รักนะครับบ่าวของผม

9.3

เขียนโดย LingWah

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.07 น.

  3 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,034 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 21.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) บทที่ 1 เรื่องราวของความรัก ตอนที่ 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
2
          วันนี้เป็นวันอาทิตย์ วันหยุดเพียงวันเดียวในรอบสัปดาห์ของพิพัฒน์ ผมตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นทุกวัน นาฬิกาที่ข้างฝาบอกเวลาตีห้าสิบสี่นาที มองดูนาฬิการูปแมวเหมียวตาโตแล้วก็อดขำไม่ได้มันเป็นของแถมเมื่อซื้ออาหารแมวครบตามจำนวนที่กำหนด แต่สีหน้าตอนได้รับของของเจ้าคนหน้าตายนั่นต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ากว่านาฬิกาเป็นไหนๆ
 
          ผมเดินไปที่ประตูห้องนอน ลองเขี่ยๆ ดูก็พบว่ามันถูกลงกลอนเอาไว้ คงจะเป็นลาเต้ เขาไม่ชอบให้ผมเข้าไปรบกวนเวลาหวานชื่นของพวกเขาสองคนสักเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนั้นทั้งๆ ที่ผมก็แค่นั่งดูอยู่ห่างๆ เฉยๆ ก็แหม...ใครจะไปคิดว่าพ่อรูปหล่อหน้าตายจะมีรสนิยมชอบเด็กผู้ชายกันเล่า ผมเองถึงจะมีเพื่อนที่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่เคยมีใครให้ผมเข้าไปสังเกตการณ์ด้วยสักคน โอกาสงามๆ แบบนี้ก็ต้องรีบเก็บเกี่ยวสิครับ แต่ก็ติดตรงที่ว่าพ่อหนุ่มน้อยลาเต้กันผมออกไปทุกครั้งเลย ขนาดนั่งคุยกันที่โซฟายังโยนผมออกไปอยู่นอกระเบียงเลยคิดดู
 
          ผมเดินเลี่ยงเข้าไปในครัวเดินทะลุออกนอกระเบียงผ่านทางประตูแมวที่พิพัฒน์เรียกช่างมาติดตั้งให้ผมเมื่อสามวันก่อน บอกแล้วว่ามารยาแมวของผมมีเป็นร้อยเล่มเกวียน ระเบียงแคบที่ก่อนนี้เป็นพื้นที่โล่งๆ ไม่ถูกใช้ประโยชน์ในทางใด บัดนี้กลับกลายเป็นสวนครัวเล็กๆ ด้วยการชี้นำผ่านนิตยสารของผม ต้นอ่อนข้าวสาลีกำลังงอกเงยอยู่ในกระบะ ใกล้กันเป็นกะละมังปลูกผักไร้ดิน มีกระถางปลูกพืชแนวตั้งแขวนอยู่บนผนังด้วย ผักกาดกำลังงามทีเดียว สามอาทิตย์กับความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ถือว่าแผนการเปลี่ยนห้องชุดให้กลายเป็นบ้านของผมเดินหน้าไปได้ด้วยดี
 
          ประตูเชื่อมระหว่างระเบียงกับห้องนอนไม่ได้ถูกลงกลอนเอาไว้ ดูเหมือนว่าน้องลาเต้คงยังไม่รู้ว่าผมสามารถเข้าออกระเบียงได้อย่างอิสระ ไม่สามารถถูกขังเอาไว้ได้เหมือนหลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ ผมค่อยๆ เขี่ยประตูเลื่อนให้เปิดออกก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้อง ไอเย็นปะทะร่างของผมทันที ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเปิดเครื่องปรับอากาศกันในขณะที่ปล่อยให้ผมนอนตากพัดลมบนโซฟา
 
          ผมกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างแผ่วเบาและเงียบกริบ มองหาร่างสูงของพิพัฒน์ที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านวมผืนหนา ด้วยจมูกแมวของผมมันไม่ยากหรอกที่จะแยกกลิ่นกายของคนทั้งคู่ออกจากกัน ผมค่อยๆ ย่องขึ้นไปทางหัวเตียงมุดหน้าเข้าไปในผ้าห่มแล้วร้องเรียกเบาๆ ที่ข้างหูของพิพัฒน์ ผมไม่อยากรบกวนน้องลาเต้นักหรอก พ่อคุณไม่น่ารักเลยเวลาที่หงุดหงิด
 
          “เหมียว” ผมร้องเรียกเพียงเบาๆ พิพัฒน์ก็เริ่มขยับตัว ผมเขี่ยจมูกเขาเบาๆ เป็นการปลุก ผมไม่คิดจะเลียหน้าเขาหรอกนะ ผมไม่ใช่เจ้าเด็กลาเต้นั่นสักหน่อย
 
          พิพัฒน์ค่อยๆ ลุกขึ้น แขนข้างหนึ่งของเขาติดอยู่ใต้ศีรษะของเด็กหนุ่มข้างกาย เขาค่อยๆ ดึงแขนข้างนั้นออก เจ้าเด็กลาเต้ส่งเสียงงึมงำเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา พิพัฒน์เปิดปากหาวก่อนจะค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองหน้าผม มือหนาขยี้หัวผมทีหนึ่ง บ่นว่ามากวนแต่เช้า แต่คิดหรือว่าผมจะรู้สึกผิดในเมื่อสุดท้ายแล้วเขาก็ลุกขึ้นแต่งตัวเพื่อออกไปเตรียมอาหารเช้าให้กับผม และแน่นอนว่าต้องเปลี่ยนน้ำใหม่ด้วย
 
          “เอ้า!” สั้นๆ ง่ายๆ พร้อมกับชามที่พูนไปด้วยเนื้อปลาบดผสมกับผักนึ่ง สามสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องขอบอกว่าพิพัฒน์เรียนรู้วิธีปรุงอาหารแมวหลายขนานเลยทีเดียว ผมร้องขอบคุณตามมารยา เอ๊ย มารยาทแมวที่ดีก่อนจะเริ่มจัดการอาหารเช้าของตัวเอง
 
          พิพัฒน์เดินเลี่ยงไปชงกาแฟและปิ้งขนมปังสำหรับสองที่ ไข่ลวกที่ซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อถูกนำมาอุ่นในน้ำร้อน ช่างเป็นมื้อเช้าที่เรียบง่ายและมักง่ายจริงๆ ผมส่ายหัวให้กับพ่อคนมีดีแค่หน้าตากับความสามารถก่อนจะหันกลับไปจัดการกับข้าวเช้า ความจริงก็ไม่อยากรีบแต่ตาขวามันกระตุก เป็นลางว่าเจ้าเด็กลาเต้จะตื่นขึ้นมาในเร็วนี้
 
          “พี่พัฒน์หนีเต้มาทำไมครับ” เสียงโวยวายดังลั่นมาก่อนตัว แบบที่ผมสะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็รีบกินอาหารให้หมดก่อนจะเลี่ยงไปกินน้ำที่ระเบียง หลบระเบิดลูกใหญ่ที่กำลังจะลงในไม่กี่อึดใจต่อจากนี้
 
          “พี่ไม่ได้หนี” พ่อคนหน้าตายตอบเรียบๆ จัดเรียงขนมปังลงบนจานสองใบแล้วนำมาวางบนโต๊ะทานอาหาร หยิบเนยและน้ำตาลมาวางเป็นเครื่องเคียง “เต้จะเอาโกโก้หรือกาแฟ?” คนตัวสูงถามพลางหยิบแก้วเซรามิกออกมาจากตู้ตั้งท่าจะชงเครื่องดื่มให้คนรัก
 
          “พี่ทิ้งให้ผมนอนคนเดียวแบบนี้จะไม่เรียกว่าหนีได้ยังไง” ลาเต้เถียงเสียงดัง หน้าหวานๆ ไม่ชวนมองเอาเสียเลย ณ เวลานี้
 
          “พี่มาเตรียมข้าวเช้าให้เรา ตื่นมาจะได้กินเลย ไม่ได้ทิ้งสักหน่อย” พิพัฒน์กล่าวแก้ แต่ดูเหมือนว่าคนรักจะไม่ฟังเหตุผลของเขา
 
          “พี่มาเตรียมข้าวเช้าให้ผมหรือมาให้ข้าวแมวนั่นกันแน่” ผมรู้ว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ นับตั้งแต่ผมย้ายเข้ามาในห้องนี้ ไม่มีการทะเลาะกันครั้งไหนที่เด็กลาเต้จะไม่ดึงผมเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด
 
          “ก็ทั้งสองอย่างนั่นแหละ แล้วทำไมเราต้องเอาอารมณ์ไปลงกับแมวด้วย” พิพัฒน์ว่า ท่าทางเขาจะไม่พอใจที่ลาเต้ชี้นิ้วและส่งสายตาขุ่นขวางมาทางผม
 
          “ก็พี่พัฒน์เห็นมันดีกว่าผม” เด็กลาเต้กระแทกเสียง ดุเหมือนว่าจะมีคนหึงนะ ว่าแต่กับแมวนี่นะ คิดไปได้ ชมาละหน่าย คิดแล้วผมก็ลอบถอนหายใจ เช็ดปากไปพลางมองหาที่ลี้ภัยสำหรับเช้านี้
 
          “พี่ไม่ได้เห็นมอมแมมดีกว่าเรานะเต้”
 
          “พี่พัฒน์อย่ามาแก้ตัว” หนุ่มน้อยยังคงขึ้นเสียงใส่คนรัก หางเสียงสั่นคล้ายกับจะร้องไห้ ผมกลอกตาไปมาก่อนจะหลบไปหามุมสงบ เบื่อเหลือเกินกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง “พี่พัฒน์เรียกชื่อมันเต็มๆ แต่เรียกผมว่าเต้ แค่นี้มันก็ชัดแล้ว” แว่วเสียงตัดพ้อของคนหึงมาจากในครัว ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าเจ้าเด็กลาเต้นี่คิดมากหรือคนมีความรักทุกคนเป็นอย่างนี้กันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ อย่างไรเสียมันก็ไม่ใช่ปัญหาของผม ปล่อยให้คุณเจ้านายจัดการกับคนรักของเขาไปเองก็แล้วกัน เอาไว้เจ้าเด็กนั่นเอาข้าวผมไปทิ้งหรือสั่งอดข้าวผมก่อนเถอะผมจะช่วยแก้ปัญหาเต็มที่เลย
 
          “สบายจังนะ” เสียงทักทายจากคนที่เพิ่งตกเป็นจำเลยแต่เช้าเรียกให้ผมลืมตาขึ้น ที่คิดว่าจะงีบหลับตอนสายคงทำไมได้แล้ว พิพัฒน์เดินเข้ามาหาแล้วเอื้อมมือมาขยี้หัวผมเบาๆ
 
          “เหมียว”  ‘อิจฉาล่ะสิ’ ผมเยาะเย้ยแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเข้าใจ มือหนาที่เลื่อนมาเกาคางให้ผมอย่างเอาใจช่วยยืนยันความเชื่อของผมได้เป็นอย่างดี ผมแหงนหน้าเปิดคางให้อีกฝ่ายเกาได้ถนัด ขาหลังกระตุกเบาๆ เพราะกำลังเคลิ้มได้ที่ ได้ยินเสียงพิพัฒน์รำพันถึงเช้าอันวุ่นวายของเขาให้ผมฟัง ดูท่าทางพ่อคนหน้าตายนี้จะไม่ได้ไร้ความรู้สึกอย่างที่เห็นภายนอก ผมนอนหงายหลับตาพริ้มทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่เถียง ไม่ขัด ปล่อยให้เขาได้ระบายความอัดอั้นในใจออกมา
 
          “เช้านี่แย่สุดๆ ไปเลยแกว่าไหม อยู่ๆ ก็ทะเลาะกันทั้งๆ ที่มันไม่มีเรื่องอะไรเลย” เขากล่าวพลางถอนหายใจ “แกว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าเต้เขาถึงได้โกรธขนาดนั้น หรือว่าฉันดูแลใครไม่เป็นจริงๆ” คำถามลอยๆ ที่หากเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมเพิ่งพบกับเขา ผมคงตอบว่า ‘ใช่’ ทว่าในตอนนี้ผมกลับคิดว่ามันไม่ใช่ พิพัฒน์ไม่ใช่คนที่ดูแลใครไม่เป็น แต่เป็นผู้ชายซื่อๆ ทื่อๆ คนหนึ่งที่เอาใจใครไม่เป็นต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ว่าชะตานำพาอย่างไรจึงได้มาเจอกับคนเอาแต่ใจตัวเองอย่างเด็กลาเต้คนนั้น เด็กหนุ่มหน้าหวานที่หึงได้แม้กระทั่งกับแมว ลองคนสองประเภทนี้มาเจอกันร้อยทั้งร้อยก็ต้องทะเลาะกัน เว้นเสียแต่ว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนแปลงตัวเอง
 
          “มอมแมม ถ้าเป็นแกแกจะทำยังไง แกว่าฉันควรจะทำยังไงดี” เขาเรียกชื่อที่ผมไม่อยากจะได้ยินที่สุดก่อนจะถามคำถามออกมา ดูท่าเขาจะสิ้นหวังแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่นึกอุตริขอคำปรึกษากับแมวอย่างผมหรอก ผมอยากจะถอนหายใจแต่ก็ทำไม่ได้ รู้สึกอึดอัดเหลือประมาณ
 
          ผมไม่ใช่นักรัก ไม่แม้แต่จะเข้าสังคมเสียด้วยซ้ำ ชีวิตของผมมีแต่การเดินทาง ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยอยู่ติดบ้านและไม่เคยรู้สึกผูกพันกับใคร ไม่แม้แต่กับคนในครอบครัว ชมาคนที่ขายวิญญาณให้กับปีศาจเพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพคนนี้คงจะไม่เหมาะที่จะเป็นที่ปรึกษาเรื่องความรักกับใคร
 
          ‘ถ้าคบกันแล้วเครียดก็เลิกๆ กันไปเสียสิ’ นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขา ในสายตาของผมพิพัฒน์กับเจ้าเด็กลาเต้นั่นไปด้วยกันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะพยายามยื้อไว้สักแค่ไหนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องเลิกกัน
 
          “ว่าไงล่ะ?” พิพัฒน์อุ้มผมขึ้นมา ใบหน้าของเราเสมอกันจนผมมองเห็นความหม่นหมองในดวงตาของเขาได้ชัดเจน ผมหรี่ตาจ้องตอบด้วยเหนื่อยใจ ผมรู้ดีว่าเขากำลังเครียดและเป็นกังวล แต่ผมจะช่วยอะไรได้ ผมนิ่งคิดอยู่ครูหนึ่งจึงตัดสินใจทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะทำ
 
          “เหมียว” ผมส่งเสียงร้องเบาๆ ขยับตัวเล็กน้อยให้เขารู้ว่าผมต้องการให้เขาปล่อยผมลง “ขอโทษ คงจะรำคาญสินะ” เขาพึมพำพลางวางผมลงกับพื้น เมื่อลงมายืนสี่ขาบนพื้นได้สำเร็จผมก็เริ่ม “อ้อน” ด้วยการไถตัวไปกับขาของเขา เริ่มจากส่วนศีรษะไล่ไปจนจรดปลายหาง แบบที่แมวมักจะทำกัน เขาลูบตัวผมไปมา ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอตามแบบของเขาแว่วมาด้วย คงจะอารมณ์ดีขึ้นแล้ว
 
          “เฮ้ย!” เขาหลุดอุทานเมื่อผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของเขา ร่างสูงโซเซเกือบจะล้มเพราะอยู่ในท่านั่งยอง ลำแขนแกร่งโอบรอบตัวผมทันที คล้ายหับจะประคองไม่ให้ผมตกลงไป
 
          “เหมียว” ผมร้องเบาๆ พร้อมกับเอาหัวซุกเข้ากับอกของเขา ก่อนจะไถสีข้างกับแผ่นอกแกร่ง หันข้างให้กับเขาแล้วค่อยๆ หมอบลง อาการคล้ายกับที่ผมขึ้นมานอนบนตักของเขาในวันแรกที่ย้ายเข้ามา แต่แตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ผมหยอดลูกอ้อนให้เยอะกว่า อยากให้เขาลืมเรื่องหนักใจไปสักพัก นั่นคือสิ่งที่ผมคิด
 
          “อยู่ๆ ก็อ้อน พิลึกจริงๆ นะแก” พิพัฒน์ว่าพลางส่ายหน้าให้กับการอ้อนของผม เขาอุ้มผมขึ้นแนบอกแล้วพากลับเข้าไปในห้อง เขาคงจะเมื่อยแล้ว หรือไม่ก็ร้อน
 
          เรานั่งลงบนเตียงนุ่มที่สภาพไม่เรียบร้อยสักเท่าไหร่ ฝ่ามือหนาลูบไปตามแนวขนของผมเบาๆ แล้วสองขาหน้าของผมก็เริ่มนวดต้นขาของเขาอย่างที่ผมเองก็ไม่อาจจะห้ามได้ คล้ายกับเป็นนิสัยที่ฝังรากลึกอยู่ในสามัญสำนึกอย่างไรอย่างนั้น
 
          “ถามจริง ที่อ้อนที่จะเอาอะไร?” เขาถามพลางเลื่อนมือมาเกาคางให้ผม
 
          “เหมียว” ‘ขอปลาทูสามเข่งได้หรือเปล่า? หรือไม่ก็พาไปเที่ยวปางอุ๋งก็ได้ คิดถึงไม่ได้ไปมาหลายปีแล้ว’ ผมร้องตอบไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตีความเสียงร้องของผมผิดไปมากทีเดียว ก็เหมือนกับน้องอรน้องสาวของเขานั่นแหละ
 
          “แกกำลังจะบอกให้ฉันอ้อนเต้บ้างใช่ไหม?”
 
          ชมาขอบอกเลยว่าถ้ามนุษย์ตัวโตเหมือนโคถึกอย่างพิพัฒน์ “อ้อน” ใครสักคน คนผู้นั้นคงจะฝันร้ายไปหลายปีเลยทีเดียว และโชคร้ายก็ตกมาที่ผมเมื่อเขาตัดสินใจใช้ผมเป็นคู่ซ้อม “บทอ้อน” ของเขา ให้ตายสิเกิดเป็นชมานี่มีแต่เรื่องเข้ามาหาจริงๆ ผมนึกตัดพ้อต่อโชคชะตาขณะที่นอนมองคนตัวโตที่พยายามเรียกร้องความสนใจจากผมด้วยท่าทางที่เขาคิดว่าน่ารักที่สุด
 
          แต่ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าการอ้อนของพิพัฒน์ชวนให้ผมคิดถึงฝันร้ายมากกว่าจะรู้สึกชอบใจ
 
          “เต้ครับ พี่ผิดไปแล้ว ยกโทษให้พี่นะ” ร่างสูงพูดพร้อมกับเอื้อมมือมากุมสองแก้มของผม ดวงตาคมกริบจ้องสบตาผมอย่างที่เขาคงคิดว่ามันหวานซึ้ง แต่ในความเป็นจริงสายตานั้นเครียดเขม็งจนขวัญผมแทบจะบินหนีไปดาวอังคาร ผมพ่นลมออกทางจมูก ส่งสายตาเหนื่อยหน่ายไปให้ด้วยหวังว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
 
          “นะครับคนดีของพี่” พ่อคนรูปหล่อไม่ได้รู้ตัวเลยยังคงส่งสายตาโหดๆ มาให้ผม อย่างที่น้ำเสียงนุ่มๆ ก็ไม่ช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกดีขึ้น มือหนาเลื่อนจากแก้มมาที่สองขาหน้าของผมก่อนจะพยายามกุมอุ้งเท้าของผมเอาไว้
 
          แต่แล้วความพยายามของเขาก็ต้องล้มเหลวเมื่อผมชักขาทั้งสองข้างกลับทันที
 
          คิ้วเข้มพลันขมวดเข้าหากัน “อะไร? แค่นี้ทำเป็นหวง จับนิดจับหน่อยมันไม่สึกหรอหรอกน่า” เขากล่าวหา เป็นคำกล่าวหาที่ทำเอาผมอยากจะข่วนหน้าสักที ผมไม่ใช่สาวน้อยที่ต้องรักนวลสงวนตัวกลัวผิดผีสักหน่อย ที่ดึงมือออกนี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะดึงออกแต่มันเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่างหาก
 
          “เอ้า! ลองกันอีกที” พิพัฒน์พยายามที่จะซ้อมบทของเขาต่อ แต่ทันทีที่จับอุ้งเท้าผมขาของผมก็กระตุกกลับทันที เขาทำสีหน้าไม่พอใจและพยายามอยู่หลายรอบแต่ก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายเขาตัดสินใจที่จะกำเท้าผมเอาไว้แน่น
 
          “แง้ว!” แน่นจนเจ็บ ผมร้องประท้วงเสียงดัง พยายามดึงขาออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย
 
          “อะไรเล่า? ขอยืมมือหน่อยสิ” เขาว่า
 
          “มิอาว” ผมบอกปฏิเสธ
 
          “จะหวงอะไรนักหนา?”
 
          “เหมียว!” ‘ไม่ได้หวง แต่มันเป็นรีเฟล็กซ์ต่างหากรู้จักไหม’ ผมร้องประท้วงพร้อมทั้งแยกเขี้ยว จากที่พยายามดึงมือกลับตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นดิ้นทั้งตัวแล้ว
 
          “มอมแมม!” เขาขึ้นเสียง ผมชะงักไปหน่อยหนึ่ง ส่งสายตาค้อนเจ้านายคนแรกอย่างสุดเคือง ก่อนจะตัดสินใจก้มหน้าลงไปงับมือข้างหนึ่งของเขาเต็มแรง
 
          “มิอาว!” ‘อย่ามาเรียกว่ามอมแมมนะ!’
 
          ผมได้ยินเสียงพิพัฒน์ร้องอุทานขึ้นคำหนึ่ง มือหนาปล่อยผมให้เป็นอิสระซึ่งผมก็ไม่รอช้ากระโดดลงจากเตียงแล้วเผ่นหนีออกไปจากห้องนอน ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะโกรธแค่ไหนกับการที่ผมกัดเขา แต่ที่แน่ๆ ผมจะไม่ทนเป็นเหยื่อในการฝึกซ้อมบทอ้อนที่ชวนสยองของพิพัฒน์อีกแน่ๆ
 
          “กล้ามากนะเจ้าตัวแสบ” ยังไม่ทันที่ผมจะหลบเข้าที่ซ่อนพิพัฒน์ก็ตามมาทัน แน่สิก็ห้องมันแคบนิดเดียวเองนี่นา
 
          “มิอาว” ผมค้อนให้อีกหนึ่งที ในเวลาแบบนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดมากๆ เข้าไว้ ฝ่ายไหนรู้สึกผิดมากกว่าฝ่ายนั้นต้องขอโทษ นี่คือสิ่งที่ผมลักจำมาจากเพื่อนสาวที่ทะเลาะกับคนรักเป็นประจำ
 
          “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย คนที่ควรจะโกรธต้องเป็นฉันสิ” ร่างสูงว่าพร้อมกับก้าวเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ดุดัน
 
          ผมถอยหลังไปด้วยความกลัวทั้งๆ ที่ส่งสายตาค้อนเขาอยู่อย่างนั้น ร่างเล็กๆ ของผมชนเข้ากับกำแพง แนบชิดจนแทบจะฝังเข้าไปในปูนอยู่แล้ว “มิอาว” ผมร้องห้าม ตัวสั่นงันงก ที่เคยมั่นใจว่าจัดการได้บัดนี้ไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวของความมั่นใจ ร่างสูงใหญ่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะวิ่งหนี ต่อให้ต้องวิ่งไล่จับกันในห้องแคบๆ ก็ยอม
 
          ไวเท่าความคิด ผมเผ่นออกด้านข้างทันที วิ่งอ้อมคู่กรณีเข้าไปในห้องนั่งเล่น กระโดดขึ้นไปบนโซฟา พองขนขู่ฟ่อด้วยความกลัว พิพัฒน์วิ่งตามเข้ามาตะโกนเสียงดังพร้อมทั้งกระโจนเข้ามาหมายจับตัวผม ผมกระโดดหลบ ล่อให้เขาพุ่งชนโซฟาก่อนจะหนีเข้าไปในห้องนอน เล่นไล่จับกับเขาอยู่พักใหญ่ก็วิ่งวนกลับเข้าไปในครัว หลบหลีกไล่ล่ากันจนครัวแทบพังก่อนที่จะวกกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง คราวนี้เราไล่กันอยู่ไม่นานนักเพราะทั้งพิพัฒน์และผมเริ่มจะหมดแรงแล้ว
 
          จนในที่สุดการวิ่งไล่จับครั้งนี้ก็จบลงเมื่อเราทั้งคู่ต่างนอนหมดแรงอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ ตั้งแต่เป็นแมวมานี่คือครั้งแรกที่ผมหมดสภาพขนาดนี้ ทอดกายเหยียดยาวหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดอย่างสุดความสามารถ ร้อนไปทั้งร่าง เหนื่อยล้าไปทั่วทุกอณูเนื้อ ไม่ต่างจากพิพัฒน์สักเท่าไหร่ รายนั้นก็นอนแผ่หมดเรี่ยวแรงอยู่บนฟูกนุ่ม หอบหายใจเสียงดัง แผ่นอกสะท้อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ
 
          “โอเค...พอ...เถอะ ไม่...ไล่แล้ว...ก็ได้” เขาพูดไปหอบไป ส่วนผมไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียง ได้แต่นอนหอบอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว และไม่ได้ยินคำถามของพิพัฒน์ด้วยเช่นกัน “ว่า...แต่ว่า...ฉัน...น่ากลัว...มากเลยหรอ? เต้...จะหนี...ฉันไป...เหมือน...คนอื่น...หรือเปล่า?”
 
 
          ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ตัวผมนอนอยู่บนเตียงเหมือนตอนที่หลับไปในทีแรก แต่ไม่มีวี่แววของพิพัฒน์เลย ผมพลิกตัวขึ้นนั่งมองสำรวจไปรอบๆ ม่านบังตาถูกปิดไว้แต่แสงไฟก็พอที่จะส่องผ่านเนื้อผ้าเข้ามาได้ ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจ รู้สึกกระหายน้ำมากจึงตรงไปที่ครัวเพื่อทานน้ำ แต่เมื่อออกมาจากห้องนอนก็พบว่ามีแขกมา
          ความจริงก็ไม่ใช่แขกหรอกแต่เป็นปีศาจต่างหาก ชายหนุ่มผิวขาวดั่งหยก ผู้มีผมสีนิลและนัยน์ตาสีมรกต แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีอ่อนดูสะอาดตา บนใบหน้างามนั้นปรากฏรอยยิ้มพิมพ์ใจรอยหนึ่ง
รอยยิ้มที่แสนจะเสแสร้งในความคิดของผม
 
          “นั่นน้องมอมแมมหรือครับ น่ารักจังเลย” เขาทัก สีหน้าและท่าทางบ่งบอกว่าเอ็นดูผมมาก แต่ผมมั่นใจว่าเบื้องหลังหน้ากากอันงดงามนั้นเขากำลังหัวเราะขำผมอยู่
 
          “น่ารักอะไรล่ะครับ กวนตีนล่ะไม่ว่า” ตาคนนี้ก็พูดตรงจนผมหันไปค้อนให้วงใหญ่ก่อนจะสะบัดก้นเดินเลี่ยงเข้าไปในครัว แว่วเสียงหัวเราะมาจากสองคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขก พูดเรื่องผม และเรื่องทั่วๆ ไป ดูเหมือนว่าเจ้าปีศาจจะย้ายมาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แถมยังตีสนิทเจ้านายคนแรกของผมได้อย่างแนบแน่นเสียด้วย ตอนที่ผมกลับเข้ามาในห้องรับแขกอีกครั้งเจ้าปีศาจก็กำลังคุยฟุ้งเรื่องโรงพยาบาลสัตว์ของตัวเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังชักจูงให้พิพัฒน์ย้ายผมไปอยู่ในความดูแลของเขา ซึ่งมันก็ควรจะเป็นอย่างนั้นเพราะทั้งชีวิตของผมฝากไว้ในกำมือของเขา
 
          “มอมแมมมานี่สิ” พิพัฒน์ร้องเรียกผมเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา ผมส่งสายตาค้อนให้อีกครั้งก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนตักของปราชญ์ ปีศาจที่ผมขายวิญญาณให้เมื่อหลายเดือนก่อน
 
          “เหมียว” ‘ทำไมมาช้านัก’ ผมถาม เขาหัวเราะเบาๆ บอกให้รู้ว่าเขาพอจะเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ ผมอยู่ในร่างแมวนานๆ ไม่ได้ ข้อจำกัดนี้เขาเองก็ทราบดีแก่ใจ แต่ก็ยังรอให้เวลาผ่านไปร่วมเดือนจึงจะตามมา ความจริงไม่ได้ต้องย้ายตามมาก็ได้ แค่มาพาตัวผมกลับไปก็พอ ติดสินบนยามสักหน่อย หรือหลบกล้องเก่งสักนิดก็เข้ามาได้ไม่ยากแล้ว
 
          “โห หน้าคว่ำเชียว ท่าทางจะขี้งอนนะครับ” เจ้าปีศาจหันไปพูดกับเจ้านายของผม แบบนี้มันพูดกระทบกันชัดๆ ผมมองเขาตาขวางแอบลงเล็บลงบนหน้าตักของเขาพอให้สะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะกระโดดแผล็วขึ้นไปบนพนักพิง วิ่งอ้อมไปหลบอยู่หลังศีรษะของพิพัฒน์ ใครจะรู้เจ้าปีศาจนั่นอาจจะหมั่นไส้ผมแล้วจับผมฟัดอีกก็ได้
 
          การถูกเขาฟัดมันเหมือนกับฝันร้ายที่ผมจะไม่มีวันลืมได้เลย ทั้งขยี้หัว จับหมุน ขยำพุง แล้วที่เลวร้ายที่สุดก็คือจับโยนสูงเหมือนเล่นกับเด็กทารกอย่างไรอย่างนั้น ผมนี่กลัวจนฉี่แทบเล็ดเข็ดขยาดไปจนตาย และนับตั้งแต่นั้นมาปราชญ์ก็กลายเป็นปีศาจสำหรับผมและจะเป็นตลอดไป
 
          “ไม่ใช่แค่ขี้งอนอย่างเดียวนะครับ ยังหัวสูง เอาแต่ใจ แล้วก็ขี้หงุดหงิดด้วย” พอได้ทีก็ใส่ไฟผมเสียยกใหญ่เลยนะ แค่ผมไม่ทานอาหารไม่สะอาดหรืออยู่ในภาชนะที่สกปรก ไม่ดื่มน้ำค้างคืน ไม่ใช้กระบะทรายที่เต็มแล้ว ไม่เลียขนตัวเองแต่ชอบให้เขาอาบน้ำและแปรงขนให้ และจะหงุดหงิดทุกครั้งที่พิพัฒน์ไม่ยอมทำตามที่ผมต้องการเท่านั้นเอง ผมไม่ได้เอาแต่ใจ ขี้หงุดหงิด หรือหัวสูงอย่างที่เขาพูดมาเสียหน่อย
 
          “เหมียว” ผมเถียง กระโดดลงไปนั่งเผชิญหน้ากับพิพัฒน์บนตักของเขา ส่งสายตาขุ่นขวางไปให้ ผมก็ว่าผมทำหน้าเคืองที่สุดแล้วนะ แต่ทำไมพวกเขาสองคนถึงได้หัวเราะแบบนั้น
 
          “เห็นไหมครับ ว่าแค่นี้ก็เคืองแล้ว” พิพัฒน์ว่าพลางหัวเราะพลาง หมดมาดคุณชายหน้าตายไปเลย
 
          “เห็นแล้วครับ น้องมอมแมมนี่เป็นแมวที่ฉลาดดีนะครับ” เจ้าปีศาจออกความเห็นแถมยังร่วมวงหัวเราะเสียเสียงดังทีเดียว มันน่าหมั่นไส้ชะมัด
 
          “จะว่าผมบ้าก็ได้นะครับ แต่บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาฟังผมรู้เรื่อง ก็ตลกดีนะครับเราต่างก็รู้ว่าแมวฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง” พิพัฒน์หันไปคุยกับปราชญ์พลางลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน
 
          เจ้าปีศาจแสยะยิ้ม มองมาที่ผมด้วยสายตาที่ยากจะอ่านออก กล่าวว่า “ไม่แปลกหรอกครับ ถึงแม้ว่าสัตว์จะไม่รู้ภาษาคนแต่พวกเขาก็สามารถเข้าใจความหมายง่ายๆ ของคำผ่านกระบวนการเรียนรู้อย่างมีเงื่อนไขได้ และบางครั้งพวกเขาก็อาศัยการตีความจากท่าทางและน้ำเสียงของเรามากกว่าความหมายของถ้อยคำจริงๆ แต่สำหรับน้องมอมแมมผมว่าเขาเป็นแมวที่ฉลาดนะครับ บางครั้งอาจจะดื้อไปบ้างแต่นั่นก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ทำความเข้าใจเขาให้มากๆ แล้วจะดีเองครับ”
 
          นานๆ ทีเจ้าปีศาจนี่จะพูดจาดีๆ กับเขาสักครั้ง ผมหันไปมองหน้าเขาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปล่อยให้พวกเขานั่งคุยกันตามลำพัง แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นห้องรับแขกประตูหน้าห้องก็ถูกเปิดออกโดยแรง พร้อมกับเสียงแปดหลอดของเจ้าเด็กลาเต้
 
          “พี่พัฒน์ พี่นอกใจผมได้ยังไง”
 
          “เหมียว” ‘เอาล่ะ งานนี้ชมาจะไม่ยุ่ง ปล่อยให้เป็นไปตามกรรมก็แล้วกันนะ’
 
 
 
          เกิดเป็นชมาไม่เคยเลยที่จะนึกฝันว่าจะได้เป็นพยานในศึกรักสามเส้าเหมือนในละครน้ำเน่าหลังข่าวเช่นนี้ ผมแอบเข้าข้างโต๊ะวางโทรทัศน์ จ้องภาพตรงหน้าด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง นี่มันน่าดูกว่าหนังสดที่เคยดูมาเสียอีก แม้ว่าบรรยากาศภายในห้องตอนนี้จะน่าอึดอัดเป็นอย่างมากแต่ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย
 
          “มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดนะเต้” ร่างสูงก้าวไปหาคนรักอย่างรวดเร็วมือหนาเอื้อมคว้ามือบางแต่อีกฝ่ายกลับชักมือออกอย่างแรงด้วยความโกรธ ตวาดว่ากลับมาราวกับคำพูดของพิพัฒน์ไร้น้ำหนักโดยสิ้นเชิง
 
          “จะไม่ใช่ได้ยังไงก็เห็นอยู่กับตา หรือพี่พัฒน์จะบอกว่าพี่นอกใจหมอนี่มาแอบคบกับผม”
 
          ‘โอ้โห มโนขั้นเทพเลยแฮะเจ้าเด็กนี่’ ผมเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้ว่าจะขำหรือจะเครียดดี เจ้าเด็กลาเต้โวยวายเสียงดัง นัยน์ตาขุ่นขวางผสมเจ็บปวด น้ำตาไหลอาบแก้มขาวที่ขึ้นสีแดงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พิพัฒน์ก็มีสีหน้าเครียดขรึม คิ้วเข้มนั่นแทบจะกลายเป็นปมอยู่กลางหน้าผาก จ้องมองคนรักด้วยหนักใจปนกังวล ส่วนเจ้าปีศาจก็อึ้งรับประทานไปแล้ว เขานั่งทำหน้าตกใจอยู่บนโซฟา แววตาสับสนคล้ายไม่ทราบว่าควรจะวางตัวอย่างไรที่จู่ๆ ก็โดนมอบตำแหน่งภรรยาน้อยกับภรรยาหลวงให้อย่างไม่ทันตั้งตัว ถึงปราชญ์จะเป็นผู้ชายหน้าสวยคมแต่ก็คงไม่โดนทักว่าเป็นภรรยาชายอื่นบ่อยนักหรอก เจ้าตัวเองก็เป็นประเภทไม่สนใจจะจับคู่กับใครอยู่ด้วย
 
          ‘น่าถ่ายคลิปเก็บไว้แฮะ’ คิดแล้วก็เสียดายที่ตัวเองอยู่ในร่างแมว แต่แค่นี้ก็เอาไปล้อได้ยันลูกบวชแล้ว ถ้าผมทำรักแมวสาวๆ ได้นะ
 
          “ลาเต้!” พิพัฒน์ขึ้นเสียง ก้าวเข้าหาคนรักแต่ลาเต้ก็ถอยหนี
 
          “ทำไม? เต้ว่าอะไรมันไม่ได้เลยใช่ไหม ใช่สิก็พี่รักมันนี่” เจ้าเด็กลาเต้ยังไม่หยุดมโน ร่างบางสั่นระริกด้วยแรงสะอื้น ดูน่าสงสารและน่ารำคาญอย่างบอกไม่ถูก  แต่สำหรับพิพัฒน์แล้วความน่ารำคาญคงไม่อยู่ในมโนสำนึกของเขา ร่างสูงดึงร่างบางของคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กล่าวปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล อย่างที่ผมอดทึ่งไม่ได้เพราะมันต่างจากตอนที่ซ้อมกันมาก
 
          “พี่รักเราแค่คนเดียวเท่านั้นแหละลาเต้ อย่าเพิ่งโกรธสิครับคนดี” พิพัฒน์พูดพลางลูบไหล่หลังของคนรักอย่างปลอบประโลม ใบหน้าคมซุกซบซอกคอคนรักอย่างสนิทสนม และไม่เกรงสายตาคนนอกที่อยู่ในห้องด้วย
 
          “ฮึก...โก...หก” ร่างบางสะอื้น พยายามดิ้นให้หลุดจากวงแขนของคนรัก แต่พิพัฒน์ก็รั้งเอาไว้ได้อย่างมั่นคง สีหน้าของเขาไม่ได้ฉายแววรำคาญออกมาเลยแม้สักเสี้ยวหนึ่ง
 
          “พี่ไม่ได้โกหก” เขากล่าว “พี่ไม่ได้มีคนอื่นนอกจากเรานะลาเต้ คุณปราชญ์เขาเพิ่งย้ายเข้ามาห้องตรงข้าม ก็แค่แวะมาทักทายทำความรู้จักกันเอาไว้เท่านั้นเอง”
 
          “แต่...แต่ผมเห็น...ผมเห็นเขาเข้ามาตั้งชั่วโมงกว่าแล้วนะ” เจ้าเด็กขี้หึงยังไม่ยอมเข้าใจ ผละหน้าออกมาจ้องปราชญ์ตาเขียว ตอนนี้เด็กน้อยหน้าหวานชักจะน่ากลัวกว่าปีศาจจอมแกล้งเสียแล้วสิ
 
          “พอดีเราคุยกันเพลินไปหน่อยครับ” ยังไม่ทันที่พิพัฒน์จะได้พูดอะไร เจ้าปีศาจที่ดูเหมือนจะทนไม่ไหวกับความขี้หึงของเด็กหนุ่มก็พูดแทรกขึ้นมา “สวัสดีครับผมปราชญ์ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ผมเป็นสัตวแพทย์พอเห็นว่าคุณพิพัฒน์เลี้ยงแมวก็เลยชวนคุยยาวไปหน่อย นี่ก็รบกวนพวกคุณมากแล้วถ้าอย่างไรผมขอตัวก่อนนะครับ”
 
          “ก็ตามนั้นแหละครับคนดี คุณปราชญ์เขาเปิดโรงพยาบาลสัตว์ด้วย พี่ก็เลยถามเรื่องการรับฝากเลี้ยง เผื่อเราไปเที่ยวกันจะได้ไม่ต้องหิ้วมันไปด้วยไง”
 
          ‘เพิ่งรู้นะว่าหน้าตายๆ แบบหมอนี่ก็ตอแหลกับเขาเป็นด้วย ได้ข่าวว่าคนที่พูดเรื่องรับฝากสัตว์เลี้ยงขึ้นมาคือเจ้าปีศาจที่อยากจะได้ตัวผมกลับไปใจจะขาดแต่ไม่ยอมขอผมคืนดีต่างหาก แต่ตอแหลหรือพูดจริงมันก็ไม่สำคัญเท่าทำให้เจ้าเด็กลาเต้สงบลงได้
 
          “จ...จริงนะ” หนุ่มน้อยถามเสียงแผ่ว พิพัฒน์ค่อยๆ ปาดน้ำตาออกจากหางตาของคนรักอย่างเบามือ กล่าวว่า “จริงสิครับ ก็เมื่อวันก่อนเต้บอกว่าอยากทะเลไม่ใช่หรอ?”
 
          “แต่พี่พัฒน์บอกว่าไม่มีใครเลี้ยงเจ้าแมวนั่น” เจ้าเด็กลาเต้ยังไม่วายส่งสายตาจิกกัดมาทางผม
 
          “พี่ถึงได้หาทางออกอยู่ไงครับ พอดีได้คุยกับคุณปราชญ์ก็เลยหมดกังวลแล้ว อาทิตย์หน้าพี่ลาพักร้อนได้เราเองก็หยุดช่วงงานกีฬาพอดีไม่ใช่หรอ เราไปเที่ยวทะเลกันดีกว่าไหม?” เท่านั้นแหละเจ้าเด็กลาเต้ก็ร้องไห้โฮกอดพิพัฒน์แน่น ปราชญ์อาศัยจังหวะนี้ขอตัวกลับ พิพัฒน์กล่าวขอโทษเบาๆ ทั้งที่ยังปลอบคนรักอยู่
 
          “ไม่เอา ไม่ร้องนะครับคนดี” พอคนนอกออกไปแล้วพิพัฒน์ก็หันมาจัดการกับเด็กหนุ่มในอ้อมแขน เขาพูดปลอบพร้อมทั้งจูบซับน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน  ดูไม่เหมือนพิพัฒน์คนเก่าที่ผมรู้จักเลยสักนิด ปกติเขาจะพูดปลอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มกว่าปกติเพียงนิดเดียว ไม่มีการจูบซับน้ำตา อย่างมากก็แค่กอดแล้วเอากระดาษเช็ดน้ำตาให้เท่านั้น
 
          หรือนี่จะเป็นผลจากการค้นคว้าสารพัดวิธีอ้อนจากอินเทอร์เน็ตก่อนหน้านี้ ผมนึกสงสัยพลางนั่งมองคู่รักที่เริ่มจะหวานจนผมชักจะเลี่ยน จากจูบซับน้ำตากลายเป็นจูบที่ดูดดื่มอ่อนโยนราวกับคู่รักที่หลุดออกมาจากโลกแห่งนิยาย ผมไม่เคยเห็นมุมนี้ของทั้งคู่มาก่อนเลย หากเป็นแบบนี้ต่อไปพวกเขาอาจจะไปกันด้วยดีก็ได้
 
          “อืม...” เสียงครางลอดออกมาจากสองคนที่กอดกันกลมมือเรียวของเด็กหนุ่มปัดป่ายไปทั่วทั้งแผ่นหลังกว้างของคนรัก ส่วนคนตัวโตก็โอบรัดร่างบางเอาไว้แน่นประหนึ่งกลัวว่าจะหลุดมือไป เหมือนกับหลายคนก่อนหน้านี้
 
          “หายโกรธพี่นะครับ” พิพัฒน์ผละหน้าออกมาขอร้อง ให้ตายสิทำไมตอนที่ซ้อมกับผมเขาถึงทำเสียงนุ่มแบบนี้ไม่ได้กันนะ ผมนี่ยังสยองไม่หายเลย
 
          “ง...ง้อแค่นี้....ผมยังไม่หายโกรธหรอกนะ” เจ้าเด็กนี่ก็เล่นตัวเหลือเกินชมาละหน่าย
 
          “ถ้าอย่างนั้นพี่ของ้อลาเต้เยอะๆ นะครับ” เจ้าคนหน้าตายพลันแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ตวัดร่างบางขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวก่อนจะพาเข้าไปในห้องนอน ดูท่าทางงานนี้จะง้อกันยาวเสียแล้ว
 
          แต่เดี๋ยวนะ เจ้าบ้านั่นยังไม่ได้ให้ข้าวผมเลยนี่นา
 
 
          ว่าแต่ว่าชักหิวแล้วสิ ผมคิดว่าหากใช้ความคิดสักหน่อยคงหาอะไรกินได้ไม่ยาก ปัญหาอยู่ที่ว่าพิพัฒน์เก็บอาหารแมวเอาไว้บนตู้เก็บของที่ติดอยู่กับผนังเหนือเคาน์เตอร์ทำอาหาร
 
          “เหมียว” ‘สูงโคตร’ ผมโอดครวญแหงนหน้ามองตู้เก็บอาหาร ความมั่นใจที่ว่าจะสามารถหาอาหารกินเองได้นั้นลดลงจนเหลือศูนย์ หางยาวของผมสะบัดไปมาตามอารมณ์ที่ขุ่นมัว นึกอยากจะไปเดินนวยนาดก่อกวนบทรักของเจ้านายโทษฐานที่ไม่ยอมให้อาหารผมก่อน
 
          “เหมียว” ‘ไร้ความรับผิดชอบชะมัด’ ผมบ่นก่อนจะเริ่มมองสำรวจไปรอบๆ พร้อมกับนึกทบทวนว่าพิพัฒน์เก็บอาหารเอาไว้ตรงไหนบ้าง ท้องเจ้ากรรมก็ร้องครวญครางขออาหาร ‘ให้ตายสิเป็นแมวนี่หิวบ่อยชะมัดเลยแฮะ’
 
          จำได้ว่าพิพัฒน์ต้มปลาทูเอาไว้ให้ผม เขาต้มคราวละสองสามตัวแล้วแกะเนื้อเก็บใส่ตู้เย็นเอาไว้ ผมกระโดดขึ้นไปบนหลังตู้เย็น ใช้เท้าดันประตูตู้ให้เปิดออก มันออกจะยากสักหน่อยแต่ก็ใช่ว่าทำไม่ได้ เมื่อเปิดประตูตู้ได้แล้วผมก็เริ่มภารกิจตามหาปลาทู เพราะของสดในตู้มีไม่มากผมจึงใช้เวลาไม่นานก็ได้สิ่งที่ต้องการ ปลาทูหอมๆ ในกล่องพลาสติกเก็บอาหาร ผมเอากล่องออกมาจากตู้แล้วปิดประตู ใช้ความพยายามอีกนิดหน่อยก็สามารถเปิดกล่องได้ แต่ก็ทำปลาหกไปพอสมควร แต่ชมาหรือจะสน หิวจะตายอยู่แล้ว ผมไม่คิดจะเอาปลาใส่ชามหรอก กินมันทั้งอย่างนี้แหละ
 
          พอทานเสร็จผมก็ไปดกินน้ำล้างปากและเพื่อป้องกันตัวเองจากโรคไต เสร็จแล้วก็กลับมาเก็บกวาดในส่วนที่ผมทำเลอะเอาไว้ เขี่ยเนื้อปลาที่หล่นพื้นมากองรวมกัน เอากระดาษชำระห่อไว้แล้วนำไปทิ้งถังขยะ กล่องพลาสติกก็เอาไปวางรวมในอ่างล้างจานผมเปิดน้ำแช่ให้ด้วยนะ เดี๋ยวจะบ่นว่าเนื้อปลาแห้งกรังล้างออกยาก
 
          พอเก็บกวาดเรียบร้อยผมที่ว่างไม่มีอะไรทำก็ไปนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟาตัวโปรด แต่เสียงครางของคนในห้องนอนก็ยังดังอยู่ไม่ขาดสาย จะนอนก็นอนไม่ได้ ชมาหนวกหู หางยาวๆ ของผมแกว่งไกว เห็นภาพสะท้อนของตัวเองในจอโทรทัศน์ แมวสีขาวแต้มเทาตัวเล็กที่นั่งหน้างออยู่บนโซฟาตัวใหญ่ ;ขนาดเป็นแมวยังหล่อเลยแฮะเรา’
 
 
          แสงแดดอุ่นยามเช้าห่มคลุมร่างของผมให้รู้สึกอุ่นสบาย ผมพลิกตัวนอนหงาย ผึ่งพุงกับแสงแดดทั้งที่ยังหลับตา หูแว่วเสียงคนพูดคุยกันดังมาจากข้างในห้อง คู่รักคงจะตื่นกันแล้ว หรือไม่ก็ยังไม่ได้นอน ได้ยินเสียงไอน้ำดันผ่านพวยกา และได้กลิ่นเข้มข้นของกาแฟ พวกเขาคงกำลังทานมื้อเช้ากันอยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยวางแผนเรื่องไปเที่ยว เช้านี้เจ้าเด็กลาเต้ดูจะอารมณ์ดีมาก เสียงของเขาสดใสและหัวเราะบ่อยครั้ง พิพัฒน์เองก็พูดมากขึ้น น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนผิดไปจากทุกที ดูเหมือนว่าคนแสดงออกไม่เป็นจะเริ่มเรียนรู้อะไรขึ้นมาบ้างแล้ว
 
          ผมเปิดปากหาวยาวๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะยืดเหยียดร่างทั้งที่ยังนอนอยู่ ผมนอนแช่อยู่อย่างนั้นอีกสักพักก็ลุกขึ้น เช็ดหน้าเช็ดตาให้หายง่วง ก่อนจะลุกขึ้นนั่งแต่ด้วยความที่ยังง่วงอยู่ทำให้ผมนั่งหลับตาอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จนลาเต้ออกไปเรียนและพิพัฒน์มาที่ระเบียงนั่นแหละผมถึงได้หรี่ตาขึ้นมอง
 
          “อะไร นอนมาทั้งคืนแล้วเช้ามายังจะนั่งหลับอีกหรอ?” เขาทักพลางหัวเราะขำ ร่างสูงก้าวเข้ามาอุ้มผมขึ้นจากพื้นและพาเข้าไปด้านใน “อาหารกระป๋องก็หมดแล้วเสียด้วยสิ กินปลาทูไปก่อนก็แล้วกันนะ” เขาพูดพลางเปิดตู้เย็น ควานหากล่องใส่ปลาทูไปทั่ว
 
          “เหมียว” ผมร้องเสียงอ่อย ‘เอ่อ...คือ ปลานั่นเขากินหมดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว’
 
          แต่ดูเหมือนว่าพิพัฒน์จะไม่เข้าใจที่ผมพยายามจะสื่อ “เดี๋ยวนะ ขอหาก่อน” เขาว่าพลางวางผมลงบนหลังตู้เพื่อที่จะหาได้ถนัด ผมลอบถอนหายใจ เดินไปที่ อ่างล้างจานแล้วร้องเรียก
 
          “อะไร?” เขาหันมาถาม ผมเบือนหน้าไปทางอ่างเป็นนัยให้เขามองตาม พอเขาเห็นกล่องใส่ปลาทูอยู่ในอ่างก็ทำหน้าพิลึก “อ้าว! ให้กินไปตั้งเมื่อไหร่?” เขาบ่นพึมพำก่อนจะหันซ้ายหันขวาอย่างร้อนรนเพราะใกล้จะได้เวลาที่ต้องออกไปทำงานแล้ว
 
          “แกกินอาหารเม็ดไปก่อนได้ไหม?” ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจหยิบอาหารเม็ดที่ผมไม่แลออกมาจากตู้ ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบของผมก็คือไม่ พิพัฒน์ผู้ที่ต้องออกไปทำงานภายในห้านาทีไม่เช่นนั้นรถจะติดจนไปทำงานสายจึงต้องตัดสินใจหิ้วผมออกจากห้องไปพร้อมกัน
 
          แต่ผมก็ไปได้ไม่ไกลนักหรอก เพราะพิพัฒน์ตัดสินใจพาผมมาฝากไว้กับปราชญ์ เจ้าปีศาจที่ยิ้มกริ่มอย่างสมใจทันทีที่เห็นว่าใครมารบกวนแต่เช้า
 
          “ไม่ต้องห่วงครับผมจะดูแลเขาอย่างดีเลย” เจ้าปีศาจบอกกับพิพัฒน์ตอนที่รับผมมาอุ้มไว้
 
          “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน มันสุดวิสัยจริงๆ” พิพัฒน์ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ สีหน้าบ่งบอกว่าลำบากใจ อย่างที่ผมอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าคนที่โดนรบกวนความจริงแล้วเป็นเขาต่างหากไม่ใช่เจ้าปีศาจนี่
 
          “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ แล้วปรับความเข้าใจกับแฟนแล้วหรือครับ” เจ้าปีศาจว่าพลางลูบหัวผมอย่างเสแสร้ง
 
          “ครับ เอาไว้ผมจะเลี้ยงขอบคุณแล้วก็ขอโทษเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานด้วยนะครับ” ว่าแล้วพิพัฒน์ก็ขอตัวไปทำงาน ส่วนผมก็ถูกพาเข้ามาในห้องที่ไม่อยากจะเข้ามาสักเท่าไหร่
 
          ห้องของปราชญ์ใหญ่กว่าห้องของพิพัฒน์มาก ภายในถูกแบ่งออกเป็นสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องครัว สองห้องน้ำ และระเบียงยาวตลอดแนวห้อง ผมเหลือบมองห้องนอนเล็กที่ปิดประตูกระจกและมีม่านสีขาวกางกั้นเป็นฉากบังตา ผมได้ยินเสียงเครื่องช่วยชีวิตดังออกมาจากห้องนั้น ไม่ต้องให้ใครบอกผมก็รู้ว่าอะไรอยู่หลังม่านนั้น ผมเผลอจ้องมองห้องนั้นนานเท่าไรก็ไม่ทราบ จนเสียงของปีศาจเรียกให้ผมหลุดจากภวังค์
 
          “ยังไม่ได้กินอะไรมาใช่ไหม?” เขาถามขณะเดินไปเตรียมอุปกรณ์ ผมร้องตอบไปตามจริงว่ายังไม่ได้กินซึ่งเขาก็เข้าใจได้เพราะพวกเราได้กำหนดรหัสอย่างง่ายเอาไว้ก่อนแล้ว
 
          “ดี จะได้ตรวจได้ครบทุกรายการ ไปรอบนเตียงตรวจไป” เขาชี้มือไปทางโต๊ะตัวใหญ่อย่างที่หมอใช้ตรวจคนไข้ซึ่งตั้งอยู่ชิดกำแพงด้านหนึ่ง ผมกระโดขึ้นไปอย่างว่าง่าย จะว่าไปพักหลังมานี้ผมทั้งหิวบ่อยและง่วงนอนบ่อยมาก บางทีอาจจะถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องกลับสู่ร่างเดิม
 
 
         
          ปราชญ์ตรวจร่างกายผมอย่างละเอียดทั้งความดัน คลื่นสมอง อัตราการเต้นของหัวใจ ตรวจเลือด ถ่ายพยาธิ ไปจนถึงตัดเล็บ เช็ดหู เครื่องมือแพทย์ที่เขาหอบเข้ามาในห้องนี้เยอะเสียจนเปิดเป็นคลินิกเล็กๆ ได้เลยด้วยซ้ำ
 
          “คลื่นสมองเริ่มจะไม่เสถียรแล้วนะ” และแล้วประโยคที่ผมไม่อยากได้ยินที่สุดก็หลุดออกมาจากปากของปราชญ์ ผมจ้องหน้าเขา รู้สึกคล้ายกับถูกทุบด้วยค้อนอันโต “ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นเลย คุณก็รู้ดีว่าความเสี่ยงมันมีมากขนาดไหน” เขาดุผมที่ทำหน้ามุ่ย
 
          “เหมียว” ครั้งนี้ผมยอมก็ได้ ผมเองก็ไม่อยากเสี่ยงเหมือนกัน
 
          ปราชญ์ยกกล่องมหัศจรรย์ของเขาออกมา ผมเรียกมันอย่างนั้นเพราะสมองเด็กนิเทศสาขาการถ่ายภาพอย่างผมทำความเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ได้ไม่มากนักหรอก แม้ปราชญ์จะพยายามอธิบายให้ผมฟังหลายต่อหลายครั้งผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ผมจึงเลือกที่จะรับรู้เพียงว่าเจ้ากล่องนี้สามารถทำให้ผมย้ายไปมาระหว่างร่างคนกับร่างแมวเท่านั้น
 
          ผมเข้าไปในนอนในกล่องอย่างว่าง่าย ความกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจเหมือนเช่นทุกครั้ง มันไม่ดีเลย ผมหลับตาลงพยายามทำสมาธิให้จิตใจสงบด้วยไม่อยากให้ปราชญ์ใช้ยากับผม ออกซิเจนถูกปล่อยเข้ามาในกล่องที่ปิดสนิท ผมมองผ่านบานประตูใสออกไปก็เห็นว่าปราชญ์กำลังตรวจสอบความเรียบร้อยของอุปกรณ์อย่างละเอียด
 
          ‘แน่สิ ก็นี่เป็นการทดลองที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเลยนี่นา’ ผมคิดก่อนจะหันหน้าหนีแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางประตู กำหนดลมหายใจเข้าออกอีกไม่นานก็ผล็อยหลับไปด้วยสำนึกอยู่ตลอดว่าครั้งต่อไปที่ผมลืมตาขึ้นผมจะกลับไปอยู่ในกรงอีกครั้ง
 
          ผมหลับไปนานเท่าใดไม่ทราบได้ แต่เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นก็พบว่าผมกำลังนอนอยู่ในห้องสีขาวสะอาด ได้ยินเสียงเครื่องช่วยชีวิตดังอยู่ใกล้ๆ สัมผัสได้ถึงท่อช่วยหายใจที่สอดเข้ามาในจมูก มันอึดอัดเหลือเกิน ผมหลับตาลงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างพยายามสงบสติอารมณ์ และสะกดกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา
 
          “รู้สึกตัวแล้วหรือครับคุณชมา” เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากประตูที่ถูกเปิดออก ปราชญ์เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของผม ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขาสวมเสื้อสีแดงอ่อนไม่ใช่สีออกเทาอย่างที่ผมเข้าใจ ดูเหมือนว่าผมจะยังไม่ชินกับอาการตาบอดสีอันเป็นธรรมชาติของแมวสินะ
 
          ‘น้ำ’ ผมขยับปากพยายามส่งเสียง แต่ไม่มีแม้แต่ลมลอดผ่านริมฝีปากแห้งผากของผมออกมาเลย
 
          “สักครู่นะครับ” เขาบอกแล้วออกจากห้องไปโดยที่ไม่ลืมปิดประตูตามหลัง ผมหลับตาลงอีกครั้ง พยายามปลุกปลอบตัวเองไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน ผมเกลียดร่างกายนี้ร่างกายที่เป็นดั่งกรงขังไม่ให้ผมได้พบกับอิสรภาพ
 
           “น้ำมาแล้วครับ” ก่อนที่สติผมจะเตลิดไปเพราะไม่อาจยอมรับความจริง ปราชญ์ก็เข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำและหลอดดูด เขานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง ค่อยๆ ใช้หลอดป้อนน้ำให้กับผม เขาบอกว่าไม่อยากเสี่ยงให้ผมดูดน้ำเองเพราะอาจจะสำลักได้ ผมค่อยๆ จิบน้ำทีละนิดจนอิ่ม เมื่ออิ่มแล้วผมก็หลับตาลงคิดว่านอนหลับไปจนกว่าจะได้เวลากลับไปเป็นเจ้าเหมียวชมาอีกครั้ง
 
          “จะเอาอะไรอีกไหมครับ?” ปราชญ์ถาม ผมลืมตาขึ้นแล้วกะพริบตาสองครั้งแทนการตอบปฏิเสธ
 
          “จะนอนแล้วหรือครับ?” คราวนี้ผมกะพริบตาตอบไปสามครั้งเป็นความหมายว่าใช่
 
          “แล้วจะให้ผมย้ายกลับเข้าร่างแมวเลยหรือเปล่า?” เหมือนเขาจะรู้ใจผมจึงถามขึ้นแบบนี้ ผมกะพริบตาสามครั้งอีกรอบ เป็นอันรู้กันว่าเมื่อผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งผมจะได้อยู่ในร่างแมว กลับไปเป็นเจ้าเหมียวชมาที่มีอิสระอีกครั้ง
 
          “ถ้าจะเอาอะไรก็เรียกก็แล้วกันนะครับ” พูดจบร่างสูงก็ถือแก้วเดินออกไปจากห้อง ปล่อยให้ผมนอนนิ่งอยู่เพียงลำพังภายในห้องที่มีเพียงเสียงเครื่องช่วยชีวิตดังอยู่เป็นจังหวะเท่านั้น เพดานก็เป็นสีขาวไร้ลวดลายแต่น่าแปลกที่ผมจ้องพิจารณามันราวกับเป็นงานศิลป์ชิ้นเอก หรือบางทีผมอาจจะแค่ไม่อยากให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่นก็ได้
 
          ผมนอนมองเพดานอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไป และรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อร่างถูกอุ้มลอยขึ้นจากที่นอน ความอบอุ่นของอ้อมกอดอันมั่นคงทำให้ผมเลือกที่จะซุกซบแผ่นอกแกร่งแทนที่จะตื่นขึ้นมา แว่วเสียงพูดคุยของคนสองคน รับรู้ถึงการโยกไหวของร่างกายตามจังหวะการเดินของใครบางคน ได้ยินเสียงประตูเปิดปิด และได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกล่าวล้อที่ข้างหู
 
          “ทั้งเอาแต่ใจ ขี้งอนแล้วยังจะขี้เซาอีกนะมอมแมม”
 
          “เหมียว” ผมร้องขึ้นอย่างรำคาญเมื่อได้ยินเสียงใครพูดบ่นอยู่ข้างหู ยกขาหน้าขึ้นบังใบหูซุกหน้าเข้าหาไออุ่นมากขึ้น ‘แมวจะนอนอย่ากวนไม่รู้หรือไง’
 
แว่วเสียงหัวเราะเบาๆ แทรกเข้ามาในห้วงนิทราอันเย้ายวน รู้สึกเหมือนถูกวางลงบนพื้นอันนุ่มนิ่ม ความอบอุ่นโอบคลุมร่างของผมให้รู้สึกสบายและปลอดภัย นิ้วยาวเกลี่ยข้างแก้มของผมอย่างอ่อนโยนก่อนจะเลื่อนมาเกาคางให้อย่างเอาใจ ผมแหงนหน้าขึ้นอย่างเผลอไผล สติยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคยพูดขึ้นว่า
 
          “ขี้เซาแบบนี้ข้าวเย็นก็คงไม่ต้องกินกันแล้วล่ะ”
 
          “เหมียว!” พูดแบบนี้ชมาถึงกับตื่นขึ้นเลยครับ เมื่อวานก็ลืมให้ข้าวผมทีแล้วนี่ยังจะให้ผมอดข้าวเย็นอีกหรือ ไม่มีทาง ผมส่งสายตาขุ่นขวางไปให้เขาทั้งๆ ที่ยังไม่หายง่วง เปิดปากหาวทีหนึ่งก่อนจะกระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งนำไปที่ครัวทันทีโดยไม่ลืมที่จะหันมาร้องเร่งพิพัฒน์ให้รีบมาเตรียมอาหารเย็นให้ผม
 
          “หึๆ แมวตะกละ” แว่วเสียงนินทาจากนายคนแรก ผมตวัดสายตามองร่างสูงที่เดินตามมาอย่างไม่พอใจ ถ้าผมพูดได้ผมอยากจะตะโกนใส่หน้าเขาจริงๆ ว่าวันนี้ทั้งวันชมาสุดหล่อยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ
 
          แต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้พูดออกไป กระโดดขึ้นไปนั่งรอบนโต๊ะทานข้าว มองดูคนที่บอกว่าดูแลใครไม่เป็นที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมมื้อเย็นให้กับผม อาหารกระป๋องคลุกเคล้ากับผักต้มอุดมคุณค่า โรยหน้าด้วยปลาแห้งเรียกน้ำย่อยอีกนิดหน่อย มันอาจจะดูไม่น่ากินสำหรับมนุษย์แต่ผมรู้ดีว่ารสชาติมันก็ใช้ได้เลยทีเดียว ดังนั้นเมื่อพิพัฒน์นำชามอาหารมาวางบนโต๊ะตรงหน้าผมผมจึงรีบจัดการโดยไม่สนใจอย่างอื่นเลย
 
          “หึ” ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคออีกแล้ว นี่ท่าทางของผมตลกมากหรืออย่างไรกัน ผมนึกสงสัยพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังจ้องผมไม่วางตาแถมยังมีรอยยิ้มขันประดับอยู่บนใบหน้าอีกด้วย
 
          “เหมียว” ‘มองอะไรแมวจะกิน’ ผมว่าแล้วก็ก้มลงไปทานอาหารต่อ แล้วฝ่ามือหนาเอื้อมมาขยี้ศีรษะของผมแรงๆ เหมือนหมั่นไส้ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมาร้องว่าไปอีกที แต่อีกฝ่ายก็หาได้สะดุ้งสะเทือนไม่ ยังคงมองผมแบบขำๆ ขยี้หัวผมเล่นก่อนจะผละไปเตรียมมื้อเย็นของตัวเอง ‘ให้ตายสิหมอนี่ กวนบาทาชะมัด’ ผมส่งสายตาด่าไล่หลังไปทีหนึ่งแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้า
 
          ไม่นานหลังจากนั้นพิพัฒน์ก็ยกชามอาหารมาวางที่ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลงทานมื้อเย็นร่วมกับผม ผมเหลือบสายตามองนิดหน่อยแล้วก็อดสมเพชไม่ได้เมื่อเห็นว่ามื้อเย็นของอีกฝ่ายเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่มีไข่สดโปะอยู่ด้านบน
 
          แมวกินเนื้อปลาคลุกเคล้ากับผักต้มหลายชนิดแต่เจ้าของกลับกินแค่บะหมี่กับไข่ อะไรมันจะต่างกันอย่างสุดขั้วแบบนี้
 
          ‘อย่างน้อยก็น่าจะซื้อสำเร็จเข้ามา แบบนี้ได้ขาดสารอาหารตายกันพอดี’ ผมคิด ขณะเช็ดริมฝีปากที่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไรสุดท้ายก็เปื้อนเปรอะเหมือนทุกครั้ง
 
          “หึ” เสียงหัวเราะกวนประสาทดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่กระดาษชำระสีขาวจะโปะเข้าเต็มหน้าของผม นิ้วแกร่งค่อยๆขยี้ปากและจมูกของผมอย่างเบามือ เช็ดคราบอาหารออกจนหมด “แมวตะกละ” เขาว่า
 
          “มิอาว!” ‘ไม่ใช่สักหน่อย คนมันไม่ชินต่างหากเล่า!’ ผมเถียง และดูเหมือนว่าเขาจะรู้ว่าผมไม่พอใจคำพูดของเขา มือหนาเอื้อมมาลูบศีรษะของผมเบาๆ แต่ผมเบี่ยงตัวหลบ “มิอาว!”
 
          “แน่ะ ขี้งอนจริงๆ ด้วยนะแก” เขาว่า ผมค้อนทันทีที่ได้ยิน กระโดดลงจากโต๊ะเดินเลี่ยงไปทานน้ำที่อีกมุมหนึ่งของห้อง แสงไฟจากตึกฝั่งตรงข้ามบ่งบอกว่าเวลาล่วงเลยมาถึงยามค่ำแล้ว ดูเหมือนว่าผมจะหลับไปนานเลยทีเดียว ส่วนพิพัฒน์ก็คงจะทำงานล่วงเวลาอีกแล้ว
 
          ‘แบบนี้ก็ยังไม่มีใครดูสวนเลยสิ?” ผมเดินออกไปที่ระเบียงเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของสวน แม้จะเป็นการปลูกพืชแบบไร้ดินแต่ถ้าไม่ดูแลเลยก็อาจจะมีปัญหาได้ ผมเดินไปดูกล่องพลาสติกที่ใช้ปลูกพืชไร้ดิน ต้นอ่อนผักยังดูดีไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ข้าวสาลีของผมนี่สิที่น่าหวั่นใจเพราะมันปลูกอยู่ในกระบะดิน ผมลองแตะดินในกระบะดูก็รู้ว่าดินมันเริ่มจะแห้งแล้ว สงสัยเมื่อเช้าพิพัฒน์คงไม่ได้รดน้ำ
 
          “มอมแมมเข้าบ้านเถอะดึกแล้ว” คนที่ทานมื้อเย็นเสร็จแล้วมาตามผม
 
          “เหมียว” ผมหันไปร้องเรียกแล้วหันกลับไปมองกระบะปลูกข้าวสาลีของผม
 
          “อะไร มันยังไม่โตสักหน่อย รออีกนิดน่า” เขาบอก
 
          “เหมียว” ผมร้องเรียกอีกครั้ง คราวนี้เอาอุ้งเท้าแตะดินให้ดูด้วย ทำขนาดนี้ถ้าไม่เข้าใจก็ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการไปเสียเถอะ
 
          “มีอะไรหรอ?” เขาถามพร้อมกับเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ นัยน์ตาคมจ้องมองดินในกระบะอย่างไม่เข้าใจ จนผมต้องร้องย้ำอีกครั้งพร้อมกับใช้อุ้งเท้าแตะย้ำๆ ที่ดินเพื่อบอกใบ้
 
          คิ้วเข้มของพิพัฒน์ขมวดเข้าหากันก่อนที่เจ้าตัวจะลองใช้นิ้วแตะดินในกระบะดูบ้าง แล้วก็ร้อง “อ๋อ” ออกมาเสียงดัง “ลืมรดน้ำ จะจัดการให้เดี๋ยวนี้แหละครับเจ้านาย” ว่าแล้วคนตัวโตก็คว้าบัวรดน้ำอันเล็กเดินหายเข้าไปในครัว ได้ยินเสียงน้ำดังแว่วมา จากนั้นร่างสูงก็กลับมาที่ระเบียงอีกครั้งพร้อมกับบัวรดน้ำที่มีน้ำอยู่เต็ม พิพัฒน์จัดการรดน้ำและตรวจดูความเรียบร้อยของผักไร้ดินก่อนที่จะอุ้มผมกลับเข้าไปในบ้าน
 
          “เหนียวตัวชะมัด” พิพัฒน์บ่นพลางปิดประตู ก่อนจะหันมามองผมที่ถูกอุ้มเอาไว้แนบอก แล้วเขาก็ทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย
 
          “แง้ว!” ผมร้องลั่นเมื่อใบหน้าคมฝังลงมากลางลำตัว แม้จะไม่รุนแรงแต่มันก็ทำให้ผมนึกถึงเจ้าปีศาจที่ห้องฝั่งตรงข้าม ‘นึกบ้าอะไรขึ้นมาอีกล่ะนี่?’ ผมอยากจะร้องถาม แต่ไม่ทันจะได้ถามพิพัฒน์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า
 
          “แกเองก็ชักจะเหม็นแล้วนะ อาบน้ำกันดีกว่า”
 
          
          “มิอาว!” ผมรีบร้องค้านทันที ‘แล้วทำไมต้องอาบด้วยกันด้วยล่ะ!’ อาบน้ำมันไม่ใช่ปัญหา แต่อาบน้ำด้วยกันนี่ออกจะน่ากลัวไปนะ เขาไม่มีทางอาบน้ำก่อนแล้วอาบให้ผมทีหลังหรอก มันต้องอาบให้ผมก่อนแล้วเขาค่อยอาบอยู่แล้ว แค่คิดว่าผมจะต้องยืนหนาวสั่นรอเขาอาบน้ำเสร็จผมก็สยองจนขนลุกแล้ว
 
          แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมให้ผมบอกปฏิเสธ ร่างสูงพาผมเข้าไปในห้องน้ำทันที เขาวางผมลงบนพื้น แล้วก็เริ่มถอดเสื้อผ้าให้ผมต้องรีบหันหลับขวับ ถึงผมจะเคยดูเขาเล่นบทรักกับเจ้าเด็กลาเต้แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะชอบดูเรือนร่างผู้ชายด้วยกันหรอกนะ
 
          “เริ่มที่แกก่อนก็แล้วกันนะ” นั่นไงผมคิดผิดไปเสียที่ไหนกันเล่า พิพัฒน์อุ้มผมขึ้นไปวางในอ่างล้างหน้าก่อนจะเอื้อมหยิบฝักบัวมาราดตัวผมจนเปียกชุ่ม เสร็จแล้วก็ฟอกด้วยสบู่สำหรับสัตว์เลี้ยงจนทั่ว เว้นไว้ก็แต่ส่วนศีรษะ ระหว่างอาบไปก็พูดปลอบไปด้วย ทำอย่างกับว่าผมเป็นเด็กเล็กๆ ที่ไปหาหมอฟันครั้งแรกอย่างนั้นแหละ
 
          “เก่งมากๆ ทำไมไม่เป็นเด็กดีแบบนี้ตลอดนะ” ไม่วายยังจะแขวะผมอีก ชมานี่หันขวับไปมองตาขวางเลย แต่มีหรือที่นายพิพัฒน์จะสำนึก “มองอะไร ทำอย่างกับว่าฟังรู้เรื่องนะแก”
 
          “เหมียว!” ‘ก็ฟังรู้เรื่องน่ะสิ!’ ผมตวาดใส่หน้า แต่เขาก็ไม่สะเทือนเลย ซ้ำยังหัวเราะอีกต่างหาก มือหนาลูบไล้ไปตลอดทั้งร่างของผม กดเน้นในบางจุดยามที่ล้างน้ำยาออกจากขนและผิวหนังของผม พอล้างตัวเสร็จแล้วเขาก็ค่อยๆเอาน้ำลูบใบหน้าของผม ล้างจนสะอาดเกลี้ยงเกลา แม้แต่คางที่มักจะเปื้อนคราบอาหารก็สะอาดเอี่ยม
 
          พอฟองหมดตัวผมก็แกล้งสะบัดน้ำแรงๆ ให้คนที่ยืนอยู่ใกล้โวยวายเล่น เพราะน้ำกระเด็ดเข้าหน้า แล้วคิดว่าชมาจะสะเทือนหรือ ไม่มีทางหรอก “เหมียว” ‘สมน้ำหน้า’ ผมยิ้มอย่างสะใจพลางปาดน้ำออกจากขนบนใบหน้า แต่แล้วมือแกร่งก็คว้าหมับเข้าที่หลังคอ จุดที่ทำให้แมวไม่สามารถดิ้นรนขัดขืนได้เลย
 
          “ฉันว่าเราใส่ครีมนวดด้วยดีกว่านะขนจะได้นุ่มสลวยเงางาม” ชมาสาบานว่าชมาสัมผัสได้ถึงความสะใจในน้ำเสียงนั้น
 
          “แง้ว!” แกล้งกันชัดๆ แบบนี้ชมาก็ดิ้นสิครับ ถึงหนังคอจะถูกดึงไว้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมจะขยับขาไม่ได้สักหน่อย งานนี้ข่วนได้เป็นข่วน ถีบได้เป็นถีบ เรื่องอะไรจะปล่อยให้เขาแกล้งได้เล่า
 
          “นิ่งๆ สิ”
 
          “แง้ว!” ทำมาเป็นสั่งเสียงเข้ม คิดหรือว่าชมาจะกลัว ยิ่งห้ามผมยิ่งดิ้น แต่ยิ่งดิ้นคนตัวโตก็ยิ่งรัดตัวผมแน่นขึ้นจนตัวผมแทบจะฝังลงไปในแผงอกแกร่งของเขาอยู่แล้ว
 
          “มอมแมม!” พิพัฒน์ขึ้นเสียงก้องห้องน้ำ ทำเอาผมสะดุดไปนิดหน่อย แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้หรอก แล้วที่สำคัญ
 
          “มิอาว!” ‘ก็บอกว่าอย่าเรียกว่ามอมแมมไงเล่า!’
 
 
          แต่สุดท้ายผมหรือจะสู้แรงคนตัวโตกว่าได้ พิพัฒน์จัดการละเลงครีมนวดลงบนตัวผม แถมยังแกล้งไม่ยอมล้างตัวให้ผมสักทีบอกว่าต้องหมักไว้ก่อน ขนแมวนะครับไม่ใช่ผมคนถึงจะต้องหมักทิ้งเอาไว้ ผมนั่งบ่นนั่งด่าเจ้านายตัวเองอยู่ในอ่างล้างหน้าโดยหันหลังให้กับคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ ก็อย่างที่บอกผมไม่ได้พิสมัยเรือนร่างของผู้ชายหรอกนะ แล้วก็ไม่ได้โรคจิตถึงขั้นนั่งจ้องคนอื่นตอนอาบน้ำได้หรอก
 
          “บ่นอะไรของแก แค่อาบน้ำแค่นี้เอง” คนที่เริ่มจะทนไม่ไหวกับเสียงบ่นงึมงำของแมวว่ามา พร้อมกันนั้นมือหน้าก็จับต้นคอของผมเอาไว้แล้วเริ่มล้างครีมนวดออกให้จนหมด มือหนาบีบลูบไล่น้ำออกไปจากขนของผมให้พอหมาดจากนั้นก็เอาผ้าขนหนูมาพันห่อเอาไว้ เตรียมพร้อมสำหรับการเช็ดตัว
 
          “เหมียว!” ‘เรื่องของผมไม่ต้องมายุ่ง!’ ผมส่งสายตาขุ่นขวางไปให้คนที่กำลังเช็ดตัวอยู่อีกทางหนึ่ง หยดน้ำที่เกาะพราวทั่วทั้งใบหน้าคมเข้มและกายแกร่งที่มีกล้ามเนื้อแต่พองามนั้นช่วยเสริมให้คนผู้นี้ดูมีเสน่ห์จนแทบจะละสายตาไปไม่ได้ ผมอดที่จะอิจฉากล้ามเนื้อหนั่นแน่นของคนตรงหน้าไม่ได้ ทำไมกันนะทั้งๆ ที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่เขากลับดูแข็งแรงกว่าผมไปเสียทุกส่วน ร่างกายสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อ ต่างจากผมที่แม้จะสูงแต่ก็ผอมแห้ง ดูเก้งก้างไปหมด ทั้งๆ ที่ผมก็บุกป่าฝ่าดงอยู่บ่อยๆ แท้ๆ หรืออาจจะเป็นเพราะผมไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อกันนะ
 
          ระหว่างที่ผมนั่งหาคำตอบให้กับความผอมแห้งของตัวเอง พิพัฒน์ผู้ซึ่งบัดนี้นุ่งผ้าขนหนูที่ท่อนล่างเพียงผืนเดียวก็อุ้มผมออกไปจากห้องน้ำ จับวางลงบนโต๊ะทานข้าวที่ดูจะกลายเป็นโต๊ะเอนกประสงค์ไปเสียแล้ว จัดแจงเช็ดตัวผมต่อด้วยเป่าขนให้ผมจนแห้งสนิท เล่นเอาหูผมอื้อไปเลย และแน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเช็ดทำความสะอาดหูของผมจนเกลี้ยงเกลาด้วย
 
          “เรียบร้อย เห็นไหมดูดีขึ้นตั้งเยอะ แล้วยังจะดื้ออีกนะแก” พิพัฒน์ว่าพลางมองดูผลงานของตนอย่างพึงพอใจ วนผมก็ได้แต่นั่งนิ่งๆ ส่งสายตาขุ่นๆ ไปให้ อยากจะตะโกนใส่หน้านักว่าใครกันเล่าที่แกล้งให้หนาวอยู่ได้ตั้งนานสองนาน นี่ถ้าเขาอาบน้ำช้ากว่านี้อีกนิดผมคงยอมเสี่ยงโดนไล่ออกจากบ้าน กระโดดตบไข่ไปสักทีแล้ว อยากรู้นักว่าถ้าโดนแบบนั้นแล้วจะวางมาดข่มผมได้อีกหรือเปล่า
 
          “มองหน้าเหมือนจะแช่งเลยนะแก” ทีแบบนี้กลับเข้าใจสิ่งที่ผมสื่อนะ ทำไมเวลาอื่นถึงไม่ฉลาดแบบนี้บ้าง มองมองสบตาเขาแวบหนึ่งก่อนจะค้อนให้ เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ปลายหางสะบัดไปมาอย่างขุ่นเคือง ณ ตอนนี้ชมายอมรับก็ได้ว่างอน งอนมากๆ ด้วย
 
          “หึ แมวพิลึก” ได้ยินเสียงหัวเราะขำก่อนที่ร่างของผมจะถูกอุ้มขึ้นแนบอกแกร่งอันเปลือยเปล่า
 
          “แง้ว!” ‘จะทำอะไร’ ผมมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ใครจะรู้เขาอาจจะแกล้งผมอีกก็ได้
 
          “แค่นี้ทำงอนไปได้” เขาว่าอย่างไม่จริงจังนักก่อนจะอุ้มผมเข้าไปในห้องนอน วางผมลงบนเตียงข้างหนึ่งบอกว่า “คืนนี้ให้นอนในห้องก็ได้ อย่าฉี่รดที่นอนล่ะ” พูดจบก็เดินออกไปตรวจสอบความเรียบร้อยของห้องก่อนที่จะปิดไฟแล้วกลับเข้ามานอนข้างผม
 
          “เหมียว” ผมที่รอจังหวะอยู่แล้วก็เงื้ออุ้งเท้าตบลงกลางหน้าคนที่นอนเปลือยอยู่ข้างๆ ทันที ไม่ได้กางเล็บและไม่รุนแรงมาก แค่ตบพอเป็นพิธีให้รู้ว่า ‘ผมไม่ใช่เด็กนะจะได้ฉี่รดที่นอน!’
 
          “โอะ!” พิพัฒน์หลุดอุทานเมื่ออุ้งเท้านุ่มๆของผมตบลงบนจมูกของเขา “กล้าตบหรอ? เดี๋ยวนี้ชักจะกล้าใหญ่แล้วนะ” เขาว่าแล้วก็พลิกตัวโถมเข้ามาจับผมตรึงไว้กับเตียง หน้าคมซุกไซ้พุงของผมอย่างหมั่นเขี้ยว ให้ผมดิ้นพล่านร้องประท้วงอย่างไร้ทางสู้ เขาฟัดผมอยู่สักพักก็ผละหน้าออกมา
 
          “จำไว้ถ้าตบอีกพ่อจะฟัดให้พุงแตกเลย” เขาว่า
 
          ครับผม จากนี้ไปชมาจะจำเอาไว้ว่าห้ามตบพิพัฒน์ ไม่อย่างนั้นพิพัฒน์จะกลายร่างเป็นปีศาจหมายเลขสอง งานนี้ชมาเข็ดจนตาย
 
++++++++++++++++++++++++++
มาลงต่อให้แล้วค่ะ 
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา