Rufina Guglielmo

7.8

เขียนโดย 3129

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.09 น.

  3 บท
  2 วิจารณ์
  5,281 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 10.20 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) หน่วยลาดตะเวน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ณ กองบัญชาการแก๊งกูลียาโม่ บรรยากาศอันเงียบสงบในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิต้องถูกทำลายด้วยเสียงหญิงวัยกลางคนดังมาจากปีกด้านตะวันตกจากห้องนอนสุดทางเดินของบ้าน “ไหนจ๊ะ ไหนจ๊ะ” เธอช่างดูตื่นเต้นและมีความสุขเสียเหลือเกิน

          เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก้าวเท้าออกจากฉากกั้นแต่งตัว ตอนนี้เธอได้อยู่ในชุดสุดเนียบของสมาชิกแก๊งมาเฟียกูลียาโม่แห่งสเปโล่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เท้าทั้งสองข้างสวมใส่รองเท้าหนังสีดำหุ้มข้อเท้ามีส้นเล็กน้อย เรียวขาทั้งสองข้างถูกโชว์เพราะกางเกงขาสั้นสีดำที่สวมใสโดยมีมีซองปืนสีดำคาดไว้ที่ต้นขาทั้งสองข้าง สูทสีดำสวมทับเสื้อเชิตตัวยาวที่ปล่อยชายออกมาเลยเสื้อสูทอย่างชัดเจน ใต้ปกเสื้อเชิตผูกด้วยริบบิ้นเล็กสีดำปล่อยชายยาวถึงหน้าอกมีอัญมณีสีเทากัดไว้ตรงกลางพอดีตำแหน่งกระดุมคอของเสื้อ

          รุฟีน่าเดินตรงไปหามิลาน่าที่นั่งรออยู่บนเตียงของเธอ “ตายแล้ว รูบี้ของเราช่างน่ารักเหลือเกิน” มิลาน่ากล่าวอย่างภาคภูมิใจกับเด็กหญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอ

          ก๊อก ก๊อก –

          “สุดยอดเลยนะรูบี้!!!” เสียงเล็กๆดังขึ้น เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอายุรุ่นราวคราวเดียวกับรุฟีน่าวิ่งเข้ามากอดแขนของรุฟีน่าอย่างสนิทสนม เด็กผู้หญิงผู้มีผมยาวดำสนิท นัยน์สีเขียว และใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองรุฟีน่าอย่างตื่นตาตื่นใจกับภาพลักษณ์ใหม่ของเพื่อนสนิท

          “เพิร์ล--” รุฟีน่าเรียกชื่อเพื่อนสนิทของเธอน้ำเสียงเรียบๆ เพอลิต้าหรือเพิร์ลลูกสาวคนเดียวของอูโน่กับมิลาน่า เธอเป็นเพื่อนเล่นของรุฟีน่ามาตั้งแต่เด็ก เพราะทั้งคู่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “เหมาะกับรูบี้มากเลย” เพอลิต้ากล่าวพร้อมกับเอื้อมมือไปจัดสูทสีดำของรุฟีน่าไปมาอย่างชื่นชม

          “อ้าว อัลเลวิเซ่ มาทำอะไรหน้าห้องรุฟีน่า” เสียงของชายวัยกลางคนทักทายเด็กชายที่ด้อมๆมองๆอยู่หน้าห้อง เพอลิต้ารีบวิ่งไปเปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งรู้นะว่านายเป็นพวกโรคจิตชอบถ้ำมองห้องผู้หญิงน่ะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง พร้อมชูมือที่กำแน่นเพื่อเป็นการขู่เด็กชาย

          “เข้ามาสิอัลเลวิเซ่ วันนี้กรณีพิเศษ” ชายวัยกลางคนคนเดิมเปิดประตูให้เด็กชายกว้าง เป็นการเชิญชวนให้เด็กผู้ชายที่ด้อมๆมองๆเข้าไปชมรีฟุน่าด้วยความยินดี อัลเลวิเซ่เดินตามโตเร่เข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางเขินอายเล็กน้อย เพราะถูกจับได้ว่ากำลังแอบดูรุฟีน่าอยู่หน้าห้อง “ว้าว ไม่คิดเลยว่าชุดผู้หญิงของหน่วยเราจะน่ารักขนาดนี้” โตเร่พูดอย่างพอใจ

          “ก็ไม่เห็นจะน่ารักเลย ไม่เห็นจะมีส่วนโค้งส่วนเว้าตรงไหนเลย แบนราบเป็นไม้กระดานไปหมด” คำพูดของอัลเลวิเซ่ทำให้เพอลิต้าถึงกับเข้าไปกระชากคอเสื้อของเขาทันที

          “รอก่อน! ถ้ารูบี้โตกว่านี้เมื่อไร นายได้วิ่งตามจีบยัยนี่ต๊อยต๊อยแน่ๆ”

          “พอแล้วจ่ะเด็กๆ” มิลาน่าปรามทั้งสองด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยใจ เพอลิต้ากับอัลเลวิเซ่ไม่ถูกกันมากๆ จริงๆคือเพอลิต้าไม่ชอบอัลเลวิเซ่ฝ่ายเดียว เพราะอัลเลวิเซ่มักจะเป็นคู่ซ้อมให้กับรุฟีน่า ส่วนเธอมักจะต้องซ้อมคนเดียวในโรงซ้อม เพราะเธอยังควบคุมการใช้งานของอาวุธตัวเองไม่ได้

          “เธอมารับรูบี้แล้วสินะโตเร่?” มิลาน่าหันไปถามโตเร่ที่มองพฤติกรรมของเด็กๆอยู่อย่างห่วงๆ

          “ครับ ถึงเวลาที่เราต้องไปที่ทำการหน่วยลาดตะเวนเพื่อกระจายงานแล้วครับ” โตเร่ตอบพร้อมกับเอามือซ้ายของเขาล้วงกระเป๋ากางเกง “ไปกันเถอะรุฟีน่า” โตเร่หันหลังเดินออกจากห้องไป

          “โชคดีนะจ๊ะรูบี้” มือเรียวสวยแตะตัวเด็กหญิงผมแดงเบาๆพร้อมกับรอยยิ้ม

          “โชคดีนะรูบี้” เพอลิต้าเข้ามากอดรุฟีน่าไว้แน่น เธอรู้สึกใจหายที่เพื่อนสนิทของเธอกำลังจะออกไปเผชิญโลกภายนอกด้วยวัยที่เท่ากับเธอ –

          รุฟีน่าก้าวเท้าตามผู้ชายร่างสูงโปร่งออกจากห้องไปทันที ทิ้งให้คนด้านหลังมองทิ้งท้ายเธอจากไปโดยไร้คำกล่าวอำลาแต่งอย่างใด “ระวังตัวด้วยนะจ๊ะรูบี้” คำพูดของมิลาน่าทำลายความเงียบทั้งหมด เด็กหญิงหยุดเดินและหันไปหาเจ้าของเสียงนั้น “ค่ะ --” เป็นเพียงคำตอบสั้นของเธอ

          เมืองเล็กๆที่ส่วนใหญ่จะปกคลุมไปด้วยธรรมชาติที่ปกคลุมไปด้วยด้วยต้นไม้นานาพันธุ์จนสีเขียวชะอุ่มไปทั้งเมือง ยกเว้นเสียแต่ย่านการค้าที่มีตึกสูง 2-3 ชั้นตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ โดยมีแถวเส้นเล็กๆตัดผ่าน เหล่าพ่อค้าแม่ขายต่างพากันทาสีตึกราบ้านช่องเป็นครีมเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของเมือง และเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม

          บรรยากาศในย่านการค้าเริ่มจอแจ ผู้คนเริ่มมาจับจ่ายใช้สอยตามร้านรวงต่างๆตลอดข้างทาง เสียงตะโกนร้องเรียกชักชวนลูกค้าของพ่อค้าแม่ขายดังระงมตลอดสองข้างทาง “นั่นคุณโตเร่นี่!” หญิงร่างอ้วนหน้าร้านขายปลาร้องขึ้นเมื่อเห็นเจ้าของชื่อเดินผ่านหน้าร้าน “ขอบคุณเรื่องเมื่อวานมากจริงๆนะคะ ถ้าไม่ได้พวกคุณโตเร่คงแย่แน่ดู” หญิงอ้วนกล่าว พลางจับมือของโตเร่เขย่าขึ้นลงไปมาอย่างซาบซึ้ง “เอ๊ะ – แม่หนูน้อยคนนี้?” พูดหันมามองเด็กผู้หญิงผมสีแดงเพลิงที่ยืนอยู่ด้านหลังโตเร่ “สมาชิกใหม่หรือคะ?”

          “ครับ เธอชื่อรุฟีน่า จะอยู่หน่วยลาดตะเวนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”

          “น่ารักจังเลยนะคะ เก่งจังเลยน๊าที่สามารถเข้าร่วมหน่วยลาดตะเวนได้ตั้งแต่อายุเท่านี้”

          เมื่อออกจากร้านขายปลามาแล้ว โตเร่ยังคงเดินมุ่งหน้าต่อไปตามถนนเส้นเดิม ผ่านย่านการค้าโดยมีรุฟีน่าที่ไม่พูดไม่จาเดินตาม จนทั้งคู่มาหยุดที่อาคารชั้นเดียวที่อยู่ห่างจากย่านการค้าเล็กน้อย ตัวอาคารหลังคาโค้งเป็นโดมสีส้มไม่สูงมาก ส่วนของตัวตึกทาสีด้วยสีครีม โตเร่ผลักประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ทั้งสองบานออก ภายในไม่ต่างอะไรจากโรงเบียร์เก่าๆ มีโต๊ะไม้ยาววางเรียงกัน 3 แถว โดยปลายด้านหนึ่งของโต๊ะหันไปทางเวทีหน้าโถง ส่วนปลายอีกด้านหันไปทางประตูทางเข้า-ออก

          โตเร่เดินนำหน้าไปยังเวทีหน้าโถง โดยไม่ทักทายผู้ใด ทั้งๆที่ผู้คนเรียกชื่อเขาตลอดทาง

          แซ่ด –

          เสียงซุบซิบดังระงมไปทั้งโถง เมื่อทุกคนเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆเดินตามโตเร่ผ่านตนไป           “เด็กนั่นอะไร?” “ลูกคุณโตเร่เหรอ?” “ไม่น่าใช่หรอก คุณโตเร่ยังไม่ได้แต่งงาน ลูกเพื่อนจากหน่วยอื่นหรือเปล่า?”

          ชายร่างสูงโปร่งผู้เป็นหัวหน้าหน่วยเดินขึ้นเวทีและหยุดยืนประจันหน้ากับสมาชิกทุกคนที่หันมามองเขาจากด้านล่าง “รุฟีน่า ขึ้นมาสิ” เด็กหญิงก้าวขึ้นเวทีด้วยท่าทางเยือกเย็น และมายืนเสมอกับโตเร่

          “ฉันขอแนะนำ นี่คือ รุฟีน่า กูลียาโม่ และขอประกาศว่าเธอจะมาเป็นสมาชิกหน่วยของเราตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ช่วยดีกับเธอด้วยนะ” สิ้นเสียงของโตเร่ ความเงียบได้ครอบงำทันที

          “ล้อเล่นใช่ไหมครับคุณโตเร่” หนึ่งในสมาชิกหน่วยยืนขึ้นถาม

          “ไม่ นี่คือเรื่องจริง” คำตอบมาพร้อมน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ

          แซ่ด –

          เหล่าบรรดาสมาชิกเริ่มวิพากษ์จารณ์อีกครั้ง พวกเขาต่างคิดว่าโตเร่กำลังประสาทกลับที่พาเด็กผู้หญิงอายุราว 10 ปีเข้าหน่วย เพื่อทำหน้าที่รักษาความสงบของเมือง

          “เอาล่ะ รุฟีน่า ไปนั่งกับสมาชิกคนอื่นได้แล้ว” โตเร่กล่าว เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเดินลงเวลา และไปนั่งรวมกับสมาชิกคนอื่นๆ โดยถูกคนทั้งโถงจับจ้องเธอเป็นตาเดียว

          โตเร่เริ่มแบ่งงานกลุ่มต่างๆไปทำหน้าที่ในจุดต่างๆของเมือง เมื่อรวมรุฟีน่าที่เพิ่งเข้ามาหน่วยมา สมาชิกของหน่วยจึงรวมได้ทั้งหมด 30 คนพอดี ทำให้สามารถแบ่งได้เป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน สมาชิกแต่ละคนที่ได้ร่วมกลุ่มกับรุฟีน่าต่างทำหน้าหน่ายใจราวกับพวกเขาต้องกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กหนึ่งวัน

          “ต้องเป็นพี่เลี้ยงเด็กสินะ” ชายผมรองทรงสีทองกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

          “ทำไงได้ ก็ทีมเราขาดไปคนหนึ่งนี่” ชายอีกคนกล่าว

          “นี่ รุฟีน่าจ๊ะ ชอบเล่นอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าจ๊ะ?” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง ใส่แว่นรูปทรงสีเหลี่ยมยาว พยายามหันมาหารุฟีน่าอย่างเป็นมิตร

          “...” เธอไม่ได้ตอบอะไรเขา แต่กลับมองเขาด้วยสายตาเยือกเย็น จนอีกฝ่ายต้องหลบสายตาของเธอ

          “เด็กนี่ไม่น่ารักชะมัด” เขายืดตัวขึ้น และเดินไปหาเพื่อนอีก 4 คนของเขา

          รุฟีน่าไม่ได้สนใจคำพูดต่างๆของชายหนุ่มร่วมทีมทั้งสี่คนของเธอแม้แต่น้อย และเดินตามพวกเขาไปเงียบๆไม่พูดไม่จา

          ตูม –

          เสียงระเบิดดังขึ้นภายในบริเวณที่ได้รับการดูแลโดยกลุ่มของรุฟีน่า ทำให้ทั้งสี่รุดไปยังที่เกิดเหตุ โดยไม่สนใจว่ามีรุฟีน่ามีตัวตนอยู่ตรงนั้นด้วย

          ด้านตะวันตกของย่านการค้าเป็นย่านที่มีร้านขายของใช้จิปาถะทั่วไป รวมไปถึงเป็นบริเวณที่มีร้านอาหารและที่พักสำหรับนักเดินทางอยู่เป็นจำนวนมาก

          กรี๊ด—

          เสียงกรีดร้องจากชาวเมืองและนักท่องเที่ยวดังไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า พร้อมต่างพากันหนีเอาตัวรอดอลหม่าน

          “มาแล้วรึกูลียาโม่?” เจ้าของเสียงเป็นชายร่างยักษ์ ความสูงของเขาราว 2 เมตรได้ ศีรษะไร้ผมเงามันวับ ต้นแขนมีกล้ามเป็นมัดๆที่หัวใหล่มีรอยสักรูปพระอาทิตย์ “4คนรึ? ใครก่อนดีล่ะ? เข้ามาเลยยยยยยย!!”

          “ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!!” เริ่มจากหนุ่มผมสีน้ำตาลทองพุ่งตัวเข้าหาศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ขาขวาของเขาถูกเล็งไปที่ตั้งคอของอีกฝ่าย แต่ไม่เป็นผลลูกเตะของเขาถูกสะกัดด้วยหน้าแขน ชายหนุ่มกระโดดฉากหลบ ชายหนุ่มเปลี่ยนการโจมตีโดยการพุ่งตัวเข้ามาพร้อมกับมีดพกจากด้านหลังจากชายร่างยักษ์ แต่ก็ไม่เป็นผลเช่นเดิม ชายหัวล้านสามารถหลบการจู่โจมได้อย่างคล่องแคล่ว “มีฝีมือแค่นี้รึ?” ชายหัวล้านกล่าวพร้อมกับฟาดสันมือของเขาลงไปที่ต้นคอของชายหนุ่ม ร่างสูงโปร่งทรุดลงแน่นิ่งกับพื้น ก่อนจะถูกโยนไปกองที่ปลายเท้าของสมาชิกที่เหลือ

          “แอล!” ชายในชุดสูทที่เหลือทั้ง 3 คนร้องออกมาเมื่อเห็นเพื่อนเสียท่าให้กับศัตรู

          ชายหนุ่มผมทองผละตัวเองออกจากร่างของเพื่อน ปรากฎทอนฟาลงมาจากแขนเสื้อของเขาและพุ่งตัวเข้าไปหาศัตรูอย่างเครียดแค้น “แกตาย!!!!!”

          ตูม

          เสียงทอนฟากระทบกับท่อนแขนทั้งสองข้างของศัตรูดังลั่น อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกถึงการโจมตีแม้แต่น้อย หนุ่มผมทองกระโดดฉากไปด้านหลัง ก่อนจะพุ่งเข้าไปรัวทอนฟาสลับกับลูกเตะของเขาใส่ศัตรูอย่างไม่คิดชีวิต

          ผัวะ ผัวะ ผัวะ ผัวะ–

          เสียงของการกระทบกันของสองสิ่งดังขึ้นรัว ทุกคนโดยรอบต่างจับจ้องการต่อสู้ของทั้งคู่ แต่สุดท้ายผู้พ่ายแพ้ก็ถูกจัดการจนกระเด็นไปชนกับลังไม้หน้าร้านขายหุ่นไม้ด้านข้าง เลือดสีแดงสดไหลออกจากมุมปากของ ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง มือใหญ่ๆกุมหน้าอกของตนไว้แน่น ยอมรับความพ่ายแพ้ และมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอย่างเครียดแค้น

          เมื่อสถานการณ์กำลังเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ “หลบไป! ชายหนึ่งในสองคนที่เหลือกล่าวขึ้นเมื่อเห็นรุฟีน่ายืนขวางหน้าพวกเขาอยู่

          “...” เด็กหญิงยังคงยืนนิ่งไร้การตอบสนอง ร่างเล็กๆพุ่งตัวเข้าหาศัตรูที่ตัวใหญ่กว่าเธอหลายเท่าอย่างไม่คิดชีวิต เรียวขาเล็กๆรัวลูกเตะเข้าที่เป้าหมาย แต่ก็ถูกแขนของอีกฝ่ายตั้งรับไว้โดยไม่พลาดแม้แต่ครั้งเดียว อีกฝ่ายกวาดหมัดไปที่เด็กหญิงอย่างไร้ความปราณี เธอกระโดดฉากหลบไปด้านหลังของศัตรู ก่อนจะกวาดเท้าขัดขาเพื่อให้อีกฝ่ายเซและล้มลง ได้ผล-- ชายร่างยักษ์เซไปทางด้านหลังเล็กน้อย “ยัยเด็กนี่!” ชายร่างยักษ์หันไปด้านหลังก่อนจะทุบกำปั้นใหญ่ๆลงพื้นเพื่อจู่โจมเป้าหมายตัวเล็กๆจนเสียงดังลั่นฝุ่นตลบไปทั่ว “หึหึหึ เด็กก็คือเด็ก” เขาพูดอย่างเยือกเย็น แต่แล้วดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นร่างเล็กๆ ปรากฎตัวอยู่ในท่านั่งคุกเข่าขาข้างหนึ่งชันเขาขึ้น มือเล็กข้างหนึ่งยันพื้นเอาไว้ ใบหน้าขาวๆมีเลือดสีแดงสดไหลออกมา “ชิ --” เธอจิบปากออกมาเมื่อเลือดไหลลงมาเข้าดวงตากลมๆของเธอ

          “หึ – ตอนไปนี้ตะหากที่เป็นของจริง” น้ำเสียงอันเยือกเย็นดังขึ้นหลังจากนิ่งเงียบมาเนิ่นนาน นัยน์ตาสีน้ำข้าวจ้องมองไปที่เป้าหมายอย่าไม่ละสายตา ร่างเล็กๆลุกขึ้น ก่อนจะหยิบเอาปืนจากซองปืนทั้งสองข้างของเธอออกมาและฝีเท้าพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ปากกระบอกปืนทั้ง 2 เล็งไปทางเดียวกันคือชายร่างยักษ์ตรงหน้า “เอาให้มันจบกันตรงนี้เถอะนะ” เด็กหญิงวิ่งผ่านคู่ต่อสู้ของเธอด้วยความเร็วจนอีกฝ่ายหาตัวเธอไม่ได้ เธอถีบตัวขึ้นสูงและเหวี่ยงแขนพร้อมปืนพกคู่ทั้งสองกระบอกฟาดไปยังก้านคอของคู่ต่อสู้

          ปึง –

          ฝุ่นค่อยๆจางลง ปืนในมืงทั้งสองของเด็กหญิงกระทบเข้ากับข้อมือของศัตรู “ฮ่าฮ่า เธอช่างตลกจริงนะเด็กน้อย” สิ้นเสียงร่างกายของรุฟีน่าก็ถูกข้อมือทั้งสองข้างของศัตรูผลัก จนร่างเล็กๆไถลไปไกล

          “หึ –” รอยยิ้มที่มุมปากปรากฎบนใบหน้าของรุฟีน่า สายตาที่เยือกเย็นยังคงจับจ้องไปที่คู่ต่อสู้ของเธอ เท้าทั้งสองข้างของเธอเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็วพุ่งตรงไปหาอีกฝ่ายอีกครั้ง รุฟีน่าวิ่งผ่านคู่ต่อสู้โดยปราศจากการจู่โจม เป้าหมายของเธอครั้งนี้ไม่ใช่ชายร่างยักษ์ แต่เป็นกำแพงทีอยู่ด้านข้างของศัตรู เท้าทั้งสองข้างวิ่งขึ้นไต่ไปตามกำแพงและถีบตัวขึ้นลอยกลางอากาศ และเหวี่ยงตัว นิ้วเล็กๆเหนี่ยวไกปืนในมือทั้งสองกระบอก

          ปัง ปัง

          เสียงกระสุนจากปืนของเด็กหญิงดังขึ้นถึงสอนัด แต่มันยังไม่ได้ทำการปิดฉากการต่อสู้แต่อย่างใด อีกฝ่ายหลบการโจมตีได้ รุฟีน่าไม่สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เธอไม่ละความพยายาม ถีบตัวกระโดดขึ้นสูงก่อนจะเล็งเป้าหมายจากบนอากาศ

          ปัง ปัง –

          อีกสองนัดจากด้านบน เช่นเดิมอีกฝ่ายหลบได้อย่างฉิวเฉียด การตัดสินใจครั้งสุดท้ายของเธอเริ่มขึ้น เด็กหญิงผมสีแดงวิ่งด้วยความเร็วและกระโดดขึ้นตัวของอีกฝ่าย ด้วยขนาดตัวของเด็กที่ต่างจากผู้ใหม่ที่สูงเกือบ 2 เมตร ทำให้เธอขึ้นไปยืนบนหัวไหล่ด้านซ้ายของคู่ต่อสู้ของเธอได้สบายๆ รุฟีน่าใช้ขาทั้งสองข้างหนีบหัวของคู่ต่อสู้ไว้ ก่อนที่จะหมุนตัวเองทั้งๆที่ขาทั้งสองข้างหนีบหัวของอีกฝ่ายอยู่ “อ๊ากกกก!! เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วบริเวณ ร่างใหญ่ยักษ์ล้มลงกับพื้น ปากกระบอกปืนจ่อเข้าที่ขมับของคู่ต่อสู้ที่นอนแน่นิ่ง นัยน์ตาสีน้ำข้าวมองไปที่คู่ต่อสู้ที่พ่ายแพ้อย่างเยือกเย็นไร้ความรู้สึก นิ้วเรียวเล็กเหนี่ยวไกปืนในมืออย่างไร้เยื้อใย

          ปัง –

          ของเหลวสีแดงไหลออกมาตามรูกระสุนปืนจนนองเต็มพื้นบริเวณนั้น เธอช่างเป็นเด็กที่เยือกเย็นและไร้ความปราณี ชายหนุ่มที่ในกลุ่มของเธอที่เหลือทั้งสองที่เฝ้ามองการต่อสู้ของทั้งสองต่างพากันประหลาดใจและตื่นกลัวในฝีมือของรุฟีน่าเป็นอย่างมาก

          “เยือกเย็นจังนะรุฟีน่า” เสียงเข้มๆของบุคคลจากด้านหลังดังขึ้น เสียงฝีเท้าเดินเข้ามา มือใหญ่เข้ามาลูบหัวรุฟีน่าไปมา เขาก็คือ โตเร่ นั่นเอง

          “...”

          “ทำได้ดีมากรุฟีน่า” โตเร่หันมายิ้มกับรุฟีน่าอย่างชื่นชม “พวกนายเห็นแล้วใช่ไหม ว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่เด็กที่ฉันพามาเที่ยวหน่วย และไม่ได้ให้พวกนายเป็นพี่เลี้ยงเด็ก” โตเร่มองไปยัง 2 หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า

          “เดี๋ยวพวกเรากลับไปทำแผลก่อน ฉันเกรงว่าถ้าเธอกลับบ้านไปแบบนี้มิลาน่าจะตกใจเอา” โตเร่พูดจบก็เดินนำหน้าไป โดยมีรุฟีน่าเดินตามเงียบๆ

          และแล้วก็ผ่านไปหนึ่งวัน แสงในยามอาทิตย์อัสดงสาดส่องไปทั่วเมืองสเปโล่ แสงแดงสีแดงส้มกระทืบกับตึกราบ้านช่องภายในย่านการค้าที่ทาเป็นสีครีมช่างสวยงามและมีเสน่ห์นัก เช่นเดียวกับผมสีแดงเพลิงของรุฟีน่าที่ยิ่งส่องสว่างเมื่อแสงอาทิตย์กระทบ เธอเดินโดดเดี่ยวบนถนนของย่านการค้า เด็กหญิงก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้าน “คาลาเมลล่า” ร้านขายลูกกวาดหนึ่งเดียวที่มีอยู่ภายในเมืองนี้

          กุ๊งกิ๊ง –

          เสียงกระดิ่งของร้านดังขึ้นเมื่อมีผู้มาเยือน “สวัสดีจ่ะรุฟีน่า” คำทักทายจากหญิงชราร่างท้วมที่ผมขาวทั้งหัวกล่าวทักทายอีกฝ่ายอย่างคุ้นเคย เพราะเด็กผู้หญิงผมสีแดงเพลิงคนนี้คือ – ลูกค้าประจำของเธอ

          “ลูกอมรสมิ้นต์ 1 ห่อเหมือนเดิมค่ะ”

          หญิงชราดินไปที่ตู้ที่เต็มไปด้วยลูกกวาดหลากรสหลากสีสันระรานตา มือที่เหี่ยวย่นยื่นถุงกระดาษที่บรรจุลูกอมรสมิ้นต์เต็มถุงให้กับเด็กหญิงที่ยืนรออยู่หน้าตู้โชว์ “300 ลีร์จ่ะ” รุฟีน่ายื่นเงินให้กับหญิงชรา และรับเอาถุงลูกอมมากอดไว้ ก่อนจะเดินออกจากร้านไป

          รุฟีน่าไม่มีความคิดใดๆเกิดขึ้นในหัวตลอดทางกลับบ้าน เธอคิดเพียงว่าเธอต้องเก่งให้มากกว่านี้ ต้องจัดการพวกอันตพาลและพวกก่อกวนเมืองให้เร็วกกว่านี้

ใช้เวลาไม่นานเธอก็เดินมาถึงหน้าทางเข้ากองบัญชาการกูลียาโม่

          ตุบ –

          อัลเลวิเซ่กระโดดลงมาจากต้นไม้ที่อยู่หลังรั้วของกองบัญชาการ “เป็นไงบ้างวันนี้?” เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง “แล้วตรงหัวนั่นไปโดนอะไรมา? เธอแพ้ศัตรูเหรอ?” เขาถามเมื่อเห็นผ้าปิดแผลที่บริเวณโคนผมของรุฟีน่าอย่างผู้มีชัย อันที่จริงอัลเลวิเซ่อิจฉารุฟีน่าไม่น้อยที่ได้เข้าหน่วยลาดตะเวนที่เขาเฝ้าฝันมาตั้งแต่จำความได้

          “ฉันต้องตอบนายด้วยหรือ – อัลเลวิเซ่” ช่างเป็นน้ำเสียงที่เยือกเย็นเสียจริงๆ เมื่อพูดจบเธอก็เดินไปตามทางมุ่งหน้าเข้าบ้าน โดยไม่สนใจเสียงโวยวายโหวกเหวกของอัลเลวิเซ่ที่ตะโกนไล่หลังเธอ

          “รูบี้ -- ” เสียงเล็กๆร่าเริงของเด็กผู้หญิงที่มีผมสีดำ – เพอลิต้า เธอเดินสวนออกมาจากบ้านเพื่อมาหารุฟีน่า “เป็นยังไงบ้างวันนี้?”

          “เกิดเหตุวุ่นวายนิดหน่อย” ถึงแม้จะเป็นคำถามเดียวกับอัลเลวิเซ่แต่รุฟีน่าก็เลือกตอบเพอลิต้า

          ทั้งคู่ต่างพากันเดินไปตามทางที่ทอดยาวไปยังอาคารหลังใหญ่ที่อยู่ปลายทาง

          “อุ๊ยตาย แล้วหัวไปทำอะไรมา?”

          “กระโดดหลบศัตรู แล้วโดนถากๆนิดหน่อย”

          “เอ๊ะ นั่นลูกอมรสมิ้นต์นี่” เพอลิต้าพูดขึ้นเมื่อเห็นถุงลูกอมรสโปรดของเธอ

          “ฉันซื้อมาฝาก”

          “งั้นเราไปกินด้วยนะ” เพอลิต้าพูดอย่างร่าเริง ทั้งคู่ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันที่ไม่สามารถแยกจากกันได้

 

จบตอน

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา