เล่ห์รักร้าย นายมาเฟีย
10.0
เขียนโดย BlacXRabbiT
วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 20.55 น.
2 ตอน
5 วิจารณ์
6,325 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.59 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) วันสุดท้าย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความตอนที่ 1 วันสุดท้าย
“ไอ้!! เชี่ย!! ปัง!! มึงจะไปมั้ยโรงเรียนอ่ะ? นอนอืดอยู่นั่นล่ะมึง เดี๋ยวกูทิ้งให้นอนกินศูนย์อยู่นี่แล้วมึงจะหนาว อ้าวเชี่ย นี่กูปลุกมึงอยู่นะ!” โอย เสียงนกเสียงกาตัวไหนแม่งมาเห่าอยู่ข้างหูกูตั้งกะเช้าวะ!? คนจะหลับจะนอน!
ผมซุกตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนา แม่งเอ๊ย ร้อนก็ร้อน แต่ก็ต้องทำเพราะหนวกหูเสียงที่มันดังแว้ดๆ อยู่ข้างหู สรุปคือมึงเป็นเพื่อนรึพ่อกูวะ!?
“อื้อ นี่เพิ่งวันอาทิตย์เองนะ ปุ่น มึงจะรีบปลุกกูหาพ่องไรแต่เช้า! ” ผมงัวเงียตอบกลับไปก็ไอ้เพื่อนผู้แสนดีมันดันดึงผ้าห่มออกจากตัวผมแล้วโยนไปกองไว้ที่พื้น ขอบคุณเพื่อน สมกับเป็นเพื่อนรู้ใจ กูกำลังร้อนพอดี
“เช้าพ่อง จะสองโมงแล้วสัส แล้วปฏิทินบ้านมึงนี่ช้ากว่าบ้านคนอื่นเค้าวันนึ่งเรอะ นี่มันวันจันทร์เหอะสัส จะละเมอก็เลือกให้ถูกวันหน่อย แม่งนิ ตื่น!” ไม่พูดเปล่า เท้างามๆ ของมันก็ถีบเข้าที่กลางหลังผมอย่างจัง ตัวผมหล่นตุบจากเตียง โคตรเจ็บอ่ะสัสนี่
“โอย อะไรล่ะเชี่ยปุ่น ถีบกูอีกแล้ว แม่งกูออกจะบอบบาง หลังหักแล้วมั้ง ปลุกกูดีๆ กูก็ตื่นน่า” ผมพูดเสียงง้องแง้ง ไอ้ญี่ปุ่นมันทำหน้าไม่เชื่อ ผมลุกขึ้นมานั่งที่เตียง ปากก็หาวจนกะกินดาวเข้าไปได้ทั้งดวง
“มึงจะเสด็จเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าได้ยัง เร็ว กูจะรีดผ้าให้!” พูดจบก็ผลักหัวผมจนล้มไปกับเตียง มึงแรงความมาก เชี่ยนี่
“กี่โมงแล้ววะ?” ผมเบ้ปากให้มันแล้วถาม มันมองหน้าผมฉุนๆ ตอบเสียงเข้มขณะกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาเสื้อกับกางเกงนักเรียนออกมา
“เจ็ดโมงครึ่ง” ผมหันไปมองหน้ามันตื่นๆ เชี่ย โคตรสายเลย มิน่าล่ะ มองหน้ากูยังกะจะฆ่ากูหมกส้วมซะให้ได้
“เชี่ย! แล้วไม่รีบปลุกกู” มันหันมามองหน้าผมฉุนๆ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้ รีบวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างไว เวรแล้วไง วันนี้มีสอบย่อย ทำไมกูโง่งี้วะ เสาร์ อาทิตย์ กูว่าอยู่ แม่ง หยุดมาสองวันแล้ว กูคิดได้ไงว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์วะ!?
“ไอ้ปัง ถึงกูจะบอกให้มึงไปล้างหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่ามึงจะไม่แปรงฟันนะโว้ย!” เสียงไอ้ญี่ปุ่นมันตะโกนเข้ามาให้ได้ยิน เชี่ยเอ๊ย รู้ได้ไงวะ?
“ไอ้เชี่ย หุบปากแล้วรีดผ้าต่อไปซะ!” ผมตะโกนบอก ไม่องไม่อาบแม่งแล้วน้ำอ่ะ ผมหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงไปแล้วก็แปรงๆๆ ตาก็มองกระจก โห ขอบตากูยังเขียวอยู่เลย ไม่น่าเล่นเกมดึกเล้ย!
ผมมองผู้ชายที่อยู่ในกระจกแล้วก็ต้องอนาถใจกับความอาภัพที่มีมาแต่กำเนิด ตาโตๆ สีน้ำตาลเข้มขนตาก็ยาวกว่าชาวบ้านเขารับกับผมสีดำออกน้ำตาลๆ ปากบางที่คาบแปรงสีฟันอยู่ก็ออกสีแดงระเรื่อ พวงแก้มขาวๆ เนียนใสไร้รอยสิว ดูรวมๆ แล้วก็ โห กูโคตรรสวยอ่ะ แถมยังมีชื่อที่แสนจะน่ารักกุบกบว่า ขนมปัง ฟังแล้วก็หิวเลยอ่ะ อาถัพกว่านี้มีอีกมั้ย? มี เพราะผมเกิดมาพร้อมกับขนาดตัวที่พกพาง่ายด้วยส่วนสูงแค่ 169 ซม. โคตร!!เตี้ย!! เลย!! ต่างกับไอ้คคนที่อยู่ข้างนอกลิบ
ไอ้ญี่ปุ่นเพื่อนซี้ตั้งแต่อนุบาลที่ทำตังยังกะเป็นคุณแม่ที่รีดผ้าให้ผมอยู่นั้นแค่ส่วนสูงก็กินขาดละ มันสูงตั้ง 185 ซม. กับหน้าตาที่หล่อเหลาผิวนี่เนียนกิ๊ก สาวติดตรึม ขนาดผมซี้กับมันยังอยากเอาไม้หน้าสามฟาดให้หน้าแหก เพราะนอกจากผู้ชายแล้วก็ไม่เห็นมีสาวหน้าไหนกล้ามาจีบผมเลย! แต่คำที่ทำให้ผมผู้ร่าเริงคนนี้เจ็บใจที่สุดเห็นจะเป็น ‘ก็ใครใช้ให้มึงไม่เกิดมาหล่อเหมือนกูเองล่ะ อีคนสวย!’ไอ้สัสปุ่น! ทำกูด้ายนะมึง
“โห้ย ไอ้เชี่ยปัง มึงตายคาห้องน้ำแล้วเหรอวะ!?” เสียงไอ้ญี่ปุ่นแว้ดๆ เข้ามาอีก ผมบ้วนน้ำออกจากปากแล้วตะโกนตอบ
“เออ!” ผมรีบล้างหน้าแล้วออกจกห้องน้ำ นี่ขนาดผมรีบแล้วนะ
“รีบใส่เลยมึง กูให้เวลาห้านาที กูจัดตารางเรียนให้แล้ว มองหน้า แม่ง กูรีบ!” ผมรับชุดนักเรียนที่ไอ้ญี่ปุ่นส่งให้ ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มก่อนพูดเสียงทะเล้น
“ครับ คุณแม่”
ห้านาทีต่อมา ผมวิ่งลงบันไดมาชั้นล่างพร้อมกับไอ้ญี่ปุ่น ผมวิ่งเข้าครัวเปิดตู้เย็นหยิบนมเปรี้ยวมาสองกล่องโยนให้ไอ้เพื่อนซี้กล่องนึงแล้วรีบไปเข็นจักรยานออกมาปั่นไปโรงเรียน
ระยะทางจากบ้านผมถึงโรงเรียน ถ้าปั่นจักรยานมาก็ใช้เวลาประมาณสิบนาที เข้าโรงเรียนทันอย่างฉิวเฉียด อีกร้อยเมตรก็จะถึงหน้าโรงเรียนแล้ว เห็นเด็กนักเรียนเริ่มจะวิ่งเข้าโรงเรียนกันแล้ว เพิ่งจะคิดรึไงว่าสายน่ะฮึ! (ไม่ดูตัวเองเลยกู)
ผมรีบชะลอความเร็วลง เดี๋ยวถึงแล้วเบรกไม่ทัน เห็นรถ BMW สีดำด้านข้างมีรูปสายรุ้งคันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากประตูโรงเรียนห้าสิบเมตร โห รถโคตรหรูเลย ผมปั่นจักรยานผ่านไปแต่ตานี่ก็ยังเหลียวหลังมอง สวยอ่ะ อยากได้ อีกกี่ปีกูจะได้รถยังงี้มาครอบครองวะ!?
“เฮ้ย! ไอ้ปัง มองทา…”ได้ยินเสียงแว้ดๆ จากด้านหลัง ไอ้ผมเองก็เลยจะหันไปมอง ยังฟังไม่ทันจะจบจักรยานผมก็พาผมตีลังกาหงายท้องไปซะแล้ว
โครม!!!!
“ เชี่ย!!!” ได้ยินเสียงไอ้ญี่ปุ่นสบถลั่น ก่อนจะจอดจักรยานมันแล้วลงมาดูผม รู้สึกงงงวยยังไงบอกไม่ถูก ดีนะหัวกูไม่ฟาดพื้นอ่ะ ยิ่งโง่ ๆ อยู่ ถ้าโง่กว่าเดิมนี่ไม่เหลืออะไรดีเลยนะ
“สมองมึงปกติดีป่ะ? ทางมีไม่มอง กูว่าก่อนจะได้รถนะ แม่ง ได้ลงนรกก่อนอ่ะกูว่า ฮ่าๆๆๆๆ” ผมลุกขึ้นแล้วปัดก้นตัวเอง อูย แม่งเจ็บเข่าอ่ะ เลือดซิบเลยกู ผมส่งค้อนวงโตให้ไอ้ญี่ปุ่นแม่งหัวเราะอยู่ได้ กูโคตรอายเลยไอ้เชี่ย
“เฮื้อย เลิกหัวเราะได้แล้ว กูโคตรอายเลย แม่งมีใครอยู่ในรถป่ะวะ ไปๆๆๆๆ” ผมจูงจักรยานแล้วดันหลังไอ้เชี่ยญี่ปุ่นให้ไปต่อ ตาก็คอยหันมาเหลือบมองรถคันหรูอยู่เรื่อยๆ กูอยากได้ว้อย!
“คอจะเป็นนกเค้าแมวอยู่แล้วมึง ไม่วิ่งไปเข็นกลับบ้านซะเลยล่ะ?” มันพูดพลางตบหัวผมทีนึง ถ้าทำได้กูทำไปแล้วเว้ย!
“เล่นของสูงนะมึงอ่ะ” ผมพูดพลางตบไหล่มันแรงๆ แต่แม่งไม่สะเทือนเล้ย!
“นี่สูงแล้วเหรอ?” มันพูดพลางเอามือลูบหัวผมไปมา อ่ะ ไอ้ ไอ้เชี่ยนี่ว่ากูเตี้ยเหรอ!!!!
“มึ้ง ไอ้ปุ่น ว่าแต่กู เดี๋ยวอีกสองปีกูจะสูงแซงมึงให้ดู๊!!” ผมเตะขามันแรงๆ ทีนึงแล้วจูงจักรยานวิ่งหนีมัน แสบเข่าอ้ะ >_<
“แล้วกูจะรอ กูให้เวลามึงสิบปีเลยไอ้เตี้ย!”
“โหย ไอ้สูง ไอ้เปรตขอส่วนบุญ ไอ้เสาไฟฟ้าไม่มีสายดิน ไอ้ตู้โทรศัพท์พัง!!!” ผมหันกลับไปแว้ดๆ ใส่มัน มันแค่หัวเราะแล้วว่า
“ถึงกูจะเป็นเสาไฟแต่ก็เป็นเสาไฟที่ตั้งอยู่ข้างๆ หลักกิโลนะเฟ้ย!” แนะ!! กูไม่คุยกะมึงแล้ว แม่ง คุยกันทีไรวกมาเรื่องที่กูเตี้ยตลอดเลยนะไอ้สูง!!!
“ไอ้เชี่ยย!!!!!!!!!!!!!” ผมหันไปตะโกนใส่มันหลังจอดจักรยานให้เข้าที่ในโรงจอดรถโรงเรียน ไอ้ญี่ปุ่นหัวเราะร่วน แม่งเอ๊ย กูไม่ใช่ตัวตลกนะครับ!
“นี่แหน่ะ” ผมเดินไปเตะจักรยานไอ้ญี่ปุ่นขณะที่มันกำลังจอด ผลคือ เจ็บสิครับ แม่งนิ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ เจ็บมั้ยครับ สม ทำไรไม่รู้จักเจียมบอดี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” มันหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ผมนี่ปี๊ดเลย
“ไอ้ญี่ปุ่น กู!! งอน!! มึง!! ง้อกูด้วย!!” พูดจบก็สะบัดก้นงามๆ หนีมันขึ้นห้องเอากระเป๋าไปเก็บ
“ไงอีคนสวย มึงมาสายนะ ผัวมึงมันไม่ปลุกเหรอ? ฮ่าๆๆ” ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้อง เสียงแซวก็ดังขึ้นจากกลุ่มของนักเลงหลังห้อง พวกมันไม่ได้เป็นนักเลงจริงๆ หรอก ตั้งชื่อกลุ่มไปงั้นเองแล้วพวกมันก็ชอบล้อว่าผมเป็นเมียไอ้ญี่ปุ่นมันซะเหลือเกิน
“มันเพิ่งปลุกกูตอนเจ็ดโมงครึ่ง แม่ง เกือบมาไม่ทัน” ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะโดนตบกบาลเข้าให้จากด้านหลัง
“เจ็ดโมงครึ่งพ่อง! กูปลุกมึงตั้งแต่เจ็ดโมง” ผมลูบหัวเองป้อยๆ แล้วเดินตามมันเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะติดหน้าต่าง
“ฮ่าๆ กลางค่ำกลางคืนทำไรกันอยู่จ้ะ ไอ้ปุ่น กูบอกมึงแล้วว่าอย่าทำเยอะ เห็นป่ะ เมียมึงเลยตื่นสายเลย” ไอ้ฟายเอ้ย กูไม่ได้เป็นเมียมัน บ้านก็คนละหลังเลยนะ
“ทำไม่ทำแม่งก็สายอยู่ดีแหละ ไอ้เชี่ยนี่อ่ะ” ไอ้ญี่ปุ่นว่าแล้วผลักหัวผม ไอ้เวรนี่มึงจะไปรับมุขมันทำไมฮ๊ะ!!!!!?
“โวะ! พวกเชี่ยนี่” ผมเบ้ปากใส่พวกมันที่ที่พวกแม่งเอาแต่หัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ เออ กอล์ฟ กูกะเชี่ยปังไม่เข้าแถวนะ บอกจารย์ด้วย กูจะไปห้องพยาบาล” มันพูดหลังจากที่ได้ยินเสียงกริ่งเรียกเข้าแถว
“ฮั่นแน่ เมื่อคืนไม่พอเหรอวะ มีต่อห้องพยาบาล กิ้วๆ” ไอ้ที่ชื่อกอล์ฟพูด ความจริงไอ้นี่มันก็ค่อนข้างหน้าหวานอยู่นะ แต่ทำไมมีแค่คนมาล้อผมวะ? ไม่เข้าใจเลย
“เปล่า พาเชี่ยนี่ไปทำแผล แม่งติ๊งต๊องปั่นจักรยานล้ม หัวเข่าแตก” พูดจบก็ลากแขนผม
“เออ กูมันฟายเอง มึงเป็นเพื่อนกูงั้นมึงก็ต้องเป็นด้วย ไอ้ฟายยยย!!!” ผมพูดใส่หน้ามันไอ้พวกแก๊งค์นักเลงหลังห้องแม่หัวเราะตัวงอเลย
“ฮ่าๆๆๆ ผัวเมียทะเลาะกันเว้ย” ไอ้กอล์ฟจอมพูดมากพูดอีก ผมหันไปถลึงตาใส่มันก่อนว่า
“หุบปากไปเลยไอ้ตุ๊ด!!!”
“มึงสิตุ๊ด!!!!!” ผมหดหัวกลับมาดังเดิมเมื่อไอ้พวกแก๊งค์หลังห้องแม่งสามัคคีกันผสานเสียงตอบผม
“ผัวขา มันสามัคคีกันด่ากูอ่ะ” ผมเขย่าแขนไอ้ญี่ปุ่นยิกๆ ปากก็ว่าไปมือที่ว่างก็ชี้หน้าไอ้เชี่ยกอล์ฟที่ดูจะชอบใจมากกว่าเพื่อนเขา
“เสียงมึงแรดมาก รู้ว่าเถียงไม่สู้แล้วมึงจะเสนอหน้าไปเถียงกะเค้าทำไมวะไอ้ปังเน่า” ผมนี่หมดอารมณ์เลย เชี่ยเอ๊ย เข้าข้างกูหน่อยก็ไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้ปุ่น มึงรีบพามันไปก่อนที่มันจะเอาขาสั้นๆ นั่นเตะก้านคอมึงเถอะ ฮ่าๆๆๆ” ไอ้กอล์ฟว่า ผมชี้หน้าด่ามันในใจ ไอ้พวกเวรเอ๊ย! เตะก้านคอมึงก่อนคนแรกเลยไอ้กอล์ฟ!!!
………………………………………………………..
ภายในรถ BMW สีดำคันหรูที่ติดฟิล์มดำสนิท ชายหน้าหล่อมองดูรูปของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีที่อยู่ในมือ เขาสวมชุดสูทสีดำเต็มยศ แว่นกันแดดสีดำปกปิดแววตาที่ไหวระริก เขามาจอดรถรออยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว ดูเหมือนว่าคนน่ารักที่อยู่ในรูปจะมาโรงเรียนสายซะเหลือเกิน
“อาหลิง เขามาแล้ว” เสียงทุ้มดังขึ้นจากตำแหน่งข้างคนขับ คนถูกเรียกเงยหน้ามองชายที่แก่กว่าตัวเองสองปีก่อนจะถอดแว่นออกแล้วมองเลยออกไปที่หน้ารถ
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแวววาวหันมามองที่รถของเขาด้วยสายตาชื่นชมแกมอิจฉา ขาก็ปั่นจักรยานไปเรื่อย เพื่อนที่มาด้วยกันขยับปากพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จักรยานของเจ้าคนน่ารักจะพาล้มหงายท้อง
เพื่อนหน้าหล่อจอดจักรยานแล้วมาดูก่อนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เขาพูดอะไรสักอย่างแล้วดันหลังเพื่อนให้ไปต่อ ตัวเองก็ยังหันมามองรถอยู่เรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้ที่นั่งในรถเผยรอยยิ้มละไม มองดูคนน่ารักเดินเข้าโรงเรียนไป
“ไปได้” เขาสั่งเสียงเรียบก่อนจะหยิบแว่นมาใส่เหมือนเดิม
รถ BMW สีดำแล่นออกจากหน้าโรงเรียนมัธยมของรัฐบาลมุ่งสู่ถนนใหญ่จุดหมายคือโรงแรมในเครือไฉ่หงกรุ๊ป
………………………………………………………………
“เฮื้อย แม่งอังกฤษโคตรยากเลยสัส!” ผมบิดขี้เกียจไปมาหลังจากที่อาจารย์ภาษาอังกฤษเดินออกจากห้องไปแล้ว
“กูว่าทุกวิชาก็ยากกสำหรับมึงอ่ะ” โคตรเจ็บอ่ะเชี่ยปุ่น
“ก็กูไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างเหมือนมึงนี่ โด่ว สอบเมื่อกี้ชิวเลยสิมึง” ผมว่าแล้วเบ้ปากใส่มัน
“แน่นอน ก็กูมันอัจฉริยะ” ถุย!!! พูดได้ไม่อายปาก ผมเบ้ปากใส่มันก็เลยโดนตบกะโหลกเข้าให้ ใช้กำลังกับกูอีกแล้วนะมึง
“เอ้อ กูว่าจะถามนานละ พี่แยมได้ติดต่อมาบ้างมั้ยวะ?” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะมึง ผมที่กำลังจะอ้าปากด่ามันก็ต้องหุบปากลงแล้วส่ายหน้าหงอยๆ
พี่แยมเป็นพี่ชายของผมเอง ตั้งแต่พ่อกับแม่ตายไปมีแต่พี่แยมกับบ้านไอ้ญี่ปุ่นนี่แหละที่ดูแลผมมาตลอด ถึงพี่เขาจะทำงานจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่หนนี้ไม่มีแม้กระทั่งติดต่อมา ผมอดห่วงไม่ได้ว่าพี่ชายจะเป็นอะไรรึเปล่า จะโดนคนไม่ดีฉุดรึเปล่า พี่แยมยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย
“เฮ้ย กูขอโทษ อย่าทำหน้าเหมือนหมาหงอยอย่างงั้นดิ เดี๋ยวพี่มึงก็กลับเองแหละ โทรศัพท์เขาอาจจะพังก็ได้ อย่าคิดมากดิ”
“แต่พี่แยมไม่ติดต่อมาเป็นอาทิตย์แล้วนะเว้ย รึพี่กูจะโดนลักพาตัว เฮ้ย ไม่ได้นะ กูยิ่งจนๆ อยู่!!” ผมนั่งหลังตรงแน่วทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ จนไอ้ญี่ปุ่นมันต้องเอื้อมมือมันมาตบหัวผมอีกรอบ ที่กูโง่อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละสัส!!!!
“พี่มึงนะ ไม่ใช่มึง จะได้โง่จนโดนลักพาตัวน่ะ” เจ็บอีกละ กูตลอด ใครจะไปรู้ เผื่อพี่กูกำลังเบลอแล้วโดนสอยอ่ะทำไง แม่ง คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างไรบ้างดิวะ
“มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนว่ามึงถูกเลย อยากให้พี่มึงโดนลักพาตัวนักไง? ไอ้สมองมด!” สมองมด!!! โหย ไอ้สมองช้าง ว่ากูเข้าไป
“หุบปากไป จารย์มาแล้ว” ตลอดเลย เวลากูจะด่ามึงทีไรมีมารตลอด!!!!
หลังเลิกเรียนผมก็ปั่นไอ้จักรยานคู่ใจกลับบ้านพร้อมไอ้ญี่ปุ่น ไม่ลืมแวะจอดข้างทางซื้อข้าวเหนียวมะม่วงของโปรดกลับไปกินด้วย โชคดีที่วันนี้ไม่มีการบ้าน ขอบคุณสวรรค์!!! กูจะเล่นเกมให้ลืมโลกไปเลย!!!!!!!
“มึงกลับเองถูกนะ?” เสียงไอ้ญี่ปุ่นถามขึ้นมา คือถ้ามึงจะแกล้งกูก็ช่วยหาไอ้ที่มันดีๆ หน่อยได้มะ? กูไม่ใช่เด็กอนุบาลนะมึง!
“บ้านกูเลยบ้านมึงไปห้าหลังไปไม่ถูกก็ฟายแล้วไอ้ฟายยยยยย!!!!!!!!” ผมบอกแล้วปั่นจักรยานต่อมาเลยบ้านมาห้าหลัง หลังที่หกเป็นบ้านผม ผมจอดจักรยานแล้วมองไปทางซ้าย รถ BMW จอดอยู่หน้าบ้านผม ผมไปเดินสำรวจดูรอบๆ คันเมื่อเช้าเปล่าวะ? กูว่าใช่เลย นี่ไงสายรุ้ง แล้วมาทำไรแถวนี้วะ หน้าบ้านกูอีกต่างหาก
อืมมมมม ของบ้านข้างๆ มั้ง ช่างเหอะ
ผมเลิกสนใจรถคันนั้นแล้วจูงจักรยานไปจอดในโรงจอดรถที่ไม่มีรถสักคัน แต่ตาก็เหลือบไปมองไอ้รถคันนั้นอยู่เรื่อย (ก็คนมันชอบอ่ะ)
ผมถือถุงข้าวเหนียวมะม่วงเดินไปหน้าประตู ควานหากุญแกในกระเป๋ากางเกงหยิบออกมาไข อ้าว ไม่ได้ล็อก เชี่ย นี่สมองกูฝ่อจนลืมล็อกบ้านอ่ะ เวร ถ้าโจรขึ้นบ้านกูแล้วมันจะเหลือสมบัติอะไรฟะ!!
ผมเลิกสนใจแล้วเปิดประตูเข้าบ้าน เดินผ่านห้องนั่งเล่นเลี้ยวเข้าครัว หยิบจานแกะห่อข้าวเหนียวออกแล้วเทลงตามด้วยมะม่วงสุก จากนั้นก้เปิดตู้เย็นหยิบนมเปรี้ยวมากล่องนึง แล้วเดินมาหยิบจานข้าวเหนียวมะม่วงออกจากครัว พลางคิดว่า ถ้าพี่แยมไม่โผล่หน้ามาภายในสามวันนี้ล่ะก็ ผมอดตายแน่!!!
“ฮืม ฮือ ลั้ล ลา ฮือ ล้า ลา อ่ะ จ่ะ เฮ้ย!!! O_O ใครอ่ะ!!!” แต่ทันทีที่ก้าวขาออกจากครัวได้เท่านั้นล่ะ เชี่ยเอ๊ย ใครมันมานั่งอยู่โซฟาห้องนั่งเล่นผม!!! ทำไมตอนเดินเข้ามาตอนแรกไม่เห็นวะ
“สวัสดีครับ คุณวายุภัทร เชิญนั่งก่อนสิ” บ้าแล้ว นี่บ้านกู มึงเป็นใคร มาบอกให้กูนั่ง
“โจรเหรอ!?” ผมอุทาน ทำไมโจรสมัยนี้แต่งตัวดีจังฟะ สูทเต็มยศเลย อืม หน้าเขาดูจีนๆแฮะ โจรข้ามชาติป่ะ?
“ไม่ใช่ครับ ผมชื่อจางซันฟง ผมมาจากบริษัทไฉ่หง เพื่อมาพบคุณ” ไอ้แขกที่ไม่ได้รับเชิญบอกกับผมด้วยรอยยิ้มละไม ทำไมยิ้มมึงดูน่ากลัวชอบกล?
“งะ งั้น ผมจะไปเอาน้ำมาให้” พูดจบก็หันกลับเดินเข้าครัว เอาจานข้าวเหนียวมะม่วงใส่ตู้เย็น แล้วเทน้ำเย็นใส่แก้ว เอาออกมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าผู้ชายที่เข้าบ้านผมมาได้ไงไม่รู้ ผมไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามแล้วจ้อง เขาเองก็มองผมเหมือนกัน
“งั้นผมถามแลยนะ คุณเข้าบ้านผมได้ไงอ่ะ?” ขายิ้มแล้วหยิบเอากุญแจดอกนึงให้ผมดู
“ผมได้มันมาจากคุณวิศรุต พี่ชายของคุณ” เขาพูดเสียงเรียบแต่หน้ายิ้ม
“พี่เหรอ คุณได้มันมาจากพี่แยม งั้นคุณก็เป็นเพื่อนเขาน่ะสิ พี่แยมขาสบายดีหรอเปล่าครับ?” ผมถามเสียงตื่นเต้นแทบจะกระโจนใส่เขาอยู่แล้ว
“ก็ไม่เชิงเพื่อนหรอกครับ แค่คนรู้จักน่ะ ส่วนเรื่องที่เขาสบายดีรึเปล่านั้น ผมคงให้คำตอบไม่ได้ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ” เขาพูดยิ้ม ผมชักไม่ชอบรอยยิ้มนั้นขึ้นมาดื้อ หมายความว่าไงที่บอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก งั้นพี่แยมจะให้กุญแจบ้านกับเขาทำไม แล้วที่บอกว่าให้คำตอบไม่ได้ว่าพี่แยมสบายดีหรือเปล่านี่ยิ้งแล้วใหญ่ พี่ผมป็นอะไรไปรึเปล่าเนี่ย!!!!
“ช่วงนี้ พี่ชายคุณเขาไม่ติดต่อมาหาเลยเหรอครับ?” เขาถาม ผมพยักหน้า สมองอันน้อยนิดก็กำลังประมวลผล ถ้าเกิดพี่แยมเป็นอะไรขึ้นมาแล้วผมจะอยู่กับใครเล่า!!!!!
“พี่แยม เขา เป็นอะไร งั้นเหรอ?” ผมถามเสียงเบา รู้สึกใจสั่นๆ ลางไม่ค่อยจะดีไงไม่รู้อ่ะ
“พี่ชายคุณ เขาไม่ได้บอกหรือเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอครับ?” ผมส่ายหน้า เขาจึงพูดต่อ
“พี่ชายของคุณ ติดหนี้เจ้านายของผม เป็นจำนวนเงินยี่สิบสองล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นเงินบาทไทยจำนวนเก้าสิบเอ็ดล้านสามแสนบาท ไม่รวมดอกเบี้ย เขาได้เอาคุณซึ่งเป็นน้องชายมาค้ำประกัน และเขาก็ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้เรามาได้สักพักแล้ว ทางเราจึงมาขอรับตัวคุณไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของคุณ นี่ครับสัญญา”
“ไอ้!! เชี่ย!! ปัง!! มึงจะไปมั้ยโรงเรียนอ่ะ? นอนอืดอยู่นั่นล่ะมึง เดี๋ยวกูทิ้งให้นอนกินศูนย์อยู่นี่แล้วมึงจะหนาว อ้าวเชี่ย นี่กูปลุกมึงอยู่นะ!” โอย เสียงนกเสียงกาตัวไหนแม่งมาเห่าอยู่ข้างหูกูตั้งกะเช้าวะ!? คนจะหลับจะนอน!
ผมซุกตัวลงใต้ผ้าห่มผืนหนา แม่งเอ๊ย ร้อนก็ร้อน แต่ก็ต้องทำเพราะหนวกหูเสียงที่มันดังแว้ดๆ อยู่ข้างหู สรุปคือมึงเป็นเพื่อนรึพ่อกูวะ!?
“อื้อ นี่เพิ่งวันอาทิตย์เองนะ ปุ่น มึงจะรีบปลุกกูหาพ่องไรแต่เช้า! ” ผมงัวเงียตอบกลับไปก็ไอ้เพื่อนผู้แสนดีมันดันดึงผ้าห่มออกจากตัวผมแล้วโยนไปกองไว้ที่พื้น ขอบคุณเพื่อน สมกับเป็นเพื่อนรู้ใจ กูกำลังร้อนพอดี
“เช้าพ่อง จะสองโมงแล้วสัส แล้วปฏิทินบ้านมึงนี่ช้ากว่าบ้านคนอื่นเค้าวันนึ่งเรอะ นี่มันวันจันทร์เหอะสัส จะละเมอก็เลือกให้ถูกวันหน่อย แม่งนิ ตื่น!” ไม่พูดเปล่า เท้างามๆ ของมันก็ถีบเข้าที่กลางหลังผมอย่างจัง ตัวผมหล่นตุบจากเตียง โคตรเจ็บอ่ะสัสนี่
“โอย อะไรล่ะเชี่ยปุ่น ถีบกูอีกแล้ว แม่งกูออกจะบอบบาง หลังหักแล้วมั้ง ปลุกกูดีๆ กูก็ตื่นน่า” ผมพูดเสียงง้องแง้ง ไอ้ญี่ปุ่นมันทำหน้าไม่เชื่อ ผมลุกขึ้นมานั่งที่เตียง ปากก็หาวจนกะกินดาวเข้าไปได้ทั้งดวง
“มึงจะเสด็จเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าได้ยัง เร็ว กูจะรีดผ้าให้!” พูดจบก็ผลักหัวผมจนล้มไปกับเตียง มึงแรงความมาก เชี่ยนี่
“กี่โมงแล้ววะ?” ผมเบ้ปากให้มันแล้วถาม มันมองหน้าผมฉุนๆ ตอบเสียงเข้มขณะกำลังเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเอาเสื้อกับกางเกงนักเรียนออกมา
“เจ็ดโมงครึ่ง” ผมหันไปมองหน้ามันตื่นๆ เชี่ย โคตรสายเลย มิน่าล่ะ มองหน้ากูยังกะจะฆ่ากูหมกส้วมซะให้ได้
“เชี่ย! แล้วไม่รีบปลุกกู” มันหันมามองหน้าผมฉุนๆ แต่ผมไม่สนใจอะไรแล้วตอนนี้ รีบวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างไว เวรแล้วไง วันนี้มีสอบย่อย ทำไมกูโง่งี้วะ เสาร์ อาทิตย์ กูว่าอยู่ แม่ง หยุดมาสองวันแล้ว กูคิดได้ไงว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์วะ!?
“ไอ้ปัง ถึงกูจะบอกให้มึงไปล้างหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่ามึงจะไม่แปรงฟันนะโว้ย!” เสียงไอ้ญี่ปุ่นมันตะโกนเข้ามาให้ได้ยิน เชี่ยเอ๊ย รู้ได้ไงวะ?
“ไอ้เชี่ย หุบปากแล้วรีดผ้าต่อไปซะ!” ผมตะโกนบอก ไม่องไม่อาบแม่งแล้วน้ำอ่ะ ผมหยิบแปรงสีฟันขึ้นมาบีบยาสีฟันลงไปแล้วก็แปรงๆๆ ตาก็มองกระจก โห ขอบตากูยังเขียวอยู่เลย ไม่น่าเล่นเกมดึกเล้ย!
ผมมองผู้ชายที่อยู่ในกระจกแล้วก็ต้องอนาถใจกับความอาภัพที่มีมาแต่กำเนิด ตาโตๆ สีน้ำตาลเข้มขนตาก็ยาวกว่าชาวบ้านเขารับกับผมสีดำออกน้ำตาลๆ ปากบางที่คาบแปรงสีฟันอยู่ก็ออกสีแดงระเรื่อ พวงแก้มขาวๆ เนียนใสไร้รอยสิว ดูรวมๆ แล้วก็ โห กูโคตรรสวยอ่ะ แถมยังมีชื่อที่แสนจะน่ารักกุบกบว่า ขนมปัง ฟังแล้วก็หิวเลยอ่ะ อาถัพกว่านี้มีอีกมั้ย? มี เพราะผมเกิดมาพร้อมกับขนาดตัวที่พกพาง่ายด้วยส่วนสูงแค่ 169 ซม. โคตร!!เตี้ย!! เลย!! ต่างกับไอ้คคนที่อยู่ข้างนอกลิบ
ไอ้ญี่ปุ่นเพื่อนซี้ตั้งแต่อนุบาลที่ทำตังยังกะเป็นคุณแม่ที่รีดผ้าให้ผมอยู่นั้นแค่ส่วนสูงก็กินขาดละ มันสูงตั้ง 185 ซม. กับหน้าตาที่หล่อเหลาผิวนี่เนียนกิ๊ก สาวติดตรึม ขนาดผมซี้กับมันยังอยากเอาไม้หน้าสามฟาดให้หน้าแหก เพราะนอกจากผู้ชายแล้วก็ไม่เห็นมีสาวหน้าไหนกล้ามาจีบผมเลย! แต่คำที่ทำให้ผมผู้ร่าเริงคนนี้เจ็บใจที่สุดเห็นจะเป็น ‘ก็ใครใช้ให้มึงไม่เกิดมาหล่อเหมือนกูเองล่ะ อีคนสวย!’ไอ้สัสปุ่น! ทำกูด้ายนะมึง
“โห้ย ไอ้เชี่ยปัง มึงตายคาห้องน้ำแล้วเหรอวะ!?” เสียงไอ้ญี่ปุ่นแว้ดๆ เข้ามาอีก ผมบ้วนน้ำออกจากปากแล้วตะโกนตอบ
“เออ!” ผมรีบล้างหน้าแล้วออกจกห้องน้ำ นี่ขนาดผมรีบแล้วนะ
“รีบใส่เลยมึง กูให้เวลาห้านาที กูจัดตารางเรียนให้แล้ว มองหน้า แม่ง กูรีบ!” ผมรับชุดนักเรียนที่ไอ้ญี่ปุ่นส่งให้ ผมมองหน้ามันแล้วยิ้มก่อนพูดเสียงทะเล้น
“ครับ คุณแม่”
ห้านาทีต่อมา ผมวิ่งลงบันไดมาชั้นล่างพร้อมกับไอ้ญี่ปุ่น ผมวิ่งเข้าครัวเปิดตู้เย็นหยิบนมเปรี้ยวมาสองกล่องโยนให้ไอ้เพื่อนซี้กล่องนึงแล้วรีบไปเข็นจักรยานออกมาปั่นไปโรงเรียน
ระยะทางจากบ้านผมถึงโรงเรียน ถ้าปั่นจักรยานมาก็ใช้เวลาประมาณสิบนาที เข้าโรงเรียนทันอย่างฉิวเฉียด อีกร้อยเมตรก็จะถึงหน้าโรงเรียนแล้ว เห็นเด็กนักเรียนเริ่มจะวิ่งเข้าโรงเรียนกันแล้ว เพิ่งจะคิดรึไงว่าสายน่ะฮึ! (ไม่ดูตัวเองเลยกู)
ผมรีบชะลอความเร็วลง เดี๋ยวถึงแล้วเบรกไม่ทัน เห็นรถ BMW สีดำด้านข้างมีรูปสายรุ้งคันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากประตูโรงเรียนห้าสิบเมตร โห รถโคตรหรูเลย ผมปั่นจักรยานผ่านไปแต่ตานี่ก็ยังเหลียวหลังมอง สวยอ่ะ อยากได้ อีกกี่ปีกูจะได้รถยังงี้มาครอบครองวะ!?
“เฮ้ย! ไอ้ปัง มองทา…”ได้ยินเสียงแว้ดๆ จากด้านหลัง ไอ้ผมเองก็เลยจะหันไปมอง ยังฟังไม่ทันจะจบจักรยานผมก็พาผมตีลังกาหงายท้องไปซะแล้ว
โครม!!!!
“ เชี่ย!!!” ได้ยินเสียงไอ้ญี่ปุ่นสบถลั่น ก่อนจะจอดจักรยานมันแล้วลงมาดูผม รู้สึกงงงวยยังไงบอกไม่ถูก ดีนะหัวกูไม่ฟาดพื้นอ่ะ ยิ่งโง่ ๆ อยู่ ถ้าโง่กว่าเดิมนี่ไม่เหลืออะไรดีเลยนะ
“สมองมึงปกติดีป่ะ? ทางมีไม่มอง กูว่าก่อนจะได้รถนะ แม่ง ได้ลงนรกก่อนอ่ะกูว่า ฮ่าๆๆๆๆ” ผมลุกขึ้นแล้วปัดก้นตัวเอง อูย แม่งเจ็บเข่าอ่ะ เลือดซิบเลยกู ผมส่งค้อนวงโตให้ไอ้ญี่ปุ่นแม่งหัวเราะอยู่ได้ กูโคตรอายเลยไอ้เชี่ย
“เฮื้อย เลิกหัวเราะได้แล้ว กูโคตรอายเลย แม่งมีใครอยู่ในรถป่ะวะ ไปๆๆๆๆ” ผมจูงจักรยานแล้วดันหลังไอ้เชี่ยญี่ปุ่นให้ไปต่อ ตาก็คอยหันมาเหลือบมองรถคันหรูอยู่เรื่อยๆ กูอยากได้ว้อย!
“คอจะเป็นนกเค้าแมวอยู่แล้วมึง ไม่วิ่งไปเข็นกลับบ้านซะเลยล่ะ?” มันพูดพลางตบหัวผมทีนึง ถ้าทำได้กูทำไปแล้วเว้ย!
“เล่นของสูงนะมึงอ่ะ” ผมพูดพลางตบไหล่มันแรงๆ แต่แม่งไม่สะเทือนเล้ย!
“นี่สูงแล้วเหรอ?” มันพูดพลางเอามือลูบหัวผมไปมา อ่ะ ไอ้ ไอ้เชี่ยนี่ว่ากูเตี้ยเหรอ!!!!
“มึ้ง ไอ้ปุ่น ว่าแต่กู เดี๋ยวอีกสองปีกูจะสูงแซงมึงให้ดู๊!!” ผมเตะขามันแรงๆ ทีนึงแล้วจูงจักรยานวิ่งหนีมัน แสบเข่าอ้ะ >_<
“แล้วกูจะรอ กูให้เวลามึงสิบปีเลยไอ้เตี้ย!”
“โหย ไอ้สูง ไอ้เปรตขอส่วนบุญ ไอ้เสาไฟฟ้าไม่มีสายดิน ไอ้ตู้โทรศัพท์พัง!!!” ผมหันกลับไปแว้ดๆ ใส่มัน มันแค่หัวเราะแล้วว่า
“ถึงกูจะเป็นเสาไฟแต่ก็เป็นเสาไฟที่ตั้งอยู่ข้างๆ หลักกิโลนะเฟ้ย!” แนะ!! กูไม่คุยกะมึงแล้ว แม่ง คุยกันทีไรวกมาเรื่องที่กูเตี้ยตลอดเลยนะไอ้สูง!!!
“ไอ้เชี่ยย!!!!!!!!!!!!!” ผมหันไปตะโกนใส่มันหลังจอดจักรยานให้เข้าที่ในโรงจอดรถโรงเรียน ไอ้ญี่ปุ่นหัวเราะร่วน แม่งเอ๊ย กูไม่ใช่ตัวตลกนะครับ!
“นี่แหน่ะ” ผมเดินไปเตะจักรยานไอ้ญี่ปุ่นขณะที่มันกำลังจอด ผลคือ เจ็บสิครับ แม่งนิ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ เจ็บมั้ยครับ สม ทำไรไม่รู้จักเจียมบอดี้ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” มันหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง ผมนี่ปี๊ดเลย
“ไอ้ญี่ปุ่น กู!! งอน!! มึง!! ง้อกูด้วย!!” พูดจบก็สะบัดก้นงามๆ หนีมันขึ้นห้องเอากระเป๋าไปเก็บ
“ไงอีคนสวย มึงมาสายนะ ผัวมึงมันไม่ปลุกเหรอ? ฮ่าๆๆ” ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าห้อง เสียงแซวก็ดังขึ้นจากกลุ่มของนักเลงหลังห้อง พวกมันไม่ได้เป็นนักเลงจริงๆ หรอก ตั้งชื่อกลุ่มไปงั้นเองแล้วพวกมันก็ชอบล้อว่าผมเป็นเมียไอ้ญี่ปุ่นมันซะเหลือเกิน
“มันเพิ่งปลุกกูตอนเจ็ดโมงครึ่ง แม่ง เกือบมาไม่ทัน” ผมพูดเสียงเรียบก่อนจะโดนตบกบาลเข้าให้จากด้านหลัง
“เจ็ดโมงครึ่งพ่อง! กูปลุกมึงตั้งแต่เจ็ดโมง” ผมลูบหัวเองป้อยๆ แล้วเดินตามมันเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะติดหน้าต่าง
“ฮ่าๆ กลางค่ำกลางคืนทำไรกันอยู่จ้ะ ไอ้ปุ่น กูบอกมึงแล้วว่าอย่าทำเยอะ เห็นป่ะ เมียมึงเลยตื่นสายเลย” ไอ้ฟายเอ้ย กูไม่ได้เป็นเมียมัน บ้านก็คนละหลังเลยนะ
“ทำไม่ทำแม่งก็สายอยู่ดีแหละ ไอ้เชี่ยนี่อ่ะ” ไอ้ญี่ปุ่นว่าแล้วผลักหัวผม ไอ้เวรนี่มึงจะไปรับมุขมันทำไมฮ๊ะ!!!!!?
“โวะ! พวกเชี่ยนี่” ผมเบ้ปากใส่พวกมันที่ที่พวกแม่งเอาแต่หัวเราะ
“ฮ่าๆๆๆ เออ กอล์ฟ กูกะเชี่ยปังไม่เข้าแถวนะ บอกจารย์ด้วย กูจะไปห้องพยาบาล” มันพูดหลังจากที่ได้ยินเสียงกริ่งเรียกเข้าแถว
“ฮั่นแน่ เมื่อคืนไม่พอเหรอวะ มีต่อห้องพยาบาล กิ้วๆ” ไอ้ที่ชื่อกอล์ฟพูด ความจริงไอ้นี่มันก็ค่อนข้างหน้าหวานอยู่นะ แต่ทำไมมีแค่คนมาล้อผมวะ? ไม่เข้าใจเลย
“เปล่า พาเชี่ยนี่ไปทำแผล แม่งติ๊งต๊องปั่นจักรยานล้ม หัวเข่าแตก” พูดจบก็ลากแขนผม
“เออ กูมันฟายเอง มึงเป็นเพื่อนกูงั้นมึงก็ต้องเป็นด้วย ไอ้ฟายยยย!!!” ผมพูดใส่หน้ามันไอ้พวกแก๊งค์นักเลงหลังห้องแม่หัวเราะตัวงอเลย
“ฮ่าๆๆๆ ผัวเมียทะเลาะกันเว้ย” ไอ้กอล์ฟจอมพูดมากพูดอีก ผมหันไปถลึงตาใส่มันก่อนว่า
“หุบปากไปเลยไอ้ตุ๊ด!!!”
“มึงสิตุ๊ด!!!!!” ผมหดหัวกลับมาดังเดิมเมื่อไอ้พวกแก๊งค์หลังห้องแม่งสามัคคีกันผสานเสียงตอบผม
“ผัวขา มันสามัคคีกันด่ากูอ่ะ” ผมเขย่าแขนไอ้ญี่ปุ่นยิกๆ ปากก็ว่าไปมือที่ว่างก็ชี้หน้าไอ้เชี่ยกอล์ฟที่ดูจะชอบใจมากกว่าเพื่อนเขา
“เสียงมึงแรดมาก รู้ว่าเถียงไม่สู้แล้วมึงจะเสนอหน้าไปเถียงกะเค้าทำไมวะไอ้ปังเน่า” ผมนี่หมดอารมณ์เลย เชี่ยเอ๊ย เข้าข้างกูหน่อยก็ไม่ได้
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้ปุ่น มึงรีบพามันไปก่อนที่มันจะเอาขาสั้นๆ นั่นเตะก้านคอมึงเถอะ ฮ่าๆๆๆ” ไอ้กอล์ฟว่า ผมชี้หน้าด่ามันในใจ ไอ้พวกเวรเอ๊ย! เตะก้านคอมึงก่อนคนแรกเลยไอ้กอล์ฟ!!!
………………………………………………………..
ภายในรถ BMW สีดำคันหรูที่ติดฟิล์มดำสนิท ชายหน้าหล่อมองดูรูปของเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดปีที่อยู่ในมือ เขาสวมชุดสูทสีดำเต็มยศ แว่นกันแดดสีดำปกปิดแววตาที่ไหวระริก เขามาจอดรถรออยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เจ็ดโมงแล้ว ดูเหมือนว่าคนน่ารักที่อยู่ในรูปจะมาโรงเรียนสายซะเหลือเกิน
“อาหลิง เขามาแล้ว” เสียงทุ้มดังขึ้นจากตำแหน่งข้างคนขับ คนถูกเรียกเงยหน้ามองชายที่แก่กว่าตัวเองสองปีก่อนจะถอดแว่นออกแล้วมองเลยออกไปที่หน้ารถ
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลแวววาวหันมามองที่รถของเขาด้วยสายตาชื่นชมแกมอิจฉา ขาก็ปั่นจักรยานไปเรื่อย เพื่อนที่มาด้วยกันขยับปากพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จักรยานของเจ้าคนน่ารักจะพาล้มหงายท้อง
เพื่อนหน้าหล่อจอดจักรยานแล้วมาดูก่อนจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น เขาพูดอะไรสักอย่างแล้วดันหลังเพื่อนให้ไปต่อ ตัวเองก็ยังหันมามองรถอยู่เรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้ที่นั่งในรถเผยรอยยิ้มละไม มองดูคนน่ารักเดินเข้าโรงเรียนไป
“ไปได้” เขาสั่งเสียงเรียบก่อนจะหยิบแว่นมาใส่เหมือนเดิม
รถ BMW สีดำแล่นออกจากหน้าโรงเรียนมัธยมของรัฐบาลมุ่งสู่ถนนใหญ่จุดหมายคือโรงแรมในเครือไฉ่หงกรุ๊ป
………………………………………………………………
“เฮื้อย แม่งอังกฤษโคตรยากเลยสัส!” ผมบิดขี้เกียจไปมาหลังจากที่อาจารย์ภาษาอังกฤษเดินออกจากห้องไปแล้ว
“กูว่าทุกวิชาก็ยากกสำหรับมึงอ่ะ” โคตรเจ็บอ่ะเชี่ยปุ่น
“ก็กูไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างเหมือนมึงนี่ โด่ว สอบเมื่อกี้ชิวเลยสิมึง” ผมว่าแล้วเบ้ปากใส่มัน
“แน่นอน ก็กูมันอัจฉริยะ” ถุย!!! พูดได้ไม่อายปาก ผมเบ้ปากใส่มันก็เลยโดนตบกะโหลกเข้าให้ ใช้กำลังกับกูอีกแล้วนะมึง
“เอ้อ กูว่าจะถามนานละ พี่แยมได้ติดต่อมาบ้างมั้ยวะ?” อยู่ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเฉยเลยนะมึง ผมที่กำลังจะอ้าปากด่ามันก็ต้องหุบปากลงแล้วส่ายหน้าหงอยๆ
พี่แยมเป็นพี่ชายของผมเอง ตั้งแต่พ่อกับแม่ตายไปมีแต่พี่แยมกับบ้านไอ้ญี่ปุ่นนี่แหละที่ดูแลผมมาตลอด ถึงพี่เขาจะทำงานจนไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่หนนี้ไม่มีแม้กระทั่งติดต่อมา ผมอดห่วงไม่ได้ว่าพี่ชายจะเป็นอะไรรึเปล่า จะโดนคนไม่ดีฉุดรึเปล่า พี่แยมยิ่งน่ารักๆ อยู่ด้วย
“เฮ้ย กูขอโทษ อย่าทำหน้าเหมือนหมาหงอยอย่างงั้นดิ เดี๋ยวพี่มึงก็กลับเองแหละ โทรศัพท์เขาอาจจะพังก็ได้ อย่าคิดมากดิ”
“แต่พี่แยมไม่ติดต่อมาเป็นอาทิตย์แล้วนะเว้ย รึพี่กูจะโดนลักพาตัว เฮ้ย ไม่ได้นะ กูยิ่งจนๆ อยู่!!” ผมนั่งหลังตรงแน่วทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้ จนไอ้ญี่ปุ่นมันต้องเอื้อมมือมันมาตบหัวผมอีกรอบ ที่กูโง่อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละสัส!!!!
“พี่มึงนะ ไม่ใช่มึง จะได้โง่จนโดนลักพาตัวน่ะ” เจ็บอีกละ กูตลอด ใครจะไปรู้ เผื่อพี่กูกำลังเบลอแล้วโดนสอยอ่ะทำไง แม่ง คนเรามันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้างไรบ้างดิวะ
“มึงไม่ต้องมาทำหน้าเหมือนว่ามึงถูกเลย อยากให้พี่มึงโดนลักพาตัวนักไง? ไอ้สมองมด!” สมองมด!!! โหย ไอ้สมองช้าง ว่ากูเข้าไป
“หุบปากไป จารย์มาแล้ว” ตลอดเลย เวลากูจะด่ามึงทีไรมีมารตลอด!!!!
หลังเลิกเรียนผมก็ปั่นไอ้จักรยานคู่ใจกลับบ้านพร้อมไอ้ญี่ปุ่น ไม่ลืมแวะจอดข้างทางซื้อข้าวเหนียวมะม่วงของโปรดกลับไปกินด้วย โชคดีที่วันนี้ไม่มีการบ้าน ขอบคุณสวรรค์!!! กูจะเล่นเกมให้ลืมโลกไปเลย!!!!!!!
“มึงกลับเองถูกนะ?” เสียงไอ้ญี่ปุ่นถามขึ้นมา คือถ้ามึงจะแกล้งกูก็ช่วยหาไอ้ที่มันดีๆ หน่อยได้มะ? กูไม่ใช่เด็กอนุบาลนะมึง!
“บ้านกูเลยบ้านมึงไปห้าหลังไปไม่ถูกก็ฟายแล้วไอ้ฟายยยยยย!!!!!!!!” ผมบอกแล้วปั่นจักรยานต่อมาเลยบ้านมาห้าหลัง หลังที่หกเป็นบ้านผม ผมจอดจักรยานแล้วมองไปทางซ้าย รถ BMW จอดอยู่หน้าบ้านผม ผมไปเดินสำรวจดูรอบๆ คันเมื่อเช้าเปล่าวะ? กูว่าใช่เลย นี่ไงสายรุ้ง แล้วมาทำไรแถวนี้วะ หน้าบ้านกูอีกต่างหาก
อืมมมมม ของบ้านข้างๆ มั้ง ช่างเหอะ
ผมเลิกสนใจรถคันนั้นแล้วจูงจักรยานไปจอดในโรงจอดรถที่ไม่มีรถสักคัน แต่ตาก็เหลือบไปมองไอ้รถคันนั้นอยู่เรื่อย (ก็คนมันชอบอ่ะ)
ผมถือถุงข้าวเหนียวมะม่วงเดินไปหน้าประตู ควานหากุญแกในกระเป๋ากางเกงหยิบออกมาไข อ้าว ไม่ได้ล็อก เชี่ย นี่สมองกูฝ่อจนลืมล็อกบ้านอ่ะ เวร ถ้าโจรขึ้นบ้านกูแล้วมันจะเหลือสมบัติอะไรฟะ!!
ผมเลิกสนใจแล้วเปิดประตูเข้าบ้าน เดินผ่านห้องนั่งเล่นเลี้ยวเข้าครัว หยิบจานแกะห่อข้าวเหนียวออกแล้วเทลงตามด้วยมะม่วงสุก จากนั้นก้เปิดตู้เย็นหยิบนมเปรี้ยวมากล่องนึง แล้วเดินมาหยิบจานข้าวเหนียวมะม่วงออกจากครัว พลางคิดว่า ถ้าพี่แยมไม่โผล่หน้ามาภายในสามวันนี้ล่ะก็ ผมอดตายแน่!!!
“ฮืม ฮือ ลั้ล ลา ฮือ ล้า ลา อ่ะ จ่ะ เฮ้ย!!! O_O ใครอ่ะ!!!” แต่ทันทีที่ก้าวขาออกจากครัวได้เท่านั้นล่ะ เชี่ยเอ๊ย ใครมันมานั่งอยู่โซฟาห้องนั่งเล่นผม!!! ทำไมตอนเดินเข้ามาตอนแรกไม่เห็นวะ
“สวัสดีครับ คุณวายุภัทร เชิญนั่งก่อนสิ” บ้าแล้ว นี่บ้านกู มึงเป็นใคร มาบอกให้กูนั่ง
“โจรเหรอ!?” ผมอุทาน ทำไมโจรสมัยนี้แต่งตัวดีจังฟะ สูทเต็มยศเลย อืม หน้าเขาดูจีนๆแฮะ โจรข้ามชาติป่ะ?
“ไม่ใช่ครับ ผมชื่อจางซันฟง ผมมาจากบริษัทไฉ่หง เพื่อมาพบคุณ” ไอ้แขกที่ไม่ได้รับเชิญบอกกับผมด้วยรอยยิ้มละไม ทำไมยิ้มมึงดูน่ากลัวชอบกล?
“งะ งั้น ผมจะไปเอาน้ำมาให้” พูดจบก็หันกลับเดินเข้าครัว เอาจานข้าวเหนียวมะม่วงใส่ตู้เย็น แล้วเทน้ำเย็นใส่แก้ว เอาออกมาวางไว้ที่โต๊ะหน้าผู้ชายที่เข้าบ้านผมมาได้ไงไม่รู้ ผมไปนั่งที่โซฟาฝั่งตรงข้ามแล้วจ้อง เขาเองก็มองผมเหมือนกัน
“งั้นผมถามแลยนะ คุณเข้าบ้านผมได้ไงอ่ะ?” ขายิ้มแล้วหยิบเอากุญแจดอกนึงให้ผมดู
“ผมได้มันมาจากคุณวิศรุต พี่ชายของคุณ” เขาพูดเสียงเรียบแต่หน้ายิ้ม
“พี่เหรอ คุณได้มันมาจากพี่แยม งั้นคุณก็เป็นเพื่อนเขาน่ะสิ พี่แยมขาสบายดีหรอเปล่าครับ?” ผมถามเสียงตื่นเต้นแทบจะกระโจนใส่เขาอยู่แล้ว
“ก็ไม่เชิงเพื่อนหรอกครับ แค่คนรู้จักน่ะ ส่วนเรื่องที่เขาสบายดีรึเปล่านั้น ผมคงให้คำตอบไม่ได้ เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่านะครับ” เขาพูดยิ้ม ผมชักไม่ชอบรอยยิ้มนั้นขึ้นมาดื้อ หมายความว่าไงที่บอกว่าเป็นแค่คนรู้จัก งั้นพี่แยมจะให้กุญแจบ้านกับเขาทำไม แล้วที่บอกว่าให้คำตอบไม่ได้ว่าพี่แยมสบายดีหรือเปล่านี่ยิ้งแล้วใหญ่ พี่ผมป็นอะไรไปรึเปล่าเนี่ย!!!!
“ช่วงนี้ พี่ชายคุณเขาไม่ติดต่อมาหาเลยเหรอครับ?” เขาถาม ผมพยักหน้า สมองอันน้อยนิดก็กำลังประมวลผล ถ้าเกิดพี่แยมเป็นอะไรขึ้นมาแล้วผมจะอยู่กับใครเล่า!!!!!
“พี่แยม เขา เป็นอะไร งั้นเหรอ?” ผมถามเสียงเบา รู้สึกใจสั่นๆ ลางไม่ค่อยจะดีไงไม่รู้อ่ะ
“พี่ชายคุณ เขาไม่ได้บอกหรือเล่าอะไรให้ฟังเลยเหรอครับ?” ผมส่ายหน้า เขาจึงพูดต่อ
“พี่ชายของคุณ ติดหนี้เจ้านายของผม เป็นจำนวนเงินยี่สิบสองล้านดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นเงินบาทไทยจำนวนเก้าสิบเอ็ดล้านสามแสนบาท ไม่รวมดอกเบี้ย เขาได้เอาคุณซึ่งเป็นน้องชายมาค้ำประกัน และเขาก็ไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยให้เรามาได้สักพักแล้ว ทางเราจึงมาขอรับตัวคุณไปตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายของคุณ นี่ครับสัญญา”
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ