ความสุขบทสุดท้าย
เขียนโดย เจนนิดา
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 18.16 น.
แก้ไขเมื่อ 1 มีนาคม พ.ศ. 2558 13.22 น. โดย เจ้าของนิยาย
2)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความหลังอาหารเช้าอัสดงก็หยิบอุปกรณ์การเรียนทั้งหมดเดินเข้าไปในห้องเรียนที่จัดไว้ให้เขาโดยเฉพาะ โดยไม่ลืมที่จะพา ‘เจ้าเมฆขาว’ติดตามไปด้วย ตั้งแต่พ่อกับแม่จากไปพี่ชายคนโตก็ให้เขาลาออกจากโรงเรียนแล้วจ้างครูมาสอนเขาถึงที่บ้านแบบตัวต่อตัว อัสดงถูกตัดขาดจากสังคมภายนอกตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนที่รู้ใจเลยแม้แต่คนเดียว จะมีก็เพียงแต่เจ้าตุ๊กตากระต่ายสีขาวตัวนี้เท่านั้นที่คอยเป็นผู้รับฟังที่แสนดีของเขาตลอดมา
“ทานต์ พี่จะไปทำงานแล้วนะ” ย่ำรุ่งโผล่หน้าเข้ามาในห้องเรียนส่วนตัวของน้องชายพร้อมกับเอ่ยลาดังเช่นทุกวัน อัสดงผละตัวออกจากเก้าอี้แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาพี่ชายในทันที
“พี่ทันต์”
“คนเก่งของพี่ตั้งใจเรียนนะ” น้ำเสียงนุ่มนวลผสมกับสัมผัสอันอบอุ่นสร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าเศร้าสร้อยของอัสดงขึ้นมาได้บ้าง
“ครับ” อัสดงสวมกอดพี่ชายอย่างโหยหาแล้วกอดแน่นขึ้นเมื่อพี่ชายกอดตอบเขา ย่ำรุ่งลูบศีรษะของน้องชายอย่างอ่อนโยนก่อนเชยคางของน้องขึ้นมาอย่างแผ่วเบา แล้วความรู้สึกเศร้าสลดก็ประดังเข้ามาเกาะกุมใจเขาเฉกเช่นทุกครั้งที่มอง ใบหน้านวลเนียนของน้องชายแทบไม่เคยปรากฏร่องรอยแห่งความสุขออกมาเลยสักครั้ง
“วันนี้หน้าตาของเราดูไม่ค่อยดีเลย เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ”
สีหน้าของอัสดงสลดลง ดวงตากลมโตมองพี่ชายอย่างเศร้าสร้อย “เมื่อคืนฉันมัวแต่ท่องคำศัพท์ภาษาอังกฤษอยู่ มีแต่คำยากๆ ทั้งนั้นเลยพี่” อัสดงบอกพี่ชายเบาๆ
“คุณครูดุหรือ”
“เปล่าครับ”
“งั้นทำไมต้องท่องจนดึกดื่นแบบนั้นด้วยล่ะ”
“เพราะเย็นนี้ต้องไปท่องให้พี่แทนฟัง”
คำตอบของน้องชายทำเอาย่ำรุ่งถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาทำนายได้เลยว่าหากน้องชายกลับออกมาตามเนื้อตัวจะต้องมีร่องรอยของการถูกเฆี่ยนตีอีกเป็นแน่
“งั้นพยายามเข้านะ” ย่ำรุ่งเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดให้กำลังใจเช่นนี้ “พี่ต้องไปทำงานแล้ว เจอกันเย็นนี้นะ”
ย่ำรุ่งโน้มใบหน้าลงมาจูบที่หน้าผากของน้องชายเบาๆ อัสดงพยักหน้ารับโดยไม่ลืมหอมแก้มพี่ชายกลับด้วย ทั้งชีวิตของอัสดงก็มีเพียงพี่ชายคนนี้เท่านั้นที่รักและห่วงใยเขาอย่างจริงใจ ไม่เคยมีสักครั้งที่ย่ำรุ่งจะดุด่าหรือเฆี่ยนตีเขาอย่างที่พี่ชายคนโตได้กระทำต่อเขาแทบทุกวัน
“พี่ทันต์ พี่ลืมอะไรหรือเปล่า” ร่างใหญ่นั้นชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงทักท้วงของน้องชาย
“ฉันไปนะเจ้าเมฆขาว” ย่ำรุ่งหมุนตัวกลับมาแล้วกล่าวลาตุ๊กตาของน้องชายด้วย
อัสดงยิ้มให้พี่ชายแล้วหยิบตุ๊กตาขึ้นมากอดไว้อย่างรักใคร่ ย่ำรุ่งมองน้องชายอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะหมุนตัวเดินกลับออกไป
พลบค่ำยืนมองน้องชายทั้งสองคนอยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อย่ำรุ่งออกไปแล้วเขาก็ก้าวขาย่างกรายเข้าไปในห้องเรียนส่วนตัวของอัสดง
“ลืมอะไรหรือครับพี่ทันต์”
เสียงใสของอัสดงเอ่ยถามด้วยนึกว่าพี่ชายคงลืมอะไรไว้จึงเดินย้อนกลับเข้ามาอีก แต่สายตานั้นไม่ได้หันกลับมาจับจ้องยังผู้ที่เดินเข้ามาใหม่ แต่ยังคงให้ความสนใจกับเจ้าตุ๊กตาตัวย่อมในอ้อมแขนอยู่เช่นเดิม
“ทำไมพี่ไม่ตอบฉันล่ะ”
พอหันกลับมาก็ทำเอาอัสดงถึงกับสะดุ้งเฮือกปล่อยมือจากเจ้าเมฆขาวโดยพลัน พลบค่ำจ้องหน้าน้องชายตาเขม็งก่อนที่จะหันกลับไปคว้าเจ้าเมฆขาวขึ้นมา
“ฉันสั่งแล้วใช่ไหมว่าห้ามเอาไอ้ตุ๊กตาบ้าตัวนี้เข้ามาเรียนด้วย”
“พี่แทน” อัสดงร้องเสียงหลงเมื่อเห็นพี่ชายหิ้วหูของเจ้าเมฆขาวอย่างไม่ใยดี
“ได้โปรดเถอะ อย่าทำอะไรเจ้าเมฆขาวเลย”
“ถ้าฉันจะทำ! แกจะทำไม!”
แม้จะกลัวแต่อัสดงก็ตัดสินใจยื่นมือออกไปยื้อแย่งตุ๊กตาที่เขารักปานดวงใจออกมาจากมือของพี่ชาย เขายอมเจ็บตัวเสียดีกว่าที่จะทนเห็นพี่ชายทำร้ายเจ้าเมฆขาวต่อหน้าต่อตาเขา
“ทานต์” พลบค่ำตวาดใส่น้องชายเสียงดังลั่นห้องด้วยความโกรธ อัสดงกอดเจ้าเมฆขาวแน่นตัวสั่นงันงกด้วยความเกรงกลัวพี่ชาย เขารู้ดีว่าพลบค่ำต้องโกรธมากที่เขาบังอาจไปยื้อแย่งเจ้าเมฆขาวออกมาจากมือของผู้เป็นพี่ชาย
“เอามานี่” พลบค่ำกระชากตุ๊กตาที่เป็นดั่งดวงใจของน้องชายด้วยความโกรธ
“พี่แทน! ผมขอร้อง...คืนเจ้าเมฆขาวให้ผมเถอะ...” อัสดงสะอื้นตัวโยนในขณะที่ร้องขอต่อพี่ชาย
พลบค่ำจิกเล็บลงไปยังตุ๊กตาผ้าขนสัตว์ พยายามระงับความโกรธแต่ดูเหมือนมันจะไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไรนัก
“พี่แทนว่างมากเลยมาแย่งน้องเล่นตุ๊กตาหรือเนี่ย”
น้ำเสียงแดกดันนั้นทำให้พลบค่ำหันขวับไปทางต้นเสียง จ้องมองคนพูดราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทุกคนในบ้านล้วนแล้วแต่เกรงกลัวเขา ไม่ว่าเขาจะพูดจะสั่งอะไรทุกคนจะรีบปฏิบัติตามคำสั่งของเขาทันที เขาควบคุมทุกคนได้ ยกเว้นทินาท
“ทำไมแกยังไม่ไปทำงานอีก” ตวาดใส่ด้วยน้ำเสียงกระชาก อัสดงสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินแต่ทินาทนั้นกลับไม่ได้สะทกสะท้านไปกับน้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้นเลยสักนิด
“ถ้าไปแล้วจะได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้หรือไง”
รอยยิ้มเยาะที่มุมปากกระตุ้นอารมณ์โกรธของพลบค่ำให้พุ่งขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว พลบค่ำไม่เคยเอาชนะน้องชายคนนี้ได้เลยสักครั้ง ต่อให้เขาสามารถออกคำสั่งหรือบีบบังคับอะไรทินาทได้ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ทินาทจะแสดงอาการเกรงกลัวเขาดั่งเช่นที่คนอื่นๆ แสดงออก หนำซ้ำบางครั้งสีหน้าของน้องชายคนนี้ยังแสดงออกถึงความเกลียดชังเขาอย่างเด่นชัดอีกด้วย
“ถ้าแกไม่อยากเจ็บตัวก็ไสหัวออกไปซะ!” พลบค่ำข่มความโกรธพลางชี้นิ้วไปที่ประตู แต่ทินาทกลับทำตรงกันข้ามกับความต้องการของพี่ชาย เขาก้าวช้าๆ เข้ามายืนร่วมอยู่ภายในห้องขนาดกะทัดรัด
“ทานต์ พี่แทนเขาไม่ค่อยจะมีของเล่นสักเท่าไหร่ นายให้เขายืมเล่นก่อนเถอะ เดี๋ยวเบื่อแล้วเขาก็เอามาคืนเองนั่นแหละ” ทินาทพูดพร้อมกับรอยยิ้มยียวนที่ไม่คิดจะปิดบังมันเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าถ้าพี่ชายได้ฟังต้องโกรธจนแทบเต้นแน่ๆ แต่นี่ก็เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้พลบค่ำเลิกตอแยกับน้องชายคนเล็กเสียที
“เจ้าทล แกจะมากไปแล้วนะ”
ร่างใหญ่ของพลบค่ำย่างสามขุมเข้าไปกระชากคอเสื้อน้องชาย อัสดงมองพี่ชายทั้งสองคนตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว...กลัวว่าทินาทจะต้องเจ็บตัวเพราะปกป้องเขา
“เพี๊ยะ!”
“พี่แทนอย่า!”
เสียงอัสดงหวีดร้องออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นพลบค่ำเงื้อมือขึ้นแล้วตวัดลงไปที่แก้มของทินาทเต็มแรง ยังผลให้ทินาทหน้าหันไปตามแรงตบ หน้าชาไปทั้งแถบ เขาเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะยกมือขึ้นมาเช็ดเลือดที่ซึมไหลออกมาที่มุมปากด้านซ้ายด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง
“นี่เป็นการลงโทษที่แกบังอาจมาทำปากกล้ากับฉัน” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดนั้นไม่ได้ทำให้ทินาทสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ซ้ำยังจ้องมองพี่ชายโดยไม่หลบสายตาอีกด้วย
สายตาของน้องชายที่จ้องมองมานั้นทำให้พลบค่ำต้องกำหมัดแน่นเพื่อระงับความโกรธ ทินาทมักจะแสดงความรู้สึกให้เขารับรู้ผ่านทางสายตาเสมอ และแน่นอนว่าในแววตานั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกลียดและชิงชังเขาอย่างเป็นที่สุด
และก็เป็นพลบค่ำที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตาก่อน แม้เขาจะเกรี้ยวกราดหรือลงโทษทินาทหนักเพียงใด ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่น้องชายคนนี้จะยื่นอุทธรณ์เพื่อร้องขอให้เขาปราณี แต่กลายเป็นเขาเสียเองที่ต้องเป็นฝ่ายรามือไปในที่สุด และครั้งนี้ก็เช่นกัน
“เจ้าทานต์! ตอน 5 โมงเย็น ไปรอฉันที่ห้องหนังสือ” สั่งน้องชายคนเล็กเสร็จก็เดินออกไปโดยไม่เหลียวกลับมามอง
ทันทีที่ร่างพี่ชายคนโตลับตาอัสดงก็ถลาเข้าไปกอดทินาท พร่ำขอโทษพี่ชายพลางร้องไห้อย่างหนัก ทินาทยืนนิ่งปล่อยให้น้องชายกอดตัวเองอยู่อย่างนั้น อันที่จริงเขากับอัสดงไม่ค่อยจะมีความสนิทสนมกันอย่างที่พี่น้องทั่วไปควรจะมี เพราะบางครั้งบางทีเขาเองก็รู้สึกรำคาญที่น้องชายเป็นคนเจ้าน้ำตาและอ่อนแอเกินไป แต่ลึกๆ ในใจแล้วเขาก็รักและเป็นห่วงน้องชายคนนี้ไม่น้อยเลย
“หยุดร้องไห้ได้แล้ว” พูดขึ้นในที่สุดแล้วดันตัวน้องชายออก
อัสดงเอามือเช็ดน้ำตาพยายามหยุดร้องไห้ให้ได้ตามที่พี่ชายบอกแต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย เพราะน้ำตาเจ้ากรรมมันก็พาลจะไหลออกมาตลอด
“ยังไม่หยุดอีก” พูดเสียงเข้มขึ้นกว่าเดิม ทำเอาน้องชายสะดุ้งด้วยความตกใจ
ท่าทางหวาดหวั่นของอัสดงทำให้ทินาทต้องลอบถอนหายใจออกมา เขารู้สึกเอือมระอากับความอ่อนแอของน้องชายเหลือเกิน
“ฉันไม่ได้อยากจะช่วยอะไรนายหรอกนะ เพียงแค่อยากยั่วให้เจ้าหมอนั่นมันโกรธก็เท่านั้นเอง”
คำพูดประโยคนั้นทำเอาอัสดงถึงกับสะอึก พี่ชายคนนี้ชอบพูดประโยคที่ทำร้ายจิตใจเขาอยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่เขาได้รับความช่วยเหลือให้รอดพ้นจากการถูกทำร้ายของพี่ชายคนโต ทินาทก็มักจะให้เหตุผลเช่นนี้เสมอ
“คราวหน้าคราวหลังก็ระวังหน่อยแล้วกัน” ทินาทพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลงพร้อมกับก้มลงหยิบเจ้าเมฆขาวขึ้นมาแล้วยื่นมันคืนให้น้องชาย
อัสดงไม่เข้าใจพี่ชายคนนี้เลย ชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ดูจะอ่อนโยนและใจดีกับเขาแต่แล้วก็กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนเขาตามแทบไม่ทัน
“ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเอามันโผล่ไปให้พี่แทนเห็นอีก ฉันขี้เกียจไปตามคืนมาให้นาย” พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินหายออกไปโดยไม่บอกลา
อัสดงยิ้มออกมาบางๆ แม้คำพูดบางประโยคจะเสียดแทงใจเขา แต่ก็มีคำพูดหลายๆ ประโยคที่บ่งบอกถึงความห่วงหาอาทรเช่นกัน ถึงเขาจะไม่ค่อยได้เข้าใกล้ทินาทมากนัก แต่ทุกครั้งที่มีพี่ชายคนนี้อยู่ด้วยเขาจะรู้สึกปลอดภัยเสมอ
“ขอบคุณครับ” อัสดงพึมพำเบาๆ พลางกอดตุ๊กตาตัวโปรดไว้แน่น
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ