รักเหลือล้น [Yaoi , Boy's love]

-

เขียนโดย CryStaLSand

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 15.42 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,276 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 15.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) รักเหลือล้น 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 2

        “ฮึ่ย...คนบ้าอะไรวะ โวยวายกะอีแค่เสียงคลิกเมาส์” ใบหม่อนเดินหนีขึ้นมานั่งที่ชั้น 2 ของร้าน หลังจากทะเลาะกับคนบ้าคนหนึ่งที่บอกว่ารำคาญเสียงคลิกเมาส์ของเขา

        (สงสัยจะขาดความอบอุ่นถึงได้ขี้โวยวายยังงี้) เขานึกโมโหอยู่ในใจ              

 

        คุณมีข้อความใหม่ 1 ข้อความ  คุณมีข้อความใหม่ 1 ข้อความ      เสียงเตือนข้อความดังขึ้นมาพอดี

        “ไหนดูสิ เงินเข้าบัญชีหรือยังเนี่ย” ใบหม่อนเลิกสนใจเรื่องของธีเดช  แล้วหันมาจ้องหน้าจอมือถือแทน

        “หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน  ครบ 5 แสนถ้วน!” มือเรียวขาวจิ้มเลขศูนย์ที่ปรากฏบนหน้าจอ พร้อมออกเสียงนับไปด้วย ราวกับเด็กน้อยที่เริ่มเรียนนับเลข

        “โอเค งั้นส่งข้อมูลไปเลยล่ะกัน” เมื่อลูกค้าทำตามข้อตกลงเรียบร้อยแล้ว เขาจึงส่งอีเมล์ไฟล์ข้อมูลไปให้ทันที

 

        อันที่จริง ใบหม่อนเองก็ไม่ได้อยากทำงานแบบนี้สักเท่าไหร่  แต่เงินที่ได้จากร้านกาแฟก็ยังไม่พอสำหรับค่ารักษาของนายอเนกอยู่ดี  เขารู้ว่าการไปขุดคุ้ยหาข้อมูลหรือข่าวมาขายมันไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่ค่าตอบแทนที่ได้กลับมามันคุ้มค่ามากก็เลยยังถอนตัวในตอนนี้ไม่ได้

        แต่อย่างน้อยใบหม่อนก็ยังมีจรรยาบรรณอยู่บ้าง เพราะเขาจะขายแต่ข้อมูลที่เป็นความจริงเท่านั้น

        “พี่จันทร์ครับ บ่ายนี้หม่อนจะไปโรงพยาบาล ฝากดูร้านด้วยนะครับ” ใบหม่อนบอกจันทรา ขณะเดินลงมาที่เคาร์เตอร์แคชเชียร์ชั้นล่าง

        “ได้ค่ะคุณหม่อน   ฝากบอกคุณลุงด้วยนะคะว่าพี่จันทร์คิดถึง”

        “ครับ งั้นหม่อนไปนะครับ” ใบหม่อนเดินออกร้านไป ด้วยจิตใจเบิกบานเพราะอยากจะรีบไปหาคนป่วยเร็วๆ

 

ณ โรงพยาบาล

        ภายในห้องสีเหลี่ยมสีขาว ที่มีเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ปรากฏร่างชายหนุ่มนั่งอยู่เคียงข้างชายชราที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงคนไข้

        “วันนี้คุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? ขอโทษนะครับที่หม่อนไม่ค่อยได้มาหาคุณลุงเลย ช่วงนี้ที่ร้านคนเยอะมาก  ทำงานกันจนหัวหมุนเลยล่ะครับ” ใบหม่อนพูดเจื้อยแจ้วไปเรื่อย พลางบีบนวดไปตามแขนขาไร้เรี่ยวแรงของคนป่วยที่นอนอยู่บนเตียง

        “อ่อ แล้วพี่จันทร์ก็ฝากความคิดถึงมาให้คุณลุงด้วยนะครับ” นายอเนกส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ใบหม่อน

        นายอเนกป่วยอยู่โรงพยาบาลมาปีกว่าแล้ว เพราะเส้นเลือดในสมองแตกจึงทำให้เขาเป็นอัมพาตซีกขวา แต่เนื่องจากนายอเนกมีอายุมาก  จึงทำให้เขาฟื้นตัวได้ช้ากว่าคนทั่วไป ถึงอย่างนั้นใบหม่อนก็ยังมีความหวังว่าสักวันนายอเนกจะหายดีและกลับมาเดินได้เป็นปกติอีกครั้ง

        ในตอนที่เขาออกมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ขณะนั้นใบหม่อนมีอายุเพียง 14 ปี เขารู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก ได้แต่ยืนมองโลกใบนี้ที่เต็มไปด้วยความมืดมนเพียงลำพัง แต่เพราะมีนายอเนกคอยช่วยชี้นำทางและดูแลเขาเสมือนญาติแท้ๆ ทำให้เขาเติบโตและเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้ได้ บุญคุณของนายอเนกที่มีต่อเขานั้นมากมายซะจนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรได้หมด

        “คุณลุงครับ ตอนนี้ผมเก็บเงินได้เยอะแยะเลย  อีกไม่นานคุณลุงก็จะหายดีแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมบีบมือคนบนเตียงเบาๆเหมือนเป็นการให้กำลังใจ หยดน้ำใสๆเริ่มไหลรินออกมาจากดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นนั้น

        “ลุง...ขอโทษนะ...ที่ทำให้...ลำบาก” ชายชราพยายามพูดออกมา แม้จะพูดได้ไม่ค่อยชัดนัก

        “อย่าพูดยังงั้นสิครับ แค่นี้ผมไม่ลำบากหรอกครับ ต่อให้มากกว่านี้ผมก็ทำได้ ขอแค่ให้คุณลุงหายดีก็พอ” ใบหม่อนกล่าวเสียงสั่นเครือและพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา  ตอนนี้ใบหม่อนไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว เขามีเพียงนายอเนกคนเดียวที่ถือเป็นเสมือนญาติแท้ๆ เขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนที่เขารักอยู่กับเขาให้นานที่สุด เพราะเขารู้ดีว่าการสูญเสียและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวมันทรมานมากแค่ไหน

 

        “พี่ศศิครับ อาการของคุณลุงเป็นยังไงบ้างครับ?” ใบหม่อนเอ่ยถามศศิ คุณหมอที่ดูแลอาการของนายอเนก และยังเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของเขาด้วย

        “ดีขึ้นมากเลยจ๊ะ อาทิตย์หน้าก็คงเริ่มทำกายภาพบำบัดได้แล้วล่ะ”  ศศิตอบพร้อมยิ้มให้กำลังใจ

        ในช่วงแรกที่นายอเนกล้มป่วย ใบหม่อนทำอะไรไม่ถูกเลย โชคดีที่ศศิเป็นหมอเจ้าของไข้  เธอจึงคอยแนะนำและให้กำลังใจเขาเสมอมา และด้วยความช่างพูดช่างคุยของศศิ ทำให้ทั้งคู่สนิทกันมากเหมือนเป็นพี่น้องกันเลยทีเดียว

        “แล้วช่วงนี้เป็นยังไงบ้างล่ะ หม่อนดูผอมลงนะ” ศศิถามต่อด้วยความห่วงใย

        “ช่วงนี้ที่ร้านกำลังยุ่งๆ หม่อนเลยไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนน่ะครับ”

        “ยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลาพักผ่อนบ้างนะ อย่ามัวแต่ห่วงคนอื่นจนลืมดูแลตัวเองสิ” ศศิดุน้องชายอย่างไม่จริงจังเท่าไหร่นัก

        “ครับๆ เข้าใจแล้ว” ใบหม่อนพูดเสียงทะเล้น

        “งั้นต้องลงโทษ วันนี้หม่อนไปทานข้าวเย็นกับพี่นะ นะๆๆๆ” ศศิออดอ้อนน้องชาย จนใบหม่อนยิ้มขำออกมา

        “ก็ได้ครับ”

        “งั้นเดี๋ยวหม่อนไปนั่งรอพี่ข้างนอกแป๊ปนึงนะ อีกครึ่งชั่วโมงพี่ก็ออกเวรแล้วล่ะ”

        “โอเคครับ”  ชายหนุ่มตอบรับ แล้วเดินออกมาตามทางเดิน จนมาถึงห้องโถงของโรงพยาบาล ซึ่งมีโทรทัศน์ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่  เขาหยุดยืนดูข่าวที่กำลังถูกนำเสนอในโทรทัศน์ช่องหนึ่ง

        “ขณะนี้ นายอนุชา ประธานบริษัทโอแอนด์วาย ที่กำลังถูกตั้งข้อกล่าวหาเรื่องติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐ ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว และยังคงเก็บตัวเงียบอยู่ภายในบ้านพัก ทั้งยังมีข่าวลือว่าภรรยาของนายอนุชาได้ล้มป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลหลังจากรู้ว่าสามีถูกตั้งข้อกล่าวหา แต่ยังไม่การยืนยันว่าข่าวลือนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ในส่วนของรายละเอียดของข่าวนี้ เราจะนำเสนออีกครั้งในช่วงข่าวต้นชั่วโมงเวลา 18.00 น. ค่ะ”

        “เฮ้อ...นี่เราควรจะรู้สึกผิดหรือเปล่าเนี่ย” ใบหม่อนยืนฟังข่าวด้วยจิตใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก เขาแค่เอาข้อเท็จจริงไปขายเท่านั้น มันผิดหรือเปล่านะกับสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกัน

               

        บรรยากาศยามค่ำคืนของร้านอาหารชื่อดังกลางใจเมือง คลาคล่ำไปด้วยผู้คนทั้งหญิงและชาย ที่ต่างพากันมาลิ้มรสอาหารของร้านอาหารหรูแห่งนี้ และในมุมหนึ่งของร้านก็ได้ปรากฏร่างหนุ่มนักธุรกิจมาดเนี๊ยบนั่งอยู่เพียงลำพัง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเรียกความสนใจจากบรรดาลูกค้าผู้หญิงในร้านได้เป็นอย่างดี  เขานั่งไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์พลางจิบไวน์แดง เพื่อรอให้ถึงเวลาที่เขานัดกับใครบางคนเอาไว้

        “คุณภควัตครับ คุณอรนิดามาแล้วครับ” บริกรทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม สมกับที่เป็นร้านอาหารชื่อดัง

        “อืม ขอบใจมาก”

        “เชิญครับ คุณผู้หญิง” บริกรหันไปเชิญแขกผู้มาใหม่ พร้อมขยับเก้าอี้ให้เธอนั่งอย่างรู้หน้าที่

        “พี่วัตคะ แค่มาดินเนอร์กัน ไม่เห็นต้องมีพิธีรีตองแบบนี้เลยนี่คะ” หญิงสาวเอ่ยพร้อมยิ้มหวานให้ภควัต

        “นานๆที ทำแบบนี้ซักครั้งก็ดีเหมือนกันไม่ใช่เหรอ อรจะได้ด้วยไม่เบื่อไง” ภควัตพูดพร้อมเอื้อมมือไปกุมมือหญิงสาวตรงหน้าไว้

        “ดูพูดเข้าสิ อรไม่มีทางเบื่อพี่วัตง่ายๆหรอกค่ะ” ลูกค้าคนอื่นๆ ต่างพากันอิจฉาเมื่อเห็นภาพของคู่รักคู่นี้ ผู้ชายก็หน้าตาดี ส่วนฝ่ายหญิงก็งดงามอย่างกับนางฟ้า พวกเขาช่างดูเหมาะสมกันราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดเลยทีเดียว

 

        ภควัต รัตนเรืองวิโรจน์ ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนและแฝงไปด้วยความอบอุ่น รอยยิ้มของเขาถือเป็นสเน่ห์ที่ดึงดูดให้สาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันชื่นชอบในตัวเขา ซึ่งต่างจากธีเดชญาติผู้น้องของเขา ที่มักจะมีสีหน้ามึนตึงและค่อนข้างเจ้าอารมณ์

        ถึงกระนั้น ทั้งสองหนุ่มก็ยังคงเป็นที่หมายปองของสาวๆหลายต่อหลายคน เพราะหากว่าใครได้เป็นสะใภ้ของตระกูลรัตนเรืองวิโรจน์แล้วล่ะก็ คงจะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบายไปทั้งชาติเลยทีเดียว

        แต่สาวๆครึ่งค่อนประเทศก็ต้องอกหักไปตามๆกัน เพราะในตอนนี้ภควัตกำลังคบหาดูใจอยู่กับอรนิดา  นิรมานนท์ สาวไฮโซผู้เพียบพร้อมไปด้วยรูปโฉมที่งดงามและความฉลาดเฉลียวไม่เป็นรองใคร แถมยังมาจากตระกูลผู้ดีเก่าอีกด้วย ถือเป็นคู่รักที่สมบรูณ์แบบมาก

                 

        ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งของร้าน ก็ได้ปรากฏร่างคู่ชายหญิงอีกคู่หนึ่ง

        “พี่ศศิครับ” ใบหม่อนมองไปรอบๆร้านด้วยความไม่แน่ใจ เพราะบรรยากาศและการประดับประดาภายในร้านนั้นช่างหรูหรา และไม่เหมาะกับคนธรรมดาเช่นเขาเลยสักนิด

        “ว่าไงจ๊ะ?” ศศิย้อนถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ

        “พี่ศศิพามาผิดร้านหรือเปล่าครับ? จะให้หม่อนทานข้าวร้านนี้จริงๆเหรอ?”

        “ทำไมล่ะจ๊ะ? ร้านนี้มันเป็นยังไง? หรือว่าหม่อนไม่ชอบ”

        “เปล่าครับ หม่อนแค่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับหม่อนเท่านั้นเอง” ดูจากบรรดาลูกค้าที่เข้ามารับประทานอาหารในร้านนี้ ทุกคนล้วนแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าราคาแพงและดูหรูหราอย่างยิ่ง แม้ศศิจะสวมสูทพอดีตัวทับชุดเดรสด้านใน แต่ก็ยังดูดีกว่าเขาที่ใส่แค่เสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์

        “ไม่เหมาะตรงไหนกัน หม่อนเองก็ออกจะดูดีซะขนาดนี้” ศศิเอ่ยชมซึ่งๆหน้า ส่งผลให้แก้มเนียนของเด็กหนุ่มระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

        “พี่ศศิน่าจะบอกหม่อนก่อนว่าจะพามาร้านหรูแบบนี้ หม่อนจะได้แต่งตัวให้หล่อๆหน่อย” ใบหม่อนว่าติดอย่างตลก

        “แค่นี้ก็หล่อจนสาวหลงแล้วล่ะจ๊ะ พอดีว่าพี่รู้จักกับเจ้าของร้านน่ะก็เลยพาหม่อนมาทานที่นี่” ศศิเอ่ยแซว แล้วทั้ง 2 ก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน

 

        “พี่วัตค่ะ เดี๋ยวเราไปที่ไหนกันต่อดีคะ?” อรนิดาเอ่ยถามแฟนหนุ่มหลังจากทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว

        “แล้วอรอยากไปที่ไหนล่ะ?” ภควัตพูดพร้อมกุมมือทั้งสองข้างของหญิงสาวเอาไว้

        “ที่ไหนก็ได้ค่ะ ขอแค่มีพี่วัตอยู่ด้วยก็พอ” อรนิดาพูดเสียงหวาน สายตาที่ส่งให้ชายหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก

        “พูดแบบนี้ อยากจะอ้อนเอาอะไรอีกล่ะ หืม?” ภควัตยิ้มให้หญิงสาวด้วยความเอ็นดู

        “อรพูดจริงๆนะคะ ไม่ได้จะอ้อนเอาอะไรซะหน่อย” อรนิดาว่าอย่างงอนๆ

        “งั้น...”

        Rrrrr…   Rrrrr…

        “อ๊ะ! รอเดี๋ยวนะ”ภควัตกำลังจะพูดต่อ แต่เสียงมือถือดังขึ้นมาขัดจังหวะซะก่อน เขาจึงเดินออกไปคุยโทรศัพท์หลังร้าน

 

        “หม่อนอิ่มแล้วเหรอ?” ศศิถามเมื่อเห็นรุ่นน้องรวบช้อนส้อม แล้วจิบน้ำ

        “ทานไปเยอะขนาดนี้ ไม่ให้อิ่มได้ยังไงล่ะครับ” ใบหม่อนตอบพร้อมตบพุงโชว์เหมือนกับเด็กๆ

 

        Rrrrr…   Rrrrr…

        “เอ่อ เดี๋ยวพี่ขอตัวไปคุยโทรศัพท์แป๊ปนึงนะ” ศศิบอกแล้วเดินออกไปจากโต๊ะ

        ใบหม่อนนั่งเหม่อมองแสงไฟระยิบระยับที่ประดับตกแต่งไว้ภายในสวนของร้าน แสงกระพริบเหล่านี้ดูสวยงามราวกับแสงของดวงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนเลยทีเดียว

        “ว้าว บรรยากาศร้านนี้โรแมนติกไม่เบาเลยนะเนี่ย”

 

        ในตอนนั้นเองที่ใบหม่อนเหลือบไปเห็นชายสองคนเดินผ่านสวนของร้านไปยังมุมมืดลับตาคน

        “เอ๊ะ...นั่นมัน...คุณอนุชาไม่ใช่เหรอ?” แม้แสงไฟภายในสวนจะไม่สว่างมากนัก แต่ใบหม่อนก็จำได้ว่าชายหนึ่งในนั้นคือประธานบริษัทโอแอนด์วาย  เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจแอบเดินตามชายทั้งสองไป                 และขณะที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปตามทางที่ชายทั้งสองคนนั้นเดินไป ใบหม่อนก็ชนกับใครคนนึงเข้าอย่างจัง

 

        ปึก!

        “โอ๊ย! เอ่อ ขอโทษครับ ขอโทษ...” ใบหม่อนรีบขอโทษขอโพย แต่สายตายังจับจ้องไปที่ชายทั้งสองคนนั้นอยู่เช่นเดิม

        “ผมก็ต้องขอโทษคุณเหมือนกัน  นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างสุภาพ แต่เขาก็ต้องแปลกใจเมื่อคนที่ชนเขาไม่ได้หันมามองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย

        “ผมไม่เป็นไร ขอโทษจริงๆครับ ขอตัวก่อนนะครับ” ใบหม่อนพูดเร็วแทบไม่หยุดหายใจ ก่อนจะรีบวิ่งไปตามทางเดินในสวนอย่างรวดเร็ว

 

        ใบหม่อนแอบเดินตามชายทั้งสองไปเงียบๆ จนถึงจุดที่ทั้งคู่หยุดยืนคุยกัน เขานั่งยองๆหลบอยู่หลังถังขยะใบใหญ่ และพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาของทั้งคู่

        “ถือว่าช่วยเหลือกันเถอะนะ ท่านสารวัตรอดิศร” อนุชาเอ่ยเสียงเบา

        “คุณทำแบบนี้เป็นประจำเลยสินะ แต่ผมมันเป็นพวกคนมือสะอาดซะด้วยสิ” สารวัตรอดิศรเอ่ยสีหน้าเรียบ

        “โธ่... อย่าพูดแบบนั้นสิครับ บริษัทของเราก็ไม่เคยทำผิดอะไรมาก่อนเหมือนกันแหละครับ” อนุชาแก้ตัว

        “ไม่เคยทำผิด หรือไม่เคยโดนจับได้กันแน่ หึ หึ คุณพูดมาตรงๆเลยดีกว่า ว่าคุณน่ะต้องการให้ผมช่วยปิดคดีนี้ให้” สารวัตรอดิศรกล่าวสีหน้าจริงจังกว่าเดิม

        “คุณต้องการเท่าไรเพื่อปิดคดีนี้?” อนุชาถามกลับสีหน้าเอาเรื่องไม่แพ้กัน

        “ขอสักสามสิบก็แล้วกัน” สารวัตรอดิศรยิ้มมุมปากขณะพูด

        อนุชาหน้าซีดกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงปั้นยิ้มตอบกลับไป “ตั้งสามสิบ? สำหรับความผิดครั้งแรกเนี่ย มันไม่มากไปหน่อยเหรอครับท่านสารวัตร?”

        “หึ ผมไม่ชอบคนเรื่องมากซะด้วยสิ ตัดสินใจดีๆก็แล้วกันนะคุณอนุชา”

        อนุชาลังเลก่อนจะบอก “เออ...งั้นผมขอเวลาหน่อยก็แล้วกัน”

        “เชิญตามสบาย แต่คุณก็น่าจะรู้นะ ว่ายิ่งปล่อยไว้นาน สถานการณ์ของบริษัทคุณก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก” 

        “คะ...ครับ ” ใบหน้ากลมของอนุชาเปียกชุ่มไปด้วยหงาดเหงื่อราวกับโดนน้ำสาดเลยทีเดียว

 

        (ให้ตายเถอะ กล้องถ่ายรูปอยู่ไหนวะเนี่ย) ใบหม่อนพึมพำกับตัวเองในขณะที่กำลังล้วงหากล้องถ่ายรูปในกระเป๋าสะพาย

        (อ๊ะ! เจอแล้ว) เมื่อหากล้องถ่ายรูปเจอแล้ว เขาก็หยิบมันออกมาเพื่อถ่ายภาพชายทั้งสองไว้เป็นหลักฐานทันที

 

        แชะ!     

        แสงแฟรชสว่างวาบขึ้นมาไม่กี่วินาทีก่อนจะดับหายไป

        “ใครน่ะ?!” สารวัตรอดิศรร้องทักขึ้นทันทีที่เห็นแสงแฟรช

 

        (ซวยแล้วไงไอ้หม่อน โง่จริงๆ ดันลืมปิดแฟรชซะได้ ทำไงดีล่ะทีนี่) ใบหม่อนเลิกลั่กทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบย่องออกมาจากบริเวณนั้น และในตอนที่กำลังเดินย่องออกมานั้น เขาก็เผลอไปสะดุดก้อนหินจนล้มคะมำลงไปกับพื้น

        “โอ๊ย!” ใบหม่อนร้องออกมาเบาๆ

        “ใครอยู่ตรงนั้นออกมานะ!” สารวัตรอดิศรสั่งเสียงเข้มพร้อมเดินเข้าใกล้ใบหม่อนขึ้นทุกที

        ใบหม่อนรีบลุกขึ้นยืน แต่กลับโดนใครบางคนกระชากตัวเข้าไปในซอกตึกอย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวอีกทีเขาก็ตกอยู่ในอ้อมกอดของใครคนนั้นเข้าซะแล้ว

        “อยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งขยับ!” ชายคนนั้นกระซิบบอกที่ข้างหู  ใบหม่อนยืนตัวเกร็งจนแทบลืมหายใจ หัวใจเต้นโครมครามด้วยความตื่นเต้นและกลัว

 

        ภควัตหันมองตามชายหนุ่มร่างเล็กที่เพิ่งวิ่งออกไปเมื่อสักครู่ ชายคนนั้นไม่มองหน้าเขาด้วยซ้ำตอนที่พูดกันเมื่อกี้ นั่นยิ่งทำให้ภควัตรู้สึกสนใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

        “ทำอะไรของเขาน่ะ พิลึกคนจริงๆ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ภควัตกลับยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางจริงจังของหนุ่มร่างเล็กคนนั้น มันช่างดูน่าสนุกเหมือนว่ากำลังเล่นซ่อนหาอยู่กับใครบางคน แต่แล้วเขากลับมีสีหน้าขึงขังขึ้นมา เมื่อมองไปยังจุดหมายปลายทางของหนุ่มน้อยคนนั้น

        ภควัตรู้ทันทีว่าใบหม่อนกำลังทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอยู่ เขาจึงตัดสินใจแอบเดินตามไปด้วย  แล้วหลบอยู่ที่ซอกตึกไม่ไกลจากถังขยะที่ใบหม่อนซ่อนตัวอยู่ และเห็นผู้ชายอีกสองคนกำลังยืนคุยกันถัดออกไปไม่ไกลจากถังขยะมากนัก ภควัตคิดว่าใบหม่อนน่าจะเป็นนักข่าวหรือพวกปาปารัซซี่แน่ๆ

 

        แต่จู่ๆกลับมีแสงแฟรชสว่างวาบขึ้นมากะทันหันจนเขาเองยังตกใจไปด้วย จึงขยับตัวเข้าไปหลบในซอกตึกลึกว่าเดิม

        “ใครน่ะ?” ร่างเล็กๆค่อยๆถอยออกมาจากถังขยะ แต่ระหว่างนั้นกลับสะดุดล้มลงไปกับพื้นซะก่อน พร้อมกับเสียงตะโกนดังมาจากชายหนึ่งในสองคนนั้น โชคยังดีที่ใบหม่อนล้มลงใกล้ๆบริเวณที่เขาซ่อนตัวอยู่

        “ใครอยู่ตรงนั้นออกมานะ!”

        ภควัตเหลือบมองผู้ชายที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ใบหม่อนมากขึ้นเรื่อยๆด้วยใจลุ้นระทึก เขารีบคว้าข้อมือของใบหม่อนไว้ในขณะที่กำลังลุกขึ้นยืน แล้วดึงตัวให้เข้ามาซ่อนในซอกตึกด้วยกัน

        “อยู่นิ่งๆ อย่าเพิ่งขยับ!” เขากระซิบบอกที่ข้างหู ในขณะที่มือของเขาก็โอบรัดรอบเอวเล็กนั้นไว้โดยอัติโนมัติ

 

        ใบหม่อนยืนนิ่งจนลืมหายใจ เขาหลับตาแน่นพลางอธิษฐานสวดมนต์อยู่ในใจอย่างบ้าคลั่ง ช่วงเวลาไม่กี่นาทีแต่ในความคิดของเขากลับรู้สึกว่ามันนานเป็นปีเลยทีเดียว

        “นี่คุณ...ก้มหน้าลงหน่อย” ภควัตกระซิบบอกใบหม่อน เมื่อเห็นสารวัตรอดิศรกำลังจะเดินมาถึงตรงซอกตึกที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ พร้อมใช้มือสอดเข้าไปที่ท้ายทอยแล้วกดศีรษะของใบหม่อนให้ต่ำลง หน้าของใบหม่อนจึงแนบไปกับแผงอกของภควัตไปโดยปริยาย

        ท่ามกลางความมืดสลัว ไม่มีใครรู้เลยว่าใบหน้าของใบหม่อนนั้นแดงกร่ำมากเพียงใด เสียงจังหวะหัวใจเต้นตึกตักของชายหนุ่มตรงหน้ายังคงดังก้องอยู่ในหู อีกทั้งลมหายใจของเขาที่รดลงมาเฉียดข้างแก้มเบาๆ ทำเอาคนที่กำลังโดนกอดรู้สึกปั่นป่วนจนแทบบ้าเลยทีเดียว นี่ยังไม่รวมกลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาเข้ามาเตะจมูกอีก ตอนนี้หัวใจของใบหม่อนมันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว

 

        (ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยวะเนี่ย จะบ้าตายอยู่แล้ว!) ใบหม่อนนึกบ่นอยู่ในใจ พร้อมกับภาวนาให้เรื่องทุกอย่างจบลงเร็วๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา