ความสุขบทสุดท้าย
7.7
เขียนโดย เจนนิดา
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.
5 บท
3 วิจารณ์
8,304 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
4)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ทินาทหยุดมือที่กำลังเกากีตาร์ตัวโปรดเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เขารีบเอาเครื่องดนตรีสุดรักสุดหวงซ่อนลงในลิ้นชักใต้เตียงทันที
“ใครครับ” ร้องถามออกไปในระหว่างที่ปิดล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าผู้มาเยือนจะเป็นพลบค่ำ และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วกีตาร์คู่ใจของเขาก็จะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพี่ชายอีกครั้งเป็นแน่
ทินาทยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่พลบค่ำรู้ว่าเขาเข้าร่วงวงดนตรีของโรงเรียนในสมัยที่เรียนมัธยมปลาย คราวนั้นพลบค่ำทำลายกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตของเขาลงภายในพริบตา เขาอุตส่าห์เฝ้าเก็บหอมรอมริบจากเงินค่าขนมที่ได้รับมาเป็นเวลาแรมปีกว่าจะซื้อเครื่องดนตรีชิ้นโปรดตัวนั้นมาได้ แต่สุดท้ายมันกลับต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพลบค่ำ บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายของเขาเอง
“ฉันเอง”
ทินาทถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเดินไปเปิดประตูให้ ย่ำรุ่งก้าวเข้ามายืนภายในห้องและเป็นคนปิดประตูเสียเอง ทินาทมองพี่ชายด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่พี่ชายคนนี้จะเข้ามาหาเขาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้
“ทำอะไรอยู่”
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก”
ทินาทผายมือเชื้อเชิญให้พี่ชายนั่งลง เขามั่นใจว่าย่ำรุ่งคงมีเรื่องอะไรที่จะปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นแน่ และเรื่องดังกล่าวนั้นก็คงต้องเกี่ยวข้องกับอัสดงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทานต์เล่าให้ฟังว่าวันนี้พี่แทน..." ทินาทพยักหน้ารับก่อนที่พี่ชายจะพูดจบประโยค
“เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก พูดเรื่องของนายดีกว่า” ทินาทรีบเปลี่ยนเรื่อง
ย่ำรุ่งถอนหายใจออกมาเบาๆ ใช่ว่าเขาจะไม่ห่วงทินาท แต่เป็นเพราะทินาทได้ก่อสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างความเป็นพี่น้องเอาไว้ ไม่เคยบอกเล่าความรู้สึกใดๆ ให้ใครรับรู้ จึงทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกสนิทสนมกับน้องชายคนนี้มากนัก
“ฉันคิดว่าทานต์กำลังมีปัญหา”
“ปัญหาก็มีอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ” เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ซึ่งท่าทางเช่นนี้ย่ำรุ่งไม่ค่อยจะชอบใจนัก
“ถ้านายไม่อยากช่วยฉันจัดการเองก็ได้” แม้จะพยายามบังคับให้น้ำเสียงเป็นปกติแต่มันก็ยังฟังดูห้วน จนคนฟังสามารถรู้สึกได้
“ใจเย็นพี่ชาย ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ช่วย”
ย่ำรุ่งจ้องมองบุคคลตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทินาทนั้นสามารถกวนน้ำให้ขุ่นได้ด้วยสีหน้าและท่าทางเย็นชาของเขา ย่ำรุ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทินาทถึงได้มีปากเสียงกับพลบค่ำอยู่บ่อยๆ
“วันนี้ทานต์บอกฉันว่าเจ้าตุ๊กตานั่นคุยกับเขา”
จบคำพูดประโยคนั้นท่าทีของทินาทก็เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเริ่มขรึมลงในทันที
“ทานต์เพิ่งบอกนายวันนี้”
“ใช่”
“แล้วมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”
“น้องบอกว่าเขาคุยกันมาตลอด”
สองพี่น้องสบตากันนิ่ง ไม่มีใครเปล่งคำพูดใดๆ ออกมา จวบจนเสียงถอนหายใจหนักๆ ของคนทั้งคู่ดังขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายนั่นแหละทินาทจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“แล้วนายจะบอกพี่แทนไหม”
ย่ำรุ่งเองก็ไม่แน่ใจว่าจะบอกกล่าวให้พลบค่ำรับรู้ดีหรือไม่ เขากลัวว่าถ้าพี่ชายรู้แล้วจะโกรธและทำอะไรรุนแรงกับอัสดงจนทำให้น้องชายยิ่งเตลิดไปใหญ่ แต่ถึงเขาไม่บอกพี่ชายก็ต้องรู้อยู่ดีเพราะไม่มีเรื่องใดของพวกเขาที่คลาดสายตาพลบค่ำไปได้
“อย่างน้อยพี่แทนน่าจะหาหมอเก่งๆ มารักษาทานต์ได้” ทินาทพูดต่อเป็นเชิงบอกความเห็นของตนให้คู่สนทนารับรู้
“แต่เขาจะอาละวาดหรือเปล่า” สีหน้าของย่ำรุ่งดูเป็นกังวลยิ่งนัก
ทินาทหัวเราะให้กับคำถามนั้นในใจ มีเรื่องไหนที่ทำให้คนอย่างพลบค่ำไม่โมโหได้บ้าง ขนาดกับเขาเองแค่หายใจแรงหน่อยก็กลายเป็นความผิดได้แล้ว จะมาประสาอะไรกับเรื่องของอัสดงกัน
“หรือนายจะปล่อยให้เจ้าทานต์กลายเป็นโรคจิตอย่างเต็มขั้น” อีกครั้งที่ทินาทพูดกระตุ้นต่อมโมโหของย่ำรุ่งเข้าเต็มๆ
“นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง” ย้อนถามหน้าขึงแต่ผู้เป็นน้องยักไหล่เล็กน้อยแบบไม่ใส่ใจนัก
“แล้วที่ฉันพูดมันไม่ถูกอย่างงั้นหรือ”
ย่ำรุ่งเม้มปากพยายามไม่โต้ตอบอะไรอีกด้วยรู้ดีว่าหากเขามานั่งต่อความยาวสาวความยืดด้วยแล้วมันจะมีแต่ผลทางด้านลบเท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากทินาท
“ฉันอยากให้นายเข้าไปพูดกับพี่แทนด้วยกันกับฉัน” ย่ำรุ่งแจ้งความจำนง
“ไม่มีปัญหา” ตอบรับง่ายๆตามนั้น
“และขอร้องอย่าไปกวนอารมณ์พี่เขา”
รอยยิ้มบางๆ ค่อยปรากฏบนใบหน้าของทินาท เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าย่ำรุ่งไม่อยากให้พี่ชายคนโตอารมณ์เสียก็อย่าให้เขาโผล่หน้าเข้าไปด้วยจะดีกว่า เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากันจะต้องมีปากเสียงกันแทบทุกครั้ง
“อันนี้ฉันไม่รับปาก” ย่ำรุ่งถอนหายใจดังเฮือก นึกอยู่แล้วว่าต้องได้ยินประโยคนี้ “แต่ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” ยังมีแก่ใจพูดให้คนฟังใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“ขอบใจมาก” ย่ำรุ่งตบไหล่น้องชายเบาๆ แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ
หลังจากร่างของย่ำรุ่งก้าวพ้นออกไปจากเขตห้องของเขาแล้วทินาทก็คว้าซองบุหรี่เดินออกไปที่ระเบียงห้อง เขาอัดมันเข้าไปเต็มปอดเพื่อให้มันช่วยลดความตึงเครียดของตัวเอง ทินาทแหงนหน้ามองฟ้าที่มืดสนิทไม่ปรากฏแสงของดวงดาวดวงไหนๆ เลยแม้แต่น้อย
“สวรรค์...ทำไมท่านถึงได้ใจร้ายกับน้องชายผมถึงเพียงนี้?”
แน่นอนว่าคำถามของเขานั้นไม่เคยได้รับคำตอบ...
อัสดงท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วทั้งสำเนียงก็ไม่มีผิดเพี้ยน พลบค่ำนั่งฟังพลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“วันนี้แกทำได้ดีมาก” พลบค่ำเอ่ยชม
“ขอบคุณครับ”
อัสดงตอบรับคำชมของพี่ชายด้วยความยินดีรอยยิ้มละมุนประพรมไปทั่วใบหน้าใสๆ ของอัสดง เขาดีใจมากที่พี่ชายไม่เกรี้ยวกราดใส่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถทำให้พี่ชายพึงพอใจได้ ความเกรงกลัวพี่ชายหายไปชั่วขณะ อัสดงจับจ้องมองสีหน้าของพี่ชายที่แม้จะไม่มีรอยยิ้มแต่ก็ไม่มีแววดุดันด้วยความรู้สึกเป็นที่สุขอย่างบอกไม่ถูก
“ท่องอีกรอบไหมครับ” ถามต่อด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้าหาพลบค่ำอย่างรุนแรง อัสดงเคยเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงอยู่เสมอ สีหน้าและรอยยิ้มบวกกับท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้มักจะทำให้เขาหัวเราะได้ทุกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างเขากับน้องชายเริ่มปรากฏขึ้นในความทรงจำ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้
“พี่แทนครับ” อัสดงเรียกย้ำเพราะนึกว่าเมื่อกี้พี่ชายไม่ได้สนใจฟัง
“ไม่ต้องแล้ว” พลบค่ำตอบ ไม่มีแววดุดันเหมือนทุกที ดวงตากลมโตที่มีแววไร้เดียงสายังคงจ้องมองพลบค่ำไม่วางตา ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เห็นสีหน้าที่ดูเป็นมิตรของพี่ชายคนนี้
“แกมองหน้าฉันทำไม” เมื่อถูกจ้องมองมากเข้าพลบค่ำก็เริ่มทำหน้าเข้มใส่ อัสดงก้มหน้าหลบตาวูบดังเช่นทุกครั้ง
“ออกไปได้แล้ว” เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
โดยไม่ต้องรอให้ไล่เป็นรอบที่สองอัสดงก็รีบเก็บหนังสือพร้อมกับอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างของเขาอย่างเร่งด่วน ด้วยกลัวว่าหากยังขืนชักช้าพี่ชายอาจจะเริ่มหาเรื่องเขาอีกก็เป็นได้
“เดี๋ยว!” อัสดงชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพี่ชาย เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับมา “พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้แกหยุดเรียนได้หนึ่งวัน” สายตาคมเข้มจ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่พูด “ถือว่าเป็นรางวัลที่วันนี้แกท่องศัพท์ได้ดีมาก”
ใบหน้าของอัสดงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่บ่อยนักที่พี่ชายจะพูดคุยกับเขาดีๆ เช่นนี้
“ขอบคุณครับพี่แทน” ตอบรับพร้อมกับยกมือไหว้พี่ชายก่อนที่จะเดินออกไปด้วยใจพองโต
หลังจากอัสดงออกไปแล้วพลบค่ำก็หันไปหยิบเอกสารรายงานยอดขายของบริษัทภายในปีนี้มาเปิดดู เขาไล่ดูตัวเลขยอดขายด้วยความพึงพอใจ ปีนี้บริษัททำยอดขายได้ทะลุเป้า เขานึกอยู่ในใจว่าจะอนุญาตให้ย่ำรุ่งและทินาทได้ไปพักผ่อนบ้าง เพราะปีนี้น้องชายทั้งคู่ก็ทำงานหนักพอดู
“ขอโทษครับ คือว่าผมกับทล...”
พลบค่ำละสายตาออกจากแฟ้มเอกสารแล้วหันไปทางต้นเสียง “เข้ามา” บานประตูถูกเลื่อนเปิดออก ย่ำรุ่งและทินาทเดินตามกันเข้ามาเงียบๆ
“มาก็ดีแล้ว ฉันกำลังอยากพบพอดี” ชายหนุ่มผู้มาเยือนสองคนหันไปสบตากัน
“นั่งลง” พลบค่ำเชื้อเชิญแต่มันฟังดูเหมือนจะเป็นคำสั่งมากกว่า
“พี่แทนอยากพบเราหรือครับ” ย่ำรุ่งยิงคำถามออกไปก่อน
พลบค่ำวางแฟ้มเอกสารในมือลงก่อนที่จะหันหน้ามาทางย่ำรุ่งและทินาทตรงๆ
“ใช่ วันนี้ฉันได้รับรายงานยอดขายปีนี้” พลบค่ำเกริ่นนำ “ปรากฏว่าเราทำยอดขายได้ทะลุเป้า ฉันเลยคิดว่าจะให้พวกแกได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันบ้าง”
ได้ยินเช่นนี้ย่ำรุ่งกับทินาทก็ค่อยโล่งอก เพราะปกติแล้วหากพลบค่ำต้องการจะพบพวกเขาส่วนใหญ่มันจะหมายถึงการที่พวกเขาทำงานผิดพลาดจนต้องถูกเรียกมาสั่งสอนพร้อมทั้งสาธยายจุดบกพร่องให้ฟังเป็นวันๆ นานทีปีหนที่จะได้ยินคำชมเชยจากปากของพลบค่ำ
“พวกแกคิดซิว่าอยากจะไปไหน”
พลบค่ำเอ่ยถามน้องชายโดยลืมไปเลยว่าที่ย่ำรุ่งและทินาทเข้ามาหาเขานั้นเพราะมีเรื่องต้องการจะพูดคุยด้วย ทั้งทางฝ่ายน้องชายทั้งสองคนเองนั้นเมื่อเห็นพลบค่ำอารมณ์ดีเลยเห็นพ้องต้องกันว่าจะยังไม่เอาเรื่องซีเรียสขึ้นมาพูดให้พี่ชายต้องเสียอารมณ์
“แล้วแต่พี่แทนสิครับ”
“แกมีความเห็นว่ายังไงเจ้าทล”
“แล้วแต่พี่แทนเหมือนกันครับ”
พลบค่ำเริ่มขมวดคิ้ว แทบจะทุกครั้งที่เขาอนุญาตให้น้องชายแสดงความคิดเห็นจะต้องได้ยินคำพูดประโยคนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายถึงไม่กล้าที่จะบอกกล่าวความต้องการของตัวเองให้เขารับรู้
“ฉันให้พวกแกเลือก” น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นตามลำดับ “ไม่มีหัวคิดกันบ้างหรือไง อะไรๆ ก็แล้วแต่ฉันเรื่อย”
ทินาทเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย ทำอย่างกับตลอดเวลาที่ผ่านมาพลบค่ำให้อิสระทางความคิดกับพวกเขาอย่างนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนี้มีแต่กฎระเบียบที่เข้มงวด ถ้าใครฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ทุกคนในบ้านหลังนี้ก็เปรียบเสมือนเหมือนหุ่นยนต์ที่ต้องคอยทำตามคำสั่งสำเร็จของผู้เขียนโปรแกรมอย่างพลบค่ำเท่านั้น
“จู่ๆ มาถามใครจะไปคิดออก”
“ทล” ย่ำรุ่งกระตุกแขนน้องชายด้วยเกรงว่าคำพูดนั้นจะทำให้พี่ชายไม่พอใจขึ้นมาอีก สายตาคมของพลบค่ำจ้องเขม็งที่คนพูด
“งั้นฉันจะให้เวลาพวกแกคิด พรุ่งนี้เช้าหลังมื้ออาหารพวกแกค่อยให้คำตอบฉันก็แล้วกัน”
ย่ำรุ่งถอนใจอย่างโล่งอกที่พลบค่ำไม่ได้เกรี้ยวกราดใส่พวกเขาอย่างที่คาดคิด ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจที่จะร้องขอให้อัสดงมีส่วนร่วมในการไปพักผ่อนครั้งนี้ด้วย
“เอ่อ...พี่แทนครับ”
“มีอะไร” พลบค่ำเปลี่ยนสายตาไปยังเจ้าของเสียง
“ขอให้ทานต์ไปด้วยได้ไหมครับ”
ความเงียบของพลบค่ำทำเอาย่ำรุ่งหายใจไม่ทั่วท้อง
“ก็เอาสิ ไปกันหมดนี่แหละ” คำตอบนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ฟังไม่น้อย “เจ้าทานต์ก็ไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนอยู่แล้วนี่”
ย่ำรุ่งรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อนึกถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของอัสดงหลังจากที่ได้รับฟังข่าวดีนี้ เขาแทบอยากจะวิ่งไปแจ้งข่าวให้น้องชายรับรู้เสียตอนนี้เลย
“ขอบคุณครับ” ย่ำรุ่งรีบตัดบทเพราะอยากไปแจ้งข่าวดีให้อัสดงรับรู้ “งั้นเราขอตัวนะครับ”
“แกออกไปได้แต่เจ้าทลอยู่ก่อน”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ย่ำรุ่งชะงักไป เขามองไปยังทินาทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ทินาทกลับยืนนิ่งไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนอง
“ยังไม่ไปอีก” พลบค่ำเน้นเสียงหนัก ย่ำรุ่งจึงรีบหมุนตัวเดินกลับออกไปทันที
“ใครครับ” ร้องถามออกไปในระหว่างที่ปิดล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะกลัวว่าผู้มาเยือนจะเป็นพลบค่ำ และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วกีตาร์คู่ใจของเขาก็จะถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพี่ชายอีกครั้งเป็นแน่
ทินาทยังจำได้ดีเมื่อครั้งที่พลบค่ำรู้ว่าเขาเข้าร่วงวงดนตรีของโรงเรียนในสมัยที่เรียนมัธยมปลาย คราวนั้นพลบค่ำทำลายกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตของเขาลงภายในพริบตา เขาอุตส่าห์เฝ้าเก็บหอมรอมริบจากเงินค่าขนมที่ได้รับมาเป็นเวลาแรมปีกว่าจะซื้อเครื่องดนตรีชิ้นโปรดตัวนั้นมาได้ แต่สุดท้ายมันกลับต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของพลบค่ำ บุคคลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพี่ชายของเขาเอง
“ฉันเอง”
ทินาทถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเดินไปเปิดประตูให้ ย่ำรุ่งก้าวเข้ามายืนภายในห้องและเป็นคนปิดประตูเสียเอง ทินาทมองพี่ชายด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะไม่บ่อยนักที่พี่ชายคนนี้จะเข้ามาหาเขาเป็นการส่วนตัวเช่นนี้
“ทำอะไรอยู่”
“ไม่ได้ทำอะไรหรอก”
ทินาทผายมือเชื้อเชิญให้พี่ชายนั่งลง เขามั่นใจว่าย่ำรุ่งคงมีเรื่องอะไรที่จะปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจากเขาเป็นแน่ และเรื่องดังกล่าวนั้นก็คงต้องเกี่ยวข้องกับอัสดงอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทานต์เล่าให้ฟังว่าวันนี้พี่แทน..." ทินาทพยักหน้ารับก่อนที่พี่ชายจะพูดจบประโยค
“เป็นยังไงบ้าง”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก พูดเรื่องของนายดีกว่า” ทินาทรีบเปลี่ยนเรื่อง
ย่ำรุ่งถอนหายใจออกมาเบาๆ ใช่ว่าเขาจะไม่ห่วงทินาท แต่เป็นเพราะทินาทได้ก่อสร้างกำแพงขึ้นมากั้นระหว่างความเป็นพี่น้องเอาไว้ ไม่เคยบอกเล่าความรู้สึกใดๆ ให้ใครรับรู้ จึงทำให้เขาไม่ค่อยรู้สึกสนิทสนมกับน้องชายคนนี้มากนัก
“ฉันคิดว่าทานต์กำลังมีปัญหา”
“ปัญหาก็มีอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ” เขายิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ซึ่งท่าทางเช่นนี้ย่ำรุ่งไม่ค่อยจะชอบใจนัก
“ถ้านายไม่อยากช่วยฉันจัดการเองก็ได้” แม้จะพยายามบังคับให้น้ำเสียงเป็นปกติแต่มันก็ยังฟังดูห้วน จนคนฟังสามารถรู้สึกได้
“ใจเย็นพี่ชาย ฉันยังไม่ได้บอกสักคำว่าจะไม่ช่วย”
ย่ำรุ่งจ้องมองบุคคลตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทินาทนั้นสามารถกวนน้ำให้ขุ่นได้ด้วยสีหน้าและท่าทางเย็นชาของเขา ย่ำรุ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทินาทถึงได้มีปากเสียงกับพลบค่ำอยู่บ่อยๆ
“วันนี้ทานต์บอกฉันว่าเจ้าตุ๊กตานั่นคุยกับเขา”
จบคำพูดประโยคนั้นท่าทีของทินาทก็เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเริ่มขรึมลงในทันที
“ทานต์เพิ่งบอกนายวันนี้”
“ใช่”
“แล้วมันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”
“น้องบอกว่าเขาคุยกันมาตลอด”
สองพี่น้องสบตากันนิ่ง ไม่มีใครเปล่งคำพูดใดๆ ออกมา จวบจนเสียงถอนหายใจหนักๆ ของคนทั้งคู่ดังขึ้นมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายนั่นแหละทินาทจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้นมา
“แล้วนายจะบอกพี่แทนไหม”
ย่ำรุ่งเองก็ไม่แน่ใจว่าจะบอกกล่าวให้พลบค่ำรับรู้ดีหรือไม่ เขากลัวว่าถ้าพี่ชายรู้แล้วจะโกรธและทำอะไรรุนแรงกับอัสดงจนทำให้น้องชายยิ่งเตลิดไปใหญ่ แต่ถึงเขาไม่บอกพี่ชายก็ต้องรู้อยู่ดีเพราะไม่มีเรื่องใดของพวกเขาที่คลาดสายตาพลบค่ำไปได้
“อย่างน้อยพี่แทนน่าจะหาหมอเก่งๆ มารักษาทานต์ได้” ทินาทพูดต่อเป็นเชิงบอกความเห็นของตนให้คู่สนทนารับรู้
“แต่เขาจะอาละวาดหรือเปล่า” สีหน้าของย่ำรุ่งดูเป็นกังวลยิ่งนัก
ทินาทหัวเราะให้กับคำถามนั้นในใจ มีเรื่องไหนที่ทำให้คนอย่างพลบค่ำไม่โมโหได้บ้าง ขนาดกับเขาเองแค่หายใจแรงหน่อยก็กลายเป็นความผิดได้แล้ว จะมาประสาอะไรกับเรื่องของอัสดงกัน
“หรือนายจะปล่อยให้เจ้าทานต์กลายเป็นโรคจิตอย่างเต็มขั้น” อีกครั้งที่ทินาทพูดกระตุ้นต่อมโมโหของย่ำรุ่งเข้าเต็มๆ
“นายพูดแบบนี้หมายความว่าไง” ย้อนถามหน้าขึงแต่ผู้เป็นน้องยักไหล่เล็กน้อยแบบไม่ใส่ใจนัก
“แล้วที่ฉันพูดมันไม่ถูกอย่างงั้นหรือ”
ย่ำรุ่งเม้มปากพยายามไม่โต้ตอบอะไรอีกด้วยรู้ดีว่าหากเขามานั่งต่อความยาวสาวความยืดด้วยแล้วมันจะมีแต่ผลทางด้านลบเท่านั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ต้องการความช่วยเหลือจากทินาท
“ฉันอยากให้นายเข้าไปพูดกับพี่แทนด้วยกันกับฉัน” ย่ำรุ่งแจ้งความจำนง
“ไม่มีปัญหา” ตอบรับง่ายๆตามนั้น
“และขอร้องอย่าไปกวนอารมณ์พี่เขา”
รอยยิ้มบางๆ ค่อยปรากฏบนใบหน้าของทินาท เขาอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ ถ้าย่ำรุ่งไม่อยากให้พี่ชายคนโตอารมณ์เสียก็อย่าให้เขาโผล่หน้าเข้าไปด้วยจะดีกว่า เพราะทุกครั้งที่เจอหน้ากันจะต้องมีปากเสียงกันแทบทุกครั้ง
“อันนี้ฉันไม่รับปาก” ย่ำรุ่งถอนหายใจดังเฮือก นึกอยู่แล้วว่าต้องได้ยินประโยคนี้ “แต่ฉันจะพยายามก็แล้วกัน” ยังมีแก่ใจพูดให้คนฟังใจชื้นขึ้นมาหน่อย
“ขอบใจมาก” ย่ำรุ่งตบไหล่น้องชายเบาๆ แล้วลุกเดินออกไปเงียบๆ
หลังจากร่างของย่ำรุ่งก้าวพ้นออกไปจากเขตห้องของเขาแล้วทินาทก็คว้าซองบุหรี่เดินออกไปที่ระเบียงห้อง เขาอัดมันเข้าไปเต็มปอดเพื่อให้มันช่วยลดความตึงเครียดของตัวเอง ทินาทแหงนหน้ามองฟ้าที่มืดสนิทไม่ปรากฏแสงของดวงดาวดวงไหนๆ เลยแม้แต่น้อย
“สวรรค์...ทำไมท่านถึงได้ใจร้ายกับน้องชายผมถึงเพียงนี้?”
แน่นอนว่าคำถามของเขานั้นไม่เคยได้รับคำตอบ...
อัสดงท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วทั้งสำเนียงก็ไม่มีผิดเพี้ยน พลบค่ำนั่งฟังพลางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“วันนี้แกทำได้ดีมาก” พลบค่ำเอ่ยชม
“ขอบคุณครับ”
อัสดงตอบรับคำชมของพี่ชายด้วยความยินดีรอยยิ้มละมุนประพรมไปทั่วใบหน้าใสๆ ของอัสดง เขาดีใจมากที่พี่ชายไม่เกรี้ยวกราดใส่เขา อีกทั้งยังรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถทำให้พี่ชายพึงพอใจได้ ความเกรงกลัวพี่ชายหายไปชั่วขณะ อัสดงจับจ้องมองสีหน้าของพี่ชายที่แม้จะไม่มีรอยยิ้มแต่ก็ไม่มีแววดุดันด้วยความรู้สึกเป็นที่สุขอย่างบอกไม่ถูก
“ท่องอีกรอบไหมครับ” ถามต่อด้วยท่าทางกระตือรือร้น
ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้าหาพลบค่ำอย่างรุนแรง อัสดงเคยเป็นเด็กที่สดใสร่าเริงอยู่เสมอ สีหน้าและรอยยิ้มบวกกับท่าทางไร้เดียงสาเช่นนี้มักจะทำให้เขาหัวเราะได้ทุกครั้ง ช่วงเวลาแห่งความสุขระหว่างเขากับน้องชายเริ่มปรากฏขึ้นในความทรงจำ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนี้
“พี่แทนครับ” อัสดงเรียกย้ำเพราะนึกว่าเมื่อกี้พี่ชายไม่ได้สนใจฟัง
“ไม่ต้องแล้ว” พลบค่ำตอบ ไม่มีแววดุดันเหมือนทุกที ดวงตากลมโตที่มีแววไร้เดียงสายังคงจ้องมองพลบค่ำไม่วางตา ไม่บ่อยนักที่เขาจะได้เห็นสีหน้าที่ดูเป็นมิตรของพี่ชายคนนี้
“แกมองหน้าฉันทำไม” เมื่อถูกจ้องมองมากเข้าพลบค่ำก็เริ่มทำหน้าเข้มใส่ อัสดงก้มหน้าหลบตาวูบดังเช่นทุกครั้ง
“ออกไปได้แล้ว” เอ่ยปากไล่ด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย
โดยไม่ต้องรอให้ไล่เป็นรอบที่สองอัสดงก็รีบเก็บหนังสือพร้อมกับอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างของเขาอย่างเร่งด่วน ด้วยกลัวว่าหากยังขืนชักช้าพี่ชายอาจจะเริ่มหาเรื่องเขาอีกก็เป็นได้
“เดี๋ยว!” อัสดงชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพี่ชาย เขาค่อยๆ หมุนตัวกลับมา “พรุ่งนี้ฉันอนุญาตให้แกหยุดเรียนได้หนึ่งวัน” สายตาคมเข้มจ้องมองอีกฝ่ายในขณะที่พูด “ถือว่าเป็นรางวัลที่วันนี้แกท่องศัพท์ได้ดีมาก”
ใบหน้าของอัสดงฉาบไปด้วยรอยยิ้ม ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่บ่อยนักที่พี่ชายจะพูดคุยกับเขาดีๆ เช่นนี้
“ขอบคุณครับพี่แทน” ตอบรับพร้อมกับยกมือไหว้พี่ชายก่อนที่จะเดินออกไปด้วยใจพองโต
หลังจากอัสดงออกไปแล้วพลบค่ำก็หันไปหยิบเอกสารรายงานยอดขายของบริษัทภายในปีนี้มาเปิดดู เขาไล่ดูตัวเลขยอดขายด้วยความพึงพอใจ ปีนี้บริษัททำยอดขายได้ทะลุเป้า เขานึกอยู่ในใจว่าจะอนุญาตให้ย่ำรุ่งและทินาทได้ไปพักผ่อนบ้าง เพราะปีนี้น้องชายทั้งคู่ก็ทำงานหนักพอดู
“ขอโทษครับ คือว่าผมกับทล...”
พลบค่ำละสายตาออกจากแฟ้มเอกสารแล้วหันไปทางต้นเสียง “เข้ามา” บานประตูถูกเลื่อนเปิดออก ย่ำรุ่งและทินาทเดินตามกันเข้ามาเงียบๆ
“มาก็ดีแล้ว ฉันกำลังอยากพบพอดี” ชายหนุ่มผู้มาเยือนสองคนหันไปสบตากัน
“นั่งลง” พลบค่ำเชื้อเชิญแต่มันฟังดูเหมือนจะเป็นคำสั่งมากกว่า
“พี่แทนอยากพบเราหรือครับ” ย่ำรุ่งยิงคำถามออกไปก่อน
พลบค่ำวางแฟ้มเอกสารในมือลงก่อนที่จะหันหน้ามาทางย่ำรุ่งและทินาทตรงๆ
“ใช่ วันนี้ฉันได้รับรายงานยอดขายปีนี้” พลบค่ำเกริ่นนำ “ปรากฏว่าเราทำยอดขายได้ทะลุเป้า ฉันเลยคิดว่าจะให้พวกแกได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันบ้าง”
ได้ยินเช่นนี้ย่ำรุ่งกับทินาทก็ค่อยโล่งอก เพราะปกติแล้วหากพลบค่ำต้องการจะพบพวกเขาส่วนใหญ่มันจะหมายถึงการที่พวกเขาทำงานผิดพลาดจนต้องถูกเรียกมาสั่งสอนพร้อมทั้งสาธยายจุดบกพร่องให้ฟังเป็นวันๆ นานทีปีหนที่จะได้ยินคำชมเชยจากปากของพลบค่ำ
“พวกแกคิดซิว่าอยากจะไปไหน”
พลบค่ำเอ่ยถามน้องชายโดยลืมไปเลยว่าที่ย่ำรุ่งและทินาทเข้ามาหาเขานั้นเพราะมีเรื่องต้องการจะพูดคุยด้วย ทั้งทางฝ่ายน้องชายทั้งสองคนเองนั้นเมื่อเห็นพลบค่ำอารมณ์ดีเลยเห็นพ้องต้องกันว่าจะยังไม่เอาเรื่องซีเรียสขึ้นมาพูดให้พี่ชายต้องเสียอารมณ์
“แล้วแต่พี่แทนสิครับ”
“แกมีความเห็นว่ายังไงเจ้าทล”
“แล้วแต่พี่แทนเหมือนกันครับ”
พลบค่ำเริ่มขมวดคิ้ว แทบจะทุกครั้งที่เขาอนุญาตให้น้องชายแสดงความคิดเห็นจะต้องได้ยินคำพูดประโยคนี้ ซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมน้องชายถึงไม่กล้าที่จะบอกกล่าวความต้องการของตัวเองให้เขารับรู้
“ฉันให้พวกแกเลือก” น้ำเสียงเริ่มแข็งขึ้นตามลำดับ “ไม่มีหัวคิดกันบ้างหรือไง อะไรๆ ก็แล้วแต่ฉันเรื่อย”
ทินาทเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย ทำอย่างกับตลอดเวลาที่ผ่านมาพลบค่ำให้อิสระทางความคิดกับพวกเขาอย่างนั้นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านนี้มีแต่กฎระเบียบที่เข้มงวด ถ้าใครฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ทุกคนในบ้านหลังนี้ก็เปรียบเสมือนเหมือนหุ่นยนต์ที่ต้องคอยทำตามคำสั่งสำเร็จของผู้เขียนโปรแกรมอย่างพลบค่ำเท่านั้น
“จู่ๆ มาถามใครจะไปคิดออก”
“ทล” ย่ำรุ่งกระตุกแขนน้องชายด้วยเกรงว่าคำพูดนั้นจะทำให้พี่ชายไม่พอใจขึ้นมาอีก สายตาคมของพลบค่ำจ้องเขม็งที่คนพูด
“งั้นฉันจะให้เวลาพวกแกคิด พรุ่งนี้เช้าหลังมื้ออาหารพวกแกค่อยให้คำตอบฉันก็แล้วกัน”
ย่ำรุ่งถอนใจอย่างโล่งอกที่พลบค่ำไม่ได้เกรี้ยวกราดใส่พวกเขาอย่างที่คาดคิด ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจที่จะร้องขอให้อัสดงมีส่วนร่วมในการไปพักผ่อนครั้งนี้ด้วย
“เอ่อ...พี่แทนครับ”
“มีอะไร” พลบค่ำเปลี่ยนสายตาไปยังเจ้าของเสียง
“ขอให้ทานต์ไปด้วยได้ไหมครับ”
ความเงียบของพลบค่ำทำเอาย่ำรุ่งหายใจไม่ทั่วท้อง
“ก็เอาสิ ไปกันหมดนี่แหละ” คำตอบนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ผู้ฟังไม่น้อย “เจ้าทานต์ก็ไม่ค่อยได้ออกไปเปิดหูเปิดตาที่ไหนอยู่แล้วนี่”
ย่ำรุ่งรู้สึกหัวใจพองโตเมื่อนึกถึงสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของอัสดงหลังจากที่ได้รับฟังข่าวดีนี้ เขาแทบอยากจะวิ่งไปแจ้งข่าวให้น้องชายรับรู้เสียตอนนี้เลย
“ขอบคุณครับ” ย่ำรุ่งรีบตัดบทเพราะอยากไปแจ้งข่าวดีให้อัสดงรับรู้ “งั้นเราขอตัวนะครับ”
“แกออกไปได้แต่เจ้าทลอยู่ก่อน”
คำพูดประโยคนั้นทำให้ย่ำรุ่งชะงักไป เขามองไปยังทินาทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่ทินาทกลับยืนนิ่งไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆ ตอบสนอง
“ยังไม่ไปอีก” พลบค่ำเน้นเสียงหนัก ย่ำรุ่งจึงรีบหมุนตัวเดินกลับออกไปทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ