รักนะครับบ่าวของผม

9.3

เขียนโดย LingWah

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.07 น.

  3 ตอน
  2 วิจารณ์
  6,135 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 มีนาคม พ.ศ. 2558 21.18 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) บทที่ 1 ตอนที่ 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รักนะครับบ่าวของผมบทที่ 1 ตอนที่ 3

                “เหมียวๆ” ‘วันนี้วันดีไม่มีใครกวนใจ ชมาสดใสเริงใจสุขสันต์ ยิ้มยิงฟันให้ตะวันยามบ่าย สบายใจจังเลย’

ใช่แล้วครับวันนี้วันดีไม่มีพิพัฒน์มาคอยกวนใจเพราะพ่อคนหน้าตายกับเจ้าเด็กช่างมโนไปเที่ยวทะเลกันครับ เห็นว่าพิพัฒน์ลาพักร้อนเนื่องจากนี่เป็นช่วงหยุดกีฬามหาวิทยาลัย มีเวลาหวานกันร่วมสัปดาห์เลยทีเดียว แมวน้อยสุดหล่ออย่างผมจึงได้ครองห้องตลอดทั้งสัปดาห์เลย โดยมีเจ้าปีศาจปราชญ์แวะมาดูแลให้วันละสามครั้ง ก็มาให้ข้าว เปลี่ยนน้ำ แล้วก็ทำความสะอาดห้องน้ำให้ผมนั่นแหละครับ เป็นแมวนี่มันสบายจริงๆ

ถามว่าทำไมปราชญ์ถึงต้องเทียวไปเทียวมาห้องผมกับห้องของเขา เรื่องนี้มันมีเหตุผลครับ ทีแรกพิพัฒน์ก็ตั้งใจจะฝากผมไว้ที่ห้องของปราชญ์นั่นแหละ แต่พอเขาสังเกตเห็นร่างของผมที่นอนอยู่ในห้องนอนเล็กพ่อคนดีก็เลยเปลี่ยนใจเพราะ กลัวว่าผมจะทำให้ตัวเองติดเชื้อ ห้องของพิพัฒน์เองก็ไม่ได้มีของมีค่าอะไรมากมายอยู่แล้วจึงให้ปราชญ์ถือกุญแจสำรองเอาไว้แล้วคอยมาดูแลผมเป็นระยะๆ เท่านั้น

“ได้เวลาแล้วครับคุณชมา” แต่ที่ออกจะแย่สักหน่อยก็คือเรื่องนี้นี่แหละ ผมถอนหายใจแล้วพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง กำลังอาบแดดสบายเลยทำไมต้องมาเรียกตอนนี้ด้วยก็ไม่รู้ ผมบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง ปราชญ์นั่งรออยู่แล้วที่ห้องรับแขกพร้อมกับสมาร์ตโฟนของเขา โทรศัพท์ที่หน้าจอใหญ่จนแทบจะถือด้วยมือเดียวไม่ได้

“เหมียว” ‘น่ารำคาญจริง’  ผมบ่นขณะเดินไปนั่งประจำที่ ก็บนโซฟาตัวโปรดของผมนั่นแหละ

เมื่อเห็นว่าผมพร้อมแล้วปราชญ์ก็ส่งข้อความบอกพิพัฒน์ทันที ใช่ครับ บอกพิพัฒน์ ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องขอคุยกับผมทุกวัน จะว่าเป็นห่วงผมก็ไม่น่าจะใช่เพราะทุกครั้งที่คุยกันเขาก็เอาแต่สั่งว่าอย่าดื้อกับปราชญ์ อย่าทำลายข้าวของเท่านั้นแหละ

“ไงมอมแมม วันนี้ดื้อกับคุณปราชญ์เขาหรือเปล่า?” เสียงคุ้นหูดังออกมาจากลำโพง มันฟังดูแปลกไปเล็กน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะจำไม่ได้ ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์เองก็เปลี่ยนเป็นภาพของพิพัฒน์ที่สวมเสื้อกล้ามสีเข้ม มีฉากหลังเป็นทิวมะพร้าวกับร้านค้าริมชายหาด

ผมหรี่ตามองตอบเขาพลางนึกสงสัยว่าเขาเป็นผมเป็นเด็กที่พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไรถึงไม่ไว้ใจกันถึงขนาดนี้

“ว่าไง เป็นเด็กดีหรือเปล่า” ชัดเลย เขาเป็นผมเป็นเด็กจริงๆ ด้วย ชมาล่ะหน่าย

“หึ” เจ้าปีศาจที่ทำหน้าที่เป็นขาตั้งกล้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่มีหรือที่ผมจะไม่ได้ยิน ผมตวัดสายตาดุๆ ใส่เขาทีหนึ่ง ก่อนจะหันมามองหน้าพิพัฒน์ผ่านจอโทรศัพท์

“แน่ะ ถามไม่ตอบ เดี๋ยวนี้หยิ่งนะแก” พิพัฒน์ว่า ส่วนผมก็จ้องตอบนิ่งๆ ไม่สะดุ้งสะเทือนอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่พูดประโยคต่อมาล่ะก็นะ “หรือว่างอนที่ไม่พามาเที่ยวด้วย แกนี่ขี้งอนจริงๆเลยนะ”

“เหมียว!” ขึ้นครับขึ้น ของขึ้นเลย เรื่องอะไรมาว่าผมงอน ผมไม่ได้งอนสักหน่อย แค่เกาะช้างไม่เห็นจะอยากไปเลยสักนิด

“งอนจริงๆ ด้วยแฮะ” ได้ยินเสียงเขาพึมพำเบาๆ แต่ผมไม่มีเวลาใส่ใจมากนักเพราะตอนนี้เจ้าปีศาจกำลังกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ

“เหมียว!” ‘ทำไม? ไม่เคยเห็นแมวหงุดหงิดหรือไง’ ผมหัวไปตวาดเสียงเขียว ยิ่งหงุดหงิดอยู่แล้วยังจะมาหัวเราะขำกันอีก มันน่าข่วนให้เลือดซิบนักเชียว

“อ้าวๆ ทำไมมาลงที่ผมล่ะ?” เจ้าปีศาจแสร้งทำเป็นใสซื่อ ร้องประท้วงออกมาราวกับว่าเขาเป็นผู้เสียหายเสียอย่างนั้น ทำให้พิพัฒน์ดุผมเสียงเข้ม

“มอมแมม นิสัยไม่ดีนะเรา”

“มิอาว” ผมเถียงทันที ก็ผมไม่ผิดทำไมต้องมาดุผมด้วยเล่า

“มอมแมม”

“มิอาว!” ‘ก็บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไงเล่า!’ ผมขึ้นเสียงกลับ นึกหมั่นไส้คนที่ตีหน้าเข็มอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่ง อยากให้มีใครสักคนมาเห็นเขากำลังคุยกับแมวจริงๆ คงจะหนีไม่พ้นถูกหาว่าบ้าแน่ๆ แค่คิดก็สะใจแล้ว

“พี่พัฒน์! คุยอยู่กับใครเหรอครับ”

ดูเหมือนว่าคำขอของผมจะเป็นจริงเสียแล้วสิ ได้ยินเสียงเด็กลาเต้ดังลอดมาจากอีกด้านหนึ่ง ก่อนที่ใบหน้าใสจะโผล่เข้ามาในจอ ใกล้เสียจนผมผงะถอยหลังไปเลย ก็เจ้าเด็กนั่นเล่นยื่นหน้าเข้ามาใกล้เสียขนาดนั้น

“เหมียว” ‘ไงครับน้องลาเต้ เที่ยวทะเลสนุกไหม’ ผมร้องทักทายอย่างเป็นมิตร นี่ถ้าไม่ติดว่ามันจะดูผิดธรรมชาติผมจะส่งยิ้มให้ด้วยแล้วนะ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กลาเต้จะไม่ตอบรับความเป็นมิตรของผม คิ้วเรียวขมวดฉับทันทีก่อนจะหันไปตวาดใส่คนรักเสียงดัง ทำเอาคุณป้าขายส้มตำหันขวับมามองด้วยความอยากรู้ทันที

“พี่พัฒน์!”

‘โอเค งานนี้ชมาจะไม่ยุ่ง จัดการกันเอาเองก็แล้วกันนะครับ’ ผมหันไปสบตากับปราชญ์อย่างเป็นอันรู้กันว่าสมควรที่จะวางสาย เจ้าปีศาจกดวางสายทันทีด้วยไม่อยากฟังคู่รักทะเลาะกัน แล้วก็หันมาพูดกับผมว่า

“ดูเหมือนคุณจะกลายเป็นมือที่สามไปแล้วนะครับ คุณชมา”

“มิอาว!” ‘จะบ้าเหรอ! นี่แมวนะครับจะไปเป็นชู้กับสามีชาวบ้านได้ยังไง’ ผมเอ็ดไปทีหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี แล้วเดินกลับไปที่ระเบียงทันที

 

นี่ก็สามวันแล้วนับตั้งแต่วันที่ผมถูกกล่าวหาว่าเป็นมือที่สาม พิพัฒน์ไม่ได้ตดต่อกลับมาอีกเลย มีเพียงข้อความสั้นๆ ส่งถึงปราชญ์ว่าฝากดูแลผมด้วยเท่านั้น ผมอ่านข้อความแล้วก็เฉยๆ แต่ปราชญ์กลับหัวเราะบอกว่าชู้อย่างผมไม่สำคัญเท่าภรรยาสุดที่รักที่กำลังงอน

ให้ตายสิทำไมต้องยัดเยียดตำแหน่งชู้ให้แมวอย่างผมด้วยนะ คิดว่าพิพัฒน์เป็นพวกวิปริตชอบมีอะไรกับแมวหรืออย่างไร แต่ต่อให้เขาเป็นแบบนั้นผมก็ไม่เอาด้วยหรอก พิลึกจะตาย

ผมนึกสยองพลางยืดเหยียดขาทั้งสี่ข้าง แอ่นตัวเล็กน้อยทำท่าสะพานโค้งอยู่บนพื้นคอนกรีตขัดมัน เป็นแมวนี่ก็ดีไปอย่างนะ พื้นที่แคบๆ เล็กๆ แบบนี้ก็ยังสามารถนอนเหยียดได้อย่างสบาย แดดยามบ่ายที่เคยคิดว่าร้อนไปก็กลับอุ่นกำลังดี มันให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยจริงๆ นะ

“ปัง! โครม!” พลันเสียงโครมครามก็ดังลั่นมาจากทางประตู ผมสะดุ้งสุดตัว ถลันลุกขึ้นขนพองฟูด้วยตกใจ ไม่รู้ว่าขโมยขึ้นบ้านหรืออะไร เพราะถ้าเป็นปราชญ์ก็ไม่น่าจะทำเสียงดังแบบนี้ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งสติได้เสียงอันคุ้นเคยก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฟังพี่ก่อนสิเต้!” มันป็นเสียงของพิพัฒน์ แต่ตามกำหนดแล้วเขาต้องกลับพรุ่งนี้นี่นา ทำไมถึงได้กลับมาเร็วจัง ผมเอียงขอนึกฉงน ขนที่พองฟูค่อยๆ ราบลงตามเดิม

“ไม่ฟัง! เต้ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น พี่พัฒน์รักมันมากก็อยู่กับมันไปเลย ไม่ต้องมายุ่งกับเต้” เสียงเจ้าเด็กลาเต้โวยวาย อย่าบอกนะว่าสามวันแล้วยังทะเลาะกันเรื่องนั้นไม่เลิก จะบอกว่าเจ้าเด็กลาเต้หึงอย่างหัวรั้น หรือพิพัฒน์ง้อไม่เป็นดีนะ  มีคู่ไหนบ้างที่ทะเลาะกันเรื่องแมวสามวันสามคืนแบบนี้

“เต้ นั่นมันแมวนะ พี่จะเห็นแมวดีกว่าเต้ได้ยังไง” พิพัฒน์ให้เหตุผล ผมเห็นด้วยนะ แค่แมวจะมาเทียบเท่าคนได้อย่างไรกันเล่า

“แต่พี่พัฒน์ก็โทรหามันนี่ ถ้าเป็นแค่แมวแล้วจะโทรหามันทำไม” นี่ก็ขี้หึงขั้นเทพจริงๆ แค่โทรหาแมวก็ไม่ได้ แล้วที่พิพัฒน์ส่งข้อความหาปราชญ์นี่ไม่ยิ่งหนักกว่าหรืออย่างไร

“พี่ก็แค่เป็นห่วงกลัวว่ามันจะทำอะไรเสียหายเท่านั้นเอง” พิพัฒน์ยังคงอธิบายอย่างใจเย็น

“นั่นไง! พี่พัฒน์เป็นห่วงมัน!” ดูเหมือนว่าจะยิ่งบานปลายกันไปใหญ่เมื่อเด็กลาเต้โวยวายอย่างไม่พอใจที่พิพัฒน์พูดว่าเป็นห่วง ความจริงเขาเป็นห่วงบ้านแต่เด็กลาเต้ตีความไปแล้วว่าพิพัฒน์เป็นห่วงผม “พี่พัฒน์เป็นห่วงมันแต่ไม่เป็นห่วงเต้!”

                แบบนี้เขาเรียกว่าอิจฉาแมวหรือเปล่า ผมฟังแล้วนึกอยากจะขมวดคิ้ว เจ้าเด็กลาเต้นี่ไม่ใช่แค่ขี้หึงเอาแต่ใจนะ แต่ดูแล้วขี้อิจฉาสุดๆ ไปเลย อย่างกับเด็กขาดความอบอุ่นอย่างนั้นแหละ

                “พี่ก็เป็นห่วงเรานะเต้ทำไมพี่จะไม่เป็นห่วงคนรักของพี่กันล่ะ” พิพัฒน์กล่าวอย่างหนักแน่น แต่ในน้ำเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความสับสน คล้ายกับไม่เข้าใจว่าตนทำอะไรให้คนรักเข้าใจผิด

“ก็พี่พัฒน์ปล่อยให้เต้เล่นน้ำคนเดียวนี่!” เจ้าเด็กลาเต้ตะโกนปนสะอื้น ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาย

“พี่ก็เฝ้าเราอยู่ ไม่ได้ทิ้งเราสักหน่อย มีเหตุผลหน่อยสิเต้” พิพัฒน์ทำเสียงดุ ซึ่งผมไม่แปลกใจเลยเพราะคนอย่างพิพัฒน์โอ๋ใครไม่เป็น

“ฮึก ใช่สิเต้มันไม่มีเหตุผลนี่!” เด็กลาเต้กระแทกเสียงใส่คนรัก ได้ยินเสียงของหนักๆ กระทบกำแพงด้วย ผมที่ไม่กล้าเข้าไปดูจึงไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่ฟังจากน้ำเสียงของพิพัฒน์แล้วก็พอจะรู้ว่ามันไม่ดีสักเท่าไหร่

“เต้! ทำไมทำแบบนี้  พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าใช้กำลังให้คุยกันด้วยเหตุผล ถ้าวันนี้เต้ยังไม่พร้อมก็คุยกันวันอื่น” พอพิพัฒน์พูดไปแบบนั้นเจ้าเด็กลาเต้ก็ร้องไหหนักขึ้นไปอีก โวยวายเสียงดังฟังไม่ได้ศัพท์ ได้ยินเสียงข้าวของแตกกระจาย คล้ายคนต่อสู้กันอยู่ในห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง

ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้คงจะเป็นเวลาที่เหมาะที่สุดแล้วที่จะเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้อง ผมค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องอย่างกล้าๆ กลัวๆ ไม่ได้กลัวอะไรหรอกครับกลัวลูกหลงล้วนๆ เลย

โต๊ะเก้าอี้ในครัวล้มระเนระนาดอยู่กับพื้น ข้าวของต่างๆ กระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ลักษณะคล้ายถูกขว้างปา สภาพของห้องผิดไปจากเมื่อเช้าลิบลับ เศษจานที่แตกทำให้ผมต้องค่อยๆลัดเลาะไปอย่างระมัดระวัง และห้องนั่งเล่นก็มีสภาพไม่ต่างกัน โทรทัศน์ตกลงมากองอยู่บนพื้น ข้าวของที่มีอยู่อย่างน้อยนิดในห้องหล่นกระจายเกลื่อน และที่หน้าประตูห้องนอนนั้นก็ปรากฏร่างของเจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่

สีหน้าของพิพัฒน์เรียบเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่แววตาของเขากลับทำให้ใจของผมสั่นไหว ผมรู้จักแววตานั้น มันคือแววตาอย่างเดียวกันกับที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของคนผู้นั้น คนที่แจ้งข่าวร้ายที่สุดในชีวิตให้กับผม

แววตาแห่งความสิ้นหวัง ผมเรียกมันแบบนั้น

“เหมียว” ผมร้องเรียกพร้อมกับเดินเข้าไปหาเขาช้าๆ

พิพัฒน์หลุดจากอาการเหม่อและหันมามองผม ร่างสูงย่อตัวลงคุกเข่าให้ผมได้ถูไถศีรษะและลำตัวเข้ากับขาของเขาโดยสะดวก มือหนาลูบตลอดความยาวของตัวผมอย่างเลื่อนลอย สีหน้าครุ่นคิด ผมรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องลาเต้ คนรักคนล่าสุดของเขา

“เหมียว” ผมส่งเสียงขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งใช้อุ้งเท้าแตะเข่าของเขาเบาๆ เป็นเชิงปลอบ เงยหน้าขึ้นสบตากับนัยน์ตาคมที่สั่นสะท้านของเขา ผมไม่ชอบพิพัฒน์คนนี้เลย พิพัฒน์คนที่อ่อนแอและไร้ซึ่งความมั่นใจ แต่ผมก็เข้าใจเรื่องของหัวใจไม่เคยง่ายเลยไม่ว่ากับใครก็ตาม

ยิ่งเป็นความรักระหว่างเพศเดียวกันยิ่งแล้วใหญ่ ยากนักที่จะพบรักแท้ที่ยั่งยืน และหลายคนก็มักจะฝืนเพื่อรั้งความสัมพันธ์ของตนเอาไว้ให้นานที่สุด ฝืนอดทน ฝืนเปลี่ยนแปลงตัวเอง และฝืนที่จะรักกัน ทั้งหมดก็เพื่อที่จะได้มีคู่รัก ไม่ต้องอยู่ลำพังเหว่ว้าในโลกอันกว้างใหญ่ ไม่ต้องออกตามหาความรักครั้งใหม่ ไม่ต้องทนเจ็บกับรักที่ไม่สมหวัง แต่สุดท้ายวันนั้นก็ต้องมาถึง วันที่ไม่อาจฝืนรั้งต่อไปได้อีก เพราะความรักที่ต้องฝืนใจจะอย่างไรก็ไม่ใช่ความรัก

 ผมกระโดดขึ้นไปบนเข่าข้างที่ตั้งฉากกับพื้นของพิพัฒน์ ได้ยินเสียงเขาหลุดอุทานออกมาเบาๆ สองมือขยับประคองร่างของผมเอาไว้ทันที น่าขันผมเป็นแมวนะไม่เสียหลักตกลงไปได้ง่ายๆ หรอก ผมคิดพลางซุกศีรษะเข้ากับแผ่นอกกว้างของเขา พิพัฒน์ดูจะชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะโอบกอดผมเอาไว้ พูดพึมพำเสียงแหบแห้งอย่างหมดแรงว่า

“ฉันทำผิดไปใช่ไหม? ฉันรักเขาไม่พอใช่ไหม?” พูดจบเขาก็เงียบไป เอาแต่กอดผมนิ่งๆ อยู่อย่างนั้นเอง

ได้ยินคำถามของเขาแล้วทำให้ผมนึกอยากจะถามกลับไปจริงๆ ว่าเขากับลาเต้รักกันจริงๆ หรือแค่ยึดกันและกันเป็นที่พักพิงยามที่หัวใจเปลี่ยวเหงากันแน่

ยามที่ผมเฝ้ามองคนทั้งคู่ผมรู้สึกเหมือนพิพัฒน์พยายามทำหน้าที่คนรักที่ดี ส่วนเจ้าเด็กลาเต้คนนั้นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพิพัฒน์เป็นของเขา ใช่ เด็กลาเต้แสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจน ในขณะที่พิพัฒน์ก็พยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มันก็แค่ “การครอบครอง” กับ “หน้าที่” ไม่ใช่ “ความรัก”

น่าสงสารนะที่คนทั้งคู่ไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งถึงจุดแตกหัก และผมก็เชื่อว่าทั้งสองคนยังไม่รู้สึกตัว

“มิอาว” ‘มันไม่ผิดหรอก นายพยายามดีแล้วล่ะ แต่ถ้าจะผิดก็ผิดกันทั้งคู่ที่ไม่เคยรักกันเลยต่างหาก’ ผมบอกแม้จะรู้ดีกว่าเขาไม่มีทางเข้าใจ

“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าแกกำลังปลอบฉันกันนะมอมแมม” เขาพูดพลางกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น มันทำให้ผมอึดอัด แต่อะไรก็ไม่น่าขัดใจเท่าการที่เขาเรียกผมว่ามอมแมม

“มิอาว!” ‘ก็บอกว่าอย่ามาเรียกว่ามอมแมมไงเล่า!’

“แกว่าฉันควรจะง้อเต้ยังไงดี?” เขาเมินเสียงประท้วงของผมและถามขึ้นอีกครั้ง มันน่ายุให้เลิกกันนักเชียว แต่ไม่ได้หรอก บาปตายเลย อีกอย่างถ้าปราชญ์รู้เข้าผมคงถูกล้อไม่เลิกแน่ว่าเป็นมือที่สามยุให้สามีภรรยาเขาเลิกกัน

“มิอาว” ผมร้องพร้อมกับดิ้นให้เขาปล่อยผมออกจากอ้อมแขน ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี

“อะไร จะไม่ช่วยกันหน่อยหรอ?” เขาตัดพ้อ ทำหน้าตาน่าสงสาร มันน่าถ่ายรูปเก็บเอาไว้ล้อทีหลังเสียจริงๆ ตัวก็โตอย่างโคถึกทำไมทำหน้าแบบนั้นได้อย่างไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนกันนะ

“มิอาว” ‘ไม่ได้ ต้องเก็บห้องก่อน’ ผมร้องบอกพร้อมกับวิ่งไปตบนิตยสารที่ตกกระจายเกลื่อนแรงๆ เป็นเชิงบอกใบ้

“จะให้อ่านนั่นหรอ? แต่นั่นมันเกี่ยวกับสวนครัวนะ เต้ไม่ได้ชอบทำสวนสักหน่อย”

“มิอาว!” ‘ไม่ใช่ ให้เก็บห้องต่างหาก’ คราวนี้ผมพยักพเยิดไปทางห้องครัว ถึงจะดูผิดวิสัยแมวไปบ้างแต่ผมก็ไม่สนหรอก ห้องเละแบบนี้จะอย่างไรก็ต้องเก็บให้เรียบร้อย มันรกหูรกตาทำอะไรไม่สะดวก แถมเป็นอันตรายต่ออุ้งเท้านุ่มนิ่มของผมด้วย

“หรือหิวข้าว? แกนี่มันตะกละจริงๆ เลยนะ” แต่กลายเป็นว่าพิพัฒน์เข้าใจผิดไปคนละเรื่องเลย แล้วทำไมต้องมาว่าผมตะกละด้วย คนอย่างชมาไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นสักหน่อย ถ้ามาว่าตะกละหรือเห็นแก่กินอีกพ่อจะยึดเตียงประท้วงเลยคอยดู

ผมมองค้อนพิพัฒน์ทีหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหนี เดินเลี่ยงไปหาที่นอนสงบๆ เพราะตอนนี้พิพัฒน์กำลังเริ่มเก็บกวาดห้องที่เละเทะของเขา ระเบียงอาจจะเป็นความคิดที่ดี แต่ในครัวเดินผ่านไม่ได้และพิพัฒน์ก็ลงกลอนประตูห้องนอนเอาไว้เสียด้วย คงกลัวว่าผมจะเข้าไปทำอะไรเสียหาย แถมโซฟาก็เปียกน้ำจากแจกันที่ถูกปัดล้มจนชุ่มไปหมด สุดท้ายชมาน้อยที่แสนจะน่าสงสารก็ต้องระเห็จตัวเองขึ้นไปนอนบนโต๊ะเตี้ยแทนที่โทรทัศน์

“แกมานอนตรงนี้แล้วฉันจะวางทีวีไว้ตรงไหน?” ได้ยินเสียงพิพัฒน์ทักขึ้นขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ เรียกให้ผมปรือตาขึ้นมองนิดๆ ก่อนจะซุกหน้าลงไปในวงขดของลำตัว กำลังนอนสบาย โทรทัศน์นั่นก็ให้อยู่บนพื้นต่อไปก่อนก็แล้วกัน

“เฮ้อ!” แว่วเสียงถอนหายใจของคนตัวโต ก่อนที่มือแกร่งจะช้อนผมขึ้นมา “แง้ว!” ผมเอ็ดขึ้นทั้งที่ยังไม่ลืมตา แต่พิพัฒน์ก็ไม่ได้วางผมลง เขาพาผมเดินไปที่ไหนสักแห่งขณะที่ผมกำลังต่อสู้กับความง่วง แต่แล้วพิพัฒน์ก็ค่อยๆ วางผมลงบนฟูกนุ่มๆ กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของพิพัฒน์บอกให้ผมรู้ว่านี้คือเตียงของเขา ที่เคยคิดจะตื่นขึ้นมาโวยวายคนที่ก่อกวนเวลานอนก็เลยกลายเป็นซุกตัวเข้ากับฟูกนุ่มๆ แล้วหลับลงในเวลาไม่นาน

“หึๆ” แว่วเสียงหัวเราะขำของใครบางคนก่อนที่จะจมดิ่งลงสู่ห้วงนิทราอันแสนหวานคนจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพิพัฒน์ เอาไว้ผมตื่นขึ้นมาก่อนเถอะ จะลงโทษข้อที่มาหัวเราะเยาะให้หนักเลย

ผมหลับไปนานหลายชั่วโมงทีเดียว ที่รู้ก็เพราะว่าพอตื่นขึ้นมาอีกทีก็เลยเวลาอาหารกลางวันไปนานแล้ว อาจจะเรียกว่าเย็นย่ำใกล้ค่ำเลยก็ว่าได้ “เหมียว” ‘ทำไมถึงไม่ปลุกกันบ้างนะ’ ผมบ่นคนที่ปล่อยให้ผมพลาดเวลาอาหารกลางวันก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วออกตามหาพิพัฒน์

“เหมียว” ผมร้องเรียกคนที่กำลังนั่งเหม่ออยู่บนพื้นห้องนั่งเล่นเสียงห้วน พิพัฒน์ในยามนี้ดูจะเหม่อและไร้ซึ่งความเป็นตัวของตัวเองอีกแล้ว เขานั่งเอาหลังพิงโซฟาขาทั้งสองข้างเหยียดยาวไปบนพื้น ดูอ่อนแรงอย่างน่าสงสาร แต่พอผมเห็นกระป๋องเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ที่วางอยู่บนพื้นความสงสารนั้นก็มลายหายไปทันที

ผมเกลียดน้ำพิษพวกนี้เป็นที่สุด แค่เห็นก็หงุดหงิดแล้ว

“มิอาว!” ผมร้องลั่นพร้อมกับปัดกระป๋องในมือของเขาคว่ำลง น้ำสีอำพันกลิ่นฉุนเฉียวหกนองพื้น แต่ผมไม่สน ตวัดสายตามองหน้าคนที่ตั้งท่าจะดุผมแล้วชิงตวาดว่าเสียงดังแม้จะรู้ว่าเขาฟังผมไม่รู้เรื่องก็ตาม “มิอาว!” ‘มีปัญหาก็ใช้สมองแก้สิวะ จะกินเหล่าหาพระแสงอะไร!’

ยอมรับครับว่าครั้งนี้ผมใช้คำหยาบ ก็มันอดไม่ไหวจริงๆ นี่นา ผมเกลียดเหล่า เกลียดเบียร์ เกลียดน้ำเมาทุกชนิด และไม่ชอบเลยที่เห็นคนอื่นทำลายชีวิตของตัวเองด้วยน้ำพวกนี้ ผมอาจจะสุดโต่งเกินไปในสายตาของใครหลายคน แต่ผมเป็นแบบนี้มานานแล้ว และจะเป็นตลอดไปอย่างไม่มีวันเปลี่ยน

“หึ” พิพัฒน์หัวเราะในลำคอด้วยสีหน้าที่ขมขื่น มองผมสลับกับกระป๋องน้ำเมาที่กลิ้งอยู่บนพื้นก่อนจะพูดพึมพำขึ้นว่า “นี่ฉันมันน่าสมเพชถึงขนาดที่ต้องให้แมวมาสอนเลยหรอ?”

“เหมียว!” ‘ใช่สิ แค่ทะเลาะกับแฟนก็กินเหล้าเมา เกิดตกงานนี่ไม่ฆ่าตัวตายเลยหรือไง’ ผมว่าซ้ำ ไม่คิดจะใจดีด้วยหรอกนะ น้ำพิษน้ำเมาพวกนี้มันทำให้คนขาดความยั้งคิด ขาดสติ ไม่ว่าจะดื่มน้อยดื่มมากมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ ดื่มขณะรื่นเริงยังเกิดปัญหา แล้วดื่มขณะมีปัญหามันไม่ยิ่งทำให้ปัญหาหนักขึ้นหรืออย่างไร กี่รายแล้วที่ความคิดชั่ววูบระหว่างเมาทำให้เกิดเรื่อง ผมไม่อยากเห็นแบบนั้นอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนใกล้ตัวผมอย่างพิพัฒน์

“หึ นั่นสินะ” พิพัฒน์พึมพำพลางเอื้อมมือหยิบกระป๋องที่ตกขึ้นมา แต่ก็ถูกผมตบเสียจนเลือดซิบ

“มิอาว!” ‘ไม่ได้!’ ว่าไปขนาดนั้นแล้วยังจะกินอีกนะ

“ไม่ได้จะกินสักหน่อย จะเอาไปทิ้งต่างหาก” เขาแก้ตัวพลางหัวเราะขำในลำคอ ผมจ้องหน้าเขานิ่งๆอยู่หลายอึดใจจึงยอมถอย พิพัฒน์ก็ลุกขึ้นเก็บกวาดซากกระป๋องของเขาไปทิ้งอย่างที่พูดเอาไว้ เสร็จแล้วก็หันมาถามผมว่า “หิวหรือยัง จะกินข้าวเลยไหม?”

แน่นอนว่าผมตอบตกลง พิพัฒน์จึงเตรียมมื้อเย็นให้กับผม สีหน้าเขาดูตึงๆ และเคลื่อนไหวเชื่องช้าลงนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้เมาจนหมดสภาพ คงเป็นเพราะเขาดื่มไปน้อย เท่าที่ผมสังเกตเห็นในถุงขยะมีกระป๋องที่เปิดแล้วเพียงสามกระป๋องเท่านั้น และหนึ่งในนั้นผมก็ทำหกไปมากกว่าครึ่ง มื้อเย็นที่ผมเป็นห่วงว่าจะออกมาไม่ดีจึงไม่แย่อย่างที่คิด อัตราส่วนเนื้อปลาและผักผิดไปจากเดิมเล็กน้อยแต่ก็ยังครบเครื่อง ที่จะติได้ก็คงเป็นผักที่เละจนเกินไปเท่านั้น

“ไหนขอชิมมั่งซิ” คนที่นั่งจ้องผมทานมื้อเย็นกล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย มือหนาเอื้อมหยิบฟักทองต้มเละๆ จากชามของผมใส่ปากทันทีอย่างไม่ทันที่ผมจะอนุญาตหรือบอกปฏิเสธ

“เหมียว!” ‘นั่นของผมนะ เอ๊ย จะบ้าหรือไงนั้นมันอาหารแมวนะ’ ผมร้องเสียงหลงจ้องหน้าเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ‘คนบ้าอะไรกินอาหารแล้วได้หน้าตาเฉย นั่น ยังจะหยิบคำที่สองไปกินอีก ชมาหวง เอ๊ย เป็นห่วงนะเกิดลงท้องไปจะทำยังไง’

“อะไร แค่นี้เอง หวงหรอ?” เขาถามยิ้มๆ ท่าทางจะเมาหรือไม่ก็เครียดจนเพียนไปแล้วแน่ๆ ผมหยุดกิน จ้องหน้าเขาอย่างลังเล ไม่แน่ใจว่าควรจะปล่อยไปหรือควรจะตบเรียกสติสักสองสามทีดี แต่ก่อนที่ผมจะได้ตัดสินใจ เสียงกริ่งที่หน้าประตูก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ไม่แย่งแล้ว แกกินไปเถอะ” เขาว่าพลางขยี้ศีรษะของผม แล้วก็ลุกไปเปิดประตู ผมย่นหน้ามองค้อนตามไปหน่อยหนึ่งก่อนจะหันมาสนใจอาหารในชามของตัวเอง หูก็ฟังเสียงความเป็นไปที่หน้าประตูไปด้วย จึงได้รู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร

“พี่พัฒน์เต้ขอโทษ ฮึก อย่าโกรธเต้นะฮะ” เสียงสะอื้นที่คุ้นหูและชื่อที่เจ้าตัวเรียกแทนตัวเองบ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าเด็กเอาแต่ใจกลับมาง้อคนรักแล้ว

“พี่ไม่โกรธเต้หรอกครับ แต่เต้สัญญากับพี่ได้ไหมว่าจะใช้เหตุผลให้มากกว่านี้” พิพัฒน์กล่าวเสียงนุ่ม ฟังดูเป็นพระเอกเสียจนผมรู้สึกเลี่ยน ได้ยินเสียงเจ้าเด็กช่างมโนกล่าวรับคำเสียงสั่นเครือ ผมไม่รู้ว่าพิพัฒน์จะเห็นว่าอย่างไร แต่ผมรู้สึกได้ถึงความกลัวที่จะถูกทิ้งในกระแสเสียงของเด็กหนุ่ม

บางทีผมก็รู้สึกว่าผมไม่รู้จักลาเต้เลยสักนิด ใช่ ไม่รู้จักเลย เป็นคนแปลกหน้าที่พบหน้ากันบ่อยจนคิดไปเองว่าคุ้นเคยเท่านั้น กับพิพัฒน์เองก็เช่นกัน ผมพูดไม่ได้เต็มปากหรอกว่ารู้จักเขา

ผมเลิกสนใจคู่รักที่กำลังปรับความเข้าใจกันหันมาจัดการมื้อเย็นของตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจากที่พูดคุยปรับความเข้าใจกันจะกลายเป็นสงครามย่อมๆ ไปเมื่อไหร่

“คืนนี้ให้เต้ค้างที่นี่นะครับ แล้วพี่พัฒน์กินอะไรแล้วหรือยังครับ เต้ซื้อขอสดมาด้วย ให้เต้ทำกับข้าวให้นะ” แว่วๆ ว่างานจะเข้า ชมานี่รีบกินเลย ขืนเจ้าเด็กลาเต้มาเห็นผมกินข้าวบนโต๊ะคงได้โวยวายลั่น

“พี่ว่าพี่เป็นคนทำดีกว่าครับ เดี๋ยวเต้จะเหนื่อย” และดูเหมือนว่าพิพัฒน์ก็คิดแบบเดียวกันกับผม

“แต่เต้อยากทำให้พี่พัฒน์ทานนี่ครับ” เจ้าเด็กลาเต้เถียงน้ำเสียงสื่อถึงความเอาแต่ใจอย่างที่ทำให้ผมรีบทานอาหารจนเกือบสำลักเลยทีเดียว

“พี่ก็อยากทำให้เต้ทานเหมือนกัน” ในขณะที่พิพัฒน์ยังไม่ยอมแพ้ ผมก็ทำหน้าที่แมวที่ดีโดยการคาบชามอาหารที่เกลี้ยงเกลากระโดดลงจากโต๊ะทานข้าว ผมวางชามลงกับพื้นที่มุมหนึ่งของห้องครัวตอนที่เจ้าเด็กลาเต้พูดขึ้นว่า

“ถ้าอย่างนั้นเราช่วยกันทำนะครับน่าสนุกดีออก” สิ้นเสียงเจ้าเด็กลาเต้ก็เดินยิ้มระรื่นเข้ามาในครัว เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นผมแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนพิพัฒน์ที่เดินตามมาก็ขมวดคิ้วเข้าด้วยสงสัย คงจะงงที่ผมกับชามข้าวไปอยู่บนพื้นแทนที่จะเป็นบนโต๊ะ

“เหมียว” ‘ไง ผมเก่งใช่ไหม นี่ต้องขอบคุณผมเลยนะไม่อย่างนั้นเจ้าเด็กลาเต้ได้โวยวายอีกแน่’ ผมร้องบอกพร้อมกับยืดอกอย่างภูมิใจ เห็นพิพัฒน์ยกยิ้มมุมปากด้วย แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น

“ไหน เย็นนี้จะทำอะไรทานครับ?” พิพัฒน์ถามขึ้นพลางเปิดถุงพลาสติกที่ลาเต้หิ้วมาออกดูโดยที่มีเจ้าของถุงอยู่ระหว่างกลางแขนสองข้าง

‘จะเรียกว่าเนียนหรือเจ้าเล่ห์ดีนะ’ ผมนึกสงสัย เพราะตอนนี้พิพัฒน์โอบเจ้าเด็กลาเต้เอาไว้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าคมฝังลงที่ซอกคอของเด็กหนุ่มให้อีกฝ่ายหน้าแดงเล่น ก็คงจะหน้าแดงนะ แมวตาบอดสีอย่างผมไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไหร่

“สปาเก็ตตี้มีทบอลไงครับ พี่พัฒน์ชอบทานไม่ใช่หรอ?” เด็กลาเต้ตอบพร้อมกับรอยยิ้มสดใส แต่ผมสังเกตเห็นว่าพิพัฒน์ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะยิ้มอ่อนๆ ให้เด็กหนุ่ม พูดชักชวนให้เริ่มทำอาหารกัน

ส่วนผมก็นั่งดูคนตัวโตกับคนตัวเล็กช่วยกันทำอาหารในห้องครัวแคบๆ อย่างนึกขัน เพราะถึงแม้ว่าพิพัฒน์จะซื้อเครื่องครัวเข้ามาจำนวนหนึ่งเพราะต้องใช้เตรียมอาหารให้กับผม แต่เครื่องครัวเหล่านั้นก็เป็นแค่เครื่องครัวชิ้นเล็กๆ ไม่กี่ชิ้น พอทำอาหารที่ซับซ้อนขึ้นก็เลยขลุกขลักไปบ้างเป็นธรรมดา แค่หาทางต้มเส้นก็ใช้เวลาและพลังไปมากโขแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขั้นตอนอื่นเลย

สองคนช่วยกันทำอาหารสลับกับพูดคุยหยอกล้อกันเป็นระยะเพราะเจ้าเด็กลาเต้นั้นไม่มีฝีมือด้านการทำครัวเอาเสียเลย ร้อนถึงพิพัฒน์ที่ต้องคอยสอนคอยบอก และคนตัวโตก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวเนียนไปถึงไหน สอนหั่นผักก็โอบ สอนผัดซอสก็จับมือแถมหอมแก้มนุ่มอีกต่างหาก นี่ถ้าผมไม่รู้จักนิสัยเขาผมคงคิดว่าเจ้าหมอนี่เป็นจอมเจ้าชู้แน่ๆ ก็ดูคอเจ้าเด็กลาเต้สิช้ำเป็นจ้ำไปหมดแล้ว

แต่เจ้าเด็กลาเต้ก็น้อยหน้าเสียที่ไหนประเดี๋ยวคอเสื้อกว้างๆ ก็เลื่อนลงมากองที่ไหล่ ประเดี๋ยวก็เขย่งหอมแก้มขอบคุณที่สอน ชมที่เก่ง แถมยังพกผ้ากันเปื้อนลูกไม้มาเองอีกต่างหาก ผ้ากันเปื้อนลูกไม้สีชมพูยาวปิดหน้าขา ก็จริง แต่กางเกงของน้องยาวจากเอวลงมาไม่ถึงสองคืบ มองบางมุมดูเหมือนใส่แต่ผ้ากันเปื้อนตัวเดียวเสียด้วยซ้ำ

“อร่อยจังเลยครับ” เจ้าเด็กลาเต้เอ่ยชมไม่ขาดปาก ไม่รู้ว่าชื่นชมฝีมือตัวเองหรือชมฝีมือคนรักอย่างพิพัฒน์ที่ลงมือทำเกือบทั้งหมดกันแน่

“อร่อยก็ทานเยอะๆ สิครับ” คนนี้ก็สวมบทผู้ชายอบอุ่นอย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ พิพัฒน์ที่ยิ้มน้อยๆ พูดแต่คำหวานๆ แบบนี้ชวนให้ผมรู้สึกสยองอย่างไรพิกล แต่ดูเจ้าตัวก็ไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำหรือฝืนใจสักเท่าไหร่ มันชวนให้ผมคิดไปว่าบางทีพิพัฒน์คงจะคิดสานความสัมพันธ์นี้ต่อไปอย่างจริงจังก็ได้

หลังมื้อค่ำอันหวานเลี่ยนในสายตาแมวมองอย่างผม พิพัฒน์กับลาเต้ก็ช่วยกันเก็บล้างเสร็จแล้วลาเต้ก็ให้พิพัฒน์ไปอาบน้ำก่อน ส่วนเด็กหนุ่มก็หันมาเล่นกับผม ใช่ครับลาเต้กำลังเล่นกับผม เป็นครั้งแรกหลังจากที่เหม็นหน้าผมมาตลอดหลายเดือน

“แกนี่มันน่ารักจริงๆ ด้วยนะ” ลาเต้พึมพำขณะที่กระดิกนิ้วเล่นกับผม ซึ่งผมก็ทำตัวเป็นแมวที่ดีไม่ยอมกางเล็บขณะที่ไล่จับนิ้วเล็กๆ ของลาเต้ ก็ไม่ได้อยากเล่นอะไรเป็นเด็กแบบนี้หรอกนะ แต่เห็นอะไรไหวๆ แล้วมันอดใจไม่ไหวจริงๆ นี่นา ลาเต้เล่นกับผมอยู่สักพักพิพัฒน์ก็ออกมาจากห้องน้ำและเรียกให้เด็กหนุ่มไปอาบน้ำต่อ ลาเต้ก็คว้าเป้ของตัวเองหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างว่าง่าย

“แบบนี้เขาเรียกฟ้าใสหลังพายุใช่ไหม?” พิพัฒน์หันมาพูดกับผม ใบหน้าคมเข้มปรากฏรอยยิ้มที่ไร้การเสแสร้งใดๆ ดูท่าเขาจะมีความสุขจริงๆ

“เหมียว” ‘ดีใจด้วยนะ’ ผมร้องบอก พิพัฒน์ยิ้มให้ผมก่อนจะเลี่ยงไปแต่งตัว ส่วนผมก็กระโดดขึ้นไปสำรวจโซฟาว่าแห้งหรือยัง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงต้องระเห็จไปนอนที่ระเบียงแน่ๆ หรือว่าผมควรจะไปนอนที่ระเบียงกันนะ ปล่อยให้คู่รักได้มีเวลาส่วนตัวให้กัน

ผมลังเลอยู่นานเลยทีเดียว เลือกไม่ถูกระหว่างโซฟานุ่มๆ กับระเบียงแข็งๆ แต่ในที่สุดผมก็เลือกที่จะลากเบาะนอนที่ผมไม่เคยใช้ไปที่ระเบียง ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าถ้าผมนอนในห้องคืนนี้ผมอาจจะนอนไม่หลับเพราะเสียงรบกวนก็เป็นได้

“แกร๊ก!” ขณะที่ผมกำลังจะลงมือลากเบาะลาเต้ก็เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำพอดี สภาพของเขาทำให้ผมมองตาค้าง ที่ตั้งใจจะให้ความเป็นส่วนตัวกับพวกเขามลายหายไปสิ้นเลยทีเดียวเพราะความอยากรู้อยากเห็นเข้ามาแทนที่เสียแล้ว

“มองอะไร? ฉันน่ารักกว่าแกใช่ไหมล่ะ” เจ้าเด็กลาเต้กระซิบถามผมเสียงห้วน แต่ผมไม่สนใจฟังเพราะกำลังไล่สายตาสำรวจร่างบางตรงหน้าอย่างละเอียด

ร่างบางที่สวมเสื้อเชิ้ตเนื้อบางตัวหลวมโคร่ง ชายเสื้อยาวปิดขาอ่อนเพียงเล็กน้อย เรือนผมที่เปียกน้ำนิดๆ ลู่ลงแนบแก้มใส แค่นี้ก็ดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาดแล้ว ทว่าเจ้าเด็กลาเต้ไม่ได้มีแค่นั้น เขายังมีหูที่เป็นขนฟูๆ อยู่บนศีรษะด้วย ผมดูไม่ออกว่ามันเป็นสีอะไร แต่แค่นี้ก็น่ารักแล้ว ลำคอระหงสวมไว้ด้วยปลอกคอกระดิ่ง และที่ร้ายไปกว่านั้นคือหางยาวๆ ที่ขยับไหวล่อสายตาอยู่ด้านหลังต่างหาก เห็นแล้วมันอยากจะไล่ตะปบเสียจริง แมวอย่างผมยิ่งแพ้อะไรไหวๆ แบบนี้อยู่ด้วยสิ

“เหมียว” ‘ขอจับได้ไหมครับ?’ ผมร้องถาม 

แต่ดูเหมือนว่าลาเต้จะไม่สนใจคำถามของผม เขาเดินเข้าไปในห้องนอนที่มีคนตัวโตนั่งหันหลังอยู่บนเตียงทันที ร่างบางเกาะขอบประตูเอาไว้ โผล่ร่างให้คนในห้องเห็นได้เพียงครึ่งเดียวก่อนจะเรียกพิพัฒน์ด้วยเสียงที่กระเส่าชวนให้น่าฟัดขึ้นอีกเป็นกอง

“พ-พี่พัฒน์ฮะ”

สิ้นเสียงเรียกพิพัฒน์ก็หันมาก่อนจะนิ่งตะลึงค้างไปกับภาพที่เห็น อย่างที่ผมอดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นการ์ตูนเลือดกำเดาของเขาคงไหลไปแล้ว ‘ให้ตายสิอ่านง่ายชะมัดเลยตาบื้อเอ๊ย’

“ล-ลาเต้ ทำไม...” พิพัฒน์พูดออกมาได้เพียงแค่นั้น ร่างสูงลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะก้าวเข้ามาหาคนรัก ส่วนเจ้าเด็กลาเต้ก็ยืนอิงแอบแนบกับประตูอย่างเขินอายอย่างที่ผมชักจะไม่เชื่อเสียแล้วสิว่านั่นไม่ใช่การแสดง ก็ตัวเองเล่นใส่เองทำไมจะต้องอายด้วย

“ก-ก็...เต้กลัวพี่พัฒน์ไม่หายโกรธนี่ฮะ” หนุ่มน้อยตอบเสียงสั่น หลุบตาต่ำลงอย่างอายๆ ให้คนตัวโตใจเต้นไม่เป็นจังหวะ สังเกตได้จากสีหน้าอึ้งๆ และเสียงลมหายใจที่ขาดห้วงของเขา

        “พี่หายโกรธเราตั้งแต่เราขอโทษแล้วครับ” พิพัฒน์พูดพลางโอบร่างเล็กเข้ามากอด ก่อนจะพากันหายเข้าไปในห้องนอน

‘ไม่ค่อยเลยนะเจ้าเด็กนี่’ ผมคิดพลางส่ายศีรษะ ค่อยๆ ย่องออกไปที่ระเบียงเพราะไม่อยากรบกวนพวกเขาทั้งสองคน คืนดีๆ แบบนี้

“เหมียว” ผมบิดกายคลายความเมื่อยขบก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องตั้งใจว่าจะไปนอนที่โซฟาประจำตัวของผม ไม่จำเป็นต้อองขดตัวปิดหูอีกแล้วเพราะคืนนี้คงจะไม่มีเสียงรบกวนอีก บทเพลงรักที่ร้อนแรงและยาวนานนั้นกินพลังงานมหาศาล เชื่อว่าอีกไม่นานทั้งคู่จะหลับลงอย่างสนิททีเดียว

“ก็เต้จะให้พี่พัฒน์เลือกนี่!” เสียงตะโกนของลาเต้ทำให้ผมที่เพิ่งจะเดินเข้ามาในครัวสะดุ้งสุดตัว

‘อะไรหว่า ฟ้าเพิ่งจะใสไปหยกๆ พายุจะเข้าอีกแล้วหรอ?’ ผมมุดหลบเข้าใต้โต๊ะเพื่อเป็นการปลอดภัยไว้ก่อน หูก็เงี่ยฟังบทสนทนาต่อไป พลางนึกสงสัยว่าช่วงที่คนทั้งคู่กระซิบกระซาบกันนั้นพวกเขาคุยเรื่องอะไรเจ้าเด็กลาเต้จึงโวยวายขึ้นมาเช่นนี้

“มันไม่มีเหตุผลอะไรที่พี่จะต้องเลือกเลยนะครับเต้” พิพัฒน์กล่าวอย่างใจเย็น

“ยังไงพี่พัฒน์ก็ต้องเลือก!” เจ้าเด็กลาเต้ยืนกรานเสียงแข็ง ก่อนจะยื่นคำขาดที่ตอบข้อสงสัยของผมได้เป็นอย่างดี “ถ้าพี่พัฒน์จะให้เต้อยู่ที่นี่ก็ต้องไม่มีแมวนั่น แต่ถ้าพี่พัฒน์จะให้มันอยู่ก็เลิกกัน!”

อย่าบอกนะว่าเจ้าเด็กลาเต้แต่งเป็นแมวยั่วสวาทก็เพราะเหตุนี้ ให้เลือกระหว่างตัวเขากับผม สงสัยที่ผมคิดว่าลาเต้เลิกหึงผมกับพิพัฒน์แล้วคงจะเป็นความคิดที่ผิด ผมพลาดไปได้อย่างไรกันนะ คนที่แสดงออกถึงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนเช่นนี้ย่อมมีปมอะไรสักอย่างอยู่ในใจอย่างแน่นอน ผมไม่แน่ใจว่าปมนั้นคืออะไร อาจจะเป็นความอยากเอาชนะ ความอยากเป็นที่หนึ่ง หรือความกลัวที่จะถูกทิ้ง

บางทีเจ้าเด็กลาเต้อาจจะแสวงหาความมั่นคงในชีวิตก็เป็นได้ ผมนึกย้อนกลับไปก็เห็นว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น ลาเต้เรียกร้องความสนใจจากพิพัฒน์ในทุกเรื่อง ต้องการเป็นที่หนึ่งในใจของพิพัฒน์อยู่เสมอ ไม่ต้องการให้พิพัฒน์สนใจหรือดูแลคนอื่นนอกจากเขา ราวกับต้องการให้พิพัฒน์มีเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต สำคัญยิ่งกว่าชีวิตและจะไม่มีวันทิ้งเขาไปตราบจนชั่วชีวิต

แต่ลาเต้คงลืมไปว่าเขาไม่อาจบงการให้คนอื่นเป็นอย่างที่ตนต้องการได้ ไม่แม้แต่กับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นที่รัก และผลของมันก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เด็กหนุ่มหวังเอาไว้เลย

“เต้...” พิพัฒน์เรียกชื่อคนรักเสียงแผ่ว “เต้ไม่มีเหตุผลเลยนะครับ ทำไมเต้อยู่แล้วมอมแมมจะอยู่ด้วยไม่ได้ ตัวมันนิดเดียวไม่ได้ใช้พื้นที่อะไรเยอะเลย ห้องนี้มีที่ว่างเหลือเฟือสำหรับเราสองคนนะครับ” เขายังคงใช้เหตุผลกับเจ้าเด็กจอมเอาแต่ใจ แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมฟังเลย

“พี่พัฒน์!” เจ้าเด็กลาเต้ขึ้นเสียง “พี่พัฒน์ไม่รักเต้เลยใช่ไหม?”

“เต้ ทำไมถึงคิดแบบนั้น” พิพัฒน์ถาม ไม่มีความโกรธหรือรำคาญแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขาเลย ช่างเป็นคนที่ใจเย็นจริงๆ “ทุกวันนี้พี่ทำหน้าที่คนรักไม่ดีพอหรือ? พี่ดูแลเอาใจเราทุกอย่าง ให้เกียรติ้รา ไม่เคยนอกใจ ไม่เคยมีใครนอกจากเรา อะไรที่พี่ทำได้ไม่ดีพี่ก็พยายามทำให้ดีขึ้น แบบนี้แล้วยังไม่ชัดเจนอีกหรอครับ”

“พี่พัฒน์กล้าพูดได้ยังไงว่าไม่มีใครนอกจากเต้!” เจ้าเด็กลาเต้โวยวายลั่นจนผมสะดุ้ง “ตอนทำงานพี่พัฒน์ก็ไม่ยอมรับสายเต้ เต้บอกให้มารับพี่ก็บอกว่าต้องไปรับน้อง เต้บอกอยากไปทะเลพี่ก็บอกว่าขอเคลียร์งานก่อน เต้นอนอยู่ในห้องพี่ก็ทิ้งเต้มาให้อาหารแมว พอเต้บอกให้เลือกระหว่างเต้กับแมวพี่ก็ไม่ยอมเลือก แบบนี้หรอที่เรียกว่ารัก!”

“เต้จะไม่ให้พี่มีชีวิตส่วนตัวบ้างเลยหรอครับ?” พิพัฒน์ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ น้ำเสียงกึ่งตัดพ้อกึ่งไม่เข้าใจ “พี่มีหน้าที่หลายอย่างที่ต้องรับผิดชอบ พี่เป็นลูกชายคนโตของบ้าน เป็นผู้จัดการของร้าน เป็นเจ้าของมอมแมม และที่สำคัญที่สุด พี่เป็นคนรักของเต้ เพราะฉะนั้นมันต้องมีบางเวลาที่พี่ทำหน้าที่สองอย่างพร้อมกันไม่ได้ แต่พี่ก็พยายามทำหน้าที่ของพี่ให้ดีที่สุด เต้อยากไปเที่ยวแม้จะไม่ทันทีแต่พี่ก็พาไปได้ เราก็มีความสุขกันดีไม่ใช่หรอ? วันไหนพี่ไปรับเราที่มหาลัยไม่ได้พี่ก็บอกให้เรารู้ล่วงหน้าก่อนเสมอ ตอนเช้าพี่ตื่นมาให้ข้าวแมวกับเตรียมอาหารเช้าให้เรามันก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยไม่ใช่หรือ? เต้ต้องแยกแยะให้ออกสิครับ”

“พี่พัฒน์กำลังจะบอกว่าเต้งี่เง่าใช่ไหม!” เด็กลาเต้ขึ้นเสียงบ่งบอกว่าที่พิพัฒน์พูดมาทั้งหมดนั้นเขาไม่ได้ฟังเลยสักนิด เดือดร้อนพิพัฒน์ที่ต้องพูดปลอบอยู่นานกว่าจะสงบลงได้

“พี่ไม่ได้ว่าว่าเรางี่เง่า แต่พี่อธิบายให้เราเข้าใจว่าทำไมพี่ถึงตามใจเราทุกเวลาไม่ได้ เต้ต้องเข้าใจนะครับ” คนเป็นผุ้ใหญ่อธิบายหลังจากที่ปลอบเด็กน้อยให้สงบลงได้แล้ว

“แต่เต้อยากให้ตามใจเต้ตลอดเวลานี่” เจ้าเด็กเอาแต่ใจยังคงเถียง แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงมากก็ตาม “เต้อยากให้พี่พัฒน์อยู่กับเต้ตลอดเวลา ตามใจเต้ตลอดเวลา มีแต่เต้คนเดียว พี่พัฒน์ทำให้เต้ไม่ได้หรอ?”

“ถ้าเต้ต้องการแบบนั้นพี่ก็จะพยายามครับ” พิพัฒน์รับปากโดยไม่หยุดคิดเลยสักนิด แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า “เอาอย่างนี้ดีไหม คราวหน้าถ้าพี่ต้องไปรับน้อง พาแม่ไปโรงพยาบาล หรือกลับไปเยี่ยมบ้านพี่จะพาเต้ไปด้วยดีไหม เราจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากหน่อย”

“ไม่เอา! เต้ไม่ชอบแบบนั้น” เด็กหนุ่มปฏิเสธทันควัน ทำเอาพิพัฒน์นิ่งเงียบไปหลายอึดใจเลยทีเดียว

“แล้วเต้ต้องการแบบไหนครับ” ชายหนุ่มถามเสียงนิ่งอย่างที่ผมนึกประหลาดใจ เพราะถ้าเป็นผมผมคงอารมณ์เสียไปแล้วที่เจอคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้

“พี่พัฒน์ต้องอยู่กับเต้ ดูแลเต้แค่คนเดียว ตามใจเต้ทุกอย่าง” ลาเต้ร่ายยาวอย่างไม่สนว่าคนฟังจะรู้สึกน้อยใจสักแค่ไหน เชื่อผมเถอะ ขนาดชมาเป็นแมวที่นั่งฟังอยู่ห่างๆ ยังอดน้อยใจแทนพิพัฒน์ไม่ได้เลย

“เต้...”พิพัฒน์เรียกชื่อคนรักเสียงอ่อน เขาเว้ช่วงไปนานทีเดียวก่อนจะพูดประโยคนั้นออกมา “เราห่างกันสักพักดีไหมครับ”

“พี่พัฒน์!” ลาเต้ขึ้นเสียง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรต่อไปพิพัฒน์ก็ชิงอธิบายก่อนว่า

“พี่ไม่ได้บอกให้เราเลิกกันนะครับเต้ แค่ห่างกันสักพัก พี่อยากให้เต้ใช้เวลานี้ทบทวนให้ดีว่าสิ่งที่เต้ต้องการจริงๆ นั้นคืออะไร เต้รู้สึกยังไงกับพี่กันแน่ ถ้าคำตอบของเต้คือเต้รักพี่อยากจะอยู่กับพี่ก็มาหาพี่ พี่สัญญาว่าพี่จะรอเต้ แต่ถ้ามันไม่ใช่พี่ก็หวังว่าเต้จะพบสิ่งที่เต้ต้องการ มันดีกว่าที่เราจะมาเถียงกันอยู่อย่างนี้ เต้เชื่อพี่นะครับ”

สิ้นคำอธิบายของพิพัฒน์เด็กหนุ่มก็เงียบไป ดูเหมือนว่าลาเต้ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว และในที่ สุดเด็กหนุ่มก็พูดขึ้นว่า “พี่พัฒน์จะให้เต้ไปเมื่อไหร่”

“แล้วแต่เต้เลยครับ แต่ไม่ใช่คืนนี้” พิพัฒน์ตอบ “เราเหนื่อยมากแล้วพักผ่อนซะนะครับ เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้” ยังคงทำหน้าที่คนรักอย่างไม่บกพร่อง พิพัฒน์จัดแจงเช็ดตัวและแต่งตัวให้กับลาเต้ก่อนจะนอนกอดเด็กหนุ่มเอาไว้ตลอดทั้งคืนจวบจนกระทั่งเด็กหนุ่มตื่นขึ้นในตอนเช้า

มันเป็นเช้าที่ผมไม่กล้าเข้าไปปลุกพิพัฒน์และต้องหิ้วท้องรอจนถึงเที่ยง ผมหมอบหลบมุมอยู่ตรงระเบียงระหว่างที่คู่รักทานอาหารเช้าด้วยกันอย่างเงียบๆ คล้ายกับว่าต่างคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง หลังมื้อเช้าลาเต้บอกพิพัฒน์ว่าจะกลับ พิพัฒน์จึงอาสาไปส่งซึ่งอันที่จริงแล้วควรจะเรียกว่ายืนกรานที่จะไปส่งจึงจะถูกกว่า

ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อไป แต่พอพิพัฒน์กลับมาถึงห้องร่างสูงก็ทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง สายตาเหม่อลอยคล้ายจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สภาพของเขาทำให้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ ผมจึงเดินเข้าไปหาและร้องเรียกเขา ซึ่งมันก็ได้ผล พิพัฒน์หันมามองผมดึงผมไปกอดไว้แน่น บอกว่า “มันจบแล้วล่ะมอมแมม...มันจบแล้ว”

 

++++++++++++

จบตอนที่ 3 แล้วก็จะมาบอกว่านิยายเรื่องนี้เปิดจองแล้วนะคะ

อ่านรายละเอียดได้ที่นี่ค่ะ >>คลิก<< (จำกัดเวลาจองถึง 20 เมษานะคะ)

ปล.ในเว็บนี้จะลงให้สามตอน ถ้าอยากอ่านต่อลงไว้ตามลิ้งค์ข้างบนค่ะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา