The chess war มหาสงครามเกมหมากรุก

10.0

เขียนโดย liber

วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 17.46 น.

  26 บท
  1 วิจารณ์
  25.90K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558 15.43 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) SECOND CHECK – THE TALK AT BONFIRE

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

          “ข้าต้องถามมากกว่านะ ว่าเจ้า...คือใคร?”เสียงที่ย้อนถามกลับมาทำให้แอนคอร่าสะอึก ตอนนี้

เธอสำนึกได้แล้วว่าไม่ใช่ฝ่ายที่จะถามอะไรได้ทั้งนั้น

          “ฉ..ฉันชื่อแอนคอร่า โฮปค่ะ”หญิงสาวตอบด้วยดวงตาสั่นระริก แต่ดวงตาสีเขียวกระจ่างใสก็ยัง

สบกับดวงตาสีน้ำเงินสดของอีกฝ่ายอยู่ดี

          “เจ้ามาจากไหนกัน ที่นี้เป็นเขตสงคราม แถมเป็นเขตของกองหินศักดิ์สิทธิ์ด้วย ชาวบ้านอพยพ

ออกไปจนจะกลายเป็นเมืองร้างอยู่แล้ว”เขาเอ่ยพลางขมวดมุ่นคิ้ว

          “จะพูดว่ายังไงดีล่ะ..”แอนคอร่าบ่นงึมงำกับตนเอง “คือว่า ฉันมาจากอีกที่หนึ่ง...ด้วยกองหิน

ด้านนอกนั่นน่ะค่ะ”เธอตอบพลางผายมือไปทางสโตนเฮนจ์(ชื่อชั่วคราว) ชายคนนั้นสะดุ้งทันที

          “ด้วยอักขระแปลกๆ แล้วก็ฟ้าผ่าใช่ไหม?”เขาถาม

          “ใช่ค่ะ ทำไม่คุณถึงรู้ได้..”หญิงสาวเอ่ยด้วยความแปลกใจ ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเบาๆ

          “ถ้าเธอยังไม่รู้จะทำยังไงล่ะก็ มากับฉันก่อนก็ได้”เขาเอ่ยแล้วจับมือของแอนคอร่าให้เดินตามมา

มือหนาแหวกพุ่มไม้ออก เผยให้เห็นกระโจมที่ทำจากวัสดุธรรมชาติและกองขอนไม้ที่เรียงเอาไว้อย่างเป็น

ระเบียบโดยไม่ได้จุดไฟ ชายผู้นั้นสะบัดมือออกไป เปลวเพลิงก็ลุกโชนขึ้นที่ขอนไม้ทันที หญิงสาวมองชาย

หนุ่มลึกลับด้วยความตื่นตะลึง แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยราวมันเป็นเรื่องปกติ แอนคอร่ากำมือแน่น

เธอรู้สึกเย็นวาบที่หลัง แต่มือกลับเปียกชุ่มไปหมด ดูเหมือนว่าเธอจะเจอกับ จอมเวท และ โลกแฟนตาซี

ของจริงเสียแล้ว

          “นั่งลงสิ” ชายหนุ่มเชื้อเชิญ แอนคอร่าจึงนั่งลงโดยไม่อิดออดแต่อย่างใด แล้วเขาจึงนั่งลงที่

ขอนไม้ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างเงียบๆ “โลกแห่งนี้มีชื่อว่าเชสเวิลด์(chess world)...”เขาเริ่มเล่า

          “เดิมที่ข้าว่าพระเจ้าผู้สร้างโลกคงจะสร้างสัญลักษณ์ตัวหมากทั้ง 32 ตัวเอาไว้เพื่อการแข่งขัน

เพื่อกระชับมิตรภาพ ท่านต้องการสร้างหมากรุกที่มีกติกาเป็นสงคราม แต่คำสั่งคงผิดพลาดไปหน่อย ก็

เลยกลายเป็นสงครามที่มีกติกาเป็นหมากรุกแทน..”

          “เดี๋ยวนะคะ แสดงว่าที่บอกว่าที่นี่เป็นเขตสงคราม ก็เป็นสงครามแบบนี้เหรอคะ?”หญิงสาวแทรก

ขึ้นด้วยความสงสัย แต่มือบางก็รีบตะครุบปิดปากของตนเองทันทีเพราะว่ามันเป็นการเสียมารยาทมาก

ชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆประมาณว่าไม่เป็นไรหรอก ก่อนจะตอบคำถามของเธอง่ายๆ

          “อืม แล้วเหมือนกับต้องคำสาปเลย ทุกครั้ง ไม่เคยเกิน 100 ปี จะมีสงครามเริ่มต้นขึ้น แล้วทุก

ครั้ง มันจะต้องเริ่มต้นจากฝ่ายของข้าเสมอเลย” พูดถึงตรงนี้แล้ว สีหน้าของชายหนุ่มก็หมองเศร้าลง ทำ

ให้แอนคอร่าทำใจกล้าแล้วถามขึ้นว่า

          “คุณ..เป็นฝ่ายขาวเหรอคะ?”

          “ถูกต้อง แต่เจ้ารู้?”เขาเอ่ยด้วยความงุนงง

          “ฉันชอบเล่นหมากรุกน่ะค่ะ ก่อนที่จะมาที่นี่ ฉันก็ชอบใช้เวลาว่างเล่นหมากรุกกับพี่ชายของฉัน

เป็นประจำเลยค่ะ”แอนคอร่าตอบพลางกุมล็อกเก็ตรูปใบเมเปิลสีเขียวสดใต้อกเสื้อเงียบๆ เธอคิดถึงพี่ชาย

ฝาแฝดของเธอเหลือเกิน ชายหนุ่มหยิบหัวมันหมกเข้าไปในกองไฟ มือหนาโยนกิ่งไม้เข้าไปเป็นเชื้อเพลิง

เพิ่มแล้วเริ่มเล่าเรื่องต่อ

          “แต่สงครามนี้ก็ไม่เหมือนหมากรุกซะทีเดียวหรอกนะ มันไม่มีการเข้าป้อม* ไม่มีการเลื่อนขั้น

ของเบี้ย** ไม่มีการกินผ่าน***และที่สำคัญ..” พอถึงตรงนี้ เขาก็หยุดพูดเพื่อใช้ไม้เขี่ยกองไฟให้ลุกโชน

ขึ้น เปลวไฟที่สะท้อนอยู่ในแววตาทำให้หญิงสาวไม่สามารถรู้ได้ว่าเขากำลังมีความรู้สึกเช่นใด

          “หมากหนึ่งตัว จะถูกแทนคนหนึ่งคนยังไงล่ะ!”

          “...โหดร้าย..โหดร้ายเกินไปแล้วนะ”แอนคอร่าพึมพำเบาๆทำให้สีหน้าของชายหนุ่มหมองลง

          “ข้าก็ว่าอย่างงั้นแหละ” เขาพูดพลางเอนนอนลงโดยใช้ขอนไม้ต่างหมอนหนุน นั่นทำให้หญิงสาว

เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าบ้าง ในยามนี้ พระอาทิตย์ได้ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ความมืดที่เข้าปกคลุม ทำให้เห็น

ดวงดาวกระจ่างผ่านช่องว่างจากต้นไม้ในป่าโปร่ง พระจันทร์เริ่มขึ้นเหนือยอดไม้ลิบๆ เสียงนกฮูกดังขึ้นเป็น

ระยะ สลับกับเสียงปะทุเปรี๊ยะๆของกองไฟที่เผาผลาญแผ่แสงสว่างและความอบอุ่นครอบคลุมบริเวณโดย

รอบ

          “ทั้งที่ตอนที่ฉันมายังเป็นตอนเช้าอยู่เลยแท้ๆ ตอนนี้ดันกลายเป็นกลางคืนซะแล้ว”หญิงสาวรำพึง

กับตนเองก่อนจะหันไปหาชายหนุ่มอย่างนึกได้“ว่าแต่..คุณชื่ออะไรเหรอคะ?”เธอถามขึ้น ชายหนุ่มที่นอน

ดูดาวอยู่หันหน้ามาหา สีหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็กล่าวขึ้นเบาๆว่า

          “แกลเดียส...แกลเดียส ไวท์คิง”

          “งั้นก็..ขอบคุณคุณแกลเดียสนะคะ ที่ช่วยเล่าเรื่องราวของโลกใบนี้ให้ฟัง”แอนคอร่าขอบคุณ

พร้อมรอยยิ้ม แกลเดียสอึ้งไปเล็กน้อย ร่างสูงพลิกตัวกลับไปมองท้องฟ้ายามรัตติกาลเหมือนเดิม

          “...ไม่เป็นไร..”เขาตอบแล้วหลับตาลงเงียบๆพร้อมกับรอยยิ้มมุมปาก แต่ทว่า..

     ‘โครก~’เสียงกระเพาะร้องดังขึ้น ทำให้หญิงสาวเอามือกุมท้องของตนเองด้วยใบหน้าที่แดงก่ำเพราะ

ความอาย แกลเดียสพ่นลมหายพรืด เหมือนจะหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่ เขาลุกขึ้นจากท่านอน ใช้กิ่งไม้เขี่ย

ฟืนออก แล้วเขี่ยมันเผาร้อนๆออกมาส่งให้แอนคอร่า

          “เอาไปสิ เจ้าคงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม?”เขาเอ่ยเรียบๆแต่แฝงไปด้วยความเอื้ออารี มือบางจึง

รับมันไปจากเขา หญิงสาวมองหัวมันด้วยสีหน้าลังเล ก่อนจะตัดสินใจหักมันออกเป็นสองท่อนแล้วยื่นให้ชาย

หนุ่มครึ่งหนึ่ง

          “แบ่งกันคนล่ะครึ่งอย่างนี้แหละ ดีที่สุด”เธอพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความจริงใจ

          “เจ้า..”แกลเดียสพึมพำออกมาด้วยความงุนงง แต่เมื่อเห็นสีหน้าอันบริสุทธิ์ของแอนคอร่าแล้ว

เขาจึงรับมันเผาไปในที่สุด คนทั้งคู่นั่งด้วยกันท่ามกลางกองไฟ บิชิ้นมันเข้าปากพร้อมกับดื่มด่ำกับรสหวาน

และสัมผัสร่วนๆของเนื้อมันสีเหลืองนวลบนลิ้นและกระพุ้งแก้ม

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน นี่เป็นสัจธรรมหลังกินข้าวโดยแท้ หญิงสาวพยายามฝืนร่างกายไม่ให้หลับ

แต่เนื่องจากเธอพึ่งจะหายไข้มาไม่นาน บวกกับความแปลกประหลาดของเหตุการณ์ในวันนี้ แอนคอร่าจึง

ผล็อยหลับในที่สุด แต่ขณะดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา เธอสัมผัสได้ว่ามีใครซักคนอุ้มเธอไปไว้ในกระโจมพักแรมและ

จัดท่านอนให้เรียบร้อย มือนั้นหยาบกร้านเพราะจับดาบบ่อย แต่ก็มีสัมผัสอันอบอุ่นและอ่อนโยนค่อยๆคลี่ผ้า

ห่มคลุมร่างบาง มือหนาเอื้อมไปลูบแก้มนวลของหญิงสาวอย่างแผ่วเบาโดยระมัดระวังไม่ให้เธอตื่น เสียงนุ่ม

กระซิบข้างหูว่า

          “..ขอบคุณ..แล้วก็ฝันดีนะ..”

แอนคอร่าลืมตาตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสลัวของยามเช้า เมื่อเธอลุกขึ้นมาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในที่พักชั่ว

คราวของแกลเดียส สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวหวนนึกถึงชายหนุ่มด้วยความขอบคุณ เธอลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับ

ความรู้สึกปวดเมื่อยที่เข้าจู่โจมบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง

          “อูย..สงสัยไข้จะกลับแฮะ”หญิงสาวพึมพำกับตนเองเบาๆแล้วลุกขึ้นโซเซออกไปนอกกระโจมทันที

          “อรุณสวัสดิ์”เสียงของแกลเดียสทักขึ้นเรียบๆขณะที่มือหนากำลังชุลมุนกับการเก็บสัมภาระ

          “อรุณสวัสดิ์เช่นกันค่ะ”แอนคอร่าทักทายกลับพร้อมกับฝืนยิ้ม”มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”

          “ถ้างั้นก็ช่วยไปเก็บของของเจ้าด่วนเลย ขอโทษนะ แต่เกรงว่าพวกเราคงต้องรีบ”เขาเอ่ยเสียง

เครียด หญิงสาวจึงไปหยิบสัมภาระของตนออกมาจะกระโจมธรรมชาติทันที

          “เรียบร้อยแล้วค่ะ”เธอบอกแกลเดียสที่พึ่งเก็บของชิ้นสุดท้ายลงบนอานของม้าสีเงินงดงามตัวหนึ่ง

          “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”แอนคอร่าถามขึ้นด้วยความกังวลใจ ชายหนุ่มดึงดาบสีเงินมันปลาบออก

มาจากฝัก สีหน้าเคร่งเครียดนั้นทำให้หญิงสาวเริ่มรู้สึกผิดที่ถามออกไป แต่แล้ว ดวงตาสีไพลินก็สบกับดวง

ตาของเธอ พร้อมกับคำตอบที่ออกมาจากปากของแกลเดียสว่า

          “พวกเบี้ยดำ!”

*การเข้าป้อม (castling) การเดินคิงสองช่องไปหาเรือ และวางเรือไว้จัตุรัสสุดท้ายที่คิงเพิ่งข้ามมา

**การเลื่อนขั้นของเบี้ย (promotion)เมื่อเบี้ยเดินหน้าไปถึงแถวสุดท้าย เบี้ยนั้นจะได้ "เลื่อนขั้น" ใน

การเดินนั้น และต้องแลกเป็นตัวหมากที่ผู้เล่นเลือก ไม่ว่าจะเป็นควีน เรือ บิชอปหรืออัศวินสีเดียวกัน

***การกินผ่าน (en passant)เมื่อเบี้ยเดินหน้าสองช่องจากตำแหน่งเริ่มต้นและมีเบี้ยฝ่ายตรงข้ามใน

ตาหมากติดกันที่อยู่ประชิดจัตุรัสปลายทาง แล้วเบี้ยฝ่ายตรงข้ามสามารถยึดเบี้ยนั้นได้ขณะผ่าน แล้วเดิน

ไปยังจัตุรัสที่เบี้ยนั้นเดินเลยมา อย่างไรก็ดี การเดินแบบนี้สามารถทำได้ในตาถัดไปเท่านั้น

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา