ความสุขบทสุดท้าย
เขียนโดย เจนนิดา
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.
แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บรรยากาศภายในห้องอาหารของคฤหาสน์ตระกูล 'รตะไพศาล’ ตกอยู่ในความเงียบ จะมีก็แต่เสียงของนาฬิกาโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ในมุมขวาของห้องเท่านั้นที่ยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
“ทำไมเจ้าสองคนนั่นยังไม่ลงมาอีก”
“ฉันถามได้ยินไหม” น้ำเสียงดุดันของ‘พลบค่ำ’นั้นทำเอาผู้ร่วมโต๊ะถึงกับสะดุ้งตื่นจากภวังค์ทันที แม้จะได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้มาทุกวันในตลอดระยะเวลา 13 ปี ที่ผ่านมาแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ ‘ย่ำรุ่ง’ รู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาได้เลย หลังจากที่พ่อแม่จากไปพี่ชายคนโตของตระกูลก็มีท่าทีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
“เดี๋ยวคงลงมาล่ะครับ”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ‘อัสดง’ น้องชายคนเล็กแห่งบ้านตระกูลรตะไพศาลก็เดินเข้ามาภายในห้องรับประทานอาหารสุดหรูด้วยสีหน้าอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ย่ำรุ่งส่งยิ้มให้น้องชายเล็กน้อยเมื่อสายตาประสานกัน
“เวลาอาหารเช้าเจ็ดโมงตรง แกมัวทำอะไรอยู่”
อัสดงสะดุ้งหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าเคลื่อนไหวน้ำตาร่วงเผาะลงมาทันที ย่ำรุ่งมองน้องด้วยความสงสารจับใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเงียบเท่านั้น
“ไม่ต้องมาบีบน้ำตาตอบคำถามฉันมาเดี๋ยวนี้!” พลบค่ำตะคอกใส่พลางตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด สายตาดุดันจ้องมองน้องชายคนเล็กอย่างคาดคั้น
อัสดงยืนตัวสั่นงันงกไม่กล้าเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมา และแม้จะได้พยายามกลั้นแล้วแต่น้ำตาเจ้ากรรมก็ยังดื้อดึงไหลรินออกมาอย่างไม่ขาดสาย เขาไม่รู้ว่าทำไมพี่ชายคนโตถึงเกลียดเขานัก หลังจากที่พ่อแม่เสียชีวิตไป พี่ชายที่แสนดีของเขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่เคยเหลียวแลเขาอีกเลย ซ้ำยังดุด่าและลงโทษสารพัด ทั้งๆ ที่บางครั้งเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด
“อีกตั้งเกือบนาทีกว่าจะถึงเจ็ดโมงตรงไม่ใช่หรือครับ” ผู้มาใหม่เข้ามาช่วยชีวิตอัสดงไว้ได้ทัน สายตาดุดันของพี่ชายคนโตเปลี่ยนเป้าหมายทันที
“แกกล้าย้อนฉันงั้นหรืิอเจ้าทล”
“ก็แค่พูดตามจริง นาฬิกายังไม่ได้ตีบอกเวลาเลย”
ยังไม่ทันขาดคำเสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเจ็ดโมงตรงก็ดังกังวานไปทั่วห้อง ย่ำรุ่งก้มหน้าลงแล้วแอบอมยิ้มออกมาเล็กน้อย นอกจาก ‘ทินาท’ แล้วคนทั้งบ้านไม่มีใครกล้าแข็งข้อกับพลบค่ำเลยสักคน
“ไปนั่งที่โต๊ะสิ” ทินาทหันมาบอกน้องชายคนเดียวของเขาเสียงเรียบ แม้เขาเองจะไม่ได้เอ็นดูน้องชายคนนี้สักเท่าไหร่แต่เมื่อเห็นน้องเป็นเช่นนี้แล้วก็อดที่จะเวทนาไม่ได้
อัสดงเดินไปที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ย่ำรุ่งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเดินมาถึงก็นั่งตัวลีบแทบจะไม่กล้ากระดุกกระดิกด้วยกลัวว่าตัวเองจะพลาดพลั้งไปทำอะไรขัดหูขัดตาพี่ชายคนโตอีก
“คุณทานต์จะรับอะไรดีคะวันนี้มีโจ๊กกับข้าวต้มรวมมิตรค่ะ” สาวใช้เอ่ยถามดังเช่นทุกวัน
“ตักโจ๊กให้” คนถูกถามยังไม่ทันได้อ้าปากก็มีคนตัดสินใจแทนให้อย่างเสร็จสรรพเสียก่อน
ย่ำรุ่งและทินาทมองไปทางน้องชายคนเล็กพร้อมกันแล้วก็เป็นทินาทที่อดจะเป็นปากเสียงแทนให้ไม่ได้
“ทานต์ยังไม่ทันได้เลือกเลยนะครับพี่แทน”
“ดูท่าแกจะมีปัญหาแทนมันทุกครั้งเลยนะ” น้ำเสียงดุดันกับสายตาคมจ้องมองทินาทตาเขม็ง
“ก็แค่เห็นน้องทานแต่โจ๊กทุกวันอาจจะเบื่อก็ได้”
สายตาของพลบค่ำเปลี่ยนไปจับจ้องที่น้องชายคนเล็กแทน อัสดงนั่งก้มหน้านิ่งไม่กล้าปริปากพูดอะไรขึ้นมา เขารู้ชะตากรรมของตัวเองดีว่าต้องถูกพี่ชายดุด่าอีกเป็นแน่
“แกเบื่องั้นหรือเจ้าทานต์”
คนถูกถามถึงกับปากคอสั่น เขาไม่รู้เลยว่าพี่ชายต้องการคำตอบตามความรู้สึกของเขาจริงๆ หรือต้องการคำตอบอันเป็นที่พอใจของตัวพี่ชายเองกันแน่ น้ำตาที่เพิ่งจะเหือดแห้งไปกลับเอ่อล้นออกมาอีกอย่างช่วยไม่ได้
“เงยหน้ามองฉันแล้วตอบมา”
ย่ำรุ่งมองน้องอย่างสงสารเขาแอบเอื้อมมือไปจับมือของน้องชายไว้แล้วบีบเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ ฝ่ามืออบอุ่นของย่ำรุ่งเป็นสิ่งที่ปลอบประโลมอัสดงได้เป็นอย่างดี
“เวลาอาหารเช้าเริ่มเจ็ดโมงตรง พี่แทนกำลังจะทำให้ตารางประจำวันของเราต้องเลื่อนนะครับ” แล้วก็เป็นทินาทตามเคยที่ต้องออกหน้ารับแทนน้องแต่ก็ไม่วายว่ากระทบพี่ชายไปด้วยในตัว
พลบค่ำเม้มปากเมื่อถูกตอกกลับแบบนิ่มๆ แต่ก็ยอมรามือกับน้องชายคนเล็กในที่สุด “งั้นก็ลงมือกันได้แล้ว”
อัสดงส่งสายตาไปทางทินาทเป็นเชิงขอบคุณก่อนที่จะลงมือรับประทานอาหาร ทินาทได้แต่ถอนใจออกมาเบาๆ น้องชายคนนี้อ่อนแอมากเกินไป มากเกินกว่าที่จะอยู่ร่วมกับคนที่แข็งเกินไปอย่างพลบค่ำ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ