Rufina Guglielmo

7.8

เขียนโดย 3129

วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 10.09 น.

  3 บท
  2 วิจารณ์
  5,368 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558 10.20 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เด็กชายนิรนาม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          ผ่านมา 3 วันแล้วที่รุฟีน่ามาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยลาดตะเวน บรรยากาศภายในหน่วยยังคงอึมครึมเช่นเดิม เพราะสมาชิกสองคนในกลุ่มเมื่อครั้งก่อนยังไม่หยุดเล่าเหตุการณ์ฉากการต่อสู้ของรุฟีน่า ไม่ว่ารุฟีน่าจะทำอะไรหรือเดินไปที่ไหนต่างก็มีเสียงซุบซิบนินทา อีกทั้งยังไม่มีใครภายในหน่วยอย่างอยู่ร่วมกลุ่มกับเด็กหญิง – ทุกคนต่างเกรงกลัวในฝีมือของเธอ แต่เด็กหญิงผมสีแดงเพลิงก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจ หรือว่าไม่สบายใจแต่อย่างใด เธอยังคงดำเนินกิจกรรมต่างๆที่ได้รับมอบหมายตามปกติ

          “เมื่อวานซืนเท่มากเลยนะจ้ะรุฟีน่า ฉันดูอยู่เลย” เสียงหญิงเจ้าของร้านอาหารดังขึ้นในขณะที่โตเร่และรุฟีน่าเดินลาดตะเวนตอนบ่าย

          “...”

          “ทำไมไม่ลองยิ้มให้เขาบ้างล่ะรุฟีน่า? นั่นแฟนคลับเธอนะ” โตเร่แซวเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ทำหน้าตานิ่งไร้สบอารมณ์

          “มันเป็นหน้าที่นี่” เธอตอบเขาสั้นๆ

          เมื่อเดินเลยด้านตะวันตกของย่านการค้าจะเป็นส่วนตลาดมืดของสเปโล่ มีการขายของแปลกๆ รวมไปถึงของผิดกฎหมายที่ทางการอิตาลีสั่งห้าม แก๊งกูลียาโม่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องของผิดกฎหมายเหล่านั้น ปล่อยให้ทางการเป็นผู้จัดการ โตเร่และรุฟีน่ามุ่งหน้าเข้าสู่ตลาดมืดเพื่อตรวจตราตามหน้าที่ ทุกสายตาจับจ้องทั้งคู่ประหนึ่งเป็นอาชญากรทีเพิ่งแหกคุกมา บางคนทำหน้าขยาดทั้งคู่ บางคนทำท่าทางเยาะเย้ยทั้งคู่ ทุกคนต่างดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย ตลอดทางที่เดินช่างมืดสมชื่อ บรรยากาศอึมครึม มีแสงแดงลอดผ่านลงมาเพียงเล็กน้อง พื้นที่สกปรก เฉอะแฉะเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง

          โตเร่และรุฟีน่าเดินตรวจตราเข้าไปเรื่อยๆ เสียงดังโวยวายโหวกเหวกของฝูงคนจำนวนหนึ่งที่กำลังมุงดูบางอย่างใกล้ๆซุ่มประตูโค้ง เสียงตะโกนของแต่ละคนดังระงมจนจับจับใจความไม่ได้ โตเร่และรุฟีน่าจึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ฝูงคนมากขึ้น “ห้าแสนลีร์!!” เสียงดังมากจากอีกด้านหนึ่งของฝูงคน “ห้าแสนห้า!!” อีกเสียงเพิ่มตัวเลขมากขึ้น โตเร่แหวกฝูงคนเข้ามาเพื่อสังเกตุการณ์ใกล้ขึ้น –

          มีกรงเหล็กขังสัตว์ขนาดไม่ใหญ่มากตั้งชิดกับกำแพงเก่าซอมซ่อ หน้ากรงมีชายอายุราว 40 กว่ายืนประกาศราคาที่ถูกขานสูงสุดในขณะนั้น โตเร่เพ่งสายตามองเข้าไปในกรงที่อยู่ในมุมมืด “นี่พวกแกค้าทาสรึ!!!?!?!?!?!?โตเร่ตะโกนออกมาลั่น “โตเร่กูลียาโม่!!!! ฝูงคนแตกกระเจิงไม่เป็นทิศเป็นทาง ถึงแม้ว่าการค้าทาสจะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่กูลียาโม่ไม่สามารถทนกับการค้าทาสได้

          เมื่อฝูงคนที่เป็นลูกค้าหายไปเหลือเพียงพ่อค้าทาส บรรยากาศจึงเริ่มตรึงเครีดยขึ้นมา “กูลียาโม่รึ? มากันแค่สองคน จะสู้พวกข้าได้รึ?” พ่อค้าทาสทำลายความเงียบด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน สิ้นเสียงอันธพาลจำนวนไม่ต่ำกว่า 20 คนก็ปรากฎตัวจากทั่วทิศทาง

          “โตเร่ ไปช่วยเด็ก เดี๋ยวทางนี้ฉันจะถวงเวลาไว้ให้ก่อน” รุฟีน่ากล่าว และวิ่งออกไปประจันหน้ากับศัตรูอย่างไม่เกรงกลัว

          “นั่นควรเป็นคำพูดฉันรึเปล่า?” โตเร่หันมาถามคนตัวเล็กๆอย่างงงๆ และวิ่งฝ่าฝูงอันธพาลเข้าไปช่วยเด็กน้อยที่อยู่ในกรง

          สายลมพัดผ่านมาจากท่าเรือเบาบาง ชายเสื้อเชิตสีขาวพริ้วไหวไปตามลมเล็กน้อย ร่างเล็กๆของเด็กผู้หญิงผมสีแดงเพลิงยืนยิ่งท่ามกลางคู่ต่อสู้จำนวนมากอย่างไม่เกรงกลัว มือเล็กๆทั้งสองข้างหยิบปืนพกออกมา “เข้ามาเลย!!!” ดวงตาทั้งสองข้างมองศัตรูอย่างเยือกเย็น

          “ย๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!” กลุ่มอันธพาลจำนวนมากพุ่งตัวเข้าหาเด็กน้อย

          ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง –

          เสียงปืนดังรัวไปทั่วบริเวณ รุฟีน่าจับการคู่ต่อสู้เพียงหนึ่งนัดต่อหนึ่งคนเท่านั้น

          “เด็กไม่อยู่ส่วนเด็ก!!!” ชายมีอายุสักเต็มตัวใส่ชุดซอมซ่อแหวกฝูงกลุ่มอันธพาลพุ่งตัวเข้ามาหารุฟีน่าพร้อมกับมืดขนาดใหญ่

          เคร้ง –

          ปืนพกทั้งสองกระบอกรับการโจมตีจากดาบของคู่ต่อสู้ไว้ รุฟีน่าดันดาบออกจนคู่ต่อสู้เซเล็กน้อย ในจังหวะเดียวกันก็มีเสียงจากด้านหลัง “กลับไปเล่นตุ๊กตาเถอะแม่สาวน้อย” ศัตรูจากด้านขวาฉวยโอกาสพุ่งเข้าโจมตีเธอ รุฟีน่าหมุนตัวและเรียวขาเล็กๆเตะเกี่ยวหัวของคู่ต่อสู้ จนอีกฝ่ายกระเด็นไปอีกทาง แล้วรุฟีน่าก็เหลือบเห็นชายร่างยักษ์สองคนที่กำลังพุ่งตัวเข้าจู่โจมเธอจากด้านข้างถึงสองคน ร่างเล็กบิดตัวเล็กน้อง แล้วยืดแขนทั้งสองข้างออกเป็นเส้นตรงในระนาบเดียวกัน ปลายกระบอกปืนด้านหนึ่งหันไปทางด้านหน้าซ้ายของเธอ และอีกกระบอกชี้ไปทางขวามือ และเหนี่ยวไกปืนทั้งสองกระบอกพร้อมกัน

          ปัง –

          “อึก!” ทั้งสองกระอักเลือดออกมาเพราะกระสุนทั้งสองลูกพุ่งเข้าที่กลางท้องทั้งคู่พร้อมกัน ทำให้กลุ่มอันธพาลที่เหลือถึงกับวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศละทางทันที

          ร่างของกลุ่มอันธพาลนอนเกลื่อนบริเวณซึ่งเป็นฝีมือของรุฟีน่าล้วนๆ บ้างสลบเพราะแรงปะทะกับเธอ บ้างก็ถึงกับชีวิตด้วยกระสุนของเธอ เด็กหญิงมองไปรอบๆอย่างเยือกเย็น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่เหลือศัตรูในรัศมีที่เธอยืนอยู่แล้ว หมับ – มือปริศนาคว้าเอาข้อเท้าเล็กๆรั้งเธอไว้ เด็กหญิงก้มลงมองมือปริศนานั้น สายตาค่อยๆไล่มองลงมามองเจ้าของมือที่นอนคว่ำอยู่บนพื้น ก่อนจะยกเท้าสูงและกระทืบส้นเท้าลงกลางหัวของอีกฝ่าย และเดินจากไปอย่างเยือกเย็น ปล่อยให้คนที่นอนร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

          “เรียบร้อยไหมโตเร่?” เด็กหญิงเดินไปหาชายร่างสูงที่ยืนถือหายใจแรงด้วยความเหนื่อยหลังจากจัดการคู่ต่อสู้ไปจำนวนหนึ่ง

          “แน่นอนอยู่แล้ว – เธอล่ะ?”

          “เรียบร้อยดี – เด็กล่ะ?” รุฟีน่าพูดพรางมองซ้ายทีขวาทีหาเด็กชายผมสีทองในสภาพเสื้อผ้าสกปรกไปด้วยฝุ่นและโคลน พร้อมร่องรอยการผ่านความโหดร้ายจากพวกค้าทาส

          “เออว่ะ!! หายไปไหนแล้ว!!?!!??!!? ตอนฉันเปิดกรงได้ พวกศัตรูก็ล้อมฉันไว้แล้ว คงใช้จังหวะที่ช่วงต่อสู้ชุลมุนหนีไป” โตเร่พูดรัวพลางเอามือเสยผมด้วยท่าทางเคร่งเครียด

          “รีบออกตามหาเถอะ” รุฟีน่าพูดจบก็ก้าวเท้าไปตามถนนโดยไม่รีรอ

          “รับทราบครับท่านหัวหน้าหน่วย!!” โตเร่ล้อรุฟีน่าที่ตัดสินใจทุกอย่างแทนตัวเองตั้งแต่ต้น โดยไม่ถามตนแม้แต่น้อย

          ทั้งรุฟีน่าและโตเร่ต่างแยกย้ายกันตามหาบริเวณรอบๆ โดยที่รุฟีน่าไปในส่วนที่ลึกเข้าไปของตลาดมืด ทางด้านโตเร่ไปตามหาทางด้านโกดังและท่าเรือผิดกฎหมาย

          เด็กหญิงผมสีแดงเดินไปเรื่อยตามถนนที่มีแสงอาทิตย์รอดผ่านเพียงเล็กน้อย กึก – เท้าคู่เล็กๆหยุดชะงักลงเมื่อเห็นชายร่างกายกำยำสี่ถึงห้าคนยืนอยู่หน้าซอกตึกเล็กๆ ดวงตาสีน้ำข้าวต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นเด็กชายตัวพอๆกับเธอที่ตามหากำลังถูกผู้ตัวใหญ่กว่าฉุดกระชากโดยมีเด็กชายขัดขืนสุดชีวิตเพื่อเอาชีวิตรอด โดยไร้เสียงร้องขอความช่วยเหลือหรือการร้องขอชีวิต

          รุฟีน่าเร่งฝีเท้าเข้าไปและกระโดดถีบชายคนหนึ่งหนึ่งในนั้นสุดแรง ทำให้ชายร่างใหญ่ทั้งหมดวงแตกกระเจิงด้วยความตกใจ

          “พวกเมื่อกี้สินะ” ทั้งกลุ่มหันมาที่รุฟีน่าสบตาและกวาดมองเด็กหญิงตัวเล็กๆหัวจรดเท้า

          “ยัยนี่ตัวนิดเดียวไม่ต่างกับไอ้นี่เลย ผมสีแดงเพลิงรึ? น่าจะขายได้ราคาดีนะ” ชายคนเดิมพูดพร้อมแสยะยิ้มอย่างพอใจ

          สายตาจากดวงตาสีน้ำข้าวจ้องมองพวกค้าทาสอย่างเยือกเย็น ซึ่งคำพูดของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอะไรสักนิด “พร่ามจบรึยัง?” รุฟีน่าพูดเสียงต่ำเรียบ ก่อนจะพุ่งตัวไปหาคนตัวใหญ่กว่าอย่างไม่เกรงกลัว

          “หน็อย!” หมัดใหญ่ๆถูกเหวี่ยงกวาดเข้าหารุฟีน่า เธอย่อตัวหลบก่อนจะใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ากับหน้าท้องของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายถึงกับกระอักเลือดออกมาทันที

          ชายจากด้านหลังที่สังเกตุการณ์อยู่พุ่งตัวเข้ามาพร้อมเตะกลับหลัง รุฟีน่าหันเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะตีลังกาถอยหลังลอยข้ามอีกฝ่ายไป พร้อมกับหยิบปืนทั้งสองกระบอกจากซองปืน

          ปัง –

          เสียงดังจากปืนในมือขวาหนึ่งนัด กระสุนพุ่งไปฝังเข้าที่กลางหลังของหมารอบกัด ทันใดนั้น ชายอีกสองคนคนที่เหลือก็พุ่งเข้าหารุฟีน่าจากสองทิศทาง เธอถีบตัวกระโดดขึ้นสูงก่อนจะปล่อยลูกกระสุนออกจากกระสอบปืนทั้งสองพร้อมกัน

          ปัง –

          ทั้ง 2 แน่นิ่งไปทันที เพราะกระสุนเจาะเข้าสู่จุดสำคัญ

          ฟืด– เสียงของมีคนขนาดเล็กเคลื่อนผ่านข้างหูรุฟีน่าที่หลบการโจมตัวจากด้านหลัง

          “ซ่านักนะยัยตัวแสบ!” เจ้าของมีดสั้นวิ่งเข้ามาพร้อมกับมีดสั้นในมืออีกเล่มและไล่กระหน่ำเข้าโจมตีรุฟีน่า คนตัวเล็กหลบปลายมีดอย่างพริ้วไหว ก่อนจะหลุดจากการโจมตีของอีกฝ่ายได้ รุฟีน่ายกปืนทั้งสองข้างขึ้นเพื่อเตรียมตัวสังหารณ์ฝ่ายตรงข้ามด้วยวิธีอย่างที่เธอถนัด แก็ก – แต่ทว่ากระสุนของเธอหมดเสียแล้ว “หมดน้ำยาแล้วสินะ แม่สาวน้อย” อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหาเธอพร้อมกับมีดสั้นระยะใกล้มาก จนไม่ทันที่จะเปลี่ยนซองกระสุนใหม่เสียแล้ว

          “ชิ –” เด็กหญิงสบถอย่างไม่สบอารมณ์

          “หึ บทเรียนของเด็กแก่แดดอย่างแก!!” มีดสั้นในมือคู่ต่อสู้หัวด้านมีคมเข้าหา แต่ความได้เปรียบทางด้านร่างกายที่ปราดเปรียว เด็กหญิงกระโดดฉากหลบเพื่อตั้งหลัก แต่ทันใดนั้นเอง “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก” ชายตรงหน้าก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ปลายดาบยาวปริศนาแทงจากด้านหลังทะลุมาถึงด้านหน้าของชายร่างมหึมา ร่างไร้วิญญาณทรุดลงพื้นและนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น

          “ไม่เป็นไรใช่ไหมรุฟีน่า?” โตเร่ดึงดาบออก พร้อมถามเด็กหญิง

          “ไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะโตเร่”

          “ผะ...ผมเธอ?” เพราะการต่อสู้ที่จบลงเมื่อกี้ ด้านคมของมีดเล็กที่ถูกคว้ามาตัดเอาผมสีแดงยาวถึงกลางหลังสั้นเหลือเพียงบ่า โดยที่รุฟีน่าเองก็ไม่รู้ตัว

          “...” รุฟีน่าเดินนิ่ง ก้มหยิบมีดสั้นที่หลบอยู่บนพื้น

          ฉึบ –

          มือเล็กๆใช้มีดสั้นในมือตัดผมที่เหลืออีกด้านออกให้อยู่ระดับเดียวกัน “มันก็แค่ผมน่ะโตเร่”

          รุฟีน่าหันหลังเดินไปยังซอกตึกแคบๆด้านหลัง “นี่...” เธอเรียกเด็กชายผมสีทองที่นั่งกอดเข่าอยู่กับพื้น หลังโค้งๆของเขาพิงกับกำแพงเล็กน้อย เด็กชายตัวเล็กๆตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว รุฟีน่าย่อตัวลงมองคนตรงหน้านิ่ง อีกฝ่ายค่อยๆเงยหน้าขึ้นมามองคนตรงหน้าด้วยดวงตาสีฟ้าอย่างไร้ความรู้สึก

          “นายไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”

          “...”

          “...”

          “ฉันว่าหมอนี่ยังตกใจอยู่นะรุฟีน่า เราพาเขากลับไปที่กองบัญชาการก่อนเถอะ คุณพยาบาลสุดสวยจะได้ดูอาการหมอนี่” เมื่อพูดจบ โตเร่ก็ย่อตัวลงแบกเด็กชายผมสีทองขึ้นหลังแล้วเดินออกไป โดยมีรุฟีน่าเดินตามหลัง

          บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป – ท้องฟ้าเหนือเมืองสเปโล่เริ่มถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนสีเทา ครืน – เสียงฟ้าคำรามดังเบาๆห่างออกไป สายฝนเริ่มเทลงมา สามชีวิตที่กำลังเดินเท้ามุ่งหน้ากลับกองบัญชาการที่อยู่นอกย่านการค้าเริ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้น – ฝนเริ่มตกแรงขึ้นเป็นทวีคูณ ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง แสงวาบจากฟ้าได้ฝ่าลงสู่พื้นดิน และตามด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่น

          “รุฟีน่า เธอเป็นอะไรหรือเปล่า? สีหน้าไม่สู้ดีเลยนะ” โตเร่ถามรุฟีน่าที่ตอนนี้หน้าเริ่มถอดสี

          เปรี้ยง –  

          ร่างของเด็กหญิงเริ่มสั่นเทา ริมฝีปากแดงอมชุมเริ่มซีดเผือด ขาทั้งสองข้างเริ่มไร้ซึ่งแรงที่จะยืนบนพื้นได้

          “เฮ้! รุฟีน่าเป็นอะไรไป? อดทนอีกนิดหนึ่งนะ เดี๋ยวก็ถึงกองบัญชาการแล้ว” โตเร่ใช้มือข้างหนึ่งเข้าประคองรุฟีน่าเอาไว้

          เปรี้ยง –  

          ฟุบ – ร่างเล็กๆทรุดตัวเข่าอ่อนลงนั่งพับเพียบกับพื้นที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำฝน

          “รุฟีน่า!”

          แฮ่ก แฮ่ก – “นายรีบพาเด็กกลับกองบัญชาการก่อนเถอะ ไม่ต้องห่วงฉันมือเล็กๆผลักโตเร่เบาๆ

          “แต่เธอ..”

          “อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว ฉันกลับไปเองได้” รุฟีน่าพูดขัดขึ้น

          “เอาอย่างนั้นหรือ? – ได้ แล้วเจอกันที่บ้านนะ” โตเร่เดินจากไป ทิ้งให้เด็กหญิงไว้ด้านหลัง

          ปัง

          เสียงของประตูหน้ากองบัญชาการถูกผลักออกดังลั่น ทำไมมิลาน่าวิ่งหน้าตื่นมาดูทันที “อุ๊ยตาย! โรซ่า!!! ขอผ้าเช็ดตัวหน่อยจ่ะ สองผื่นนะจ๊ะ” สักครู่หนึ่งแม่บ้านชื่อโรซ่าก็มาพร้อมผ้าเช็ดตัว โตเร่รับและห่อตัวเด็กชายเอาไว้ และส่งร่างที่ไร้สติให้กับโร่ซ่า

          “ขอบใจมาโรซ่า – ของฉันไม่ต้อง ฉันจะไปดูรุฟีน่าก่อน ยัยนั่นดูแปลกๆ เอาแต่ไล่ให้ฉันพาเด็กคนนี้มาที่นี่ และทิ้งตัวเองไว้ให้ได้ – สารรูปแบบนั้นจะมาถึงบ้านได้อย่างไร?” โตเร่สบถออกมาเล็กน้อย แล้ววิ่งฝ่าฝนออกจากกองบัญชาการไป

          ณ ห้องพยาบาลแก๊งกูลียาโม่ –

          ร่ายที่ดูอิดโรยไร้สติและเต็มไปด้วยคราบสกปรกตามเนื้อตัวนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง ตามเนื้อตัวของเด็กชายมีร่องรอยจากการถูกทารุณกรรมทั้งแผลใหม่และรอยแผลเป็น มิลาน่าและโรซ่าช่วยกันเช็ดตัวทำความสะอาดร่างเล็กๆอย่างเวทนา – ช่างน่าสงสาร เด็กขนาดนี้ทำไมถึงได้ผ่านอะไรที่โหดร้ายมาเยอะขนาดนี้

          “ตราที่ท้ายทอยนั่น? และสร้อยคอของเด็กคนนี้?” มิลาน่าร้องขึ้นเมื่อเห็นรอยแผลเป็นลักษณะตราประทับที่ท้ายทอยและสร้อยคอที่เด็กชายห้อยติดตัวมา จี้อัญมณีสีม่วงประกายน้ำเงินขนาดใหญ่รูปทรงปิรามิดฐานแปดเหลี่ยม เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 5 เซนติเมตร

          “หืม – เด็กคนนี้ ... ตราทาสนักฆ่าของราชวงศ์โครเอเชีย”

          “รอนโด้!” มิลาน่าหันไปหาเจ้าของเสียงปริศนาด้วยความตกใจ – รอนโด้หนุ่มลึกลับหัวหน้าหน่วยข่าวกรอง ผู้ชายผมสีขาวนัยน์ตาสีม่วง ปัจเจกบุคคลที่แทบจะไม่มีใครได้เจอเขาในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา รอนโด้เป็นคนที่รอบรู้ทุกเรื่องเพราะเขาเดินทางส่งสาสน์ต่างๆให้กับกูลียาโม่ไปทั่วโลก

          “ผมสีทอง ตราทาสนักฆ่า” นิ้วเรียวสัมผัสลงที่ตราประทับที่ท้ายทอยเด็กชาย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เมื่อเหลือบไปเห็นจี้ที่ห้อยคอของคนที่นอนอยู่บนเตียง “อัญมณีแห่งอะเดรียติก! – ทะ ทำไม ทำไมถึงมาอยู่กับเด็กคนนี้ได้?”

          “ตราทาสนักฆ่าของราชวงศ์โครเอเชีย และอัญมณีแห่งอะเดรียติกรึ?” เสียงใหญ่ๆของอูโน่ดังขึ้นมาจากประตูห้อง

          “ใช่แล้ว อูโน่ – เขาเล่ากันว่าอัญมณีอะเดรียติกได้ถูกฝังไปพร้อมกับพระศพของสมเด็จพระราชาธิบดีโทมิสลาฟที่ 2 แห่งโครเอเชีย กษัตริย์องค์สุดท้ายของโครเอเชีย หลังจากถูกอิตาลียึดครองและบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ – แต่ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้มีอัญมณีชิ้นนี้ห้อยติดตัว – ซึ่งเขาเล่ากันอีกว่าถ้าใครได้ครอบครัวอัญมณีชิ้นนี้หมายถึงผู้ที่สามารถเข้าไปสู่ท้องพระคลังที่ถูกซ่อนไว้ในที่ลับของพระราชวังได้” รอนโด้เล่าเสียงเรียบอย่างละเอียด

          “ถ้างั้น พวกที่ค้าทาสกลับไม่รู้ว่าเด็กคนนี้มีสิ่งที่มีค่าติดตัวมาสินะ”

          “ใช่แล้วโตเร่ ฉันคิดว่า เด็กคนนี้อาจจะเป็นทาสนักฆ่าแห่งโครเอเชียคนสุดท้ายเพราะทางการของโครเอเชียได้กวาดล้างกลุ่มทาสนักฆ่าเมื่อ 10 ปีก่อน ส่วนเรื่องอัญมณีก็เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วร้อยกว่าปี คงไม่มีใครรู้ความจริงว่าอัญมณีแห่งอะเดรียติกจะอยู่กับกลุ่มทาสนักฆ่าของราชวงศ์”

          “เพราะฉะนั้นเราต้องดูแลเด็กคนนี้เอาไว้ ไม่งั้นเขาได้รับอันตรายแน่ๆ” มิลาน่าพูดขึ้นมาด้วยสายตาสงสารเด็กคนนี้จับใจ มือทั้งสองจับมือเล็กๆของเด็กน้อยเอาไว้

          “นั่นคือสิ่งที่กูลียาโม่ควรทำในตอนนี้ – อีกอย่างเด็กคนนี้เป็นนักฆ่าโดยกำเนิด ถ้าเขาอาจจะยังไม่รู้ตัว ถึงกระนั้นมันก็อยู่ในสายเลือด เขาคงปฏิเสธไม่ได้ สักวันหนึ่งความสามารถของเขาจะตื่นขึ้นมา เราต้องดูแลเด็กคนนี้ให้ดี และคอยอบรมและสั่งสอนการใช้วิชาให้กับเขา เพื่อให้เขากลับไปเป็นนักฆ่าได้ – เอาล่ะ ฉันขอตัวก่อนนะ แค่แวะเอาสาสน์จากทางเอเชียมาส่งให้อูโน่ ฉันมีงานอีกเยอะที่ต้องทำ – ไปก่อนล่ะ” รอนโด้กล่าวจบก็จากไป

          “สมแล้วที่เป็นหมอนี่” โตเร่โผล่ดเข้ามาในห้องพยาบาล พร้อมเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม

          “แล้วรูบี้ล่ะ?” มิลาน่าหันมาถาม

          “ส่งที่ห้องแล้ว ตอนไปถึงเห็นรุฟีน่านั่งตัวสั่นอยู่ใต้ต้นไม้ – เดี๋ยวให้คุณพยาบาลคนสวยไปดูอากาศหน่อยก็แล้วกัน”

          “ไม่ต้องให้คุณพยาบาลไปดูอาการหรอกจ่ะ รูบี้น่ะ กลัวเสียงฟ้าร้องมากๆ ทุกครั้งที่ฝนเริ่มตกเธอจะเริ่มหวาดวิตกว่าจะมีฟ้าร้องหรือเปล่า ป่านนี้คงขังตัวเองอยู่ในห้องลับแล้วล่ะ” มิลาน่ากล่าวอย่างใจเย็น

          “เยือกเย็นสุดๆอย่างรุฟีน่าเนี่ยนะ? กลัวฟ้าร้อง?” โตเร่แทบจะไม่เชื่อกับหูตัวเอง

          “ก็รูบี้ถูกเอามาทิ้งหน้าประตูบ้านในคืนนั้นฝนตกหนักและฟ้าก็ร้องน่ากลัวมาก รูบี้เลยฝังในจนถึงตอนนี้” เสียงของเพอลิต้าดังขึ้นจากหน้าประตู “เข้ามาสิยะ อัลเลวิเซ่” เธอหันไปพูดกับเด็กหนุ่มที่ด้อมๆมองๆอยู่ด้านนอก

          “เด็กคนนี้สินะที่โตเร่พามา” เพอลิต้าเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งของเตียง

          “เขาต้องผ่านเรื่องร้ายๆมามาก เราต้องดีกับเขามากๆนะจ๊ะ” มิลาน่าพูดพลางลุกขึ้นพร้อมถือกะละมังเดินออกจากห้องไป

          “งั้นก็ยังไม่มีชื่อสินะ” เพอลิต้าตาเป็นประกาย

          “เธอรู้ได้ไง? รอให้หมอนี่ตื่นขึ้นมาก่อนดีกว่า” อัลเลวิเซ่ขัด

          “ไหนๆเขาจะมีชีวิตใหม่ที่บ้านเราแล้ว ฉันว่าเราต้องตั้งชื่อใหม่ให้เขานะ จะได้เป็นคนใหม่” เพอลิต้าไม่ละความพยายาม

          “เธอนี่มันจริงๆเลยนะ!” อัลเลวิเซ่เสียงดังขึ้น ทำให้พยาบาลหันมาทำท่าดุเขาเล็กน้อย

          “เอลโม่ดีไหม? – ผมหมอนี่ทรงคล้ายเหมือนกันน็อค”

          “แล้วแต่เธอเถอะ!” อัลเลวิเซ่เสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

          “งั้นเป็นอันตกลง – ต่อไปนี้นายชื่อเอลโม่นะสมาชิกใหม่ของแก๊งกูลียาโม่” เพอลิต้ายิ้มให้เด็กชายด้วยรอยยิ้มที่สดใส และอีกหนึ่งวันก็ผ่านไป

 

จบตอน

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา