ลูนาเซีย แห่งอาซาเดีย

-

เขียนโดย ลมพัดผ่าน

วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 15.55 น.

  2 บท
  0 วิจารณ์
  4,627 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 16.01 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ความต่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ท่ามกลางภูเขาและต้นไม้ที่รายล้อมอยู่รอบตัว ที่นี้มีบรรยากาศที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเต็มไปด้วยความสงบอย่างแท้จริง ต้นไม้สูงใหญ่ที่เดิมถูกแต่งแต้มไปด้วยสีเขียวของความมีชีวิต แต่พอมาตอนนี้สีเขียวนั้นถูกทำให้จางหายไป เหลือไว้เพียงชีวิตที่เหี่ยวแห้งเพื่อพร้อมรับการจำศีลในฤดูกาลถัดไปที่กำลังจะมาเยียนในอีกไม่นาน ที่ทุกๆ อย่างจะถูกย้อมไปด้วยสีขาวที่มองดูเปราะบางและบริสุทธิ์

                คฤหาสน์หลังใหญ่ถูกสร้างขึ้นกลางป่าทึบที่รายล้อมและไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นเพียงไม่กี่คน ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีการคบค้าสมาคม โลกทั้งใบจึงมีเพียงพื้นที่เล็กๆ และตำราที่บอกเล่าเรื่องต่างๆ นอกจากโลกใบเดิมที่ได้อาศัยอยู่

                ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน หญิงสาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสือโดยไม่สนใจเวลาที่เคลื่อนผ่านคงไม่ต้องมาเร้นกายในคฤหาสน์เกือบร้างเช่นนี้ ลำพังเพียงแค่ต้องเติบโตโดยไร้ผู้ปกครองก็ดูจะเป็นเรื่องที่สาหัสสำหรับเด็กตัวเล็กๆ ที่ต้องการการปกป้อง เมื่อเติบใหญ่สิ่งสุดท้ายที่มีค่ายังถูกพรากไปบนความไม่ต้องการของเธอ

                กุ๊บกั๊บ...กุ๊บกั๊บ...

                เสียงกีบเท้าม้าดังก้องในอาณาบริเวณเงียบสงบดั่งไร้ผู้คน แต่มันยังไม่มากพอที่จะทำลายสมาธิอันแน่วแน่ นิ้วเรียวสวยพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษสีหม่นที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานอย่างช้าๆ ราวสมบัติล้ำค่า

                หลังจากทุกอย่างตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง เสียงเคาะประตูหนานักที่ราวจะกีดกันโลกภายนอกออกไปดังขึ้น แต่หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องนั้นยังคงไม่ละสายตาออกจากหน้ากระดาษ ขณะที่ริมฝีปากอิ่มเปิดพูดอนุญาตให้เข้ามา

                เด็กสาวในชุดสีน้ำตาลเดินมาหยุดห่างออกไปจากโต๊ะตัวใหญ่ที่หญิงสาวกำลังอ่านหนังสือโดยไม่คิดเหลือบตาขึ้นมามอง เธอทำสีหน้าลังเลหลังจากทำความเคารพต่อผู้เป็นนายก่อนจะแจ้งข่าวอันเป็นที่มาของเสียงที่ดังขึ้นหนึ่งเดียวก่อนหน้า

                “ขอประทานอภัย มีสาสน์ถูกส่งมาจากเมืองหลวงเพคะ”

                ดวงเนตรกลมโตสีม่วงเข้มหยุดเคลื่อนไหวไปตามตัวหนังสือก่อนจะเงยหน้ามองสาสน์ที่สาวใช้บอก ทำถูกนำมาวางลงบนโต๊ะทรงงาน กระดาษสีขาวถูกดึงออกจากซองที่ปิดสนิทด้วยตราสัญลักษณ์รูปเรือสำเภาด้านหลังเป็นภูเขาแทนผืนน้ำ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งมหานครอาซาเดีย มหานครที่แทบจะกุมอำนาจทางท้องทะเลและป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์

                “ขอบใจ ออกไปได้” สุรเสียงนิ่งตรัสออกไปก่อนดวงตาคู่สวยจะเบิกกว้างเพียงเล็กน้อย กระดาษในนิ้วสวยหลุดล่วงปลิวตกลงบนโต๊ะไม้ขัดเงา หน้ากระดาษที่เต็มไปด้วยข้อความยังเด่นหลาอยู่ด้านบน

 

 

 

                ถึงเจ้าหญิงลูนาเซีย ธิดาลำดับที่ 7 แห่งองค์แลนเดอนร์ที่ 4

ในนามราชินีและผู้สำเร็จราชการแทนแห่งอาซาเดียขอให้กลับคืนนครทันทีที่ท่านได้รับจดหมายฉบับนี้ เนื่องจากองค์กษัตริย์สวรรณคต แต่บังลังก์กลับไร้รัชทายาท เราต้องการให้ท่านกลับมาพื่อเป็นหนึ่งในเหล่าผู้มี สิทธิ์ครองบังลังก์

 

ลงนาม           

ราชินีเฮสเทีย

 

 

 

                หลังจากอ่านข้อความที่ปรากฏซ้ำอีกครั้ง แววเนตรที่นิ่งสงบเป็นปกติหลับลงช้าก่อนจะเริ่มพระเนตรขึ้นอีกครั้ง วรกายระหงส์ลุกจากเก้าอี้ไม้ที่เบาะถูกหุ้มด้วยกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้ม พระบาทดำเนินภายใต้ชุดเดรสสีขาวนวลมาหยุดลงที่บานหน้าต่างที่อยู่ด้านหลัง สายตาทอดมองนิ่งไปยังผืนฟ้าอันกว้างใหญ่ ภาพความทรงจำเมื่อครั้งวันวานฉายสะท้อน เหมือนเหตุการณ์ถูกฉายซ้ำชัดเจน

               

                ‘ลูน่าเด็กดีของพ่อ’

                สุรเสียงทรงอำนาจที่สั่งชี้เป็นชี้ตายผู้คนมามากมาย กับทอดเสียงอ่อนโยน แววเนตรทั้งแกร่งเจือปนความเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่ความเดียงสาของเด็กคงไม่อาจเข้าใจความหมายนั้นได้ เมื่อผู้เป็นพระบิดายังคงแย้มสรวลเช่นเดิม

                ‘เสด็จพ่อ’ แขนป้อมโอบกอดผู้เป็นพระบิดาไว้อย่างรักใคร่

                ‘ลูน่า’ ราชาทรงย่อองค์ลงก่อนจะจรดฝีพระโอษฐ์ลงบนหน้าผากมนแล้วตรัสต่อ ‘ลูน่าจากนี้ไปลูกต้องขึ้นไปยังดินแดนทางเหนือ’

                ‘ดินแดนทางเหนือ ที่นั้นมีหิมะหรือเปล่าเพคะ’

                ‘เจ้าชอบหิมะงั้นหรือ’ ผู้เป็นบิดาเลิกพระขนงอย่างสงสัย ณ ดินแดนแห่งนี้เมื่ออากาศจะหนาวเย็นยามเหมันส์มาเยือน แต่ก็ยังไม่มากพอให้เกล็ดน้ำสิขาวบริสุทธิ์ล่วงหล่นปกคลุมผืนดินได้

                ‘เพคะ ลูกชอบหิมะ ในตำราเล่มนี้เขียนไว้ลูกอยากเห็น’

                ‘เจ้าจะได้เห็นหิมะที่ชอบจนเบื่อเลยล่ะลูกรัก’

                ‘แล้วท่านแม่จะไปกับลูกไหมเพคะ ลูกไม่ชอบที่ท่านแม่ป่วยเลย ถ้าได้เห็นหิมะท่านแม่จะต้องหายแน่เลยเพคะ’

                กษัตริย์หนุ่มสะอึกไปกับคำพูดของธิดาตัวน้อย จะให้บอกนางได้อย่างไรว่าบนโลกใบนี้ไม่มีแม่ของเธออยู่อีกต่อไปแล้ว

                ‘แน่นอนลูน่า ท่านแม่ของเจ้าจะตามไปด้วย แต่นางจะอยู่บนนั้น’ สายพระเนตรกลมแป๋วมองตามพระหัตถ์ที่ถูกชี้ขึ้นไปบนท้องนภาสีครามใส ‘แม่ของเจ้าจะเฝ้ามองเจ้าจากตรงนั้น’

 

                …ตามนี้ท่านเองก็กำลังเฝ้ามองหม่อมฉันจากบนนั้นกับท่านแม่อยู่ใช่ไหม

 

                ดวงเนตรสีเข้มสั่นไหวเพียงชั่วครู่ต่อความทรงจำแสนสุขครั้งสุดท้าย เพียงสายลมหนาวพัดผ่าน เนตรม่วงเข้มก็กลับคืนสู่ความว่างเปล่าเหมือนเช่นทุกที ก่อนร่างระหงส์จะหันหลังให้ผืนฟ้าแล้วก้าวออกจากห้องหนังสือไป

 

                เสียงจอแจแห่งชีวิต ณ เมืองหลวงอาซาเดีย ผู้คนจำนวนมากต่างทำกิจกรรมอันเป็นปกติของตนโดยไม่มีใครสนใจรถม้าที่ขับผ่านสักนิด สำหรับเมืองหลวงแห่งนี้ดูจะเป็นภาพที่ชินตาไปเสียแล้ว จะมีก็เพียงบางที่ให้ความสนใจตราสัญลักษณ์แห่งราชวงค์ที่ติดประดับอยู่ข้างตัวรถ แต่ราชวงค์ที่ไม่มีขบวนทหาร ใครจะคาดคิดว่าจะมีเจ้าหญิงของประเทศประทับนั่งมาจริงๆ และหากคืนกลับสู่ราชวังได้แล้วจะยิ่งมีใครจดจำเจ้าหญิงผู้พลัดถิ่นองค์นี้ได้อยู่หรือ

                รถม้ายังคงเคลื่อนที่ไม่ช้าๆ อย่างไม่เร่งร้อน การเดินทางมาแรมเดือนในที่สุดก็มาถึงเสียทีเมืองหลวงแห่งอาซษเดีย มหานครที่ยิ่งใหญ่จนเป็นที่หมายปองแห่งนานาประเทศ แต่ด้วยปรีชาแห่งองค์กษัตริย์จึงไม่มีใครอาจหาญล่วงล้ำเขตแดนโดยมิชอบ บัดนี้เสาหลักอันแข็งแกร่งได้หักโค่นลงเสียแล้ว บ้านเมืองอันสงบที่ดำเนินมานานจะยังคงดำเนินไปเช่นนี้ไปได้อีกนานเท่าไรก็สุดรู้

                เมื่อมาถึงใจกลางแห่งอาณาจักรอันเป็นที่ตั้งแห่งมหานครอันยิ่งใหญ่ ทหารยามเฝ้าประตูออกยืนขว้างรถม้าทันทีที่เคลื่อนมาถึง

                “เจ้าของรถม้าที่นั่งมาเป็นใคร”

                “บังอาจ! เจ้ากำลังขว้างรถม้าของเจ้าหญิงลูนาเซียอยู่รู้ตัวหรือไม่”

                “เจ้าหญิง...” เสียงทหารยามยังคงดังขึ้นอย่างสงสัย

                “เจ้า!” สารถีประจำรถม้าและยังดำรงตำแหน่งองครักษ์ประจำตัวด้วย แทบอยากจะกระโดดลงไปสั่งสอนเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงยังคงยืนสงสัยไม่หลีกทางให้รถม้าเข้าข้างในเสียที

                “พอเถอะอลัน เอาสิ่งนี้ให้เขาดูเช่นที่ผ่านมาเถิด” ม่านสีแดงหนักถูกแหวกออกเพียงเล็กน้อย พร้อมหัตถ์ขาวผ่องที่ส่งตราสีทองอร่าม ซึ่งถูกสลักสถานะเจ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรอาซาเดีย

                องครักษ์หนุ่มรับตราสัญลักษณ์มาถือในมือก่องสั่งให้ทหารยามดูอย่างเจ็บใจแทนผู้เป็นนาย ถึงสองครั้งเชียวนะที่นายสาวแห่งตนต้องถูกหยามเกียรติ จะมีเจ้าหญิงจากอาณาจักรใดที่ต้องควักตราประจำตำแหน่งเพียงเพื่อยืนยันสถานะเหมือนเจ้านายของตนอีกไหม

                ทหารยามพอได้เห็นตราแสดงฐานะต่างรีบทำความเคารพอย่างลนลานก่อนจะตะโกนบอกทหารผู้คุมประตูราชวังให้เปิดออก

                “หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่บังอาจล่วงเกินเจ้าหญิง”

                “ไม่เป็นไร” สุรเสียงนิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ผิดกับราชนิกูลองค์อื่น เพราะหากต้องโดยหยามเกียรติเช่นนี้คงได้ถูกขังลืมไปเสียแล้ว หลังจากรับตราคืนจากองครักษ์หนุ่มเสียงนิ่งหวานจึงดังสั่งให้รถม้าเคลื่อนต่อไป “ไปกันเถอะอลัน”

                เมื่อรถม้าล่วงเข้าเขตราชฐาน พระราชวังอันโอฬาร์ก็ปรากฏต่อสายตาองครักษ์หนุ่ม สิ่งก่อสร้างสีขาวขนาดใหญ่ยักษ์งดงามจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์ตัวจ้อยสร้างขึ้น ปูนปั้นที่ร้อยเรียงกันจนเป็นปราสาทไม่ต่างจากทิพย์วิมานแห่งทวยเทพบนชั้นฟ้า และยังสวนไม้ดัดเขียวขจีที่รายล้อมราชวังไว้ยิ่งขับให้สถานที่แห่งนี้ดูเด่นขึ้นอีก

                แตกต่างจากคฤหาสน์ของเจ้าหญิงลูนาเซียที่จากมาแบบเทียบไม่ได้สักนิด แม้จะได้รับใช้นางเพียงสามปีจนไม่รู้สาเหตุที่ต้องถูกส่งตัวเข้าไปยังป่าทึบเช่นนั้น ความสงสารที่มีในใจยิ่งทวีขึ้น จะมีเจ้าหญิงประเทศใดที่ได้รับการละเลยเช่นนี้อีก

                แต่ใจนางใครเลยจะสุดรู้ ถึงแม้จะเป็นข้ารับใช้แต่ก็ไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเจ้าหญิงผู้เงียบขรึมองค์นี้ได้เลย เจ้าหญิงผู้ชอบเก็บตัวอยู่เพียงลำพัง ไม่ติดต่อผู้ใดและไม่มีใครติดต่อมา จนกระทั่งสาสน์จากเมืองหลวงที่ทำให้เจ้าหญิงต้องรีบเสด็จจากคฤหาสน์ที่เป็นดังแดนจองจำเป็นครั้งแรก

                ร่างระหงส์ขาวนวลภายใต้ขุดสีขาวสะอาดยิ่งทำให้นางดั่งเทพธิดาที่เสด็จลงมาจากสรวงสวรรค์ ทรงก้าวลงจากรถม้าภายใต้การช่วยเหลือขององครักษ์ ท่วงท่าที่ค่อยๆ ก้าวย่างช้าๆ แทบสะกดสายตาผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นเพียงไม่กี่คนจับจ้องไม่วางตา พระเกศาหยักศกสลวยพลิ้วไหวดุจแพรไหมสะบัดล่อสายลมที่พัดผ่านด้วยใกล้ล่วงเข้าฤดูหนาว พระพักตร์เรียวเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมโอษฐ์อิ่มแต่งแต้มเพียงนิดแต่ดูเป็นสมตัวเหยียดตรงอย่างไม่อนาทรสายตาหลากหลายที่มองมายังองค์บาง

                ดวงเนตรภายใต้คิ้วเรียวสวยทอดนิ่งไปทางเบื้องหน้า ที่สุดปลายทางเหนือที่พักของขั้นบันไดหรูที่ทอดยาวเหนือพรมแดงปรากฏร่างงามสง่าของสตรีผู้กุมอำนาจสูงสุดแห่งประเทศในขณะนี้ ชุดเดรสสีแดงขลิบทองพลิ้วไสว ดวงพักตร์อ่อนโยนแย้มโอษฐ์ต้อนรับอย่างมีไมตรี ในพระทัยอดชื่มชมเจ้าหญิงผู้จากบ้านไปนานไม่ได้ แม้ไม่ได้รับการอบรมมารยาทอย่างควรเป็น แต่นางกลับไว้ตัวสมฐานะเจ้าหญิง พระเนตรสีฟ้าใสประดับรอยยิ้มอย่างจริงใจ เช่นเดียวกับเหล่าขุนนางที่แทบไม่อยากให้ความสำคัญเจ้าหญิงพลัดถิ่นองค์นี้ ที่ออกมาต้อนรับก็เพื่อราชินีอันเป็นที่รัก พอได้เห็นองค์จริงก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่านางสง่าไม่แพ้เจ้าหญิงองค์ใดที่พวกเขาได้เห็นมา

                “ถวายพระพรเพคะองค์ราชินี” วรกายบางยอบลงเคารพเยี่ยงสตรีชั้นสูงเมื่อดำเนินมาถึงระยะที่เหมาะสม

                “ยินดีต้อนรับเจ้าหญิงลูน่า”

                ร่างบางสะดุดพระกรรณจากนามที่ไม่ถูกเรียกขานมาแสนนาน นับตั้งแต่สิบปีมาแล้วที่ชื่อนั้นถูกทำให้เลือนหาย แม้ว่ามันจะเป็นชื่อที่ชอบมากที่สุดเนื่องจากมันมักจะดังออกจากโอษฐ์ผู้เป็นที่รักมากที่สุด แต่สุดท้ายชื่อนั้นก็ไม่อาจถูกเอื้อนเอ่ยจากผู้เป็นที่รักตลอดกาล

                “เพคะ” เจ้าหญิงลูนาเซียยืดตัวตรงอีกครั้ง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ยินดีร้ายใดๆ เรียกเสียงงึมงำไม่พอใจจากเหล่าขุนนางที่รายล้อม สายเลือดต่ำศักดิ์ยังไงก็คงไม่พ้นพื้นฐานตน

                “การเดินทางเป็นเช่นใดบ้าง” องค์ราชินียังคงแย้มโอษฐ์ไม่ถือสาต่อท่าทีเฉยชา

                “เรียบร้อยดีเพคะ”

                “เช่นนั้นหรือ เราดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

                “เพคะ”

                “เจ้าเดินทางมาไกลคงอยากพักผ่อนเต็มที เราจะให้คนนำทางเจ้าไป”

                “เป็นพระกรุณาเพคะองค์ราชินี”

                “เรียกเราเฮสเทียเช่นเจ้าหญิงองค์อื่นเถิด”

                “หม่อมฉันไม่อาจเอื้อม”

                “นี่เจ้า!”

                “หยุดนะอาเดล! เจ้ากำลังล่วงเกินเจ้าหญิง” เสียงขุนนางเฒ่าต้องรีบกลืนถอยคำแห่งอารมณ์ที่ปะทุออกมาอย่างสุดห้ามกับความไร้มารยาทของเจ้าหญิงองค์ใหม่ เมื่อได้รับสายพระเนตรคมที่ตวัดจ้องทันทีขุนนางเก่าจึงทำได้เพียงก้มหน้าเงียบ

                “เจ้าจากบ้านไปนานอะไรหลายๆ อย่างคงทำให้ไม่คุ้นชิน เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะปรับตัวต่อบ้านของเจ้าได้ในสักวัน”

...บ้าน...

                “มารีอา”

                “เพคะ” เสียงใสจากเด็กสาวที่อยู่ห่างออกไปขานรับรับตรัสแล้วก้าวออกมาค้อมกายอยู่เบื้องหลังเจ้าหญิงลูนาเซีย

                “เจ้าพาเจ้าหญิงไปยังที่ประทับ และอำนวยความสะดวกให้นางด้วย”

                “เพคะ”

                “ไปพักผ่อนเถิดเจ้าหญิงลูน่า”

                “ขอบพระทัยเพคะ หม่อมฉันทูลลา” เจ้าหญิงพลัดถิ่นย่อกายเคารพอีกครั้งก่อนจะออกเดินนำสาวใช้ที่ย่อกายเคารพประมุขสูงสุดแล้วเดินตามเธอไป

                ทั้งสองเดินมาตามทางที่ถูกจับจ้องด้วยผู้คนด้วยสายตาที่หลากหลายรูปแบบ และแน่นอนว่าสายตาในนั้นต้องมีความรังเกียจที่เธอมักจะได้เสมอเมื่อครั้งวัยเยาว์ หากเป็นตอนนั้นเธอคงหวาดกลัวและได้แต่ก้มหน้าเดินไปหามารดาที่ตำหนักท้ายวัง สุดท้ายต้องร้องไห้ออกมาอย่างเกินรับไหวในอ้อมอกอันอบอุ่น แต่ตอนนี้ความเดียวดายได้ได้เป็นเสมือนเพื่อที่ภักดี เป็นดั่งอาภรณ์ที่โอบอุ้มร่างกายนี้ไปเสียแล้ว

                “ถึงแล้วเพคะ” เสียงเด็กรับใช้ดังหยุดความคิดในอดีตให้จบลง

 เบื้องหน้าเธอคือบานประตูที่แสนคุ้นเคยตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต บานประตูที่ทุกครั้งเมื่อเปิดเข้าไปจะมีหญิงงามที่มองมาทางเธออย่างอ่อนโยน น้ำเสียงหวานดังสะท้อนเหมือนเหตุการณ์ในอดีตกลับมาปรากฏตรงหน้า มารีอาก้าวมาเปิดประตูไม้สลักลายเทพธิดานางฟ้า ภาพมารดาที่นั่งยิ้มอ่อนโยนมองตรงมาที่เธอ

 

‘ลูน่า เจ้ามาแล้วหรือ’

 

แต่เพียงพริบตาร่างบอบบางของผู้เป็นที่รักก็เลือนหายไป อยากได้ยินเสียงเช่นนั้นอีกเหลือเกิน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ เจ้าหญิงลูนาเซียสลัดความคิดของตนก้าวจะก้าวย่างเข้าไปภายใน เครื่องเรือนทรงอย่างยังเหมือนเช่นครั้งความทรงจำ ยิ่งสะท้อนภาพในห้วงอดีตให้โหยหา แต่ไม่อาจเอื้อมมือคว้าไว้

“ขอบใจเจ้ามาก” เจ้าหญิงลูนาเซียตรัสเรียบๆ แล้วก้าวเข้าไปในห้อง แต่เสียงจากเด็กสาวด้านหลังทำให้ต้องหยุด แล้วหันมองผู้พูดอีกครั้ง

“คะ...คือว่า...”

“...” พระขนงขมวดขึ้นเล็กน้อย ก่อนคนเบื้องหลังจะละล่ำละลักพูด

“หะ...ให้หม่อมฉันอยู่เป็นเพื่อนไหมเพคะ”

“ไม่ต้องหรอก”

“เช่นนั้นหากทรงมีอะไรที่ต้องการ โปรดเรียกเรียกหาหม่อมฉันได้ทุกเมื่อนะเพคะ”

“อืม... ขอบใจ” สิ้นคำเจ้าหญิงทรงหันวรกายโดยไม่ได้สนใจสาวใช้ที่ปิดประตูตามให้ เสียงลมหายใจถูกผ่อนออกเบาๆ ทันทีที่ประตูปิดสนิท

ช่างเป็นเจ้าหญิงที่มีบรรยายดำมืดเสียจริง ภายใต้พระพักตร์นิ่งเฉยจะทรงคิดสิ่งใดบ้างนะ มารีอาเดินออกจากบริเวณที่ประทับอย่างเหมือนคนหมดแรงที่เส้นประสาทแทบตื่นตูมอยู่ตลอดเวลา

หลังประตูบานที่พึ่งถูกปิด เจ้าหญิงลูนาเซียทรงดำเนินไปยังหน้าต่างที่ถูกเปิดให้อากาศถ่ายเททันที พระเนตรสวยจ้องมองไปยังท้องฟ้าครามที่มีเมฆปุยลอยเคว้งคว้างไปตามสายลมที่ไม่รู้ว่าจะนำพาไปที่ใด ทั้งๆ ที่ผ่านการเดินทางมาแสนไกล แต่มันกลับไม่ทำให้เจ้าหญิงพลัดถิ่นล้มองค์ลงพักผ่อน พระพักตร์ขาวซีดผินมองไปยังท้องนภา ดั่งจะมีใครมองตอบมาจากบนนั้น โอษฐ์อิ่มเอื้อนเอ่ยแผ่วเบา

“ลูกกลับมาแล้วเพคะ พระองค์ยินดีไหมเพคะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา