The chess war มหาสงครามเกมหมากรุก
10.0
เขียนโดย liber
วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.46 น.
26 บท
1 วิจารณ์
26.20K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 15.43 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) SECOND CHECK – THE TALK AT BONFIRE
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ “ข้าต้องถามมากกว่านะ ว่าเจ้า...คือใคร?”เสียงที่ย้อนถามกลับมาทำให้แอนคอร่าสะอึก ตอนนี้
เธอสำนึกได้แล้วว่าไม่ใช่ฝ่ายที่จะถามอะไรได้ทั้งนั้น
“ฉ..ฉันชื่อแอนคอร่า โฮปค่ะ”หญิงสาวตอบด้วยดวงตาสั่นระริก แต่ดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ยัง
สบกับดวงตาสีน้ำเงินสดของอีกฝ่ายอยู่ดี
“เจ้ามาจากไหนกัน ที่นี้เป็นเขตสงคราม แถมเป็นเขตของกองหินศักดิ์สิทธิ์ด้วย ชาวบ้านอพยพ
ออกไปจนจะกลายเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว”เขาเอ่ยพลางขมวดมุ่นคิ้ว
“จะพูดว่ายังไงดีล่ะ..”แอนคอร่าบ่นงึมงำกับตนเอง “คือว่า ฉันมาจากอีกที่หนึ่ง...ด้วยกองหิน
ด้านนอกนั่นน่ะค่ะ”เธอตอบพลางผายมือไปทางสโตนเฮนจ์(ชื่อชั่วคราว) ชายคนนั้นสะดุ้งทันที
“ด้วยอักขระแปลกๆ แล้วก็ฟ้าผ่าใช่ไหม?”เขาถาม
“ใช่ค่ะ ทำไม่คุณถึงรู้ได้..”หญิงสาวเอ่ยด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าเธอยังไม่รู้จะทำยังไงล่ะก็ มากับฉันก่อนก็ได้”เขาเอ่ยแล้วจับมือของแอนคอร่าให้เดินตามมา
มือหนาแหวกพุ่มไม้ออก เผยให้เห็นกระโจมที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและกองขอนไม้ที่เรียงเอาไว้อย่างเป็น
ระเบียบโดยไม่ได้จุดไฟ ชายผู้นั้นสะบัดมือออกไป เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นที่ขอนไม้ทันที หญิงสาวมองชาย
หนุ่มลึกลับด้วยความตื่นตะลึง แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยราวมันเป็นเรื่องปกติ แอนคอร่ากำมือแน่น
เธอรู้สึกเย็นวาบที่หลัง แต่มือกลับเปียกชุ่มไปหมด ดูเหมือนว่าเธอจะเจอกับ จอมเวท และ โลกแฟนตาซี
ของจริงเสียแล้ว
“นั่งลงสิ” ชายหนุ่มเชื้อเชิญ แอนคอร่าจึงนั่งลงโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด แล้วเขาจึงนั่งลงที่
ขอนไม้ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างเงียบๆ “โลกแห่งนี้มีชื่อว่าเชสเวิลด์(chess world)...”เขาเริ่มเล่า
“เดิมที่ข้าว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกคงจะสร้างสัญลักษณ์ตัวหมากทั้ง 32 ตัวเอาไว้เพื่อการแข่งขัน
เพื่อกระชับมิตรภาพ ท่านต้องการสร้างหมากรุกที่มีกติกาเป็นสงคราม แต่คำสั่งคงผิดพลาดไปหน่อย ก็
เลยกลายเป็นสงครามที่มีกติกาเป็นหมากรุกแทน..”
“เดี๋ยวนะคะ แสดงว่าที่บอกว่าที่นี่เป็นเขตสงคราม ก็เป็นสงครามแบบนี้เหรอคะ?”หญิงสาวแทรก
ขึ้นด้วยความสงสัย แต่มือบางก็รีบตะครุบปิดปากของตนเองทันทีเพราะว่ามันเป็นการเสียมารยาทมาก
ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆประมาณว่าไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะตอบคำถามของเธอง่ายๆ
“อืม แล้วเหมือนกับต้องคำสาปเลย ทุกครั้ง ไม่เคยเกิน 100 ปี จะมีสงครามเริ่มต้นขึ้น แล้วทุก
ครั้ง มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายของข้าเสมอเลย” พูดถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของชายหนุ่มก็หมองเศร้าลง ทำ
ให้แอนคอร่าทำใจกล้าแล้วถามขึ้นว่า
“คุณ..เป็นฝ่ายขาวเหรอคะ?”
“ถูกต้อง แต่เจ้ารู้?”เขาเอ่ยด้วยความงุนงง
“ฉันชอบเล่นหมากรุกน่ะค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันก็ชอบใช้เวลาว่างเล่นหมากรุกกับพี่ชายของฉัน
เป็นประจำเลยค่ะ”แอนคอร่าตอบพลางกุมล็อกเก็ตรูปใบเมเปิลสีเขียวสดใต้อกเสื้อเงียบๆ เธอคิดถึงพี่ชาย
ฝาแฝดของเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มหยิบหัวมันหมกเข้าไปในกองไฟ มือหนาโยนกิ่งไม้เข้าไปเป็นเชื้อเพลิง
เพิ่มแล้วเริ่มเล่าเรื่องต่อ
“แต่สงครามนี้ก็ไม่เหมือนหมากรุกซะทีเดียวหรอกนะ มันไม่มีการเข้าป้อม* ไม่มีการเลื่อนขั้น
ของเบี้ย** ไม่มีการกินผ่าน***และที่สำคัญ..” พอถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูดเพื่อใช้ไม้เขี่ยกองไฟให้ลุกโชน
ขึ้น เปลวไฟที่สะท้อนอยู่ในแววตาทำให้หญิงสาวไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังมีความรู้สึกเช่นใด
“หมากหนึ่งตัว จะถูกแทนคนหนึ่งคนยังไงล่ะ!”
“...โหดร้าย..โหดร้ายเกินไปแล้วนะ”แอนคอร่าพึมพำเบาๆทำให้สีหน้าของชายหนุ่มหมองลง
“ข้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ” เขาพูดพลางเอนนอนลงโดยใช้ขอนไม้ต่างหมอนหนุน นั่นทำให้หญิงสาว
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง ในยามนี้ พระอาทิตย์ได้ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดที่เข้าปกคลุม ทำให้เห็น
ดวงดาวกระจ่างผ่านช่องว่างจากต้นไม้ในป่าโปร่ง พระจันทร์เริ่มขึ้นเหนือยอดไม้ลิบๆ เสียงนกฮูกดังขึ้นเป็น
ระยะ สลับกับเสียงปะทุเปรี๊ยะๆของกองไฟที่เผาผลาญแผ่แสงสว่างและความอบอุ่นครอบคลุมบริเวณโดย
รอบ
“ทั้งที่ตอนที่ฉันมายังเป็นตอนเช้าอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้ดันกลายเป็นกลางคืนซะแล้ว”หญิงสาวรำพึง
กับตนเองก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มอย่างนึกได้“ว่าแต่..คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”เธอถามขึ้น ชายหนุ่มที่นอน
ดูดาวอยู่หันหน้ามาหา สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็กล่าวขึ้นเบาๆว่า
“แกลเดียส...แกลเดียส ไวท์คิง”
“งั้นก็..ขอบคุณคุณแกลเดียสนะคะ ที่ช่วยเล่าเรื่องราวของโลกใบนี้ให้ฟัง”แอนคอร่าขอบคุณ
พร้อมรอยยิ้ม แกลเดียสอึ้งไปเล็กน้อย ร่างสูงพลิกตัวกลับไปมองท้องฟ้ายามรัตติกาลเหมือนเดิม
“...ไม่เป็นไร..”เขาตอบแล้วหลับตาลงเงียบๆพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก แต่ทว่า..
‘โครก~’เสียงกระเพาะร้องดังขึ้น ทำให้หญิงสาวเอามือกุมท้องของตนเองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะ
ความอาย แกลเดียสพ่นลมหายพรืด เหมือนจะหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ เขาลุกขึ้นจากท่านอน ใช้กิ่งไม้เขี่ย
ฟืนออก แล้วเขี่ยมันเผาร้อนๆออกมาส่งให้แอนคอร่า
“เอาไปสิ เจ้าคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม?”เขาเอ่ยเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเอื้ออารี มือบางจึง
รับมันไปจากเขา หญิงสาวมองหัวมันด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะตัดสินใจหักมันออกเป็นสองท่อนแล้วยื่นให้ชาย
หนุ่มครึ่งหนึ่ง
“แบ่งกันคนล่ะครึ่งอย่างนี้แหละ ดีที่สุด”เธอพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ
“เจ้า..”แกลเดียสพึมพำออกมาด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันบริสุทธิ์ของแอนคอร่าแล้ว
เขาจึงรับมันเผาไปในที่สุด คนทั้งคู่นั่งด้วยกันท่ามกลางกองไฟ บิชิ้นมันเข้าปากพร้อมกับดื่มด่ำกับรสหวาน
และสัมผัสร่วนๆของเนื้อมันสีเหลืองนวลบนลิ้นและกระพุ้งแก้ม
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน นี่เป็นสัจธรรมหลังกินข้าวโดยแท้ หญิงสาวพยายามฝืนร่างกายไม่ให้หลับ
แต่เนื่องจากเธอพึ่งจะหายไข้มาไม่นาน บวกกับความแปลกประหลาดของเหตุการณ์ในวันนี้ แอนคอร่าจึง
ผล็อยหลับในที่สุด แต่ขณะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เธอสัมผัสได้ว่ามีใครซักคนอุ้มเธอไปไว้ในกระโจมพักแรมและ
จัดท่านอนให้เรียบร้อย มือนั้นหยาบกร้านเพราะจับดาบบ่อย แต่ก็มีสัมผัสอันอบอุ่นและอ่อนโยนค่อยๆคลี่ผ้า
ห่มคลุมร่างบาง มือหนาเอื้อมไปลูบแก้มนวลของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาโดยระมัดระวังไม่ให้เธอตื่น เสียงนุ่ม
กระซิบข้างหูว่า
“..ขอบคุณ..แล้วก็ฝันดีนะ..”
แอนคอร่าลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสลัวของยามเช้า เมื่อเธอลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในที่พักชั่ว
คราวของแกลเดียส สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงชายหนุ่มด้วยความขอบคุณ เธอลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับ
ความรู้สึกปวดเมื่อยที่เข้าจู่โจมบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง
“อูย..สงสัยไข้จะกลับแฮะ”หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆแล้วลุกขึ้นโซเซออกไปนอกกระโจมทันที
“อรุณสวัสดิ์”เสียงของแกลเดียสทักขึ้นเรียบๆขณะที่มือหนากำลังชุลมุนกับการเก็บสัมภาระ
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ”แอนคอร่าทักทายกลับพร้อมกับฝืนยิ้ม”มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
“ถ้างั้นก็ช่วยไปเก็บของของเจ้าด่วนเลย ขอโทษนะ แต่เกรงว่าพวกเราคงต้องรีบ”เขาเอ่ยเสียง
เครียด หญิงสาวจึงไปหยิบสัมภาระของตนออกมาจะกระโจมธรรมชาติทันที
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”เธอบอกแกลเดียสที่พึ่งเก็บของชิ้นสุดท้ายลงบนอานของม้าสีเงินงดงามตัวหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”แอนคอร่าถามขึ้นด้วยความกังวลใจ ชายหนุ่มดึงดาบสีเงินมันปลาบออก
มาจากฝัก สีหน้าเคร่งเครียดนั้นทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกผิดที่ถามออกไป แต่แล้ว ดวงตาสีไพลินก็สบกับดวง
ตาของเธอ พร้อมกับคำตอบที่ออกมาจากปากของแกลเดียสว่า
“พวกเบี้ยดำ!”
*การเข้าป้อม (castling) การเดินคิงสองช่องไปหาเรือ และวางเรือไว้จัตุรัสสุดท้ายที่คิงเพิ่งข้ามมา
**การเลื่อนขั้นของเบี้ย (promotion)เมื่อเบี้ยเดินหน้าไปถึงแถวสุดท้าย เบี้ยนั้นจะได้ "เลื่อนขั้น" ใน
การเดินนั้น และต้องแลกเป็นตัวหมากที่ผู้เล่นเลือก ไม่ว่าจะเป็นควีน เรือ บิชอปหรืออัศวินสีเดียวกัน
***การกินผ่าน (en passant)เมื่อเบี้ยเดินหน้าสองช่องจากตำแหน่งเริ่มต้นและมีเบี้ยฝ่ายตรงข้ามใน
ตาหมากติดกันที่อยู่ประชิดจัตุรัสปลายทาง แล้วเบี้ยฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดเบี้ยนั้นได้ขณะผ่าน แล้วเดิน
ไปยังจัตุรัสที่เบี้ยนั้นเดินเลยมา อย่างไรก็ดี การเดินแบบนี้สามารถทำได้ในตาถัดไปเท่านั้น
เธอสำนึกได้แล้วว่าไม่ใช่ฝ่ายที่จะถามอะไรได้ทั้งนั้น
“ฉ..ฉันชื่อแอนคอร่า โฮปค่ะ”หญิงสาวตอบด้วยดวงตาสั่นระริก แต่ดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ยัง
สบกับดวงตาสีน้ำเงินสดของอีกฝ่ายอยู่ดี
“เจ้ามาจากไหนกัน ที่นี้เป็นเขตสงคราม แถมเป็นเขตของกองหินศักดิ์สิทธิ์ด้วย ชาวบ้านอพยพ
ออกไปจนจะกลายเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว”เขาเอ่ยพลางขมวดมุ่นคิ้ว
“จะพูดว่ายังไงดีล่ะ..”แอนคอร่าบ่นงึมงำกับตนเอง “คือว่า ฉันมาจากอีกที่หนึ่ง...ด้วยกองหิน
ด้านนอกนั่นน่ะค่ะ”เธอตอบพลางผายมือไปทางสโตนเฮนจ์(ชื่อชั่วคราว) ชายคนนั้นสะดุ้งทันที
“ด้วยอักขระแปลกๆ แล้วก็ฟ้าผ่าใช่ไหม?”เขาถาม
“ใช่ค่ะ ทำไม่คุณถึงรู้ได้..”หญิงสาวเอ่ยด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าเธอยังไม่รู้จะทำยังไงล่ะก็ มากับฉันก่อนก็ได้”เขาเอ่ยแล้วจับมือของแอนคอร่าให้เดินตามมา
มือหนาแหวกพุ่มไม้ออก เผยให้เห็นกระโจมที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและกองขอนไม้ที่เรียงเอาไว้อย่างเป็น
ระเบียบโดยไม่ได้จุดไฟ ชายผู้นั้นสะบัดมือออกไป เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นที่ขอนไม้ทันที หญิงสาวมองชาย
หนุ่มลึกลับด้วยความตื่นตะลึง แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยราวมันเป็นเรื่องปกติ แอนคอร่ากำมือแน่น
เธอรู้สึกเย็นวาบที่หลัง แต่มือกลับเปียกชุ่มไปหมด ดูเหมือนว่าเธอจะเจอกับ จอมเวท และ โลกแฟนตาซี
ของจริงเสียแล้ว
“นั่งลงสิ” ชายหนุ่มเชื้อเชิญ แอนคอร่าจึงนั่งลงโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด แล้วเขาจึงนั่งลงที่
ขอนไม้ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างเงียบๆ “โลกแห่งนี้มีชื่อว่าเชสเวิลด์(chess world)...”เขาเริ่มเล่า
“เดิมที่ข้าว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกคงจะสร้างสัญลักษณ์ตัวหมากทั้ง 32 ตัวเอาไว้เพื่อการแข่งขัน
เพื่อกระชับมิตรภาพ ท่านต้องการสร้างหมากรุกที่มีกติกาเป็นสงคราม แต่คำสั่งคงผิดพลาดไปหน่อย ก็
เลยกลายเป็นสงครามที่มีกติกาเป็นหมากรุกแทน..”
“เดี๋ยวนะคะ แสดงว่าที่บอกว่าที่นี่เป็นเขตสงคราม ก็เป็นสงครามแบบนี้เหรอคะ?”หญิงสาวแทรก
ขึ้นด้วยความสงสัย แต่มือบางก็รีบตะครุบปิดปากของตนเองทันทีเพราะว่ามันเป็นการเสียมารยาทมาก
ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆประมาณว่าไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะตอบคำถามของเธอง่ายๆ
“อืม แล้วเหมือนกับต้องคำสาปเลย ทุกครั้ง ไม่เคยเกิน 100 ปี จะมีสงครามเริ่มต้นขึ้น แล้วทุก
ครั้ง มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายของข้าเสมอเลย” พูดถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของชายหนุ่มก็หมองเศร้าลง ทำ
ให้แอนคอร่าทำใจกล้าแล้วถามขึ้นว่า
“คุณ..เป็นฝ่ายขาวเหรอคะ?”
“ถูกต้อง แต่เจ้ารู้?”เขาเอ่ยด้วยความงุนงง
“ฉันชอบเล่นหมากรุกน่ะค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันก็ชอบใช้เวลาว่างเล่นหมากรุกกับพี่ชายของฉัน
เป็นประจำเลยค่ะ”แอนคอร่าตอบพลางกุมล็อกเก็ตรูปใบเมเปิลสีเขียวสดใต้อกเสื้อเงียบๆ เธอคิดถึงพี่ชาย
ฝาแฝดของเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มหยิบหัวมันหมกเข้าไปในกองไฟ มือหนาโยนกิ่งไม้เข้าไปเป็นเชื้อเพลิง
เพิ่มแล้วเริ่มเล่าเรื่องต่อ
“แต่สงครามนี้ก็ไม่เหมือนหมากรุกซะทีเดียวหรอกนะ มันไม่มีการเข้าป้อม* ไม่มีการเลื่อนขั้น
ของเบี้ย** ไม่มีการกินผ่าน***และที่สำคัญ..” พอถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูดเพื่อใช้ไม้เขี่ยกองไฟให้ลุกโชน
ขึ้น เปลวไฟที่สะท้อนอยู่ในแววตาทำให้หญิงสาวไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังมีความรู้สึกเช่นใด
“หมากหนึ่งตัว จะถูกแทนคนหนึ่งคนยังไงล่ะ!”
“...โหดร้าย..โหดร้ายเกินไปแล้วนะ”แอนคอร่าพึมพำเบาๆทำให้สีหน้าของชายหนุ่มหมองลง
“ข้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ” เขาพูดพลางเอนนอนลงโดยใช้ขอนไม้ต่างหมอนหนุน นั่นทำให้หญิงสาว
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง ในยามนี้ พระอาทิตย์ได้ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดที่เข้าปกคลุม ทำให้เห็น
ดวงดาวกระจ่างผ่านช่องว่างจากต้นไม้ในป่าโปร่ง พระจันทร์เริ่มขึ้นเหนือยอดไม้ลิบๆ เสียงนกฮูกดังขึ้นเป็น
ระยะ สลับกับเสียงปะทุเปรี๊ยะๆของกองไฟที่เผาผลาญแผ่แสงสว่างและความอบอุ่นครอบคลุมบริเวณโดย
รอบ
“ทั้งที่ตอนที่ฉันมายังเป็นตอนเช้าอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้ดันกลายเป็นกลางคืนซะแล้ว”หญิงสาวรำพึง
กับตนเองก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มอย่างนึกได้“ว่าแต่..คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”เธอถามขึ้น ชายหนุ่มที่นอน
ดูดาวอยู่หันหน้ามาหา สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็กล่าวขึ้นเบาๆว่า
“แกลเดียส...แกลเดียส ไวท์คิง”
“งั้นก็..ขอบคุณคุณแกลเดียสนะคะ ที่ช่วยเล่าเรื่องราวของโลกใบนี้ให้ฟัง”แอนคอร่าขอบคุณ
พร้อมรอยยิ้ม แกลเดียสอึ้งไปเล็กน้อย ร่างสูงพลิกตัวกลับไปมองท้องฟ้ายามรัตติกาลเหมือนเดิม
“...ไม่เป็นไร..”เขาตอบแล้วหลับตาลงเงียบๆพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก แต่ทว่า..
‘โครก~’เสียงกระเพาะร้องดังขึ้น ทำให้หญิงสาวเอามือกุมท้องของตนเองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะ
ความอาย แกลเดียสพ่นลมหายพรืด เหมือนจะหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ เขาลุกขึ้นจากท่านอน ใช้กิ่งไม้เขี่ย
ฟืนออก แล้วเขี่ยมันเผาร้อนๆออกมาส่งให้แอนคอร่า
“เอาไปสิ เจ้าคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม?”เขาเอ่ยเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเอื้ออารี มือบางจึง
รับมันไปจากเขา หญิงสาวมองหัวมันด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะตัดสินใจหักมันออกเป็นสองท่อนแล้วยื่นให้ชาย
หนุ่มครึ่งหนึ่ง
“แบ่งกันคนล่ะครึ่งอย่างนี้แหละ ดีที่สุด”เธอพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ
“เจ้า..”แกลเดียสพึมพำออกมาด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันบริสุทธิ์ของแอนคอร่าแล้ว
เขาจึงรับมันเผาไปในที่สุด คนทั้งคู่นั่งด้วยกันท่ามกลางกองไฟ บิชิ้นมันเข้าปากพร้อมกับดื่มด่ำกับรสหวาน
และสัมผัสร่วนๆของเนื้อมันสีเหลืองนวลบนลิ้นและกระพุ้งแก้ม
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน นี่เป็นสัจธรรมหลังกินข้าวโดยแท้ หญิงสาวพยายามฝืนร่างกายไม่ให้หลับ
แต่เนื่องจากเธอพึ่งจะหายไข้มาไม่นาน บวกกับความแปลกประหลาดของเหตุการณ์ในวันนี้ แอนคอร่าจึง
ผล็อยหลับในที่สุด แต่ขณะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เธอสัมผัสได้ว่ามีใครซักคนอุ้มเธอไปไว้ในกระโจมพักแรมและ
จัดท่านอนให้เรียบร้อย มือนั้นหยาบกร้านเพราะจับดาบบ่อย แต่ก็มีสัมผัสอันอบอุ่นและอ่อนโยนค่อยๆคลี่ผ้า
ห่มคลุมร่างบาง มือหนาเอื้อมไปลูบแก้มนวลของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาโดยระมัดระวังไม่ให้เธอตื่น เสียงนุ่ม
กระซิบข้างหูว่า
“..ขอบคุณ..แล้วก็ฝันดีนะ..”
แอนคอร่าลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสลัวของยามเช้า เมื่อเธอลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในที่พักชั่ว
คราวของแกลเดียส สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงชายหนุ่มด้วยความขอบคุณ เธอลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับ
ความรู้สึกปวดเมื่อยที่เข้าจู่โจมบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง
“อูย..สงสัยไข้จะกลับแฮะ”หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆแล้วลุกขึ้นโซเซออกไปนอกกระโจมทันที
“อรุณสวัสดิ์”เสียงของแกลเดียสทักขึ้นเรียบๆขณะที่มือหนากำลังชุลมุนกับการเก็บสัมภาระ
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ”แอนคอร่าทักทายกลับพร้อมกับฝืนยิ้ม”มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”
“ถ้างั้นก็ช่วยไปเก็บของของเจ้าด่วนเลย ขอโทษนะ แต่เกรงว่าพวกเราคงต้องรีบ”เขาเอ่ยเสียง
เครียด หญิงสาวจึงไปหยิบสัมภาระของตนออกมาจะกระโจมธรรมชาติทันที
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”เธอบอกแกลเดียสที่พึ่งเก็บของชิ้นสุดท้ายลงบนอานของม้าสีเงินงดงามตัวหนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”แอนคอร่าถามขึ้นด้วยความกังวลใจ ชายหนุ่มดึงดาบสีเงินมันปลาบออก
มาจากฝัก สีหน้าเคร่งเครียดนั้นทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกผิดที่ถามออกไป แต่แล้ว ดวงตาสีไพลินก็สบกับดวง
ตาของเธอ พร้อมกับคำตอบที่ออกมาจากปากของแกลเดียสว่า
“พวกเบี้ยดำ!”
*การเข้าป้อม (castling) การเดินคิงสองช่องไปหาเรือ และวางเรือไว้จัตุรัสสุดท้ายที่คิงเพิ่งข้ามมา
**การเลื่อนขั้นของเบี้ย (promotion)เมื่อเบี้ยเดินหน้าไปถึงแถวสุดท้าย เบี้ยนั้นจะได้ "เลื่อนขั้น" ใน
การเดินนั้น และต้องแลกเป็นตัวหมากที่ผู้เล่นเลือก ไม่ว่าจะเป็นควีน เรือ บิชอปหรืออัศวินสีเดียวกัน
***การกินผ่าน (en passant)เมื่อเบี้ยเดินหน้าสองช่องจากตำแหน่งเริ่มต้นและมีเบี้ยฝ่ายตรงข้ามใน
ตาหมากติดกันที่อยู่ประชิดจัตุรัสปลายทาง แล้วเบี้ยฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดเบี้ยนั้นได้ขณะผ่าน แล้วเดิน
ไปยังจัตุรัสที่เบี้ยนั้นเดินเลยมา อย่างไรก็ดี การเดินแบบนี้สามารถทำได้ในตาถัดไปเท่านั้น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ