ง
หลังจากนั่งดูทีวีอยู่กับบลัดพักใหญ่เคลนกับลูคัสก็ยกอาหารเช้าออกมาจากครัว
“อาหารเช้าพร้อมแล้วครับ” ลูคัสพูดออกมาอย่างร่าเริง ฉันหันไปให้ความสนใจกับชามใบใหญ่บนโต๊ะอาหารทันที วันนี้เป็นราเมงเส้นอุด้ง มันเป็นเส้นกลมใหญ่สีขาวดูแปลกตา แฮมแผ่นใหญ่ๆที่เห็นเคลนวางลงไป บลัดบอกว่าเป็นหมูแผ่น มันกระจายตัวอยู่เต็มชามเลย แลดูน่ากินจนท้องเริ่มจะส่งเสียงประท้วงแล้ว แต่...
ฉันมองหาช้อนส้อมของฉันไม่เจอ ปกติข้างๆชามของฉันจะเป็นช้อนส้อมแทนที่จะเป็นตะเกียบเหมือนคนอื่น แต่วันนี้กลับกลายเป็นตะเกียบแทน
“เรนหัดใช้ตะเกียบได้แล้ว” ลูคัสตอบความสงสัยในใจ ฉันขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่น้องชายบอก ก็เพราะว่าฉันใช้ไม่เป็นถึงได้ต้องใช้ช้อนส้อมไม่ใช่หรอ ฉันหันมองลูคัสตอนนี้เขากำลังคีบเส้นอุด้งเข้าปากพลางหันไปชมเคลนไม่หยุด ส่วนเคลนก็พูดถ่อมตัวอยู่กับลุคพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกกว้างอย่างไม่ปิดบัง แล้วจะกินยังไงล่ะเนี่ยฉันลองหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเงอะงะ มันไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย
“จับแบบนี้” เป็นเสียงของคนข้างตัวนี่เอง บลัดจับตะเกียบของเขาให้ดู ฉันพยายามจะจับตามเขาแต่ก็เหมือนจะไม่ได้เรื่องเลย
“เอาอันข้างล่างวางไว้บนนิ้วนาง แล้วก็เอานิ้วโป้งจับมันไว้แน่นๆแบบนี้” บลัดหยิบตะเกียบขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วจับให้ดูอีกครั้ง ฉันลองวางตะเกียบไว้บนมือตามเขา
“แล้วเอาอันบน คีบไว้แบบนี้” เขาลองขยับตะเกียบในมือเขาให้ฉันดู มันดูง่ายมากเวลาบลัดทำ แต่ฉันเนี่ยสิ ขยับไม่ได้เลย แล้วจะคีบอะไรได้ล่ะเนี่ย มันไม่ชินสุดๆ ขอช้อนส้อมให้ฉันได้ไหม
“แบบนี้...” ฉันสะดุ้งเมื่อบลัดลุกออกจากเก้าอี้ของเขามายืนซ้อนหลังเก้าอี้ฉันแทน ก่อนที่มือของเขาจะยื่นมาจับที่มือของฉันพลางจัดท่าทางการถือให้ถูกต้อง
มือของบลัดใหญ่กว่าฉันเยอะเลย มันกร้านนิดหน่อยเพราะเขาต้องทำงานสินะ แต่มือของเขาอบอุ่นมาก แถมใบหน้าเขาที่โน้มเข้ามาใกล้พาลทำให้หูอื้อตาลาย หากหันหน้าไปทางเขาอีกนิด จมูกอาจจะชนกับแก้มของเขาเข้าก็ได้
“ลองขยับสิ” ฉันลองขยับนิ้วตามการสอนของเขาแต่โดยดี มันขยับง่ายขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่ชินมืออยู่ดี
“ขยับแบบนี้” มือของบลัดทาบมาที่มือของฉันจนเหมือนเขากำลังกุมมือของฉันไว้ เขาใช้นิ้วเรียวยาวบังคับให้นิ้วมือของฉันขยับตาม ฉันเหลือบไปเห็นสมาชิกที่นั่งฝั่งตรงข้ามวางชามในมือของตัวเองลง พลางมองพวกเราด้วยสายตาระยิบระยับ บลัดรู้ตัวไหมนะว่ามีอีกสองสายตากำลังจ้องมองพวกเราอยู่แต่เขากลับสอนฉันต่อไปอย่างไม่กลัวเกรงต่อการจ้องมอง
“น่าจะพอไหวแล้วมั้ง” ฉันกล่าวออกไป ทำให้เขาผละออกไป ก่อนกลับไปนั่งที่ของเขาตามเดิม ดูลูคัสมองเข้าสิ ตาเป็นมันวิ้งวั้งมาเชียว ฉันลองใช้วิชาใหม่คีบเส้นขึ้นมาดู แต่แล้วมันก็ลื่นหวือออกไปจากปลายตะเกียบ เสียงหัวเราะของลูคัสดังแว่วมาจากฝั่งตรงข้าม
บลัดเคี้ยวอาหารไปด้วยมองฉันไปด้วย เหมือนอาจารย์ของฉันจะไม่ค่อยพอใจกับลูกศิษย์เท่าไหร่นะ ถึงได้ทำหน้าดุๆขึ้นมาอีกแล้ว
“แล้ววันนี้จะได้กินมั้ยเนี่ย...เอ้า” อยู่ๆเส้นในชามของฉันก็ลอยตัวขึ้นมาจากภายในชามด้วยตะเกียบของ
บลัดเทีย เขาพยักเพยิดให้ฉันทานเข้าไปด้วย
ฉันมองมือเขาที่คีบเส้นไว้ สลับกับใบหน้าของเขาที่มองมาอย่างจริงจัง บลัดคีบเส้นสูงขึ้นมาจนแทบจะชนปากฉันอยู่แล้ว ฉันจึงจำใจอ้าปากและงับเส้นออกไปจาก...
จากปลายตะเกียบของเขา ใช้ตะเกียบเดียวกันแบบนี้จะดีหรอ... ดูสายตาลูคัสสิ เป็นประกายจนเหมือนกับจับดวงดาวทั้งท้องฟ้ามาใส่ไว้ในแก้วตา
“ไปหยิบช้อนส้อมมาไป! เลิกแกล้งเรนได้แล้ว” บลัดหันไปส่งสายตาเอาเรื่อง ให้สมาชิกฝั่งตรงข้าม
เคลนยิ้มเจื่อนขึ้นมาเลย ส่วนลุคก็ตั้งหน้าตั้งตากินของตัวเอง ปล่อยให้เคลนรองรับรังสีอาฆาตจากดวงตาสีแดงคู่นั้นเพียงลำพัง สุดท้ายเคลนก็ยอมลุกออกไปหยิบช้อนส้อมออกมาจากครัวแต่โดยดี
“จริงๆเลย” บลัดยังไม่วายบ่นอุบอิบอยู่ข้างๆ เขายังใช้ตะเกียบอันเดิมคีบอุด้งเข้าปากอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉันรู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
นายจงใจจูบฉันทางอ้อมรึเปล่า บลัดเทีย
ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็บ่ายโมง หลังจากลงไปนั่งร่วมวงเล่นเกมกับน้องๆอยู่พักใหญ่ ตอนนี้ผมเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเองเพื่อเตรียมตัวออกไปที่ร้านเบเกอรี่ ทั้งสามคนก็ยังคงนั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าจอทีวี
เมื่อเช้าทำอะไรไป! ราวกับร่างกายหลุดการควบคุมไปชั่วขณะ... ผมเหม่อไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แอบเข้าไปกอดเธอทางอ้อมยังไม่พอ จับไม้จับมือเรนอย่างถือวิสาสะ แถมยังจูบทางอ้อมกับเธอไปซะแล้ว
ผมนี่เป็นคนไม่ดีรึเปล่านะ พอคิดไปคิดมาใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาเพราะละอายใจ แต่ก็โทษผมไม่ได้ซะหน่อย เรนดูน่ารักเกินไปเวลาเธอเงอะงะทำอะไรไม่ถูก เจ้าสองคนนั้นก็จ้องผมกับเรนซะจนตาจะลงมากลิ้งกับโต๊ะ
วันนี้ผมหน้าหนาเป็นประวัติการณ์ ตอนแรกก็ไม่กล้าหรอกแต่พอร่างกายขยับเข้าไปใกล้เรน ก็เริ่มอดใจไม่อยู่ ทั้งกลิ่นแชมพูของเธอที่ส่งกลิ่นหอมๆมาแตะจมูก ยิ่งเข้าไปใกล้กลิ่นโคโลญอ่อนๆก็ลอยคลุ้งจนสติเลอะเลือน บังคับตัวเองแทบตายเพื่อที่จะไม่ให้ซุกใบหน้าลงไปกับคอของเธอ
ถึงจะบอกว่าห้ามแกล้งเรนก็เถอะ แต่กลับรู้สึกว่าผมนี่ละ ตัวดีเลย... ผมแอบขอโทษเธออยู่ในใจ
หลังจากออกมาจากห้อง ทั้งสามคมก็ยังนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิม
“ไปนะ” ผมพูดขึ้นเบาๆ ก่อนออกไปใส่รองเท้าตรงหน้าประตู
“ไปดีมาดีนะ” ผมได้ยินเสียงเรนตอบกลับมา อยู่ๆรอยยิ้มก็ฉีกกว้างแถมเป็นรอยยิ้มที่หุบไม่ลง ถ้าเธอมาคอยต้อนรับกลับบ้าน รวมถึงมายืนส่งเวลาผมออกไปทำงาน ชีวิตคงจะมีความสุขขึ้นไม่น้อย ชักอยากจะหันกลับไปแล้วรวบตัวเธอมากอดเป็นกำลังใจก่อนไปทำงานสักที
ผมว่า...ควรหยุดฝันเฟื่องแล้วออกไปทำงานได้แล้ว
“อื้อ เดี๋ยวเจอกัน” ผมตอบเธอกลับไปก่อนออกเดินทาง
วันเสาร์เป็นวันพักผ่อนของใครหลายคน เหล่านักเรียน นักศึกษา พนักงานบริษัทต่างได้รับวันหยุดกันถ้วนหน้า ร้านเบเกอรี่ถึงได้วุ่นวายกันจนหัวปั่น
ลูกค้าเข้าร้านไม่หยุดเลย พอผมโผล่หน้าเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ก็รีบรบเร้าให้ไปเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม ก่อนจะให้ผมเข้ามาช่วยอบขนมเพื่อเติมสินค้าในร้าน บางช่วงต้องออกมาต้อนรับลูกค้าภายในร้านเพราะคุณซาโยะรับลูกค้าไม่ทัน ผมยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินบ้าง บางทีก็เดินออกมาเติมขนมชนิดต่างๆตามชั้นวาง หรือบางครั้งก็เข้าไปช่วยคุณซาโยะจัดเรียงขนมลงกล่อง
เดินไปเดินมาไม่ได้หยุดจริงๆ ผมมองบรรดาลูกค้าที่เดินเข้ามาเลือกขนมในร้าน บางคนหันมาจ้องผมแทนขนม เสียใจที่ต้องบอกว่า...ผมกินไม่ได้นะครับ จ้องไปก็ไม่อิ่มหรอก
ระหว่างที่ยืนคิดเงินให้ลูกค้าอยู่นั้น อยู่ๆผมก็นึกขึ้นได้...ทำไมวันแรกที่เรนมาซื้อขนมที่นี่ ถึงพูดกับผมด้วยภาษาอังกฤษนะ ทั้งๆที่เรนพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ปกติแล้วถ้าหากพูดภาษาถิ่นนั้นๆได้ก็ต้องสื่อสารด้วยภาษาถิ่นก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
ผมนึกสงสัยไปพลางรับลูกค้าไปพลาง คงต้องลองถามกับเจ้าตัวดูสินะ
หลังจากกลับมาถึงบ้านตอนราวๆสามทุ่มครึ่ง เรนวิ่งมาหาผมที่หน้าประตูพร้อมกับถือแก้วกระเบื้องใบใหญ่มายื่นตรงหน้าก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เหนื่อยมั้ย อะ!โกโก้...เป็นโกโก้เย็นนะเพราะกินร้อนๆตอนกำลังเหนื่อยๆมาคงไม่ชื่นใจใช่ม๊า ฉันชงเองเลยนะ”
ผมจ้องมองใบหน้าหวานที่เหยียดรอยยิ้มเต็มใบหน้า พร้อมกับยื่นแก้วโกโก้มาให้จนสุดแขน เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรวบไว้เป็นหางม้า เผยให้เห็นช่วงคอของเรนอย่างชัดเจน ผมมองใบหน้าของเรนสลับกับแก้วโกโก้ในมือเธอ
เสียงน้ำแข็งในแก้วโกโก้กำลังส่งเสียง ‘เกร้ง’ เบาๆเวลาแก้วขยับ ถึงลำคอจะกระหายแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะงับคนตรงหน้าเข้าไปมากกว่า โกโก้เย็นๆซะอีก
เอาล่ะเรน...ฉันชักจะควบคุมตัวเองไม่ไหวขึ้นมาจริงๆแล้วนะ
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- กีตาร์ไฟฟ้า Stratocaster = เป็นชื่อรุ่นกีตาร์รุ่นหนึ่งของแบรนด์ Fender ครับ กีตาร์ทรงคราสสิคที่ไรเตอร์ค่อนข้างชอบ ก็เลยยกให้เป็นกีตาร์คู่กายของบลัดเขาละ
- ความสำคัญของตะเกียบ = ตะเกียบสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วถือเป็นของใช้ส่วนตัวที่คนในบ้านจะไม่ใช้ร่วมกันครับ สมาชิกในบ้านแต่ละคนจะมีตะเกียบเป็นของตัวเอง มีความสำคัญในชีวิตจนมีการสั่งทำตะเกียบอันเดียวในโลกเป็นของตนเองกันเลย อาจจะแค่สลักชื่อ หรือสั่งแกะสลักเป็นลวดลายเฉพาะไปจนถึงติดเครื่องประดับตกแต่งปลายตะเกียบ(ฝั่งที่ใช้จับ)ให้เป็นตะเกียบเฉพาะของใครของมัน
เพราะฉะนั้นการที่ชาวญี่ปุ่นแบ่งตะเกียบของตนให้คนสำคัญทานร่วมกันได้ก็เป็นการบอกรักเป็นนัยๆในทางหนึ่งครับ
ขอยคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามานะครับ
Raf Rafael
Raf Rafael
วันนี้ถือว่าโชคดี ขนมในร้านขายหมดเร็วกว่าปกติ ตอนนี้ผมถึงได้กำลังเปลี่ยนชุดเพื่อจะกลับบ้านแล้ว เถ้าแก่เดินเข้ามาด้านในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าในระหว่างที่ผมกำลังถอดชุดยูนิฟอร์มสีขาวออกจากตัว ยูนิฟอร์มของร้านเราเป็นเสื้อกุ๊กสีขาวสะอาด กับกางเกงสแลคสีดำที่มีผ้ากับเปื้อนผืนเล็กยาวลงมาจากเอวถึงกลางต้นขา
“อย่าลืมหยิบถุงที่เคาน์เตอร์กลับบ้านด้วยนะ” เสียงของเถ้าแก่ดังขึ้น ถึงแม้ทั้งเถ้าแก่และคุณซาโยะ ภรรยาของเถ้าแก่จะอายุเข้าเลขแปดแล้ว แต่ท่านทั้งสองก็แข็งแรงมากทีเดียว เสียงของท่านทั้งสองยังฟังดูสดใส กระปรี้กระเปร่าราวกับหนุ่มสาวแรกรุ่น
“คุณซาโยะแอบเก็บขนมไว้ให้อีกแล้วหรอครับ” ผมยิ้มตอบเถ้าแก่ไป ท่านหัวเราะขึ้นเบาๆพลางมองผมอย่างเอ็นดู
“ยายแกเป็นห่วง กลัวสึกิฮิโตะคุงจะผอมไปมากกว่านี้”
“อย่างผมไม่ถือว่าผอมแล้วนะครับ”
เถ้าแก่หัวเราะอย่างอารมณ์ดีพาลให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่นไปด้วย ท่านทั้งสองไม่มีลูกหลานที่ไหน นั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมได้รับความเอ็นดู กรุณามากขนาดนี้
“ขอบคุณในความเหนื่อยยาก สำหรับวันนี้ครับ” ผมพูดเสียงดังฟังชัด ให้เถ้าแก่และคุณซาโยะที่กำลัง
ล๊อกประตูร้านพลางตรวจสอบความเรียบร้อยภายในร้านกันอยู่ ผมฉวยเอาถุงขนมที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ติดมือมาด้วย ก่อนโค้งขอบคุณให้สองสามีภรรยาอีกครั้งหนึ่ง
“ขอบคุณมากนะบลัดคุง... เจอกันพรุ่งนี้นะจ้ะ” คุณซาโยะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เนิบนาบและท่าทางเป็นมิตร ผมยืนขึ้นยืดตัวเต็มความสูงส่งยิ้มให้ท่านทั้งสองอีกครั้ง ก่อนเดินออกไปทางประตูหลังร้าน
ฟ้ายังไม่มืดเลย ผมได้กลับบ้านเร็วกับเขาด้วย รู้สึกเวลาส่วนตัวที่หายไปนานกำลังกลับมาอีกครั้ง
ขายหมดเร็วๆแบบนี้ทุกวันก็ดีนะ ผมคิดไปพลางระหว่างเดินกลับบ้าน
ตอนนี้เคลนน่าจะกำลัง เตรียมอาหารเย็นแล้ว นานๆทีจะได้กลับไปนั่งทานข้าวพร้อมกับเคลน ตอนนี้คงต้องพูดว่า นานๆทีจะได้กลับไปนั่งทานข้าวพร้อมกับทุกคน แต่อยู่ๆใบหน้าของสาวน้อยเพียงคนเดียวก็ลอยขึ้นมาในหัว
ผมเผลอล่วงเกินเธอไป เรนจะโกรธไหมนะ แต่ว่า...กลิ่นแชมพูของเรนหอมมาก หอมจนเคลิ้มไปชั่วขณะ เพียงแค่คิดถึงใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ผมยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบใบหน้าตัวเอง เพื่อปรับสีหน้าให้กลับเป็นปกติ เรื่องแบบนี้
เคลนน่ะโคตรไวเลย แค่วันที่ผมกลับช้าไปไม่กี่นาที มันก็มาด้อมๆมองๆสำรวจรอบตัว ก่อนจะฟันธงว่าแอบไปเที่ยวกับใครมาใช่ไหม เคลนได้เชื้อแม่มาเยอะสินะ
“กลับมาแล้ว” ผมพูดตามปกติทันทีที่เปิดประตูห้องออก
“วันนี้กลับไวจังพี่” เสียงเคลนลอยออกมาจากห้องครัวจริงๆด้วย พอต้องทำอาหารมากขึ้น เคลนก็ต้องใช้เวลาทำอาหารมากขึ้นตามไป จนสงสัยว่าเดี๋ยวนี้มันนอนในครัวด้วยรึเปล่า เจอหน้ามันทีไรก็มุดอยู่แต่ในครัว
“เรน กับ ลุคล่ะ” ผมถามออกไปพร้อมๆเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นเพื่อหาอะไรมาเติมท้อง
“ยังไม่เห็นนะ” เคลนตอบผมพลางหั่นนู่น ต้มนี่ ลวกนั่นไป ผมนำถุงขนมที่คุณซาโยะให้มาไปวางบนเคาน์เตอร์ในครัว ก่อนจะหันไปบอกเคลนว่า
“คุณซาโยะฝากมา เก็บให้ทีละกัน”
เห็นเคลนพยักหน้าน้อยๆ ผมเลยเดินออกจากครัวแล้วเดินตรงเข้าห้องตัวเองไป หลังจากนั้นก็โยนกระเป๋าสะพายไว้บนชั้นตรงมุมหนึ่งของห้อง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงสอดส่ายสายตามองภายในห้องตัวเอง ก่อนไปสะดุดสายตาเข้ากับของรักของหวงของผมชิ้นหนึ่งที่วางไว้ติดกับผนังตรงปลายเตียง ไหนๆวันนี้ก็กลับมาเร็วแล้วละนะ ไม่ได้จับมานานแล้วเหมือนกัน
ผมเดินไปยืนด้อมๆมองๆอยู่พักหนึ่ง เพื่อตัดสินใจว่าจะหยิบชิ้นไหนออกไปดี สายตาเบนไปสบที่ของรักชิ้นแรก มันคือกีตาร์ไฟฟ้าตัวสีดำเงาทรงStratocaster กีตาร์คู่ใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมานาน ไม่ว่าจะมองมันกี่ครั้งก็ชวนให้นึกถึงความยากลำบากมากมายที่ผ่านมาด้วยกัน
ผมยืนมองกีตาร์ที่กำลังโชว์ตัวอยู่บนแท่นวาง แต่จะให้หยิบไปดีดตอนนี้ก็กลัวบรรดาเพื่อนพ้องในคอนโดจะส่งเสียงเชยชมในความหนวกหูของมัน เพราะตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนแล้ว ผมไม่ควรจะทำเสียงดังรบกวน แม้จะชอบจับกีตาร์ไฟฟ้ามากกว่าก็เถอะ
ผมจึงเบนสายตาจากกีตาร์ไฟฟ้า มาสบกับกีตาร์โปร่งสีน้ำตาลเข้มข้างๆแทน ถึงจะไม่ใช่สไตล์ผมโดยตรงแต่ก็ใช้ซ้อมมือได้ดีไม่เบา
ผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับกีตาร์โปร่งในมือ พลางหาที่ทิ้งตัวแถวห้องรับแขก ก่อนจะตัดสินใจทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวยาวกลางห้อง ทันทีที่กีตาร์ในมือเริ่มส่งเสียง เจ้าเคลนก็โผล่หัวออกมาจากห้องครัว
“ฮิ...ไม่ได้จับนานเลยนะ” เคลนทอดสายตามองลอดช่องเล็กๆตรงเคาน์เตอร์ ระหว่างที่ผมกำลังตั้งเสียงกีตาร์ในมือ
“ไม่สนใจไปหยิบเบสออกมาบ้างไง”
“กับข้าวยังไม่เสร็จ” เคลนยักไหล่ ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ผมเลยไม่หันไปสนใจมันอีก หลังจากเสียงเริ่มเข้าที่เข้าทาง ผมจึงใช้ปิ๊กกีตาร์จรดเบาๆลงบนสายก่อนจะดีดมันออกมาเป็นจังหวะเพลง ทำให้คิดถึงวงขึ้นมาเลย เราไม่ได้เล่นรวมวงกันมาสอง สามเดือนแล้ว เพราะต่างคนต่างยุ่งอยู่กับการสอบ
หลังจากวอร์มนิ้วอยู่ได้สักพัก ผมก็เริ่มเล่นบทเพลงที่คุ้นเคย พวกเราเล่นเพลงแนวร็อคกันเป็นส่วนใหญ่ จังหวะเพลงที่ค่อนข้างเร็วทำให้ผมเริ่มสนุก แถมได้ยินเสียงเคลนฮัมเพลงล้อกับเสียงกีตาร์ออกมาด้วย
ค่อนข้างทำให้สบายใจและสงบใจลงไปเยอะเวลาจมอยู่ภายใต้เสียงเพลง จนผมเริ่มอ้าปากและส่งเสียงร้องออกมารับกับเสียงเคลนที่ร้องคลอมาจากในครัว คิดถึงวงเหมือนกันนะไว้ต้องโผล่ไปที่สตูดิโอบ้างแล้ว
ฉันนั่งเล่นอยู่ในห้อง 802 มองลูคัสที่กำลังทำการบ้านอย่างตั้งใจ แต่ฉันว่างง่ะ... ฉันชะเง้อมองลุค มองแล้วมองอีก ว่าเมื่อไหร่น้องชายถึงจะทำการบ้านเสร็จ จะได้มีเวลามาดูแลพี่สาวบ้าง
“ลูคาสสสสส~” ฉันเรียกลุคออกไปพลางเข้าไปก่อกวนเขา ฉันทิ้งแขนทั้งสองข้างลงไปจากไหล่ของเขา และใช้คางพาดไว้บนศีรษะของลุค
“อย่าเพิ่งเล่นสิ” ลุคดุเข้าให้ แต่ฉันอยากนั่งเล่น นั่งคุยกับเขาบ้างนี้ ฉันยังก่อกวนลุคอยู่ในท่านั้นพลางโยกตัวไปมา ลุคที่โดนเกาะอยู่จึงตัวโยกตามไปด้วย
“ลอเรน” ลุคเรียกชื่อฉันเชิงห้ามปราม ฉันจึงหยุดโยกตัว พลางมุ่ยปากอย่างไม่พอใจ
“ไปเล่นกับพี่บลัดก่อนนะ”
บลัดอีกละ
“ฉันเกรงใจพวกเขานี่...อีกอย่างบลัดกลับจากทำงานรึยังก็ไม่รู้” ฉันทำเสียงออดอ้อนลุคแต่เหมือนวันนี้จะใช้ไม่ได้ผล ลุคตั้งใจทำงานจนฉันรู้สึกผิดในใจเลยนะเนี่ย
“งานวันนี้ผมต้องใช้สมาธิ” ลุคพูดโดยไม่ละสายตาออกจากงานแม้แต่น้อย ฉันเลยเบ้ปากน้อยๆทำท่าจะร้องไห้หลอกเขา แต่ลุคไม่หันมามองเลยแม้แต่น้อย ฉันจะงอนจริงๆแล้วนะ
“งั้นก็ไปช่วยพี่บลัดทำการบ้านละกัน”
บลัดอีกแล้ว... นี่ลุคนายกำลังยัดเยียดฉันให้บลัดเทียรึเปล่า แถมไม่ได้ฟังที่ฉันพูดเลยสิเนี่ย
“วันนี้ยังไม่มีการบ้านนี่น่า...”
“ไปช่วยพี่เคลนทำอาหารเย็นมั้ย น่าสนุกนะ” ลุคยังพยายามหาเหตุผลร้อยแปดพันเก้าไล่ฉันไปห้องนู้นให้ได้ ฉันจะน้อยใจแล้วนะ แต่ลุคเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาจริงๆซะแล้ว ฉันเลยจำใจต้องปล่อยร่างน้องชายออก และตั้งใจจะเดินไปห้องสองหนุ่มจริงๆ
ฉันก้าวขาออกจากห้อง 802 พลางบ่นอุบอิบ ก่อนที่จะหันไปทางห้อง 801 แล้วเจอกับหนึ่งในเจ้าของห้องกำลังเดินออกมาพอดี
“ไปไหนหรอ เคลน” ฉันทักทายเขา เคลนหันมายิ้มให้ก่อนตอบฉันว่า
“จะแวะลงไปมินิมาร์ทข้างล่างหน่อย เอาไรมั้ย”
ฉันส่ายหน้าแทนคำตอบ แบบนี้ในห้อง 801 ก็ไม่มีใครอยู่น่ะสิ ปกติบลัดจะกลับมาราวสองสามทุ่ม ตอนนี้เพิ่งจะเกือบทุ่มหนึ่งเอง แต่ยังไม่ทันได้หันหลังกลับเคลนก็ชิงพูดขึ้นมาซะก่อน
“พี่บลัดอยู่ในห้องแหนะ”
ฉันหันไปมองหน้าเคลน บลัดอีกละ... หน้าฉันนี้มีชื่อเขาเขียนแปะไว้หรอ ทำไมมีแต่คนพูดถึงเขาให้ได้ยินอยู่เรื่อย
“เข้าไปรอในห้องก่อนก็ได้นะ” เคลนไม่พูดเปล่า เขาเปิดประตูห้องให้ด้วย เสียงเพลงเบาๆลอยคลอออกมาจากด้านในดึงความสนใจจากฉันได้อย่างดี เคลนจับประตูอ้าไว้แบบนั้นรอให้ฉันเดินเข้าไป พร้อมรอยยิ้มพรายบนใบหน้า
ฉันมองใบหน้าเคลนสลับกับมือของเขา พลันถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้ ก่อนจะเยื้องย่างสังขารเข้าไปในห้อง 801 ฉันหันกลับมาโค้งน้อยๆเพื่อขอบคุณที่เขาอุส่าห์เปิดประตูให้
พอก้าวเข้าไปในห้อง ฉันกลับต้องยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตู เสียงของบลัด เสียงของเขาจริงๆ บลัดกำลัง...ร้องเพลง
ฉันแอบเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องรับแขก แต่ยังซ่อนร่างไว้ในซอกเล็กๆที่ไว้สำหรับสับเปลี่ยนรองเท้า และเป็นชั้นวางรองเท้าในตัว
เขานั่งอยู่ตรงโซฟาตัวยาวกลางห้อง ถึงจะเห็นแค่ด้านหลังแต่เสียงร้องของเขาสัมผัสได้ถึงความสนุกสนานและอารมณ์ดีโดยไม่จำเป็นต้องเห็นสีหน้า บลัดบรรเลงเพลงออกมาอย่างไม่มีสะดุด กำลังเพลิดเพลินจนไม่รับรู้ถึงการมาเยือนของฉัน
ฉันลอบฟังเสียงของเขาอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้ เสียงเพลงที่กำลังแทรกเข้าไปในใจอาจจะต้องหยุดชะงักลง
เสียงของบลัดนุ่มละมุน แต่กลับทรงพลังอย่างประหลาด เสียงของเขาไม่สูงและไม่ต่ำจนเกินไป เป็นโทนเสียงที่ชวนให้หลงใหล พาให้คนที่ได้ฟังไม่สามารถหลุดไปจากเสียงสะกดของเขา เวลาเขาดึงเสียงขึ้นสูง หรือกดเสียงลงต่ำ เสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นหนักแน่น มั่นคงแต่ละมุนละไม ชัดเจนและอบอุ่น ฉันรู้สึกว่ามันแอบเซ็กซี่ด้วยละ
เมื่อเขาเว้นจังหวะหายใจ ฉันแทบจะหยุดหายใจไปพร้อมเสียงของเขา หรือเวลาเขาลากเสียงยาว มันราวกับจะดึงฉันให้อยากเข้าไปฟังใกล้ๆ เวลาเขาทิ้งเสียงลงต่ำมันกำลังทำให้หัวใจของฉันสั่นไหว
อยากจะเข้าไปนั่งข้างๆเขา อยากจะฟังเสียงของเขาใกล้ๆ อยากจะเห็นสีหน้าของเขา อยากเห็นท่าทางเวลาเขาบรรเลงเพลง ฉันชักอยากจะรู้จักผู้ชายคนนี้ ฉันอยากรู้จักบลัดเทีย
ฉันยกมือขึ้นวางบนหน้าอกของตัวเอง มันกำลังเต้นแรง หัวใจฉันกำลังเต้นแรง แทบจะเต้นไปตามจังหวะเพลงของเขาเลย เต้นไปตามเสียงของเขา บลัด...
“ไม่เข้าไปข้างในหรอ”
ฉันสะดุ้งโหยงสุดตัว ก่อนหันขวับไปมองเจ้าของเสียง ไม่คิดว่าเคลนจะกลับมาเร็วขนาดนี้ มาด้อมๆมองๆหน้าบ้านเขา แถมเจ้าของบ้านจับได้แบบนี้ อายจนอยากจะวิ่งกลับห้องตัวเองไปตอนนี้เลยเชียว
เสียงเพลงที่ดังอยู่เมื่อครู่หยุดลงแล้ว บลัดรู้ตัวแล้วว่าฉันมา เขาส่งเสียงเรียกให้เข้าไปด้านในด้วยอีกแรง ฉันถึงได้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องของเขา ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้โซฟาเดี่ยวตัวเล็ก ที่ตั้งหันหน้าเข้าหาโต๊ะกลาง พลางหันมองกีตาร์ในมือเขาอย่างสนใจ
“เมื่อกี้นายเล่นเพลงอะไรหรอ” ฉันถามเขาออกไปพร้อมรอยยิ้ม บลัดส่งยิ้มบางๆกลับมาให้ ฉันเลยฮัมทำนองเพลงที่พอจำได้ออกไป นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้างมองฉันอย่างแปลกใจ
“ได้ฟังแป๊บเดียว จำได้แล้วหรอ”
ฉันจำได้เพราะเสียงร้องของเขายังดังก้องกังวานอยู่ในอก เสียงกีตาร์ของเขาดังขึ้นอีกครั้ง ฉันจ้องมองมือใหญ่ที่กำลังบรรเลงเพลง เมื่อบลัดฮัมเพลงออกมา ก็อดที่จะร้องตามเขาไม่ได้ ราวกับได้ย้อนกลับไปเล่นดนตรีกับลุคอีกครั้ง แต่ในวันนี้ฉันกำลังขับร้องบรรเลงท่วงทำนองไปพร้อมกับหนุ่มเรือนผมสีเงิน ที่ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้พบเจอคนที่พาให้ใจฉันอบอุ่นเช่นเขา
หลังจากนั้นรู้สึกว่า ฉันแอบลอบมองบลัดบ่อยๆ แอบฟังเสียงเวลาเขาพูดหยอกล้อกับเคลน เวลาเขาหันไปโวยวายใส่เคลน เวลาเขาหันมาชวนฉันทานข้าว ราวกับค่อยๆจดจำทุกอย่างที่เป็นบลัดเทียทีละน้อย
โต๊ะที่เรานั่งทานอาหารกันทุกวันนั้นเป็นโต๊ะสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ใหญ่นัก มีเก้าอี้อยู่ฝั่งละสองตัว เคลนที่มักเป็นคนเดินหยิบนั่นหยิบนี่จากในครัวมาเติมให้เรา เขาถึงได้นั่งเก้าอี้ฝั่งที่ติดกับทางเดินเข้าออกครัว เพื่อที่จะเดินได้สะดวก ส่วนลุคก็ดันนั่งข้างเคลนจนเป็นที่ประจำ ฉันเลยจำใจต้องนั่งตรงข้ามน้องชาย และอีกที่หนึ่งที่เหลือข้างๆตัว เลยเป็นที่ของบลัดไปโดยปริยาย
เหมือนนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าพี่ชายที่อังกฤษ ถึงตอนนี้คนข้างตัวฉันจะไม่ใช่พี่ แต่พวกเขาก็ต้อนรับฉันอย่างดี ราวกับว่าไม่ได้จากครอบครัวมาไกล ทำให้หัวใจอบอุ่นและไม่รู้สึกเหงา ต้องขอบคุณสองพี่น้องข้างห้องละนะ
“เรน เรน...ลอเรน”
“หื้อ หื้อ..” ฉันรีบหันไปตอบเสียงเรียกของเขา
“เหม่อๆนะ ไหวมั้ยเนี่ย” บลัดขยับตัวเข้ามาใกล้ นัยน์ตาสีแดงของเขาจ้องฉันไม่กระพริบ เพียงเพราะฉันไม่ตอบเขาเรื่องเรียนวันพรุ่งนี้
ไหวน่ะไหว แต่นายไม่ต้องเข้ามาใกล้ขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันเห็นลูคัสจ้องฉันเขม็ง ถึงแม้ปากจะกำลังเคี้ยวตุ้ยๆ แต่สายตานั่นจ้องฉันจนแทบถลน แถมฉันเห็นอะไรบางอย่างกำลังไหวระริกอยู่ในนัยน์ตาคู่นั้นของลุค รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมานิดๆแล้วละ
หลังจากเรียนมาทั้งอาทิตย์ในที่สุดก็ถึงวันหยุดซะที
ฉันกับลุคมานั่งเล่นที่ห้อง 801 เหมือนอย่างเคย รู้สึกคุ้นเคยกับห้องนี้มากกว่าห้องของตัวเองซะอีก กลิ่นอาหารเช้าลอยคลุ้งออกมาจากห้องครัว
วันนี้เคลนทำอะไรให้หม่ำน้า
ระหว่างที่กำลังคิดถึงเมนูอาหารเช้า ฉันก็รู้สึกว่าโซฟาที่กำลังนั่งอยู่มันยวบลงไป ไม่จำเป็นต้องหันไปมองก็รู้ทันทีว่าใคร เพียงแค่หางตาเหลือบไปเห็นเรือนผมสีเงิน ฉันก็รู้ว่าเป็นบลัดเทีย
ฉันแอบเบือนสายตาลอบมองเขา เขาอยู่ในชุดอยู่บ้านสบายๆเสื้อแขนสั้นทำให้มองเห็นท่อนแขนแกร่งได้อย่างชัดเจน กลิ่นสบู่อ่อนๆเคล้ามากับอากาศ วันนี้ไม่ได้ออกไปไหนเขาถึงไม่ได้ใส่น้ำหอมกลิ่นเดิมสินะ
“วันนี้ไม่ต้องไปทำงานที่ร้านหรอ บลัด” ฉันเอ่ยปากถามเขาเพื่อทำลายความเงียบระหว่างที่เขาเปลี่ยนช่องในทีวีไปเรื่อยเปื่อย
“เดี๋ยวค่อยไปบ่ายๆ” บลัดตอบฉันพลางหาวหวอด เขาคงเหนื่อยน่าดูที่ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย แถมยังต้องเลี้ยงฉันกับลูคัสเพิ่มอีกสองคน ฉันพอจะช่วยอะไรเขาได้บ้างไหมนะ
“โกโก้หน่อยมั้ย” ฉันถามเขาพร้อมรอยยิ้มจางๆ บลัดพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะหันไปสนใจรายการในทีวี ฉันลุกขึ้นอย่างกระชับกระเฉง ตรงเข้าไปในครัว พอเปิดประตูครัวกลิ่นอาหารหอมฟุ้งก็ลอยออกมา
ลูคัสกับเคลนกำลังง่วนอยู่กับการจัดอาหาร มีชามใบใหญ่สี่ใบวางอยู่ตรงหน้าพวกเขา เคลนวางแผ่นๆใหญ่ๆที่คล้ายแผ่นแฮมลงไปในชามด้วย แต่ฉันว่าคงไม่ใช่แฮมจริงๆหรอก
ลูคัสดูสนอกสนใจเวลาเคลนทำอาหาร เขามักจะตามเข้ามาช่วยเป็นลูกมือพี่ชายต่างสายเลือดในครัว สองคนนี้ดูสนิทสนมราวกับพี่น้องท้องเดียวกัน
ฉันเดินตรงเข้าไปตรงตู้ที่เก็บบรรดาเครื่องดื่มชนิดต่างๆไว้ ก่อนจะหยิบกระปุกโกโก้ออกมาจากชั้นวางอย่างชำนาญ ฉันเป็นคนชงให้เขาทุกวันจนไม่จำเป็นต้องมองหาก็รู้ว่ากระปุกโกโก้อยู่ที่ไหน เมื่อก่อนเคลนเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ชงให้บลัดดื่มก่อนไปมหาวิทยาลัยในอาทิตย์ที่ผ่านมา เคลนก็ปล่อยให้หน้าที่นี้เป็นของฉัน อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาพวกเขาไปได้เรื่องหนึ่งแล้วละนะ
หลังจากตักโกโก้ลงไปในแก้วกระเบื้องเคลือบ ฉันหันไปหยิบกล่องใส่นมข้นออกมาจากตู้เย็น เพื่อให้ตักใช้งานได้สะดวก เคลนจึงเทนมข้นหวานจากกระป๋องเก็บไว้ในกล่องที่มีฝาปิดแทน
ฉันตักนมข้นหวานลงไปในแก้วด้วยช้อนเล็กๆ ก่อนเทน้ำร้อนลงไปในแก้วกระเบื้องพลางคนให้เข้ากัน กลิ่นโกโก้หอมหวานลอยออกมาจากแก้ว สุดท้ายก็หยิบจานรองแก้วใบเล็กๆขึ้นมารอง ก่อนยกเครื่องดื่มออกไปให้บลัด
บลัดรับแก้วกระเบื้องไป เขาเป่าลมที่ปากแก้วนิดหน่อยเพื่อไล่ความร้อน ก่อนจรดปากแก้วกับริมฝีปาก ระหว่างนั้น ฉันก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆเขาตามเดิมพลางใจเต้นตึกตักลุ้นระทึกไปด้วยว่าจะถูกปากเขาไหม
“อร่อยแล้ว” บลัดเปรยขึ้นเบาๆหลังจากดื่มโกโก้ไปอึกใหญ่ ฉันยิ้มรับคำชมจากเขา พอมีคนชมก็รู้สึกดีใจจริงๆนะ พอจะเข้าใจเคลนแล้วว่า เวลาลุคชมฝีมือทำอาหารของเขามันคงมีความสุขแบบนี้สินะ
“ขอบคุณ..” ฉันขอบคุณในคำชมของเขา บลัดหันมายิ้มให้ด้วย ฉันชอบรอยยิ้มของเขานะ เวลาที่นัยน์ตาสีแดงคมหรี่ลงพร้อมรอยยิ้มพราย มันทำให้ฉันอยากจะฉีกยิ้มหวานๆตอบเขาเป็นร้อยๆครั้ง
หลังจากนั่งดูทีวีอยู่กับบลัดพักใหญ่เคลนกับลูคัสก็ยกอาหารเช้าออกมาจากครัว
“อาหารเช้าพร้อมแล้วครับ” ลูคัสพูดออกมาอย่างร่าเริง ฉันหันไปให้ความสนใจกับชามใบใหญ่บนโต๊ะอาหารทันที วันนี้เป็นราเมงเส้นอุด้ง มันเป็นเส้นกลมใหญ่สีขาวดูแปลกตา แฮมแผ่นใหญ่ๆที่เห็นเคลนวางลงไป บลัดบอกว่าเป็นหมูแผ่น มันกระจายตัวอยู่เต็มชามเลย แลดูน่ากินจนท้องเริ่มจะส่งเสียงประท้วงแล้ว แต่...
ฉันมองหาช้อนส้อมของฉันไม่เจอ ปกติข้างๆชามของฉันจะเป็นช้อนส้อมแทนที่จะเป็นตะเกียบเหมือนคนอื่น แต่วันนี้กลับกลายเป็นตะเกียบแทน
“เรนหัดใช้ตะเกียบได้แล้ว” ลูคัสตอบความสงสัยในใจ ฉันขมวดคิ้วมุ่นทันทีที่น้องชายบอก ก็เพราะว่าฉันใช้ไม่เป็นถึงได้ต้องใช้ช้อนส้อมไม่ใช่หรอ ฉันหันมองลูคัสตอนนี้เขากำลังคีบเส้นอุด้งเข้าปากพลางหันไปชมเคลนไม่หยุด ส่วนเคลนก็พูดถ่อมตัวอยู่กับลุคพร้อมรอยยิ้มที่ฉีกกว้างอย่างไม่ปิดบัง แล้วจะกินยังไงล่ะเนี่ยฉันลองหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเงอะงะ มันไม่ถนัดเลยแม้แต่น้อย
“จับแบบนี้” เป็นเสียงของคนข้างตัวนี่เอง บลัดจับตะเกียบของเขาให้ดู ฉันพยายามจะจับตามเขาแต่ก็เหมือนจะไม่ได้เรื่องเลย
“เอาอันข้างล่างวางไว้บนนิ้วนาง แล้วก็เอานิ้วโป้งจับมันไว้แน่นๆแบบนี้” บลัดหยิบตะเกียบขึ้นมาข้างหนึ่งแล้วจับให้ดูอีกครั้ง ฉันลองวางตะเกียบไว้บนมือตามเขา
“แล้วเอาอันบน คีบไว้แบบนี้” เขาลองขยับตะเกียบในมือเขาให้ฉันดู มันดูง่ายมากเวลาบลัดทำ แต่ฉันเนี่ยสิ ขยับไม่ได้เลย แล้วจะคีบอะไรได้ล่ะเนี่ย มันไม่ชินสุดๆ ขอช้อนส้อมให้ฉันได้ไหม
“แบบนี้...” ฉันสะดุ้งเมื่อบลัดลุกออกจากเก้าอี้ของเขามายืนซ้อนหลังเก้าอี้ฉันแทน ก่อนที่มือของเขาจะยื่นมาจับที่มือของฉันพลางจัดท่าทางการถือให้ถูกต้อง
มือของบลัดใหญ่กว่าฉันเยอะเลย มันกร้านนิดหน่อยเพราะเขาต้องทำงานสินะ แต่มือของเขาอบอุ่นมาก แถมใบหน้าเขาที่โน้มเข้ามาใกล้พาลทำให้หูอื้อตาลาย หากหันหน้าไปทางเขาอีกนิด จมูกอาจจะชนกับแก้มของเขาเข้าก็ได้
“ลองขยับสิ” ฉันลองขยับนิ้วตามการสอนของเขาแต่โดยดี มันขยับง่ายขึ้นนิดหน่อยแต่ก็ไม่ชินมืออยู่ดี
“ขยับแบบนี้” มือของบลัดทาบมาที่มือของฉันจนเหมือนเขากำลังกุมมือของฉันไว้ เขาใช้นิ้วเรียวยาวบังคับให้นิ้วมือของฉันขยับตาม ฉันเหลือบไปเห็นสมาชิกที่นั่งฝั่งตรงข้ามวางชามในมือของตัวเองลง พลางมองพวกเราด้วยสายตาระยิบระยับ บลัดรู้ตัวไหมนะว่ามีอีกสองสายตากำลังจ้องมองพวกเราอยู่แต่เขากลับสอนฉันต่อไปอย่างไม่กลัวเกรงต่อการจ้องมอง
“น่าจะพอไหวแล้วมั้ง” ฉันกล่าวออกไป ทำให้เขาผละออกไป ก่อนกลับไปนั่งที่ของเขาตามเดิม ดูลูคัสมองเข้าสิ ตาเป็นมันวิ้งวั้งมาเชียว ฉันลองใช้วิชาใหม่คีบเส้นขึ้นมาดู แต่แล้วมันก็ลื่นหวือออกไปจากปลายตะเกียบ เสียงหัวเราะของลูคัสดังแว่วมาจากฝั่งตรงข้าม
บลัดเคี้ยวอาหารไปด้วยมองฉันไปด้วย เหมือนอาจารย์ของฉันจะไม่ค่อยพอใจกับลูกศิษย์เท่าไหร่นะ ถึงได้ทำหน้าดุๆขึ้นมาอีกแล้ว
“แล้ววันนี้จะได้กินมั้ยเนี่ย...เอ้า” อยู่ๆเส้นในชามของฉันก็ลอยตัวขึ้นมาจากภายในชามด้วยตะเกียบของ
บลัดเทีย เขาพยักเพยิดให้ฉันทานเข้าไปด้วย
ฉันมองมือเขาที่คีบเส้นไว้ สลับกับใบหน้าของเขาที่มองมาอย่างจริงจัง บลัดคีบเส้นสูงขึ้นมาจนแทบจะชนปากฉันอยู่แล้ว ฉันจึงจำใจอ้าปากและงับเส้นออกไปจาก...
จากปลายตะเกียบของเขา ใช้ตะเกียบเดียวกันแบบนี้จะดีหรอ... ดูสายตาลูคัสสิ เป็นประกายจนเหมือนกับจับดวงดาวทั้งท้องฟ้ามาใส่ไว้ในแก้วตา
“ไปหยิบช้อนส้อมมาไป! เลิกแกล้งเรนได้แล้ว” บลัดหันไปส่งสายตาเอาเรื่อง ให้สมาชิกฝั่งตรงข้าม
เคลนยิ้มเจื่อนขึ้นมาเลย ส่วนลุคก็ตั้งหน้าตั้งตากินของตัวเอง ปล่อยให้เคลนรองรับรังสีอาฆาตจากดวงตาสีแดงคู่นั้นเพียงลำพัง สุดท้ายเคลนก็ยอมลุกออกไปหยิบช้อนส้อมออกมาจากครัวแต่โดยดี
“จริงๆเลย” บลัดยังไม่วายบ่นอุบอิบอยู่ข้างๆ เขายังใช้ตะเกียบอันเดิมคีบอุด้งเข้าปากอย่างไม่สะทกสะท้าน ฉันรู้สึกว่าใบหน้าร้อนขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
นายจงใจจูบฉันทางอ้อมรึเปล่า บลัดเทีย
ผ่านไปเดี๋ยวเดียวก็บ่ายโมง หลังจากลงไปนั่งร่วมวงเล่นเกมกับน้องๆอยู่พักใหญ่ ตอนนี้ผมเข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องของตัวเองเพื่อเตรียมตัวออกไปที่ร้านเบเกอรี่ ทั้งสามคนก็ยังคงนั่งเล่นกันอยู่ที่หน้าจอทีวี
เมื่อเช้าทำอะไรไป! ราวกับร่างกายหลุดการควบคุมไปชั่วขณะ... ผมเหม่อไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา แอบเข้าไปกอดเธอทางอ้อมยังไม่พอ จับไม้จับมือเรนอย่างถือวิสาสะ แถมยังจูบทางอ้อมกับเธอไปซะแล้ว
ผมนี่เป็นคนไม่ดีรึเปล่านะ พอคิดไปคิดมาใบหน้าก็ร้อนขึ้นมาเพราะละอายใจ แต่ก็โทษผมไม่ได้ซะหน่อย เรนดูน่ารักเกินไปเวลาเธอเงอะงะทำอะไรไม่ถูก เจ้าสองคนนั้นก็จ้องผมกับเรนซะจนตาจะลงมากลิ้งกับโต๊ะ
วันนี้ผมหน้าหนาเป็นประวัติการณ์ ตอนแรกก็ไม่กล้าหรอกแต่พอร่างกายขยับเข้าไปใกล้เรน ก็เริ่มอดใจไม่อยู่ ทั้งกลิ่นแชมพูของเธอที่ส่งกลิ่นหอมๆมาแตะจมูก ยิ่งเข้าไปใกล้กลิ่นโคโลญอ่อนๆก็ลอยคลุ้งจนสติเลอะเลือน บังคับตัวเองแทบตายเพื่อที่จะไม่ให้ซุกใบหน้าลงไปกับคอของเธอ
ถึงจะบอกว่าห้ามแกล้งเรนก็เถอะ แต่กลับรู้สึกว่าผมนี่ละ ตัวดีเลย... ผมแอบขอโทษเธออยู่ในใจ
หลังจากออกมาจากห้อง ทั้งสามคมก็ยังนั่งเล่นกันอยู่ที่เดิม
“ไปนะ” ผมพูดขึ้นเบาๆ ก่อนออกไปใส่รองเท้าตรงหน้าประตู
“ไปดีมาดีนะ” ผมได้ยินเสียงเรนตอบกลับมา อยู่ๆรอยยิ้มก็ฉีกกว้างแถมเป็นรอยยิ้มที่หุบไม่ลง ถ้าเธอมาคอยต้อนรับกลับบ้าน รวมถึงมายืนส่งเวลาผมออกไปทำงาน ชีวิตคงจะมีความสุขขึ้นไม่น้อย ชักอยากจะหันกลับไปแล้วรวบตัวเธอมากอดเป็นกำลังใจก่อนไปทำงานสักที
ผมว่า...ควรหยุดฝันเฟื่องแล้วออกไปทำงานได้แล้ว
“อื้อ เดี๋ยวเจอกัน” ผมตอบเธอกลับไปก่อนออกเดินทาง
วันเสาร์เป็นวันพักผ่อนของใครหลายคน เหล่านักเรียน นักศึกษา พนักงานบริษัทต่างได้รับวันหยุดกันถ้วนหน้า ร้านเบเกอรี่ถึงได้วุ่นวายกันจนหัวปั่น
ลูกค้าเข้าร้านไม่หยุดเลย พอผมโผล่หน้าเข้ามาในร้าน เถ้าแก่ก็รีบรบเร้าให้ไปเปลี่ยนชุดยูนิฟอร์ม ก่อนจะให้ผมเข้ามาช่วยอบขนมเพื่อเติมสินค้าในร้าน บางช่วงต้องออกมาต้อนรับลูกค้าภายในร้านเพราะคุณซาโยะรับลูกค้าไม่ทัน ผมยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์เพื่อคิดเงินบ้าง บางทีก็เดินออกมาเติมขนมชนิดต่างๆตามชั้นวาง หรือบางครั้งก็เข้าไปช่วยคุณซาโยะจัดเรียงขนมลงกล่อง
เดินไปเดินมาไม่ได้หยุดจริงๆ ผมมองบรรดาลูกค้าที่เดินเข้ามาเลือกขนมในร้าน บางคนหันมาจ้องผมแทนขนม เสียใจที่ต้องบอกว่า...ผมกินไม่ได้นะครับ จ้องไปก็ไม่อิ่มหรอก
ระหว่างที่ยืนคิดเงินให้ลูกค้าอยู่นั้น อยู่ๆผมก็นึกขึ้นได้...ทำไมวันแรกที่เรนมาซื้อขนมที่นี่ ถึงพูดกับผมด้วยภาษาอังกฤษนะ ทั้งๆที่เรนพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ปกติแล้วถ้าหากพูดภาษาถิ่นนั้นๆได้ก็ต้องสื่อสารด้วยภาษาถิ่นก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ
ผมนึกสงสัยไปพลางรับลูกค้าไปพลาง คงต้องลองถามกับเจ้าตัวดูสินะ
หลังจากกลับมาถึงบ้านตอนราวๆสามทุ่มครึ่ง เรนวิ่งมาหาผมที่หน้าประตูพร้อมกับถือแก้วกระเบื้องใบใหญ่มายื่นตรงหน้าก่อนจะพูดเสียงดังฟังชัดว่า
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ เหนื่อยมั้ย อะ!โกโก้...เป็นโกโก้เย็นนะเพราะกินร้อนๆตอนกำลังเหนื่อยๆมาคงไม่ชื่นใจใช่ม๊า ฉันชงเองเลยนะ”
ผมจ้องมองใบหน้าหวานที่เหยียดรอยยิ้มเต็มใบหน้า พร้อมกับยื่นแก้วโกโก้มาให้จนสุดแขน เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนรวบไว้เป็นหางม้า เผยให้เห็นช่วงคอของเรนอย่างชัดเจน ผมมองใบหน้าของเรนสลับกับแก้วโกโก้ในมือเธอ
เสียงน้ำแข็งในแก้วโกโก้กำลังส่งเสียง ‘เกร้ง’ เบาๆเวลาแก้วขยับ ถึงลำคอจะกระหายแค่ไหน แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะงับคนตรงหน้าเข้าไปมากกว่า โกโก้เย็นๆซะอีก
เอาล่ะเรน...ฉันชักจะควบคุมตัวเองไม่ไหวขึ้นมาจริงๆแล้วนะ
เนื่องจากพื้นหลังเรื่องนี้อยู่ในประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะฉะนั้นจึงอยากฝากเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆไว้สำหรับให้ผู้อ่านทุกคนสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายขึ้นครับ ส่วนใหญ่เกร็ดความรู้จะเขียนมาจากประสบการณ์ตรงของไรเตอร์เอง อาจจะมีข้อมูลบางส่วนที่อาจแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ของประเทศนะครับ
- กีตาร์ไฟฟ้า Stratocaster = เป็นชื่อรุ่นกีตาร์รุ่นหนึ่งของแบรนด์ Fender ครับ กีตาร์ทรงคราสสิคที่ไรเตอร์ค่อนข้างชอบ ก็เลยยกให้เป็นกีตาร์คู่กายของบลัดเขาละ
- ความสำคัญของตะเกียบ = ตะเกียบสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วถือเป็นของใช้ส่วนตัวที่คนในบ้านจะไม่ใช้ร่วมกันครับ สมาชิกในบ้านแต่ละคนจะมีตะเกียบเป็นของตัวเอง มีความสำคัญในชีวิตจนมีการสั่งทำตะเกียบอันเดียวในโลกเป็นของตนเองกันเลย อาจจะแค่สลักชื่อ หรือสั่งแกะสลักเป็นลวดลายเฉพาะไปจนถึงติดเครื่องประดับตกแต่งปลายตะเกียบ(ฝั่งที่ใช้จับ)ให้เป็นตะเกียบเฉพาะของใครของมัน
เพราะฉะนั้นการที่ชาวญี่ปุ่นแบ่งตะเกียบของตนให้คนสำคัญทานร่วมกันได้ก็เป็นการบอกรักเป็นนัยๆในทางหนึ่งครับ
ขอยคุณนักอ่านทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามานะครับ
Raf Rafael
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ