ความสุขบทสุดท้าย

7.7

เขียนโดย เจนนิดา

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.

  5 บท
  3 วิจารณ์
  8,127 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     “พี่มีข่าวดีจะบอก”                

     “ฉันก็มีข่าวดีจะบอกพี่เหมือนกัน”                

     ทันทีที่เห็นหน้าน้องชายย่ำรุ่งก็รีบเกริ่นนำแต่ประโยคที่อัสดงพูดต่อนั้นก็ต้องทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย ข่าวดีของอัสดงมันจะคืออะไรกัน               

     “วันนี้พี่แทนชมว่าฉันท่องศัพท์ได้ดีมากด้วยล่ะ” ย่ำรุ่งทำหน้างงอยู่เพียงครู่ก็อดที่จะยิ้มตามออกมาด้วยไม่ได้ อัสดงในตอนนี้ดูมีความสุขเสียจริง                

     “จริงหรือน้องพี่เก่งจริงๆ”               

     “ต้องขอบคุณเจ้าเมฆขาวครับ เขาคอยนั่งฟังฉันท่องแถมยังแก้ให้เวลาที่ฉันท่องผิดอีกต่างหาก” ย่ำรุ่งสีหน้าสลดลงทันตาเห็น เขาเปลี่ยนสายตาไปยังเจ้าตุ๊กตาขนสัตว์ที่อยู่ไม่ห่างจากตัวน้องชายมากนัก               

     “พรุ่งนี้พี่แทนอนุญาตให้ฉันหยุดเรียนด้วยนะ” อัสดงพูดต่ออย่างยินดี “แล้วข่าวดีของพี่ล่ะครับ” เสียงทวงถามจากอัสดงทำให้ย่ำรุ่งละสายตาออกจากเจ้าตุ๊กตาตัวโปรดของน้องชาย               

     “อืม...พี่ให้นายลองทายดูดีกว่า”                

     “ไม่เอา พี่อย่าแกล้งฉันสิ”                

     “ลองทายดูก่อน เดี๋ยวจะบอก”                

     “พี่ทันต์...” อัสดงทำเสียงออดอ้อนพลางเขย่าแขนพี่ชายด้วยความอยากรู้เต็มที               

      ย่ำรุ่งอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อได้เห็นสีหน้าและท่าทางออเซาะของน้องชาย แม้ว่าร่างกายของอัสดงจะโตขึ้นกลายเป็นชายหนุ่มเต็มตัวแล้วก็ตาม แต่ในสายตาของย่ำรุ่งนั้นอัสดงยังคงเป็นน้องชายตัวน้อยๆ ของเขาเสมอ                

     “ก็ได้ๆ แต่นายต้องตอบคำถามพี่มา 1 ข้อก่อน ตกลงไหม”

     “อย่าถามยากนะ”                

     “ไม่ยากหรอกพี่รับรอง”                

     “ก็ได้ครับ”                

     ย่ำรุ่งขยับเข้าไปกอดคอน้องชายพร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม จนทำเอาอัสดงเริ่มไม่ไว้ใจเพราะกลัวจะโดนพี่ชายแกล้งเอาจึงขยับหนี ย่ำรุ่งหัวเราะในลำคอแล้วขยับตามอีก               

     “พี่ทันต์” อัสดงออกแรงผลักอกพี่ชาย               

     “อย่าใช้กำลังสิ” รวบมืออัสดงทั้งสองข้างไว้แล้วเอ็ดใส่เบาๆ               

     “พี่ก็อย่าแกล้งฉันสิ”                

     “พี่แกล้งที่ไหนแค่จะถามว่านายอยากไปเที่ยวหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง” อัสดงได้ยินก็อ้าปากค้างอย่างไม่ค่อยจะเชื่อหูตัวเอง               

     “ไปเที่ยวหรือพี่ทันต์?”                

     “ใช่”               

     “พี่จะพาฉันไป?”                

     “แน่นอน”                

     “พี่พูดจริงนะ!”                

     “ก็จริงน่ะสิ”                

     จบประโยคนั้นย่ำรุ่งก็แทบจะล้มกลิ้งลงที่เตียงเพราะอัสดงโผเข้ากอดโดยที่เขายังไม่ทันจะได้ตั้งตัว เสียงหัวเราะด้วยความยินดีของน้องชายทำให้ย่ำรุ่งรู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก อัสดงตื่นเต้นดีใจมากกว่าที่เขาคาดคิดไว้เสียอีก               

     “แล้วเราจะไปเมื่อไหร่? ไปที่ไหน? ใครไปบ้าง? ไปกี่วัน?” ย่ำรุ่งหัวเราะให้กับคำถามชุดนั้น

     “นายอยากไปไหนล่ะ”                

     “ไปไหนก็ได้ที่มีพี่ไปด้วย” นิ้วมือเรียววางลงบนศีรษะอัสดงแล้วขยี้เบาๆ อย่างเอ็นดู               

     “พี่แทนไปไหมแล้วพี่ทลล่ะ”                

     “ไปสิ ไปกันหมดเลย”                

     มโนภาพในอดีตของอัสดงเริ่มปรากฏขึ้นมาในความคิด เขายังจำเหตุการณ์ที่ครอบครับเขาได้ไปเที่ยวทะเลกันพร้อมหน้าพร้อมตาได้อย่างไม่มีวันลืม ในวันนั้นสีหน้าทุกคนล้วนแต่มีความสุข อัสดงไม่อาจเก็บซ่อนร่องรอยแห่งความดีใจนั้นไว้ได้เลย               

     “นอนก่อนแล้วค่อยฝันนะทานต์”

      “พี่ทันต์นี่” อัสดงตวัดสายตามองพี่ชายอย่างขัดใจที่มาขัดจังหวะเอาดื้อๆ ย่ำรุ่งหัวเราะร่วนแล้วโคลงหัวน้องชายไปมาเป็นเชิงหยอกเอิน อัสดงเองก็พลอยหัวเราะตามออกมาด้วย               

     “ว่าแล้วก็ถึงเวลาที่จะนอนฝันหวานแล้วสินะ”                

     “ฉันยังไม่อยากให้พี่ไปเลย”                

     “ไม่เอาน่า โตแล้วนะ”                

     “นอนก็ได้”                

     อัสดงจำยอมเอนตัวนอนลงที่เตียงโดยไม่ลืมหยิบเจ้าเมฆขาวมาวางไว้ในอ้อมกอดด้วย ย่ำรุ่งมองน้องชายสลับกับตุ๊กตาตัวนั้น               

     “ราตรีสวัสดิ์ครับพี่ทันต์”                

     “ราตรีสวัสดิ์”                

     จบคำร่ำลาย่ำรุ่งก็โน้มตัวลงไปจูบเบาๆ ที่หน้าผากน้องชายแล้วห่มผ้าให้ดังเช่นทุกคืน อัสดงหลับตาลงแต่สีหน้ายังคงเจือไปด้วยรอยยิ้ม ย่ำรุ่งจ้องมองใบหน้าน้องชายเนิ่นนาน เขาหวังว่าเขาจะได้เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ตลอดไป

 

 

     “คืนพรุ่งนี้แกไปงานเลี้ยงกับฉัน” พลบค่ำสั่งการโดยไม่อ้อมค้อม “ลูกสาวของคุณมงคลเธอเพิ่งกลับมาจากอเมริกา”                

     ทินาทถอนหายใจเฮือกเมื่อรู้วัตถุประสงค์ในการที่พลบค่ำต้องการให้เขาไปด้วย “พี่แทนไปคนเดียวน่าจะดีกว่านะครับ”                

     “นี่เป็นคำสั่ง! แกไม่มีสิทธิปฏิเสธ!”                

     พลบค่ำเป็นเช่นนี้เสมอ ทุกประโยคที่หลุดออกจากปากมักจะเป็นประโยคคำสั่งแทบทั้งสิ้น และเป็นคำสั่งที่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าขัดขืน แม้แต่ทินาทเองที่ว่าแข็ง ยังจำต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน              

     “ทราบแล้วครับ”                

     “ดี” พลบค่ำเค้นเสียงออกมาแต่สายตายังจับจ้องน้องชายอยู่ไม่วางตา               

     “ผมออกไปได้หรือยังครับ”                

     “ยัง”                

     “งั้น...”                

     “มีบางอย่างที่แกควรจะรู้ไว้”                

     ทินาทสบสายตาที่เย็นชาคู่นั้น สายตาที่เคยมีแววอ่อนโยนยามที่มองมาทุกครั้งในอดีต เขาเคยยิ้มอย่างเปิดเผยให้กับพี่ชายอย่างสนิทใจ แต่ ณ เวลานี้กลับไม่มีความคุ้นเคยหลงเหลืออยู่ ร่างใหญ่ตรงหน้าเขานั้นกลายเป็นคนแปลกหน้าที่จำต้องอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น               

     “ลูกสาวคุณมงคลเป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่ง ฉันอยากให้แกปฏิบัติต่อเธอให้ดี”                

     “ในฐานะอะไรครับ” ทินาทสวนกลับพร้อมกับยิ้มกระตุกที่มุมปาก               

     “ในฐานะว่าที่ภรรยาในอนาคตน่ะสิ”                

     ทินาทอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น ใช่ว่าพลบค่ำจะไม่เคยยัดเยียดหญิงสาวผู้ดีมีตระกูลให้เขา แต่ครั้งนี้มันผิดกันตรงที่พลบค่ำกล้าพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำว่าต้องการให้เขาผูกสัมพันธ์กับครอบครัวของคุณมงคลในฐานะใด ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วย่อมหมายถึงว่าระหว่างคุณมงคลและพี่ชายคงมีข้อตกลงอะไรกันบางอย่างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว               

     “นี่มันหมดยุคของการคลุมถุงชนแล้วนะครับพี่แทน” ทินาทพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนอกอ่อนใจ               

     “ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับแก”                

     “สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพี่น่ะสิ”                

     พลบค่ำขบกรามแน่นเมื่อได้ยิน มือทั้งสองข้างกำแน่นด้วยพยายามจะระงับอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในขณะนี้ สายตาคมจ้องมองคู่สนทนาเขม็ง               

     ทินาทไม่หลบสายตาคู่นั้นซ้ำยังจ้องมองอย่างไม่เกรงกลัวอีกด้วย เขายอมให้พี่ชายบงการทุกอย่างในชีวิตของเขาได้แต่กับเรื่องนี้เขาไม่อาจยอมได้เลย เพราะนั่นมันหมายถึงความสุขทั้งชีวิตของเขา               

     “ถ้าเธอดีจริงทำไมพี่แทนไม่เก็บไว้เองล่ะครับ” พูดตอกกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หรือว่าเธอเป็นของมีตำหนิพี่เลยโยนมาให้ผมแทน”                

     “หุบปากเดี๋ยวนี้!” พลบค่ำตวาดเสียงดังลั่น แต่มันไม่ได้ทำให้บุคคลตรงหน้าสะดุ้งสะเทือนขึ้นมาได้เลย ทินาทรู้สึกชินชากับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดของพลบค่ำ ชินเสียจนบางครั้งรู้สึกนึกขำขึ้นมาด้วยซ้ำไป               

     “ฉันเลี้ยงดูแกมาอย่างดี ให้การศึกษาทุกอย่างทัดเทียมกับคนอื่นไม่เคยให้แกต้องน้อยหน้าใคร แต่แกกลับตอบแทนฉันด้วยการปฏิเสธความหวังดีที่ฉันหยิบยื่นให้แกอย่างงั้นใช่ไหม”                

     นี่คือไม้ตายของพลบค่ำที่จะสามารถใช้มันสยบทินาทได้ทุกครั้งไป               

     ทินาทนิ่งงันกับการทวงบุญคุณของพี่ชาย สิ่งหนึ่งที่เขายังคงทนอยู่ในบ้านที่ไม่มีความเป็นบ้านก็เพียงเพราะติดที่คำว่าบุญคุณนั่นเอง               

     “นั่นสินะ...พี่แทนอุตส่าห์เลี้ยงผมมาถ้าไม่ได้อะไรตอบแทนมันก็คงไม่คุ้มกัน” เค้นเสียงพูดออกมาอย่างขมขื่น “ชีวิตผมก็เป็นของพี่แล้ว จะทำยังไงก็สุดแล้วแต่พี่เถอะครับ”                

      คำพูดประโยคนั้นทำให้พลบค่ำถึงกับสะอึก เขาถึงกับนิ่งงันไปพักใหญ่               

     “รู้อย่างนี้ก็ดีแล้ว” พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พรุ่งนี้หลังจากเลิกงานแล้วรอกลับบ้านพร้อมฉัน”

     “ทราบแล้วครับ”                

     “ออกไปได้แล้ว” พูดจบพลบค่ำก็หยิบแฟ้มตรงหน้าขึ้นมาเปิดดูเพื่อเป็นการตัดบทสนทนา               

     เมื่อบานประตูเลื่อนปิดลงดังเดิมพลบค่ำก็ปล่อยวางแฟ้มเอกสารในมือลงบนโต๊ะทันที สายตาของเขาเหม่อมองตามร่างน้องชายที่เริ่มเดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับตาไปในที่สุด

 

 

     อัสดงเดินเข้ามาในห้องอาหารอย่างร่าเริง อากัปกิริยาของพี่ชายคนโตเมื่อวานนี้บวกกับข่าวดีที่ได้รับจากย่ำรุ่งสร้างความยินดีให้กับอัสดงเป็นอย่างยิ่ง                

     “อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณทานต์ วันนี้ลงมาแต่เช้าเลยนะคะ”               

     “อรุณสวัสดิ์ครับ ยังไม่มีใครลงมาเหรอ” อัสดงทักกลับอย่างไม่ถือเนื้อถือตัว บริวารทุกคนในบ้านหลังนี้ต่างรักใคร่เอ็นดูอัสดงกันทั้งนั้น เพราะอัสดงเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่พวกเขา ทั้งยังใช้คำพูดคำจาที่สุภาพอ่อนหวานและให้เกียรติกับทุกคนอีกด้วย               

     “ยังเลยค่ะ คุณทานต์นั่งก่อนสิค่ะ” สาวใช้กล่าวพร้อมกับเลื่อนเก้าอี้ให้

     “ขอบคุณครับ”                

     “วันนี้คุณทานต์จะรับข้าวต้มรวมมิตรหรือจะรับเป็นขนมปังปิ้งมีแฮมกับไข่ดาวดีคะ” อัสดงยกนิ้วชี้ขึ้นมาทาบที่ริมฝีปากพลางทำหน้าครุ่นคิด               

     “ขนมปังต้องใช้มีดด้วยใช่ไหมครับ”                

     “ค่ะ”                

     “งั้นเอาข้าวต้มดีกว่า”               

     สาวใช้อมยิ้มกับคำตอบของคุณชายเล็ก เธอรู้ดีว่าคุณชายเล็กไม่ถนัดที่จะใช้มีดในการรับประทานอาหารเท่าใดนัก เพราะมีหลายครั้งหลายหนที่การรับประมานอาหารดำเนินไปอย่างทุลักทุเลเนื่องจากการใช้มีดในการรับประทานอาหารของคุณชายเล็ก               

     “คุณทานต์คะ”                

     “ครับ?”                

     “ถ้าคุณทานต์อยากทานขนมปังเดี๋ยวฉันตัดเป็นชิ้นๆไว้ให้เลยดีไหมคะ จะได้ทานง่ายๆ หน่อย” อัสดงยิ้มอย่างยินดีผงกหัวขึ้นลงอย่างเห็นด้วย               

     “งั้นคุณทานต์นั่งรอสักประเดี๋ยว พอได้เวลาฉันจะเอามาเสริฟให้นะคะ”                

     “ขอบคุณมากครับ”               

     อัสดงนั่งรอพี่ชายอย่างอารมณ์ดี วันนี้เขาได้รับอนุญาตให้หยุดเรียนได้ แผนการสวยหรูถูกกำหนดขึ้นในความคิด เขาชอบวาดรูป เมื่อครั้นยังเด็กพลบค่ำชมรูปวาดของเขาอยู่เสมอ เช่นนั้นวันนี้เขาจึงอยากจะวาดรูป...วาดรูปให้พี่ชาย               

     “อะฮึ่ม!” เสียงกระแอมดังแทรกผ่านเข้ามาในความคิด อัสดงสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้ามองผู้มาใหม่               

     “ฝันหวานแต่เช้าเชียวนะ”               

     “อรุณสวัสดิ์ครับพี่ทันต์”               

     “อรุณสวัสดิ์”               

     ย่ำรุ่งยิ้มรับแล้วนั่งลงยังที่นั่งของตัวเอง เขามองไปทางหัวโต๊ะที่ยังไม่ปรากฏร่างของพลบค่ำ แล้วเปลี่ยนสายตามายังที่ของทินาทที่ยังไม่ปรากฏร่างของเจ้าของที่เช่นกัน               

     ย่ำรุ่งนึกสงสัยว่าเมื่อคืนนี้พลบค่ำกับทินาทจะทะเลาะอะไรกันรุนแรงหรือไม่ เพราะปกติพลบค่ำมักจะเป็นคนที่มาถึงโต๊ะอาหารเป็นคนแรกเสมอ               

     ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจเขาก็เห็นร่างของพี่น้องทั้งสองคนปรากฏอยู่หน้าประตูห้องครัว ทินาทที่ดูเหมือนจะมาถึงก่อนชะลอฝีเท้าปล่อยให้พลบค่ำเป็นคนเดินนำเข้ามา ย่ำรุ่งจับตามองทินาทที่มีสีหน้าเคร่งขรึมผิดปกติด้วยความสงสัย               

     “แกมีปัญหาอะไรเจ้าทันต์” พลบค่ำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงดุดันเมื่อเห็นท่าทีสังเกตสังกาของน้องชาย               

     “เปล่าครับ” ปฏิเสธแล้วก้มหน้าลงทันที ทินาทชายตามองไปทางย่ำรุ่งอย่างพอที่จะรู้ความคิดของพี่ชาย เขาปั้นรอยยิ้มยียวนอารมณ์ขึ้นมา               

     “เจ้าทล” อีกครั้งที่พลบค่ำลงเสียงหนักแต่คนถูกเตือนยักไหล่อย่างไม่สนใจ                

     เช้าวันที่สดใสของอัสดงจางหายไปในทันทีเมื่อเห็นอากัปกิริยาของพี่ชายทั้งสองคน เขารู้ว่าพี่ชายคนโตและทินาทคงมีเรื่องขัดใจกันเป็นแน่               

     “ทานต์ ต่อไปนี้นายจะได้พี่สะใภ้แล้ว นักเรียนนอกด้วยนะดีใจไหมล่ะ”                

     คนถูกถามเกิดอาการงงเล็กน้อย เขาไม่ค่อยเข้าใจกับคำถามของทินาทนัก แต่ย่ำรุ่งนั้นได้ยินเพียงแค่การเกริ่นนำเขาก็พอที่จะเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างในทันที               

     “นายจะแต่งงานหรือทล”                

     “จะเป็นใครไปได้ล่ะ”                

     น้ำเสียงสูงที่ย้อนถามแฝงไปด้วยคารมประชดประชันใครบางคนที่กำลังจ้องมองมา ย่ำรุ่งหันไปทางพี่ชายคนโตแล้วเหลียวกลับมายังทินาทอีกครั้ง แม้คำถามของเขาจะไม่ได้รับคำตอบ แต่เขาก็มองเห็นทุกอย่างได้โดยทะลุปรุโปร่ง

     “เลิกถามได้แล้ว” พลบค่ำพูดเสียงเข้มเป็นการตัดบทในทันที                

     จบคำพูดของพลบค่ำอาหารเช้าก็ถูกเสริฟวางตรงหน้าของชายหนุ่มสี่คนอย่างพร้อมเพรียง ทินาทนั่งจ้องอาหารตรงหน้าด้วยไม่มีความรู้สึกอยากเลยแม้แต่น้อย มือทั้งสองข้างของเขายังวางประสานกันอยู่บนหน้าตักไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย               

     อัสดงเหลือบตาขึ้นมองทินาทเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมนั้นพลอยทำเอาเขาไม่สบายใจไปด้วย เขารู้สึกเห็นใจทินาทเป็นอย่างมากที่ต้องถูกพลบค่ำบังคับให้ทำทุกอย่างตามความต้องการโดยไม่มีใครหน้าไหนที่จะกล้ายื่นมือเข้าช่วย ทั้งๆ ที่ตลอดมาทุกคนล้วนแต่ได้รับการปกป้องจากทินาทแทบทั้งสิ้น               

     ย่ำรุ่งเองก็รู้สึกเห็นใจทินาทไม่น้อย เขานึกโทษตัวเองที่ไม่เคยทำหน้าที่พี่ชายที่ดีให้กับน้องชายคนนี้เลยสักครั้ง เขาเฝ้าห่วงใยแต่อัสดงด้วยเห็นว่าน้องชายเป็นเด็กที่อ่อนไหวง่ายต้องการคนคอยดูแลอย่างใกล้ชิด แต่กลับลืมคิดไปว่าแม้ว่าทินาทจะเข้มแข็งมากเพียงใดก็ยังคงต้องการคนที่จะคอยปกป้องดูแลด้วยเช่นเดียวกัน                

     “ทำไมไม่ตักกิน”                

     “ผมไม่หิว”                

     “กินเข้าไปเดี๋ยวนี้!”                

     คำพูดโต้ตอบของพี่ชายทั้งสองคนทำให้อัสดงพลอยหยุดมือไปด้วย เขานึกภาวนาอยู่ในใจขอให้ทินาททำตามคำสั่งของพี่ชายคนโตแต่โดยดี เพราะมิฉะนั้นแล้วต้องมีการทะเลาะกันอีกเป็นแน่               

     ทินาทเลื่อนมือขึ้นมาจับช้อนและส้อมกำไว้ในมือ อัสดงลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าทินาทยอมโอนอ่อนผ่อนตามพี่ชาย เมื่อเป็นดังนั้นแล้วอัสดงจึงหันกลับมาสนใจกับอาหารเช้าของตัวเองต่อ แต่แล้วภายในเสี้ยววินาทีต่อมาสิ่งที่เขาภาวนาก็ไม่บังเกิดผลเพราะทินาทกระแทกสิ่งของในมือลงในจานอาหารมื้อเช้าอย่างแรง               

     “เพล้ง!”               

     จานหรูตรงหน้าแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยการที่ถูกกระทบอย่างแรง บรรยากาศในห้องอาหารเงียบกริบลงทันที               

     ทินาทยังนั่งนิ่งอยู่กับที่มองเศษจานที่ผสมกับอาหารเช้าด้วยสีหน้าเฉยชา ย่ำรุ่งและอัสดงหันไปสบตากันอย่างตกใจแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ                

     พลบค่ำมองผลงานของน้องชายก่อนที่จะเปลี่ยนสายตามาจับจ้องที่ผู้กระทำ อัสดงรีบหลับตาลงทันทีเพราะไม่อยากเห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้               

     “มาทำความสะอาดซิ” พลบค่ำหันไปสั่งสาวใช้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ                

     อัสดงลืมตาขึ้นมาด้วยความงุนงงเมื่อเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิด ย่ำรุ่งเองก็แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินประโยคดังกล่าวจากพลบค่ำ ส่วนทินาทนั้นไม่สนใจกับสถานการณ์รอบข้างเลยแม้แต่น้อย เขายังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น               

     “ทล” ย่ำรุ่งตัดสินใจลุกขึ้นแล้วเดินไปแตะไหล่น้องชาย แต่ทินาทก็ยังคงนิ่งเฉย “ไม่สบายหรือเปล่า” เขาถามน้องอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรก็บอกฉันได้นะ”                

     ทินาทได้ยินทุกคำพูดของย่ำรุ่งแต่เขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดโต้ตอบได้จึงได้แต่เงียบเช่นเดิม               

     “เจ้าทันต์แกกลับมานั่งแล้วกินต่อให้หมด แกด้วยเจ้าทานต์” เสียงพี่ชายคนโตออกคำสั่งอย่างเฉียบขาด               

     อัสดงรีบก้มหน้าจัดการอาหารเช้าต่อย่างรวดเร็ว เขาอยากจะให้อาหารมื้อนี้จบลงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะเขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ต่อไปจะเลวร้ายกว่านี้หรือไม่

     ทินาทลุกขึ้นช้าๆ แล้วเดินออกจากห้องอาหารโดยไม่ร่ำลาใครเลยทั้งสิ้น ย่ำรุ่งกับอัสดงหันไปสบตากันอีกครั้งแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงพูดคุยออกมา พลบค่ำมองตามร่างน้องชายที่หายลับไปก่อนที่จะรวบช้อนส้อมแล้วลุกออกไปด้วยอีกคน

 

 

      ย่ำรุ่งหยุดยืนมองแผ่นหลังของน้องชายที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่อย่างบรรจง เขายังไม่ได้ส่งเสียงทักออกไปเพราะอยากมองภาพของน้องชายในอิริยาบถที่ดูเป็นธรรมชาติเช่นนี้ต่อไป

      “เฮ้อ! เสร็จสักที” ย่ำรุ่งอมยิ้มเมื่อเห็นอัสดงยื่นมือออกไปตรงหน้าแล้วบิดตัวซ้ายทีขวาที

      “เสร็จแล้วล่ะเจ้าเมฆขาว เราเข้าบ้านกันนะ” 

      รอยยิ้มของย่ำรุ่งเลือนหายไปทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว เขาเม้มปากเข้าหากันด้วยเป็นกังวลกับอาการของอัสดงที่ดูเหมือนจะหนักขึ้นทุกวัน แต่ทั้งนี้เขาเองก็ยังไม่กล้าที่จะบอกกับพลบค่ำเพราะรู้ดีว่าถ้าพี่ชายรู้อัสดงจะต้องถูกทำร้ายอีกเป็นแน่

      “อ้าวพี่ทันต์” เสียงอุทานของอัสดงทำให้ย่ำรุ่งรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เขาปั้นยิ้มให้กับน้องชาย

      “ทำอะไรอยู่” 

      “พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่” 

      “สักพักแล้วล่ะ” ย่ำรุ่งก้าวเดินเข้าไปหาอัสดง

      “ทำไมไม่เรียกฉันล่ะ”

      “เห็นนายกำลังง่วนอยู่เลยไม่อยากกวน”

      อัสดงวางซองเอกสารขนาดใหญ่ลงบนโต๊ะแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดพี่ชายด้วยความโหยหา ย่ำรุ่งอ้าแขนรับอย่างเต็มใจ

      “จิตรกรคนเก่งของพี่วาดภาพอะไรเอ่ย”

      “ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ทันต์” อัสดงพูดแย้งแต่สีหน้ากลับยิ้มระรื่นกับคำหยอกเอินของพี่ชาย

      “ขอดูได้ไหม” อัสดงเม้มปากเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองพี่ชายด้วยสีหน้าลำบากใจ

      “ไม่อยากให้ดูเหรอ”

      “ฉันอยากให้เจ้าของภาพได้เห็นมันก่อน”

      “เจ้าของภาพ?” ย่ำรุ่งย้อนถามพลางเอียงคอเล็กน้อย

      อัสดงทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกอดแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน เขาไม่อยากบอกว่าเขาตั้งใจวาดภาพดังกล่าวนั้นให้พลบค่ำ เพราะกลัวว่าย่ำรุ่งจะน้อยใจ แต่อีกใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากพูดโกหกเช่นกัน

      “ฉันจะให้ภาพนี้กับพี่แทน”

      “ให้พี่แทนคนเดียวหรือ” ย่ำรุ่งแกล้งตีหน้าเศร้าย้อนถาม

      “วันหลังฉันจะวาดให้พี่ด้วยนะ เพราะพี่แทนโตที่สุดเลยต้องได้ก่อน” ย่ำรุ่งไม่ตอบอะไรเพียงแต่พยักหน้าแบบแกนๆ เท่านั้น

      ท่าทางของย่ำรุ่งทำให้อัสดงกลัวขึ้นมาจับใจ เขากลัวที่สุดคือการที่ย่ำรุ่งนิ่งเงียบไม่พูดคุยกับเขา

      “พี่ทันต์ครับ ฉันให้รูปนี้กับพี่ก็ได้ พี่อย่าโกรธฉันเลยนะ” เสียงสะอื้นของน้องชายทำเอาย่ำรุ่งถึงกับใจหายวาบ

      “ทานต์ พี่ไม่ได้โกรธเราเสียหน่อย” 

      “พี่อยากได้รูปวาดอีกสักกี่รูปฉันก็จะวาดให้พี่ ฉันจะวาดให้พี่เดี๋ยวนี้เลยก็ได้ ขออย่างเดียวพี่อย่าทำเฉยชากับฉัน” 

      ย่ำรุ่งรั้งร่างน้องชายเข้ามากอดไว้ทั้งตกใจทั้งเสียใจที่ตัวเองเป็นตนเหตุให้น้องชายเสียขวัญถึงเพียงนี้

      “พี่ไม่ได้โกรธ พี่ขอโทษ พี่แค่ล้อเล่นกับเราเท่านั้นเอง”

      “ฉันจะวาดรูปให้พี่ ฉันจะวาดรูปให้พี่คืนนี้เลย” อัสดงเอ่ยปากทั้งน้ำตา ย่ำรุ่งเช็ดน้ำตาให้น้องอย่างแผ่วเบา

      “พี่ไม่อยากได้ภาพวาด พี่ไม่ต้องการภาพวาดอันไหนทั้งนั้น” ย่ำรุ่งพูดกับน้องชายเสียงสั่นเพราะอยากจะร้องไห้ตามน้องออกมาด้วย “พี่แค่อยากให้นายมีความสุข พี่ขอแค่ให้นายมีความสุขก็เท่านั้นเองน้องเอ๋ย”

      ย่ำรุ่งลูบหลังปลอบโยนน้องชายอย่างอ่อนโยน จนเมื่อน้องเริ่มสงบลงเขาก็ดันร่างน้องชายออกห่าง อัสดงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา แววตาของคนตรงหน้าทำให้ย่ำรุ่งรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ดวงตากลมโตคู่นั้นมีแววไร้เดียงสาแบบเด็กๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูเศร้าสร้อยเหลือเกิน

      “อย่าร้องไห้เลยนะ”

      “พี่ทันต์ก็ร้องไห้นี่” อัสดงแย้งด้วยน้ำเสียงสั่นเครือไม่หาย

      “งั้นเหรอ”

      “อืม”

      “ทำไงดีล่ะ” 

      อัสดงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้พี่ชายอย่างเบามือ ดวงตากลมโตจ้องมองย่ำรุ่งอย่างใส่ใจ ถ้าชีวิตนี้เขาไม่มีพี่ชายคอยอยู่เคียงข้างเขาไม่รู้เลยว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไหม

      ย่ำรุ่งจ้องมองท่าทางใสซื่อของอัสดง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโชคชะตาถึงได้เล่นตลกกับเด็กที่น่าสงสารคนนี้ อัสดงควรจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุข แต่ในเวลานี้เพียงแค่ปกป้องตัวเองอัสดงยังไม่สามารถที่จะทำได้เลย

      “พี่หิวข้าวแล้ว เราไปกินข้าวกันดีกว่า” ย่ำรุ่งเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา

      "แต่พี่แทนกับพี่ทลยังไม่กลับมาเลยนี่” 

      “วันนี้พี่แทนกับเจ้าทลไปงานเลี้ยงไม่กลับมากินข้าวที่บ้านหรอก”

      “นั่นสิ ฉันลืมไปเลย” อัสดงเพิ่งนึกขึ้นมาได้หลังจากที่ได้ยินจากย่ำรุ่ง “งั้นขอฉันเก็บของก่อนนะ แล้วเราไปกินข้าวกัน” 

 

     

      พลบค่ำที่เดินดุ่มๆ เข้ามาในบ้านหยุดชะงักลงเมื่อเห็นอัสดงนั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟาภายในห้องโถงกลาง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนที่จะเหลือบตามองไปที่นาฬิกาแขวนขนาดใหญ่ซึ่งชี้บอกเวลาเกือบจะตีหนึ่งแล้ว

      ชายหนุ่มยืนจ้องมองน้องชายอยู่ครู่หนึ่งก็สาวเท้าก้าวเข้าใกล้ก็พบว่าน้องชายยังไม่ได้รู้สึกตัวเลย นิ้วมือเรียวของพลบค่ำสัมผัสลงที่ใบหน้าของน้องชายอย่างเบามือแล้วปัดเส้นผมที่ตกลงมาปรกดวงตาของผู้เป็นน้องออก แววตาที่มักจะแข็งกร้าวเสมอยามที่จ้องมองมายังบุคคลตรงหน้า ในเวลานี้กลับอ่อนโยนราวกับคนละคน แต่อัสดงกลับไม่ได้รับรู้

      สายตาของพลบค่ำเลื่อนลงมามองที่หน้าตักของน้องชาย ซองเอกสารขนาดใหญ่นั้นทำให้เขาหยุดสายตาลงตรงนั้น

     “ทานต์...” เสียงของย่ำรุ่งร้องเรียกแต่ก็ชะงักลงโดยพลันเมื่อเห็นร่างของพลบค่ำอยู่ภายในห้องนี้ด้วย

     “พี่แทนกลับมาแล้วหรือครับ” 

     สีหน้าของพลบค่ำขรึมลงทันตาเห็น เขาหมุนตัวกลับมาทางย่ำรุ่งแววตาแข็งกร้าวขึ้นมาดังเดิม

     “ดึกป่านนี้แล้วพวกแกมัวทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่เข้านอนอีก” น้ำเสียงดุดันนั้นปลุกอัสดงให้ตื่นขึ้นมาอย่างงงๆ

     “แกควรที่จะเข้านอนตั้งแต่ 4 ทุ่มแล้วใช่ไหมเจ้าทานต์” อัสดงถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ความงัวเงียสร่างหายไปแทบจะในทันที ย่ำรุ่งเห็นท่าว่าน้องชายคงจะต้องโดนพลบค่ำหาเรื่องเป็นแน่ก็รีบออกหน้าแทนน้องชาย  

     “คือว่า...ทานต์มีบางอย่างอยากจะให้พี่แทนน่ะครับ” 

     พลบค่ำได้ฟังก็นิ่งไปสักครู่ก่อนที่จะปรายตาไปทางน้องชายคนเล็ก ย่ำรุ่งส่งสายตาเป็นเชิงบอกกล่าวให้อัสดงรีบมอบภาพวาดดังกล่าวนั้นให้แก่พี่ชายเพราะหากยังคงชักช้าร่ำไรอาจเกิดเรื่องขึ้นมาอีกก็เป็นได้

     อัสดงเริ่มมือไม้สั่นเมื่อเห็นว่าพลบค่ำดูท่าจะอารมณ์ไม่ดี มืออันสั่นเทาหยิบจับซองเอกสารขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชายด้วยกลัวว่าจะเห็นแววตาอันดุดันนั้นจ้องมองกลับมา แต่แล้วความกลัวของเขามลายหายไปทันที เมื่อพลบค่ำยื่นมือออกมารับซองเอกสารดังกล่าวอย่างโดยมิได้เอ่ยปากแต่อย่างใด

     “พวกแกสองคนขึ้นไปนอนกันได้แล้ว” กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับของที่อัสดง ตั้งใจทำให้โดยเฉพาะ

     ย่ำรุ่งมองตามร่างสูงใหญ่ของพี่ชายอย่างงงงวย เขาไม่เคยคาดเดาอารมณ์ของพี่ชายได้เลยสักครั้ง ส่วนอัสดงนั้นไม่ต้องบอกว่าจะปลาบปลื้มใจมากเพียงใดที่พลบค่ำมิได้ดุด่าว่ากล่าวเขาอีกแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่การที่เขาเข้านอนไม่ตรงเวลานั้นมักจะกลายเป็นความผิดที่พลบค่ำมักจะใช้หาเรื่องลงโทษเขาได้อยู่เสมอ

     ยังไม่ทันที่ย่ำรุ่งและอัสดงจะพูดคุยอะไรกันต่อ ร่างสูงใหญ่ของพลบค่ำก็เดินวกกลับมา สายตาคมเข้มจ้องมองน้องชายทั้งสองคนสลับกันไปมา

     “สุดสัปดาห์นี้เราจะไปเที่ยวทะเลกัน รายละเอียดค่อยว่ากันพรุ่งนี้” พูดจบก็หันหลังกลับแล้วก้าวเดินออกไปโดยไม่รอคำตอบรับใดๆ

     “ไปทะเลเหรอ พี่แทนคิดยังไงไปเที่ยวทะเล” ย่ำรุ่งทวนคำพูดของพี่ชายอย่างแปลกใจ     

     แต่สำหรับอัสดงนั้นเขาไม่แปลกใจเลย คำพูดของพลบค่ำสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของอัสดงได้เป็นอย่างดี อาจจะดูเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองแต่อัสดงรู้สึกราวกับว่าที่พลบค่ำตัดสินใจพาพวกเขาไปเที่ยวทะเลนั้นอาจเป็นเพราะได้เห็นภาพวาดของเขาแล้วก็เป็นได้ คิดได้ดังนี้ภายในใจของอัสดงก็อบอวลไปด้วยไออุ่น เพียงแค่นี้เขาก็มีความสุขแล้ว

     “พี่ทันต์ครับ เราไปนอนกันดีกว่า”

     “อืม”

     “พี่ทันต์”

     “หืม?”

     “ทะเลนี่ไกลไหมครับ”

     ย่ำรุ่งถึงกับกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่เมื่อได้ยินคำถาม เขารู้ดีว่าอัสดงต้องตื่นเต้นและดีใจมากเป็นแน่ เพราะนานทีปีหนที่พี่ชายคนโตจะอนุญาตให้อัสดงได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเจอะเจอกับโลกภายนอกได้ ย่ำรุ่งกอดคอน้องชายไว้หลวมๆ แล้วส่ายหน้าแทนคำตอบ

     “ใช้เวลาเดินทางเท่าไหร่เหรอ”

     “ประมาณสองชั่วโมงก็น่าจะถึง” ย่ำรุ่งตอบคำถามนั้นอย่างใส่ใจ

     “ดีจัง”

     เมื่อได้รับคำตอบแล้วอัสดงก็เดินนำย่ำรุ่งออกจากห้องโถงกลาง ในมือก็กอดกระชับตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้แน่น

     “เจ้าเมฆขาว เราจะได้ไปเที่ยวทะเลกันแล้วดีใจไหม”

     "เราจะได้เห็นท้องฟ้าสวยๆ ได้เห็นน้ำทะเลใสๆ เหมือนที่เราดูกันในทีวีไง”

      ย่ำรุ่งถูกตรึงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่ เขาจ้องมองร่างของน้องชายที่เริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ ด้วยความรู้สึกซึ่งบอกไม่ถูก ในเวลานี้แม้เขาตัวจะยังใกล้ชิดกับน้องดังเช่นที่ผ่านมาแต่สำหรับความรู้สึกภายในใจนั้นกลับมีบางอย่างที่ขวางกั้นกันเอาไว้ บางอย่างที่เขามองไม่เห็น แต่ทว่ามันแข็งแกร่งเกินกำลังของเขาที่จะทลายมันลงมาได้

 

 

     ทินาทนอนลืมตาเหม่อมองเพดานห้อง เขายังคงอยู่ในชุดหรูที่ถูกตัดขึ้นเพื่องานเลี้ยงในช่วงหัวค่ำที่ผ่าน เขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง               

     “ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!” เสียงเคาะประตูนั้นทำให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์               

     “ครับ?”                

     “ฉันเอง เปิดประตูซิ” ทินาทนิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ประตูอย่างเชื่องช้า               

     สีหน้าของผู้มาเยือนยังคงเฉยชาดังเช่นทุกครั้ง และเช่นเดียวกันสีหน้าของทินาทเองก็เย็นชาไม่แพ้กัน               

     ชายหนุ่มสองคนพี่น้องยืนมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง และแล้วสายตาของผู้มาเยือนก็มีแววอ่อนลง               

     “ทำอะไรอยู่” น้ำเสียงที่เกือบๆ จะอ่อนโยนนั้นสร้างความประหลาดใจให้กับทินาทไม่น้อย            

     “เปล่าครับ แค่นอนคิดอะไรเพลินๆ” ทินาทตอบโดยไม่ได้มองหน้าผู้ถาม                

     “ฉันขอคุยด้วยหน่อย”                

     คำพูดประโยคนั้นสร้างความประหลาดใจให้แก่ทินาทอีกครั้ง ขอคำๆ นี้แทบไม่เคยหลุดออกมาจากปากคนอย่างพลบค่ำเลยสักครั้ง หรือถ้าจะมีก็น้อยครั้ง น้อยจนเขาจำไม่ได้เลยว่าคนอย่างพลบค่ำก็พูดคำๆ นี้เป็นด้วย               

     “ครับ เดี๋ยวผมตามไป”                

     “ไม่ต้อง คุยในห้องแกนี่แหละ”                

     จบคำพูดนั้นทินาทก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาเฉยๆ ไม่บ่อยนักที่พลบค่ำจะย่างกรายเข้ามาในห้องเขา และการเข้ามาแต่ละครั้งนั้นข้าวของอันเป็นที่รักของเขาจะต้องถูกทำลายลงไปต่อหน้าต่อตา ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ ร่างใหญ่ของพี่ชายก็เป็นคนผลักประตูออกกว้างแล้วนำพาตัวเองเข้าไปข้างในเสียแล้ว                

     ทินาทไม่รอช้ารีบเดินตามเข้าไปทันที เขานึกภาวนาขออย่าให้พี่ชายตรวจตราข้าวของในห้องเขาเลย เพราะไม่เช่นนั้นแล้วกีตาร์ตัวโปรดของเขาคงจะถูกทำลายย่อยยับจนไม่เหลือชิ้นดีอีกเป็นแน่               

     “แกคิดว่าคุณหนูพลอยเป็นยังไง”                

     พลบค่ำเอ่ยถามแล้วหมุนตัวกลับมาทางน้องชายที่กำลังยืนเมียงมองไปยังลิ้นชักใต้เตียงด้วยอาการพะว้าพะวง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อสังเกตเห็นอากัปกิริยาของน้องชาย               

     “เจ้าทล!”                

     “ครับพี่แทน”               

     “แกไม่ได้ฟังที่ฉันถามหรือไง”

     น้ำเสียงเกรี้ยวกราดอันเป็นปกติของพลบค่ำตวาดขึ้นดังลั่น ทินาทรีบก้มหน้าลงทันทีในเวลานี้เขาควรจะนอบน้อมต่อพี่ชายเพื่อรักษาสิ่งของอันเป็นที่รักเอาไว้               

     “ขอโทษครับพี่แทน” ทินาทเอ่ยปากเสียงแผ่ว “ผมรู้สึกเหนื่อยๆ เพลียๆ เลยไม่ทันได้ฟัง”                

      “อืม” พลบค่ำพยักหน้ารับง่ายๆ...ง่ายเสียจนคนตรงหน้ายังแปลกใจ “ฉันถามว่าแกคิดยังไงกับคุณหนูพลอย”                

     “เธอสวยมากครับ”                

     “แล้วอย่างอื่นนอกจากความสวยหละ”                

     ทินาทหวนคิดไปถึงวินาทีแรกที่เขาได้พบกับ พลอยไพลินหญิงสาวชาติตระกูลดีที่พี่ชายกำลังยัดเยียดให้เขา ชายหนุ่มยอมรับว่าเขารู้สึกผิดคาดเป็นอย่างมาก เพราะคุณหนูพลอยในความคิดของเขาคงเป็นหญิงสาวสังคมจัดตามแบบฉบับทายาทตระกูลดัง แต่คุณหนูพลอยที่เขาได้พบกลับมิได้มีลักษณะดังที่เขาคาดการณ์ไว้เลย

     “ผมยังไม่ได้คุยอะไรกับเธอมาก แต่เท่าที่ดูเธอก็เป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อมทุกอย่าง” ทินาทตอบคำถามพี่ชายอย่างระมัดระวัง               

     “งั้นแกคงไม่ขัดข้องอะไรถ้าฉันจะให้แกลองคบกับเธอดู”               

     ทินาทเหลือบตามองพี่ชายเล็กน้อย เขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้ยินประโยคนี้ออกจากปากของพี่ชาย แต่ที่แปลกก็คือครั้งนี้เขากลับไม่รู้สึกต่อต้านกับ คำพูดที่เปรียบเสมือนคำสั่งของพี่ชายเลยแม้แต่น้อย               

     “แล้วแต่พี่แทนครับ”                

     “ดีมาก!”

     พลบค่ำรู้สึกพึงพอใจที่ทินาทมิได้มีท่าทีดื้อแพ่งกับเขาอย่างเช่นทุกครั้ง เขาพอเดาออกได้กลายๆ ว่าน้องชายคงจะมีความพึงพอใจในตัวพลอยไพลินอยู่ไม่น้อย เช่นนี้เขาคงไม่ต้องลำบากนักในการจัดการเรื่องต่างๆ ต่อไปจากนี้               

     “อ้อ! มีอีกเรื่อง” พลบค่ำพูดขึ้นอย่างนึกขึ้นได้ “สุดสัปดาห์นี้เราจะไปเที่ยวทะเลกัน เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”                

     ทินาทเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ได้ไถ่ถามอะไรต่อ เพราะในเวลานี้เขาอยากจะให้พี่ชายออกไปจากห้องเขาโดยเร็วที่สุด เพื่อที่สิ่งของอันเป็นที่รักของเขาจะได้อยู่รอดปลอดภัย “ทราบแล้วครับ”                

     “ฉันจะคุยกับแกเท่านี้แหละ”                

     “ครับ”                

     ทินาทรับคำพร้อมกับก้มหัวให้พี่ชาย แล้วเดินตามไปส่งที่หน้าห้อง จนเมื่อพลบค่ำก้าวเท้าออกไปเขาก็ดึงประตูปิดพร้อมกับลงกลอนอย่างแน่นหนา เขาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความโล่งอก ก่อนที่จะกลับมาทิ้งตัวนอนลงที่เตียงและเดินทางเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดของตัวเองอีกครั้ง

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา