ลูนาเซีย แห่งอาซาเดีย

-

เขียนโดย ลมพัดผ่าน

วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.55 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  4,630 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) พระราชวังที่เงียบเหงา

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

2 พระราชวังที่เงียบเหงา

 

ท่ามกลางมวลดอกไม้หลากหลายสีที่กำลังชูช่อ บางดอกเริ่มผลิบานอวดโฉมของกลีบอ่อนละมุน ไม่น่าเชื่อว่าท่ามกลางฤดูที่ต้นไม้ใหญ่พร้อมใจกันทิ้งใบจะมีเจ้าดอกไม้เล็กๆ เช่นนี้แต่งแต้มพื้นดินให้คงสีสัน ทั้งชมพู ขาว ม่วง และแดงดูละลานตาจนเกิดเป็นความงามที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้น

 สายพระเนตรแห่งธิดาลำดับที่สิบสองทอดมองไปตามความกลางใหญ่ของอุทยานหลวง โดยไม่แม้แต่จะจับจ้องต่อสิ่งใดแม้แต่หมู่ภมรตัวน้อยที่บินเข้าออกดอกไม้ที่บานเต็มที่แล้วไปเรื่อยๆ แม้จะไม่สนใจมองอะไรเป็นพิเศษแต่ความรู้สึกใหม่ในสถานที่ที่แทบเลือนลางในความทรงจำแตกต่างจากที่ที่เธอจากมาอย่างสิ้นเชิง

ดินแดนทางเหนือที่เป็นทั้งสถานที่สวยงาม เงียบเหงา และเจ็บปวดในความทรงจำ ถ้าเป็นที่นั้นในช่วงที่ลมหนาวพัดมาแบบนี้อีกไม่นานทั้งคฤหาสน์ที่เธออาศัยคงจะเต็มไปด้วยดอกไม้สีขาว ที่โปรยปรายล่วงหล่นเหมือนพรที่ประทานมาจากฟากฟ้าห่อหุ้มพื้นดินอันว่างเปล่าด้วยปุยนุ่มเย็นยะเยือก เหมือนผ้าห่มกำมะหยี่ผืนใหญ่ปกคลุมทุกอย่างจนดูบริสุทธิ์ไร้มลทินใดๆ

“เจ้าหญิงลูนาเซียทรงประทับที่นี่เอง หม่อมฉันตามหาให้ทั่วไปหมดเลยเพคะ”

“มารีอาเหรอ หอสมุดของที่นี่ไปทางไหนเหรอ” เจ้าหญิงลูนาเซียตรัสถามโดยไม่ละสายตาจากความว่างเปล่า

คนถูกทางมองนายสาวคนใหม่อย่างแปลกใจกับคำถามที่เหมือนจะไม่ได้สนใจสิ่งใดเลย แต่ก็ยอมตอบออกไป “อยู่ทางราชวังส่วนหน้าเพคะ”

“งั้นเหรอ” พอได้รับคำตอบ ร่างที่นั่งเฉยก็ขยับองค์ลุกยืน แล้วเดินออกไปตามทางเดินของอุทยาน

การกระทำที่ไร้ที่มาที่ไปของเจ้าหญิงประหลาดทำให้หล่อนต้องร้องถามออกไปอย่างลนลาน “เจ้าหญิงจะเสด็จไปที่ใดเพคะ”

“หอสมุดน่ะสิ”

“ไม่ได้นะเพคะ” มารีอารีบวิ่งมาหยุดขว้างห้าม

ร่างโปร่งระหงหยุดเดิน สายพระเนตรทอดมองคนขว้างนิ่ง จนคนสบดวงเนตรสีเข้มคู่สวยต้องลอบกลืนน้ำลายลงคอ แต่ถึงกระนั้นเจ้าหล่อนก็ยังต้องทำใจดีสู้เจ้าหญิงแสนเย็นชาองค์นี้ แล้วรีบบอกธุระที่เธอต้องวิ่งวุ่นตามหาไปทั่วเขตราชฐานอย่างนี้

“องค์ราชินีให้มาเชิญเจ้าหญิงเพคะ เจ้าหญิงอีกสิบเอ็ดพระองค์ก็ประทับรอท่านอยู่ที่นั้นแล้ว”

“งั้นหรือ”

มารีอามองมองตามเจ้าหญิงประหลาดที่เดินเลี่ยงเธอเพื่อเดินต่อไป

“ท่านจะไปที่ใดอีกเพคะ”

“แล้วเจ้ามาตามให้เราไปที่ใดกันล่ะ”

สีหน้าลังเลของมารีอาต้องคลายออกอย่างโล่งใจ สายตามองตามเจ้าหญิงคนเล็กที่ยังเดินด้วยท่วงท่าที่ไม่รีบร้อน รับใช้เจ้าหญิงมาตั้งแต่เด็ก ไม่มีองค์ไหนเลยที่เธอจะอ่านสีหน้าไม่ออกขนาดนี้ เป็นเพราะเจ้าหญิงองค์นี้เก็บมารยาทอันสงบนิ่งอย่างตำราว่าด้วยเรื่องเจ้าหญิงได้อย่างดียิ่ง เหมือนทำตามตัวหนังสือได้ทุกตัวอักษรที่บันทึกไว้ หรือเป็นเพราะนางไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอันเป็นปกติของมนุษย์กันแน่นะ

มารีอารีบส่ายหัวให้กับความคิดเหลวไหล คนที่ไหนจะสามารถตัดอารมณ์แบบมนุษย์ได้ พอคิดแบบนั้นเจ้าหล่อนจึงต้องรีบตามนายสาวคนใหม่ไปทันที

ขืนคาดสายตาอีกอาจหาไม่เจอง่ายๆ ก็ได้ อุตส่าห์ไปที่ห้องบรรทมแต่เช้ายังคาดกันได้ เกิดหายองค์ไปอีกคงได้โดนแม่นมคาร่าลงโทษแทน แค่คิดก็เสียวสันหลังวาบ

 

หญิงชราหลี่ตามองทันทีที่ร่างระหงก้าวเข้ามาในห้องโถงเป็นองค์สุดท้าย โดยมีสาวใช้ที่เดินตามมาอย่างหวาดๆ แม่นมคาร่าคนสนิทขององค์ราชินีจับแว่นตาทรงกลมขึ้นแนบจมูกที่มีน้อยนิด สายตายังจับจ้องมองทุกอิริยาบถอย่างประเมิน

ท่วงท่าเรียบร้อย สง่างามสมที่เป็นเจ้าหญิง ให้...ผ่าน!

อาภรณ์ที่สวมใส่สะอาดสะอ้านสมที่เป็นเจ้าหญิง ให้...ผ่าน!

พระพักตร์งดงามหมดจดสมเป็นเจ้าหญิง ให้...ผ่านได้!

แต่พระเนตรนิ่งยากจะคาดเดาความคิด เก็บซ้อนทุกความรู้สึกได้ดีเยี่ยม ซึ่งถ้ามองเพียงผิวเผินก็เป็นมารยาทที่เจ้าหญิงควรสวมแสดงภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ไม่ใช่เรียบเฉยจนไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ และไม่เหมาะสมกับกาลเทศะเช่นนั้น เป็นเรื่องที่ต้องฝึกใหม่

ไม่ให้ผ่าน!!

“มาแล้วหรือเจ้าหญิงลูน่า” องค์ราชินีแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนเมื่อใบหน้านิ่งสบเนตรหลังย่อกายเคารพตามประเพณี

“ถวายพระพรเพคะ ขออภัยที่มาช้า”

“เอาล่ะๆ เธอพึ่งมาใหม่คงยังไม่คุ้นชินเราจะยังไม่ถือสา เช่นนั้นเราควรจะย้ายไปที่ห้องอาหารกันเถอะ” ตรัสจบองค์เฮสเทียจึงประทับยืนก่อนจะเสด็จนำไปยังห้องที่อยู่ถัดไป เหล่าบรรดาเจ้าหญิงมองมาด้วยสีหน้าไม่พอใจก่อนจะเดินตามองค์ราชินีไป

“เธอคือลูนาเซียสินะ” น้ำเสียงนุ่มหวานดังหยุดย่างก้าวที่กำลังจะตามคนอื่นๆ เข้าไปอีกห้อง วรกายสูงหันไปตามเสียงเรียก

เบื้องหน้าคือหญิงสาวที่งดงามและมีบรรยายกาศที่อบอุ่นจนแทบจะไม่เคยต้องสัมผัสต่อความหนาวเย็น ด้วยเนตรสีน้ำตาลมองมาอย่างเป็นมิตร ริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างไม่เสแสร้ง ใบหน้าขาวผ่องถูกล้อมไว้ด้วยเรือนผมสวยเหยียดตรงสีทอง ถ้าเปรียบผมหยักศกสีดำของเจ้าหญิงลูนาเซียเป็นความมืดอนธกาลของราตรีแล้ว เส้นผมสีทองของหญิงสาวตรงหน้าคงเป็นดั่งแสงอรุณแห่งชีวิตที่เจิดจ้างดงาม

เจ้าหญิงลูนาเซียทอดเนตรผู้หญิงตรงหน้า แม้ใบหน้าจะยังคงสงบนิ่ง แต่ความสงสัยในตัวของหล่อนก็ชัดเจนในใจ ดูจากท่าทางและอาภรณืที่สวมใส่คงเป็นสตรีชั้นสูงหรือไม่ก็เจ้าหญิงที่เป็นพี่น้องร่วมบิดา และดูท่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า แต่นั้นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่สนพระทัย ในเมื่อเจ้าหญิงองค์อื่นแสดงตนชัดเจนที่ไม่อยากร่วมสายเลือด แต่กับนางแล้วกับเข้ามาทักทายโดยไร้สายตารังเกียจ

คนถูกมองเหมือนจะรู้ตัว จึงพูดขึ้นเหมือนพึ่งนึกได้ “ต้องขอโทษด้วย เจ้าคงจะสงสัยว่าเราเป็นใคร” ผู้หญิงตรงหน้าเกาแก้มนิดๆ อย่างขัดเขินก่อนจะแนะนำตัว “เราชื่ออลิเซีย เป็นธิดาองค์ที่สาม และเป็นพี่หญิงของเจ้าด้วย”

“ถวายพระพรเพคะ เจ้าหญิงอลิเซีย”

เมื่อได้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร เจ้าหญิงองค์เล็กจึงย่อกายเคารพตามประเพณีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“ไม่ต้องหรอก เราเป็นพี่น้องกัน อีกอย่างเราพี่ว่าพี่หญิงดีกว่านะ” คนถูกแสดงความเคารพรีบจับแขนน้องสาวต่างมารดาไว้ ก่อนจะยิ้มละมุนส่งไปให้

เจ้าหญิงน้ำแข็งยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งใดและไม่เอื้อนเอ่ยตอบอย่างที่เจ้าหญิงผู้อบอุ่นปรารถนา

“เจ้าหญิงอลิเซีย เจ้าหญิงลูนาเซียรีบเสด็จเถิดเพคะ ทุกพระองค์กำลังรออยู่” หญิงชราที่เดินออกจากห้องด้านข้างส่งสายตาเหมือนตำหนิมายังทั้งสองที่ปล่อยให้คนอื่นต้องรออีกแล้ว

“ขอโทษนะคาร่า เราจะเข้าไปแล้ว” เจ้าหญิงอลิเซียขานรับแม่นมคาร่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม ก่อนจะหันมายิ้มให้อีกคนแล้วจับพระหัตถ์ให้เดินตามเข้ามา

เจ้าหญิงลูนาเซียทอดมองไออุ่นที่ออกมาจากมือที่สัมผัสอยู่ เนิ่นนานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้รับไออุ่นแบบนี้...

“ที่ของเจ้าอยู่ตรงนี้นะ” เจ้าหญิงอลิเซียพาเธอมาหยุดที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายที่ยังว่างเปล่า ด้านข้างฝั่งซ้ายมีเจ้าหญิงที่คงจะเป็นพี่สาวอีกคน ใบหน้าที่มองด้วยหางตาแสดงอย่างชัดเจนว่าไม่ได้อยากนั่งใกล้เธอเลยสักนิด แค่เพราะเกิดก่อนหน้าหล่อนเป็นธิดาองค์ที่สิบเอ็ดจึงต้องได้มานั่งข้างเจ้าหญิงสายเลือดต่ำสามัญชน

แต่สายตาเช่นนั้นเหมือนจะไม่มีผลอะไรต่อเจ้าหญิงผู้ถูกหยาม ยังไงซะเหตุการณ์แบบนี้มันก็ไม่ใช่ครั้งแรก แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับสายตาเช่นนี้มานานถึงสิบปี ถึงกระนั้นภาพวันวานก็ไม่อาจทำร้ายหัวใจที่เฉื่อยชานี้ได้อีก

“ขอบพระทัยเพคะเจ้าหญิงอลิเซีย”

“เรียกพี่หญิงสิ” คนฟังท้วงขึ้นทันที แต่พอสบเนตรนิ่งเฉยจึงทำได้เพียงทอดถอนพระทัย “ตามใจแล้วกัน แต่พี่หวังว่าสักวันเจ้าคงจะเรียกว่าพี่หญิง”

“มานั่งเถอะอลิเซีย” เสียงเข้มจากเจ้าหญิงองค์ดังเรียกน้องสาวคนโปรดให้มานั่งลงยังที่ของตัวเสียที

“ค่ะ...พี่หญิงแอนนา”

หลังจากเจ้าหญิงอลิเซียประทับนั่งในตำแหน่งที่ด้านขวาขององค์ราชินีแล้ว ราชินีเฮสเทียจึงตบพระหัตถ์เป็นจังหวะให้ทั้งโต๊ะเสวยให้ความสนใจที่ประธาน รอยแย้มโอษฐ์ใจดี อบอุ่น และปรานีที่เหมือนเป็นเอกลักษณ์ประจำพระองค์ฉายชัดใบหน้าหวานที่ถูกกาลเวลาทำร้ายไปเพียงน้อยนิด

“ที่วันนี้เราเรียกทุกคนมาทานข้าวพร้อมกันก็เพื่อหวังให้พวกเจ้าได้รู้จักกับสมาชิกใหม่ เจ้าหญิงลูนาเซีย” องค์ราชินีทอดมองอย่างอ่อนโยนไปทางเจ้าหญิงองค์ใหม่ที่ยังคงความเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ก่อนที่พระนางจะตรัสต่อโดยไม่สนใจความเย็นชานั้น “ข้าหวังเหลือเกินว่าพวกเจ้าจะผูกไมตรีเช่นพี่น้องกับนาง เหมือนดั่งที่อลิเซียได้กระทำไปแล้ว”

“เพราะนางเป็นนางสาวของหม่อมฉันนี่เพคะ” คนถูกพาดพิงยิ้มตอบอย่างเขินอาย

“ข้าดีใจที่เจ้าคิดเช่นนั้นอลิเซีย” องค์ราชินีแย้มโอษฐ์อีกครั้งก่อนจะหันไปยังทุกความเพื่อสบพระเนตร “และพวกเจ้าทุกคนจะคิดเช่นเดียวกัน”

“เพคะองค์เฮสเทีย” เสียงตอบกลับแผ่วเบาจากทุกองค์ที่นั่งก้ม

“ข้าหวังเหลือเกินว่าที่นี่จะเป็นบ้านของเจ้าจากจิตสำนึกของเจ้าเอง” สายพระเนตรที่กวาดมองรอบโต๊ะเสวยหยุดลงที่เจ้าหญิงองค์สุดท้าย ที่มองตอบกลับมาเช่นกัน

“เพคะ...องค์ราชินี หม่อมฉันจะพยายามทำตามพระประสงค์”

“เอาล่ะ...นี่ก็สายมากแล้ว เราเริ่มรับประทานอาหารแสนอร่อยเหล่านี้กันเถิด”

สิ้นกระแสรับสั่ง เหล่าเจ้าหญิงจึงเริ่มตักอาหารมากมายตรงหน้า พลางพูดคุยกันด้วยสุ้มเสียงเบา เจ้าหญิงลูนาเซียเริ่มตักอาหารอย่างละนิดโดยไม่แม้แต่จะหันไปสนทนากับองค์ไหน และก็ไม่มีใครที่พยายามจะพูดคุญกับเธอเช่นกัน แม้แต่อลิเซียก็หาโอกาสคุยด้วยยากเพราะนั่งห่างไกลกันเหลือเกิน อีกทั้งบรรดาพี่น้องรอบที่ชวนเธอพูดคุยไม่พูด

ท่ามกลางเสียงพูดคุยรอบโต๊ะเสวย สุรเสียงใจดีที่เจ้าหญิงพลัดถิ่นเช่นเธอเริ่มที่จะคุ้นชินดังตรัสถามอีกครั้ง ถามกลางความสนใจจากเจ้าหญิงองค์อีกที่เงียบเสียงลง

“เมื่อคืนเจ้าหลับสบายดีไหมลูน่า”

“เพคะ”

แม้ความเป็นจริงแล้วเธอแทบจะไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเนื่องจากความแปลกที่ทาง และยังไม่ได้อ่านหนังสือก่อนนอนเหมือนเมื่อครั้งยังอยู่ในคฤหาสน์ เจ้าหญิงลูนาเซียก็เลือกที่จะตอบด้วยคำตอบที่จะทำให้ผู้ฟังพอใจเหมือนเช่นตำรามากมายที่สอนมารยาทอันพึงมีระหว่างผู้ที่สูงศักดิ์กว่า

“แล้วยังขาดเหลืออะไรหรือไม่ มารีอาดูแลเจ้าดีหรือเปล่า”

“เพคะ...นางทำหน้าที่ของตนได้ดียิ่ง”

แม้เมื่อคืนเธอแทบจะไม่ได้ใช้งานอะไรสาวใช้คนใหม่เลย แต่เธอก็ชินเสียแล้วกับการที่ต้องทำอะไรเองเสียเป็นส่วนใหญ่ หญิงรับใช้ที่มีเพียงน้อยนิดในคฤหาสน์หลังเดิมดูเหมือนจะมีหน้าที่ที่มาเกินไป เธอจึงมักตัดปัญหาเหล่านั้นด้วยการทำอะไรด้วยองค์เองเสียเลย

“งั้นหรือ... เราดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

นิ่งเงียบไปอีกอึดใจก่อนที่เจ้าหญิงลูนาเซียจะลองขออนุญาตจากองค์ราชินีที่ยังทอดเนตรมองมาที่เธออยู่ “หากองค์ราชินีไม่ทรงว่าอะไร หม่อมฉันอยากจะขอพระราชทานอนุญาตเข้าใช้หอสมุดหลวงเพคะ”

“หอสมุดหลวง?”

“เพคะ”

“เจ้าชอบอ่านหนังสือหรือ”

“เพคะ ตั้งแต่เล็กจนโตหม่อมฉันมีตำราเป็นทั้งครูผู้สอนและเพื่อนเล่นเพคะ”

องค์เฮสเทียทอดพระเนตรยังเจ้าหญิงพลัดถิ่นเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะทรงตรัสขึ้น “ตามแต่ใจเจ้าเถิด หากเจ้าจะนำไปอ่านห้องเราอนุญาต”

“ขอบพระทัยเพคะ”

หลังจบบทสนทนาองค์ราชินีจึงขอตัวออกจากห้องอาหาร ตลอดการรับประทานอาหารที่เหลือของเจ้าหญิงองค์เล็กจึงมีแต่ความเงียบ ท่ามกลางเสียงสนทนาที่เริ่มขึ้นใหม่อีกครั้ง และยังเป็นเช่นเดิมที่เธอจะถูกกันออกจากวงสนทนานั้น

เมื่อลุกออกจากห้องอาหารที่ชวนอึดอัด เจ้าหญิงลูนาเซียจึงดำเนินไปตามระเบียงยาวที่ทอดยาวออกสู่ราชฐานส่วนหน้า ฝีพระบาทหยุดชะงักลงก่อนโอษฐ์เรียวสวยจะตรัสถามคนที่เดินตามเงียบๆ มาสักพักแล้ว

“เจ้าตามเรามาทำไมมารีอา”

“หม่อมฉันได้รับตรัสให้ค่อยดูแลเจ้าหญิงเพคะ ดังนั้นหม่อมฉันจะเป็นเพื่อนเดินไปยังที่ที่เจ้าหญิงปรารถนาจะไปเพคะ”

“อย่างนั้นหรือ” เจ้าหญิงลูนาเซียนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถาม “เราอยากไปที่แห่งหนึ่ง เจ้าพาเราไปได้ไหม”

“หม่อมฉันยินดีเพคะ” มารีอารีบตอบกลับไปทันที

แม้จะไม่ได้อยากแอบฟังเรื่องของเจ้านายสักเท่าไหร่ แต่บทสนทนาบนโต๊ะเสวยก็ยังดังพอให้เธอที่นั่งรออยู่ข้างนอกได้ยินชัดเจน หากต้องเติบโตเพียงลำพังกับกองหนังสือมากมายที่ไร้ชีวิตเช่นนั้น มันก็คงไม่แปลกที่เจ้าหญิงองค์นี้จะมีปฏิสัมพันธ์อันประหลาดกับคนรอบข้าง

และการเติบโตขึ้นมาเพียงลำพังก็ดูจะเป็นเรื่องที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับความว่างเปล่ามากเสียเพียงใดกันก็สุดรู้นอกจากเจ้าตัวเอง แต่นับจากนี้ไปเธอจะไม่ปล่อยให้เจ้านายพระองค์นี้จะทนอยู่กับความอ้างว้างเพียงลำพังอีกต่อไป

“ว่าแต่เจ้าหญิงประสงค์จะเสด็จที่ใดเพคะ”

“สุสานหลวง”

 

กุ๊บกั๊บ... กุ๊บกั๊บ...

หลังจากรถม้าสีขาวปลอดหยุดลง มารีอาจึงเปิดประตูออกจากด้านในแล้วก้าวลงจากคอยรอประคองให้เจ้าหญิงที่ประทับอยู่ด้านในได้ลงมาอย่างสะดวก

เมื่อร่างระหงยืนมั่นบนพื้นพสุธาแล้ว เรียวพระบาทจึงก้าวออกนำไปยังทางเข้าของสุสานหลวงบนถนนสายเล็กๆ แค่พอสองคนเดินสวนกันโดยไม่ชน เสมือนทรงรู้แน่ว่าสถานที่ที่นางกำลังจะไปเยือนอยู่ ณ แห่งหนใดในสุสานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ ไม่นานร่างเพรียวสูงหยุดลงที่หน้าหลุมศพที่ใหญ่และดีงดงามเพราะยังผ่านกาลเวลาไปยังไม่นาน ด้านหน้ามีป้ายหินอ่อนที่สลักตัวอักษรสีทองว่า

 

แด่... กษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชา ...แลนเดอร์มหาราช

 

                “เจ้าออกไปรอที่รถม้าก่อน”

                “แต่...”

                “เสร็จธุระแล้วเราจะออกไป”

                “เพคะ” มารีอาคำนับให้แผ่นหลังบอบบางอย่างจำยอม ก่อนจะเดินออกไปตามทางเดินที่พึ่งจะเดินเข้ามา

                แววพระเนตรสีม่วงทอแสงหม่นทอดนิ่งเหนือป้ายหลุมศพของพระบิดาอยู่เนิ่นนาน ไม่มีอาการสั่นไหว ไม่มีน้ำพระเนตรรินหลั่ง มีเพียงความลึกสุดจะหยั่งถึงจิตใจของผู้ที่ยังทอดกายนิ่งไม่ไหวติง เรียวโอษฐ์งามเอื้อนเอ่ยเป็นครั้งแรกหลังจากความเงียบเข้าปกคลุมรอบอาณษบริเวณศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้

                “ฝ่าบาท...”

                เพียงเท่านั้นทุกอย่างกับถูกปกคลุมด้วยความเงียบอีกครั้ง วรกายบางค่อยๆ ย่อกายเคารพอย่างช้าๆ แต่ทว่างดงามอ่อนช้อยที่สุด

                เมื่อเสด็จดำเนินมาถึงสาวใช้ที่เฝ้ารออย่างกระวนกระวาย ทันทีที่มองเห็นร่างงามเจ้าหล่อนจึงยิ้มออกมาอย่างดีใจที่เห็นนายสาวออกมาเสียที เธอรีบเปิดประตูรถม้าอย่างรู้งาน เจ้าหญิงลูนาเซียก้าวขึ้นรถม้าโดยไม่ตรัสอะไรสักคำ

                “มารีอาเจ้ารู้หรือไม่ว่าหลุมศพของแม่ข้าอยู่ที่ใด”

หลังจากรถม้าเริ่มเคลื่อนมารีอาก็ต้องขมวดคิ้วกับคำถามที่ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แทนที่จะตกใจเหมือนทุกที แต่ครั้งนี้เจ้าหล่อนเพียงแค่สงสัย ดูเหมือนจะเริ่มชินกับเอกลักษณ์เฉพาะองค์ของเจ้าหญิงเสียแล้ว

“ท่านแม่อาเดียไม่ได้อยู่ในสุสานหลวง”

“หม่อมฉันได้ยินว่าพระศพของพระนางอาเดียถูกทำพิธีและฝังไว้ที่บ้านเกิดเพคะ”

“เมืองชานสินะ” น้ำเสียงเหมือนตรัสกับองค์เอง แววพระเนตรเศร้าสร้อยเหมือนจะสะท้อนขึ้นมาเพียงครู่ แต่แค่พระเนตรม่วงดั่งอัญมณีหันมองไปทางหน้าต่างบานเล็กอย่างไม่สื่ออารมณ์ใดๆ อีก บทสนทนาทั้งหมดจึงจบเพียงเท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา