รักเหลือล้น [Yaoi , Boy's love]

-

เขียนโดย CryStaLSand

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 15.42 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,142 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 15.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) รักเหลือล้น 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

ตอนที่ 3

        “เจอใครมั้ยครับสารวัตร?” อนุชาเอ่ยถามด้วยความกังวล

        “ไม่เจอใครเลย” สารวัตรอดิศรตอบ ก่อนจะพูดต่อ “ผมว่าเราควรจะระวังตัวกันให้มากกว่านี้นะ คราวหน้านัดเจอกันในที่ที่มันลับตาคนกว่านี้หน่อยดีกว่า ผมไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยาก” สารวัตรอดิศรพูดด้วยท่าทางเซ็งๆ

        “คราวหน้าผมจะระวังครับ งั้นแยกกันตรงนี้เลยนะครับ แล้วผมจะโทรนัดสารวัตรอีกที” อนุชากล่าวก่อนจะเดินแยกออกไป  แล้วหลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งสารวัตรจึงค่อยเดินกลับไปในร้าน

 

        เมื่อเห็นว่าชายทั้งสองคนนั้นเดินผ่านไปแล้ว ภควัตจึงปล่อยตัวคนที่อยู่ในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ แล้วเดินออกมาจากซอกตึกเพื่อดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าไม่มีใครแล้วจริงๆ

        “คุณครับ ออกมาได้แล้ว พวกนั้นกลับเข้าร้านไปหมดแล้วล่ะ” เขาเรียกใบหม่อน ที่ตอนนี้ยังยืนตัวสั่นอยู่ในซอกตึกเช่นเดิม

        “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อไม่มีเสียงตอบกลับมาซะที

        “อะ...เออ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่ช่วยผมนะครับ” ในที่สุด ใบหม่อนก็เรียกสติกลับคืนมาได้ แต่ก็จำไม่ได้ว่าภควัตคือคนที่เดินชนกันก่อนหน้านี้

        “ไม่เป็นอะไรแน่นะ?” ภควัตถามย้ำอีกครั้ง เพราะเห็นว่าคนตรงหน้ามีสีหน้าซีดเผือด

        “ครับ ผมไม่เป็นไร” ใบหม่อนตอบ พร้อมยิ้มให้น้อยๆ

        “ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ” ภควัตบอกลาแล้วเดินกลับเข้าไปในร้านทันที ใบหม่อนยืนมองร่างชายหนุ่มเดินจากไปจนลับตา

        (เฮ้อ เกือบซวยแล้วมั๊ยล่ะ) ใบหม่อนคิดพลางยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกและพบว่าตอนนี้จังหวะหัวใจของเขายังคงเต้นแรงไม่หยุดเลย

                

        “ใบหม่อนหายไปไหนมาน่ะ พี่เป็นห่วงแทบแย่” ศศิเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เพราะเมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะ ก็พบว่าใบหม่อนได้หายตัวไปแล้ว

        “หม่อนไปห้องน้ำมาครับ ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ” ใบหม่อนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุด

        “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว พอดีว่ามีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามา พี่ต้องรีบกลับไปโรงพยาบาลน่ะ เดี๋ยวพี่จะไปส่งใบหม่อนที่ร้านนะ”

        “ไม่ต้องหรอกครับ พี่ศศิรีบไปเถอะ หม่อนกลับเองได้” ขณะที่ศศิกำลังลังเลอยู่นั้น เธอก็สังเกตเห็นว่ามือของใบหม่อนมีเลือดไหลออกมา

        “ตายแล้ว นี่หม่อนไปโดนอะไรมาน่ะ” เธอว่าพร้อมดึงมือน้องชายมาดู

        “เอ่อ...คงได้แผลมาตอนที่สะดุดล้มหน้าห้องน้ำมั้งครับ” ใบหม่อนตอบ ทั้งที่ตัวเขาเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าได้แผลมาตอนไหน 

        “แล้วแบบนี้พี่จะให้เรากลับเองได้ยังไงล่ะ?” ศศิว่าด้วยสีหน้ากังวล

         “หม่อนเป็นผู้ชายนะครับ  แผลแค่นี้เอง พี่ศศิไม่ต้องห่วงหรอก รีบไปเถอะครับ คนไข้รออยู่นะ” ใบหม่อนยืนยันอีกครั้ง

        “งั้นเอาพลาสเตอร์ปิดแผลในรถพี่ไปติดก่อนก็แล้วกัน”

        “ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับพร้อมยิ้มให้พี่สาว เพราะไม่อยากให้เป็นห่วงเขามากเกินไป

        “กลับถึงบ้านแล้วโทรหาพี่ด้วยนะ พี่เป็นห่วงรู้มั้ย?” ศศิกำชับขณะเข้าไปนั่งในรถ

        “ครับผม ขับรถดีๆนะครับ”   เมื่อส่งศศิกลับไปแล้ว ใบหม่อนก็เรียกแท็กซี่กลับบ้านทันที

  

        ภควัตกลับเข้ามาภายในร้าน แล้วเดินเลี้ยวเข้าไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างมือ แต่กลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างติดอยู่ที่ฝ่ามือของเขา เขายกมือขึ้นมาดูและพบว่ามันคือเลือด  เขาพยายามมองหาบาดแผลที่มือและตามร่างกายของตัวเองแต่ก็ไม่พบ   และขณะที่กำลังคิดหาที่มาของเลือดที่ติดอยู่บนฝ่ามือ    จู่ๆในหัวก็ปรากฏภาพเด็กหนุ่มคนที่เขาเพิ่งเจอเมื่อกี้ขึ้นมา

        “เด็กคนนั้นคงได้แผลตอนที่สะดุดล้มแน่ๆเลย” ภควัตพึมพำกับตัวเอง แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะทันที

       “ขอโทษทีนะ พี่คุยโทรศัพท์นานไปหน่อย” ภควัตบอกแฟนสาวสีหน้าแสดงออกว่ารู้สึกผิดจริงๆ

       “ไม่เป็นไรค่ะ”

       “งั้นพี่ว่าเรากลับกันเลยดีกว่านะ พอดีเลขาโทรมาบอกว่าพรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า”

        “ก็ได้ค่ะ” อรนิดายิ้มรับ ทั้งที่ในใจนึกเสียดายที่ต้องรีบกลับ เพราะนานๆทีพวกเขาทั้งคู่ถึงจะได้มีเวลาว่างมาเจอกันแบบนี้

 

 

        “ตาธีวันนี้จะค้างที่นี่รึเปล่า?” คุณหญิงพิศมัยเอ่ยถามหลานชาย หลังจากทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยแล้ว

        “คงไม่ล่ะครับ พอดีว่าพรุ่งนี้ผมมีประชุมแต่เช้า” ธีเดชตอบ พร้อมสวมกอดผู้เป็นย่าด้วยความรักใคร่

        “เฮ้อ...ย่าล่ะเบื่อจริงๆ ไม่มีใครอยู่บ้านกับย่าเลยสักคน ทั้งเรา ทั้งตาวัต  นี่ถ้าย่ายกตำแหน่งประธานบริษัทให้ คงไม่มีใครกลับมาเยี่ยมย่าแน่ๆเลย” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

        “โธ่...คุณย่าอย่าเพิ่งงอนสิครับ ที่ผมไปอยู่คอนโดก็เพราะบ้านเรากับบริษัทมันไกลกันมาก คุณย่าเคยบอกเองไม่ใช่เหรอครับ ว่าอยากให้ผมตั้งใจทำงานจะได้ดูแลบริษัทแทนคุณย่าได้เร็วๆ  ตอนนี้ผมก็กำลังทำอยู่นี่ไงครับ” ธีเดชรีบง้อทันที

        “จ้ะๆ  ย่าแค่ล้อเล่นเฉยๆ  ย่ารู้ว่าหลานน่ะตั้งใจทำงานมาก แต่ย่าขออะไรสักอย่างได้มั้ย”

        “อะไรครับคุณย่า”

        “เรื่องเลขาน่ะอย่าไล่ออกบ่อยนักได้มั้ย  หลานก็รู้ว่าคนทำงานดีๆน่ะมันหายาก”

               

        ตั้งแต่ธีเดชเข้ามารับตำแหน่งรองประธานบริษัท  มีเลขาถูกไล่ออกไปแล้วเกือบ 10 คน ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สามารถทำงานตามคำสั่งของเขาได้  และเรื่องนี้ทำให้คุณหญิงพิศมัยค่อนข้างเป็นกังวล เพราะกลัวว่านิสัยขี้โมโหของเขาจะทำให้เกิดปัญหาในการทำงานขึ้นในอนาคต

        “ในเมื่อทำงานไม่ได้เรื่องก็ต้องไล่ออก  จะเก็บไว้ให้เปลืองเงินเดือนทำไมล่ะครับ” ธีเดชตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย

        “ย่าว่าพวกเขาไม่ได้ทำงานแย่หรอกนะ แต่เป็นเพราะยังไม่เจองานที่เหมาะสมต่างหากล่ะ  เราน่ะเป็นเจ้านาย ต้องรู้จักใช้คนให้เหมาะกับงานสิ เข้าใจที่ย่าพูดรึเปล่า” คุณหญิงพิศมัยสอนหลานชาย พร้อมยกมือขึ้นลูบหัวเบาๆด้วยความเอ็นดู

        “เข้าใจครับ”  

        “ดีมาก ถ้าเข้าใจแล้วก็อย่าไล่ใครออกอีกล่ะ”

        “ก็ได้ครับ ผมจะพยายาม แต่ไม่รับปากนะครับว่าจะทำได้รึเปล่า” ธีเดชว่าอย่างไม่จริงจังนัก

        “เฮ้อ เรานี่นะ ดื้อเหมือนพ่อไม่มีผิดเลยจริงๆ” ผู้เป็นย่าว่าอย่างเหนื่อยใจ

        “งั้นผมกลับก่อนดีกว่า อยู่นานเดี๋ยวจะโดนคุณย่าดุอีก” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงทะเล้น

        “ก็ดีจ้ะ  เดี๋ยวดึกกว่านี้จะยิ่งอันตราย”

        “ก่อนไปขอหอมแก้มหน่อยนะครับ”  ธีเดชว่าพร้อมหอมแก้มย่าฟอดใหญ่

        “อื้ม~  ชื่นใจ”  สองย่าหลานกอดกันกลม ก่อนจะจูงมือกันเดินมาที่โรงรถ

        “ขับรถกลับดีๆนะจ๊ะ” 

        “ครับผม” ธีเดชโบกมือลา     หญิงชราโบกมือตอบแล้วยืนมองรถยนต์ของหลานรักแล่นออกไปจนลับสายตา

 

       เมื่อกลับมาถึงบ้านใบหม่อนก็รีบโทรไปรายงานตัวกับศศิทันที เพราะว่ากลัวพี่สาวจะเป็นห่วง  จากนั้นก็จัดการย้ายรูปจากกล้องมาไว้ในโน๊ตบุ๊ค

        “คนนี้คือนายอนุชา ประธานบริษัทโอแอนด์วายไม่ผิดแน่ แต่...เอ คนนี้เป็นใครกันนะ” ใบหม่อนครุ่นคิดถึงบุคคลในรูปที่เขาไม่รู้จัก พลางเปิดดูข่าวเกี่ยวกับบริษัทโอแอนด์วายไปด้วย

       “ลองถาม OttO ดูดีกว่า เผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม”

 

Chat Room #001

------------------------- Black Cat: LOG IN --------------------

Black Cat: ฮาโหลๆ OttO อยู่มั้ย?

OttO: ว่าไง หายไปนานเลยนะ นายเห็นข่าวบริษัทโอแอนด์วายแล้วใช่มั้ย? ฉันล่ะสะใจชะมัดเลย

Black Cat: ฉันก็อยากจะคุยเรื่องนี้กับนายอยู่เหมือนกัน

OttO: หือ? มีอะไรเหรอ?

Black Cat: คือวันนี้ฉันบังเอิญไปเจอนายอนุชามาน่ะ ดูเหมือนว่าเขาจะแอบนัดเจอกับตำรวจ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องคดีนี้แหละ  โชคดีที่ฉันถ่ายรูปไว้ได้ นายช่วยดูหน่อยได้มั้ยว่าตำรวจคนนี้เป็นใคร

OttO:ได้สิ ส่งรูปมาเลย

Black Cat: ถ้ารู้ว่าเขาเป็นใครก็เมล์มาบอกด้วยนะ

OttO: โอเค รับทราบ

Black Cat: ขอบใจมาก  ฝากด้วยนะ

--------------------- Black Cat: LOG OUT ---------------------

 

 

...หลายวันต่อมา…

        “ดนูเดี๋ยวพาฉันกลับบ้านเลยนะ ฉันรู้สึกเพลียๆ อยากจะนอนพักซักหน่อยน่ะ” คุณหญิงพิศมัยบอกลูกน้องคนสนิท หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว

        “ครับคุณท่าน” ดนูเอ่ยรับ พร้อมเปิดประตูรถให้เจ้านายขึ้นนั่ง

        หลังจากขับรถมาได้ไม่นานเท่าไหร่ จู่ๆรถก็เกิดอาการส่ายไปมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ดนูพยายามตั้งสติเพื่อบังคับรถให้อยู่ภายในเส้นทาง ก่อนจะค่อยๆประคองรถมาจอดที่ข้างถนนได้สำเร็จโดยไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ

        “ดนูรถเป็นอะไรน่ะ?” คุณหญิงพิศมัยถามขึ้น เมื่อเห็นว่าลูกน้องจอดรถบริเวณข้างทาง

        “ไม่ทราบเหมือนกันครับคุณท่าน เดี๋ยวผมจะรีบลงไปเช็คให้นะครับ” ดนูบอก แล้วรีบเปิดประตูลงไปจากรถ

               

        เมื่อตรวจสอบรถจนรู้สาเหตุแน่ชัดแล้ว ดนูจึงรีบกลับมารายงานเจ้านาย

        “คุณท่านครับ ล้อรถด้านหลังยางแบน 2 เส้นเลยครับ ”

        “แล้วเรามียางรถสำรองหรือเปล่าดนู?”

        “ท้ายรถมียางสำรองแค่เส้นเดียวเองครับ”

        “แล้วจะทำยังไงดีล่ะ?”

        “ผมว่าคงต้องโทรเรียกให้คนเอารถมาเปลี่ยนน่ะครับ คุณท่านไปนั่งรอที่ร้านกาแฟตรงนั้นก่อนดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมจะเดินไปส่ง” ดนูว่า พร้อมชี้ไปทางร้านกาแฟที่ห่างออกไปประมาณ 100 เมตร

        “เดี๋ยวฉันเดินไปเองก็ได้ ดนูอยู่เฝ้ารถตรงนี้เถอะ ถ้าจัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว ก็ไปตามฉันที่ร้านก็แล้วกัน” คุณหญิงพิศมัยบอก แล้วเดินไปยังร้านกาแฟดังกล่าว

 

        “วันนี้อากาศร้อนมากเลย  คุณหม่อนลองดูท้องฟ้าสิค่ะ ไม่มีเมฆเลยสักนิด” จันทราพูดขึ้น

        “อากาศร้อนก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้มีลูกค้าเข้าร้านเราเยอะๆไงครับ” ใบหม่อนว่าอย่างติดตลก

        “นั่นสิค่ะ   อุ๊ยตายแล้ว! คุณหม่อนคะ มีคนเป็นลมอยู่หน้าร้านค่ะ!” จันทราร้องตกใจ เพราะหันไปเห็นว่ามีคนมาเป็นลมที่หน้าร้าน

        “เรารีบไปดูกันเถอะครับ” ใบหม่อนว่า แล้วรีบวิ่งออกไปที่หน้าร้านทันที

                “คุณครับๆๆๆ” เด็กหนุ่มร้องเรียก  พร้อมเขย่าตัวคุณหญิงเบาๆ

 

        ทางด้านดนูก็รีบวิ่งมาหาเจ้านายของตนเองเช่นกัน เมื่อเห็นว่าอยู่ๆเจ้านายก็ทรุดลงไปนอนอยู่ที่พื้น

        “คุณท่านครับ คุณท่านๆ” ดนูพยายามเรียกเจ้านาย

        “คงจะเป็นลมน่ะครับ ผมว่าพาท่านเข้าไปในร้านก่อนดีกว่า” ใบหม่อนบอกดนู แล้วช่วยกันพยุงร่างคุณหญิงพิศมัยเข้าไปในร้าน

        “พี่จันทร์ช่วยไปหาผ้าเย็นกับยาดมมาให้หน่อยนะครับ” ใบหม่อนสั่งจันทรา แล้วเดินไปหยิบพัดที่หลังเคาเตอร์แคชเชียร์ออกมา เพื่อพัดคลายร้อนให้คุณหญิงพิศมัย

        “นี่ค่ะคุณหม่อน ผ้าเย็นกับยาดม” เด็กหนุ่มรับผ้าเย็นมา แล้วรีบเช็ดไปตามใบหน้าและต้นคอให้คุณหญิงทันทีโดยไม่มีท่าทีรังเกียจใดๆ ทั้งที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาเลยสักนิด  ดนูเห็นดังนั้นก็ได้แต่นั่งดูด้วยสายตาชื่นชมอยู่เงียบๆ

        Rrrrr…  Rrrrr…

       “ว่าไง มาถึงแล้วเหรอ?”  ลูกน้องที่จะเอารถมาเปลี่ยนมาถึงพอดี ดนูจึงฝากให้ใบหม่อนช่วยดูแลคุณหญิง เพื่อที่ตนจะได้ออกไปจัดการเรื่องรถให้เสร็จเรียบร้อย

 

        เวลาผ่านไปสักพัก คุณหญิงพิศมัยก็เริ่มกะพริบตาแล้วลืมตาฟื้นขึ้นมาอย่างงงๆ 

        “นี่ฉัน..เป็นอะไรไป?” คุณหญิงเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าตนมานอนอยู่ที่โซฟาในร้านกาแฟ

       “คุณท่านเป็นลมน่ะครับ  ผมกับคุณดนูเลยพาคุณท่านมานั่งพักในร้าน” ใบหม่อนตอบพร้อมช่วยพยุงคุณหญิงให้ลุกขึ้นนั่ง

        “แล้วนี่หนูเป็นคนช่วยฉันไว้เหรอจ๊ะ?”

        “ครับ คุณท่านเป็นยังไงบ้างครับ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความ

เป็นห่วง ทำให้หญิงชรารู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

        “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ ขอบใจมากนะจ๊ะ” 

        “งั้นคุณท่านดื่มน้ำหน่อยนะครับ” ใบหม่อนยกแก้วน้ำส่งให้คุณหญิง พร้อมยิ้มอ่อนโยนให้   คุณหญิงพิศมัยมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างชื่นชม พร้อมทั้งรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก

 

 

        หลังจากเปลี่ยนยางรถเรียบร้อยแล้ว ดนูก็รีบกลับมาที่ร้านกาแฟ เพราะรู้สึกเกรงใจที่ต้องให้

ใบหม่อนมาดูแลเจ้านายแทนตนเอง

        “คุณท่านฟื้นแล้วเหรอครับ?” ดนูเอ่ยถามเมื่อเห็นเจ้านายกำลังนั่งคุยกับใบหม่อนอย่างสนุกสนานราวกับว่ารู้จักกันมานาน

        “อ้าว ดนูเปลี่ยนยางรถเสร็จแล้วเหรอ?”

        “ครับคุณท่าน ว่าแต่..คุณท่านไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ยครับ?” ดนูถามด้วยความห่วงใย

        “ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ  ขอบใจหนูหม่อนอีกครั้งนะจ๊ะ ที่คอยดูแลย่าตอนที่เป็นลม” คุณหญิงพิศมัยบอก แล้วหันไปลูบหัวใบหม่อนอย่างรักใคร่ ดนูมองเจ้านายตัวเองอย่างงงๆ เพราะไม่คิดว่าคุณหญิงจะสนิทกับใบหม่อนได้เร็วขนาดนี้

        “เอ่อ จริงสิ ที่บ้านย่าน่ะมีหนังสือที่หนูหม่อนชอบเยอะแยะเลยนะ”

        “จริงเหรอครับ งั้นเอาไว้หม่อนขอยืมไปอ่านบ้างได้มั้ยครับ?”

        “ลองไปดูบ้านย่ามั้ยล่ะ ไปวันนี้เลยก็ได้” คุณหญิงเอ่ยชวนใบหม่อนทั้งที่เพิ่งจะรู้จักกันแท้ๆ

        “จะดีเหรอครับคุณย่า”  เด็กหนุ่มลังเล

        “ทำไมล่ะจ๊ะ หรือว่าเบื่อที่จะคุยกับคนแก่อย่างย่าแล้ว” หญิงชราแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ

        “ไม่ใช่นะครับคุณย่า คือว่า...”  เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธทันที

        “คุณหม่อนคงไม่ว่างน่ะครับคุณท่าน เอาไว้วันหลังค่อยชวนใหม่ก็แล้วกันนะครับ” ดนูช่วยพูดด้วยอีกคน

        “ก็ได้จ้ะ ย่ากลับไปทานข้าวที่บ้านคนเดียวก็ได้  ย่าอยู่คนเดียวจนชินแล้วล่ะ” คุณหญิงควักไม้ตายสุดท้ายออกมาใช้ หวังจะให้เด็กหนุ่มใจอ่อน

        “คุณย่าอย่าพูดยังงั้นสิครับ หม่อนรู้สึกไม่ดีเลย...  ” ใบหม่อนว่า พร้อมกุมมือของคุณหญิงเอาไว้อย่างรู้สึกผิด

        “ตกลงครับ วันนี้หม่อนไปบ้านคุณย่าก็ได้” สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ให้กับความดื้อรั้นของหญิงชรา

        “แน่นะ อย่ามาหลอกให้คนแก่ดีใจเล่นนะ” คุณหญิงพิศมัยถามย้ำด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนเด็กที่ได้ของเล่นถูกใจ

      “ครับคุณย่า”  ใบหม่อนยิ้มขำให้กับความน่ารักของหญิงชรา

 

        บ้านรัตนเรืองวิโรจน์ตั้งตระหง่านอยู่บนที่ดินเนื้อที่กว่า 2 ไร่ในแถบชานเมือง ตัวบ้านเป็นอาคารสีขาวสไตล์ยุโรป 2 ชั้นบ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีสระบัวขนาดใหญ่อยู่หน้าบ้าน  ในบริเวณบ้านมีการปลูกต้นไม้และดอกไม้เอาไว้มากมาย ทำให้อากาศภายในรั้วบ้านเย็นสบายเป็นอย่างมาก

        เมื่อได้เห็นบ้านของคุณหญิงพิศมัย ใบหม่อนก็ถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ เพราะว่ามันใหญ่โตหรูหราจนน่าจะใช้คำว่าคฤหาสน์มากกว่าคำว่าบ้านซะอีก   ถึงแม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าหญิงชราที่เพิ่งรู้จักกันจะร่ำรวยได้ถึงเพียงนี้ และทันทีที่รถแล่นเข้ามาในเขตรั้วบ้านรัตนเรืองวิโรจน์ ใบหม่อนก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ  

        “หนูหม่อนอ่านหนังสือรอย่าไปก่อนนะจ๊ะ  เดี๋ยวย่าขอเข้าไปดูขนมในครัวแป๊บนึง” หลังจากพาเดินทัวร์รอบบ้านเสร็จแล้ว คุณหญิงพิศมัยก็ชวนใบหม่อนมานั่งเล่นที่ห้องหนังสือ

        “ครับคุณย่า” เด็กหนุ่มขานรับ ขณะสำรวจดูหนังสือที่ถูกวางเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่บนชั้น จากนั้นก็เดินมานั่งที่โซฟาตรงระเบียง พร้อมกับหยิบหนังสือมาอ่านด้วยเล่มนึง

        “หนูหม่อนขนมมาแล้วจ้า  อ้าว...หลับไปซะแล้ว” เมื่อคุณหญิงกลับเข้ามาในห้องหนังสืออีกครั้ง ก็พบว่าใบหม่อนนั่งหลับอยู่ที่โซฟาซะแล้ว  เธอจึงเอาผ้าห่มมาคลุมตัวพร้อมกับจัดท่าให้เด็กหนุ่มได้นอนอย่างสบายมากขึ้น

        “อื้อ..” ใบหม่อนส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะดึงผ้าห่มมาคลุมหัวจนแทบมองไม่เห็นใบหน้า จากนั้นก็นอนตะแคงหันหน้าเขาพนักพิงแล้วหลับต่อ  คุณหญิงพิศมัยนั่งมองเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู พร้อมกับลูบหัวไปด้วยเบาๆ

               

 

        “สวัสดีครับป้าเนียน” ธีเดชเอ่ยทักแม่นมของตน พร้อมกับสวมกอดเอาไว้แน่น

        “อ้าวคุณหนู จะมาทำไมไม่บอกก่อนล่ะค่ะ ป้าเนียนจะได้เตรียมของชอบเอาไว้ให้ทาน” ป้าเนียนถาม แล้วกอดตอบชายหนุ่มเช่นกัน

        “พอดีว่าอยู่ๆก็คิดถึงป้าเนียนขึ้นมาน่ะสิครับ ผมก็เลยรีบกลับบ้านมาหาป้าเนียน” ชายหนุ่มพูดน้ำเสียงทะเล้น แล้วหอมแก้มแม่นมฟอดใหญ่

        “แล้วคุณหนูจะนอนค้างที่นี่รึเปล่าคะ?”

        “วันนี้ผมจะนอนที่นี่ครับ  ว่าแต่...คุณย่าอยู่ไหนเหรอครับ?”

        “คุณท่านน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือนะคะ”

        “งั้นผมไปหาคุณย่าก่อนนะครับ” ชายหนุ่มบอกแม่นม ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง  แล้วตรงไปยังห้องหนังสือทันที

 

        “คุณย่าครับ คุณย่า” เมื่อมาถึงห้องหนังสือ ธีเดชก็เรียกหาผู้เป็นย่าทันที แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับมา

        “ไปไหนของเขานะ” เขาพูดกับตัวเอง ขณะเดินเข้าไปในห้องหนังสือ จนมาหยุดอยู่ที่โซฟาตรงระเบียง

        “อ้าว มาหลับอยู่ตรงนี้นี่เอง  คุณย่าครับ คุณย่า” ชายหนุ่มร้องเรียกพร้อมสะกิดตัวคนที่นอนอยู่บนโซฟาเบาๆ

        “เรียกขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมตื่นอีก  งั้นต้องแกล้งซะหน่อยแล้ว”  ว่าแล้วชายหนุ่มก็คุกเข่าลงข้างๆโซฟา แล้วช้อนตัวคนที่กำลังหลับสนิทขึ้นมากอดรัดอย่างแรง

        “คุณย่าตื่นซะทีสิครับ” เขาว่าพร้อมกอดแรงขึ้นกว่าเดิม

        “อื้อ..” เสียงอู้อี้จากคนในอ้อมกอดดังขึ้นมาเบาๆ

        “ถ้ายังไม่ตื่น จะหอมแก้มแล้วนะครับ” ธีเดชยังคงแกล้งต่อ

        “งั้นหอมล่ะนะ” เมื่อเห็นว่าไม่มีเสียงตอบรับ ชายหนุ่มจึงจัดการกดริมฝีปากลงบนแก้มเนียนที่โผล่พ้นออกมาจากผ้าห่มทันที 

        ฟอด~

        ตายแล้ว! ตาธีทำอะไรน้องน่ะ”  คุณหญิงพิศมัยร้องตกใจ เมื่อเดินเข้ามาเห็นเหตุการณ์พอดี

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา