รักเหลือล้น [Yaoi , Boy's love]

-

เขียนโดย CryStaLSand

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 15.42 น.

  4 ตอน
  1 วิจารณ์
  7,144 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 15.50 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) รักเหลือล้น 1

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ตอนที่ 1
Chat Room #101
------------------------------------------------------------------------
Black Cat: ว่าไง สนใจข้อมูลของบริษัท X หรือป่าว คุณ OttO?
OttO: ได้ข้อมูลมาจริงๆเหรอ? เร็วมากเลยนะนายเนี่ย
Black Cat: Black Cat ซะอย่าง
OttO: แล้วจะขายเท่าไหร่ล่ะ?
Black Cat: จริงๆแล้วกว่าฉันจะได้ข้อมูลอันนี้มาก็แทบแย่เหมือนกันนะ คงต้องคิดราคาสูงกว่าเดิมหน่อยล่ะ
OttO: แล้วข้อมูลนี้มันสามารถมัดตัว บริษัท X จนดิ้นไม่หลุดได้ใช่มั้ย?
Black Cat: เอาเป็นว่า ถ้าข้อมูลนี้แพร่ออกไปแล้วล่ะก็ คงไม่มีชื่อบริษัท X อยู่ในประเทศไทยอีกแล้วล่ะ
OttO: อืม...งั้นนายต้องการเท่าไรล่ะ ลองบอกราคามาสิ?
Black Cat: 500,000 บาทถ้วน
OttO: โห...ลดหน่อยได้มั้ย? คนกันเองแท้ๆ
Black Cat: ฉันเองก็เหนื่อยนะกว่าจะได้ข้อมูลนี้มา ถ้าไม่เอาฉันไปขายคนอื่นก็ได้
OttO: เดี๋ยวๆ แหม ทำเป็นใจร้อนไปได้ โอเคๆ ตกลงฉันซื้อ บัญชีเดิมใช่มั้ย?
Black Cat: อืม ถ้าโอนเงินเรียบร้อยแล้ว ฉันจะส่งข้อมูลให้นะ
----------------------- Black Cat: LOG OUT-------------------------
 
        “เฮ้อ...เมื่อยตัวไปหมดเลย!” หนุ่มหน้าหวานเอ่ยพลางบิดขี้เกียจไปมาหลังจากนั่งทำงานอยู่หน้าคอมทั้งคืน ก่อนจะลุกเดินไปยังเตียงนอน แล้วหยิบนาฬิกาปลุกขึ้นมาดูเวลา อันที่จริงแค่เพียงเขาหันมองดูบรรยากาศภายนอกหน้าต่าง ก็คงจะสามารถคาดเดาเวลาได้ เพราะแสงแดดอบอุ่นเริ่มสาดแสงสีเหลืองนวลไปทั่วท้องฟ้าแล้วในเวลานี้
        “หือ...7 โมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย หาว~นอนดีกว่า” พูดจบเขาก็ล้มตัวลงนอน ซุกซ่อนใบหน้าสวยไว้ใต้ผ้าห่มหนาสีขาว และหลับไปแทบจะในทันทีที่หัวถึงหมอน
 
ณ ร้านกาแฟ Coffee Relax
        “คุณย่าครับ นี่คุณย่าหลอกผมอีกแล้วใช่มั้ยครับ?” ธีเดชเอ่ยถามคุณหญิงพิศมัยผู้เป็นย่า ด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
        “ฟังย่าสักครั้งเถอะตาธี แค่มาดูตัวเฉยๆ ย่าไม่ได้บังคับให้คบหากันซะหน่อย” คุณหญิงพิสมัยพยายามเกลี่ยกล่อมหลานชายด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ
 
 
        ธีเดชรู้ดีว่าเมื่อดูตัวกับสาวคนนี้เสร็จ ก็จะมีคนต่อไปมาอีกเรื่อยๆ เดือนนี้ก็ปาเข้าไปตั้ง 9 คนแล้ว  ชายหนุ่มรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อยที่ต้องถูกบังคับให้มาดูตัวแบบนี้บ่อยๆ ตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะหาแฟนเองไม่ได้ หากแต่เป็นเพราะเขายังไม่ต้องการจะคบหาจริงจังกับใครเท่านั้นเอง
        หากเอ่ยชื่อ ธีเดช รัตนเรืองวิโรจน์ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่รู้จักเขา ด้วยร่างกายสูงโปร่งกำยำแบบคนที่ดูแลตัวเอง แล้วยังมีหน้าตาที่หล่อคมคาย ผิวขาวสมเป็นลูกผู้ดี  แถมจบปริญญาโทมาจากเมืองนอก อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริษัท Triple R บริษัทส่งออกเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ระดับประเทศ แม้ว่าเขาจะค่อนข้างอารมณ์ร้าย แต่ด้วยคุณสมบัติที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ผู้หญิงคนไหนไม่สนใจเขาก็บ้าแล้วล่ะ
 
        “ที่คุณย่าทำ มันก็คือการบังคับนั้นแหละครับ เพราะผมไม่ได้เต็มใจที่จะมาดูตัวเลยสักครั้ง” ผู้บริหารหนุ่มยังคงหาเหตุผลมาแย้งผู้เป็นย่าไปเรื่อย
        “สั่งเครื่องดื่มก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวค่อยพูดเรื่องนี้ต่อ” หญิงชราพูดตัดบทพร้อมเรียกเด็กเสิร์ฟมารับออเดอร์ ธีเดชได้แต่ถอดหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะเอนหลังพิงโซฟาหนานุ่มของร้าน เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ขุ่นมัวที่มีในตอนนี้
  
        “อ้าว คุณหม่อนตื่นแล้วเหรอค่ะ” จันทราผู้จัดการร้านเอ่ยทักเจ้านายหนุ่มด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
        “ขอโทษนะครับ พอดีหม่อนเพิ่งได้นอนเมื่อตอนเช้านี่เอง เลยตื่นสายไปหน่อย”
        “ไม่เห็นต้องหักโหมขนาดนี้เลยนี่คะคุณหม่อน เกิดไม่สบายไปอีกคนจะทำยังไงคะ” สีหน้าจันทราเริ่มกังวล
        “หม่อนแข็งแรงจะตายไป ไม่ต้องห่วงหรอกครับพี่จันทร์” ใบหม่อนว่าพร้อมทำท่าเบ่งกล้ามจากแขนเล็กๆของตัวเองให้จันทราดู ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมากันทั้งคู่
        “เดี๋ยวหม่อนไปนั่งทำงานต่อดีกว่า ขอลาเต้แก้วนึงด้วยนะครับ” พูดจบเขาก็เดินไปนั่งที่โต๊ะประจำ แล้วเปิดโน๊ตบุ๊คคู่ใจขึ้นมาทำงานทันที 
               
        ใบหม่อน หรือ มนตกาน เอมอนันต์  เด็กหนุ่มวัย 24 ปี เขากลายเป็นเด็กกำพร้าเพราะพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นเวลาเกือบปีแล้ว ที่เขาได้เริ่มเข้ามาดูแลกิจการร้านกาแฟแห่งนี้แทนนายอเนกเจ้าของร้านที่ป่วยกะทันหัน
        แม้ว่าใบหม่อนและนายอเนกจะไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันจริงๆ แต่นายอเนกกลับดูแลและเลี้ยงดูเขาเหมือนกับเป็นหลานแท้ๆ เขาจึงรักและเคารพนายอเนกเป็นอย่างมาก และเพื่อที่จะหาเงินมารักษาอาการป่วยของนายอเนกแล้ว แม้จะเหนื่อยและหนักแค่ไหน ใบหม่อนก็ไม่เคยปริปากบ่นเลยสักครั้ง
        ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ ใบหม่อนดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กคนอื่นๆที่อายุไล่เลี่ยกัน ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ละทิ้งความสดใสร่าเริงที่มีอยู่  ทั้งยังมักจะทำให้ผู้คนที่พบเจอได้รู้สึกกระปี้กระเปร่าไปด้วย
               
        “ยิ้มหน่อยสิ ตาธี” หญิงชรากล่าวเตือนหลานชาย ที่นั่งหน้าบูดราวกับเด็กน้อยถูกขัดใจ
        “ยังอีก ทำไมต้องทำหน้าเหมือนจะฆ่าจะแกงกันแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวคู่ดูตัวแกมาเห็นก็ตกใจหมด”
        “ก็คนมันอารมณ์ไม่ดี จะให้ฝืนยิ้มได้ยังไงล่ะครับคุณย่า” หญิงชรารู้ดีว่า เมื่อใดที่หลานชายตัวดีโมโห ไม่ว่าอะไรก็หยุดเขาไม่อยู่ แล้วใครหน้าไหนก็อย่าได้ไปยุ่งกับเขาเชียว ไม่เช่นนั้นคงได้ตายกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่
 
        แกร็กๆๆๆ
        เสียงเคาะแป้นพิมพ์อย่างเป็นจังหวะ ดังมาจากด้านหลังโซฟาที่ชายหนุ่มนั่งอยู่
        คุณหญิงพิศมัยเริ่มมีสีหน้ากังวล คงกลัวว่าหลานชายจะหันไปหาเรื่องคนที่เป็นต้นเหตุของเสียงนี้
 
        แกร็กๆๆๆ
        เสียงเคาะแป้นพิมพ์อย่างเป็นจังหวะ ยังคงดังมาจากด้านหลังเช่นเดิม
        “ใจเย็นๆนะตาธี อย่าเพิ่งวู่วาม” คุณหญิงพิศมัยพยายามเตือนสติของหลานรัก ที่ตอนนี้มันมีเหลืออยู่น้อยนิดแล้ว
 
        แกร็กๆๆๆ
        และในที่สุด ความอดทนของชายหนุ่มก็หมดลง เขาหันไปต่อว่าต้นตอของเสียงทันที
        “นี่คุณ!” ธีเดชร้องทักต้นตอของเสียงที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขา ด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังทีเดียว
 
        เขาคนนั้นค่อยๆหันมา แต่เมื่อได้เห็นหน้าเต็มสองตาแล้ว หัวใจของธีเดชกลับเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ดวงตากลมโตและจมูกที่โด่งรั้นน้อยๆ แถมยังริมฝีปากได้รูปสีชมพูอ่อนนั่นอีก  ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าธีเดชตอนนี้ถ้าจะให้พูดถึงลักษณะโดยรวมแล้วล่ะก็ คงพูดได้เต็มปากว่าเป็นคนหน้าสวยคนนึงเลยทีเดียว ธีเดชจ้องหน้าใบหม่อนอย่างลืมตัวเพราะไม่คิดว่าจะมีผู้ชายที่หน้าสวยได้ขนาดนี้ แถมยังตัวบอบบางดูแล้วน่าทะนุถนอมอีกต่างหาก
 
        “มีอะไรเหรอครับ?” ใบหม่อนถาม เมื่อเห็นคนที่เรียกเขานิ่งเงียบไป
        ธีเดชนิ่งอึ้งไปเกือบ 10 วินาที ก่อนจะเริ่มพูดต่อ
        “เอ่อ...คือเสียงกดแป้นพิมพ์ของคุณมันดังมากเลย รบกวนช่วยลดเสียงลงหน่อยได้มั้ย” เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าตอนแรกเยอะทีเดียว
        ใบหม่อนมองหน้าธีเดชงงๆ ก่อนจะยิ้มให้และตอบกลับว่า “ขอโทษครับ”
        อีกครั้งที่จังหวะหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม เมื่อได้เห็นรอยยิ้มหวานจากคนตรงหน้า เขารีบหันหน้ากลับมาแต่ก็เจอกับสายตาของคุณย่าที่เหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างในตัวเขา
        “หัดใจเย็นซะบ้างสิเราน่ะไม่ใช่เด็กวัยรุ่นแล้วนะ”
        “นี่ผมก็พยายามแล้วนะครับคุณย่า” ธีเดชแก้ตัวกับผู้เป็นย่า แต่ในใจยังคิดถึงใบหน้าสวยของเขาคนนั้นอยู่
       (เฮ้ย! ไอ้ธี นั่นมันผู้ชายนะเว้ย ใจเต้นทำบ้าอะไรวะ)  ธีเดชนึกต่อว่าตัวเองในใจ
                               
        คลิ๊กๆๆๆ
        หลังจากที่เงียบมาได้ซักพักหนึ่ง ก็เริ่มมีเสียงดังมาจากเขาคนนั้นอีกแล้ว และคราวนี้มันเป็นเสียงคลิกเมาส์
        ธีเดชพยายามนึกถึงหน้าหวานๆของคนที่นั่งข้างหลังเอาไว้ เผื่อว่ามันจะช่วยให้เขาสงบสติอารมณ์ได้บ้าง จะได้ไม่ไปโวยวายเรื่องเสียงคลิกเมาส์อีก
 
        คลิ๊กๆๆๆ
        แต่สุดท้าย เขาก็ทนไม่ได้จริงๆ เลยรีบหันไปต่อว่าทันที
        “นี่คุณ! หยุดคลิกเมาส์ซะทีเถอะ มันน่ารำคาญนะรู้มั้ย?” เขาพูดมันออกไปแล้ว เขารีบพูดก่อนที่เจ้าของใบหน้าสวยจะหันมา เพราะกลัวว่าเมื่อเห็นหน้าแล้วจะใจอ่อนจนไม่กล้าพูดออกไป
 
        ใบหม่อนมองหน้าธีเดชนิ่ง ก่อนจะปรับเป็นสีหน้ายิ้มส่งมาให้เขา
        “เหรอครับ ผมต้องขอโทษด้วยนะครับที่ทำเสียงดังรบกวน” เมื่อเห็นรอยยิ้มและได้ฟังคำขอโทษ ธีเดชก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
        “ในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของร้าน ผมขอไม่คิดเงินค่าเครื่องดื่มของคุณทั้ง 2 ก็แล้วกันนะครับ ถือว่าเป็นการขอโทษที่ผมเสียมารยาทกับพวกคุณ” ธีเดชและคุณย่ามองใบหม่อนอย่างชื่นชม ที่เขาขอโทษและแสดงความรับผิดชอบได้อย่างเป็นมืออาชีพ โดยไม่มีการแสดงท่าทีก้าวร้าวโกรธเคืองให้เห็น
        “เอ่อ...คือ ผมเองก็ต้องขอโทษด้วย ที่อารมณ์เสียกับเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้” ธีเดชบอกกลับ ด้วยความรู้สึกละอายใจที่ไปหงุดหงิดใส่คนตรงหน้าเพียงเพราะเรื่องเสียงคลิกเมาส์
        “ไม่เป็นไรครับ ถ้างั้นผมขออนุญาตแนะนำอะไรคุณสักอย่างนะครับ คือผมเคยอ่านเจอมาว่าคนที่โมโหง่ายเนี่ย มักจะมี EQ ต่ำกว่าปกติ  และถ้าคุณควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ มันอาจจะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันรวมทั้งเรื่องงานของคุณด้วยนะครับ ผมว่าว่างๆคุณน่าจะลองไปปรึกษาจิตแพทย์ดูหน่อย เผื่อว่าอาจจะช่วยให้อาการของคุณดีขึ้น แค่นี้ล่ะครับที่ผมอยากจะแนะนำ ขอตัวก่อนนะครับ” ใบหม่อนพูดพร้อมยิ้มน้อยๆให้ทั้งธีเดชและคุณหญิงพิสมัย ก่อนจะเก็บข้าวของเดินจากไปทันที
        “นี่คุณ! คุณว่าผมบ้าเหรอ? คุยกันให้รู้เรื่องก่อนสิ จะหนีไปไหนน่ะ!” ธีเดชถามกลับทันที คราวนี้ใบหน้าหวานใสไม่อาจช่วยลดความโมโหที่เกิดขึ้นในใจเขาได้อีกแล้ว  หนุ่มร่างสูงรู้สึกจุกในอกอย่างแรง ทำได้แค่ร้องตะโกนโวกเวกเรียกใบหม่อน แต่ก็ไม่เป็นผล
        “ฮ่าๆๆ” เสียงคุณหญิงพิศมัยหัวเราะชอบใจดังขึ้นมา
        “โอ้ย หัวเราะจนปวดท้องไปหมดแล้ว   นี่ถ้าพ่อหนุ่มคนนั้นเป็นผู้หญิงล่ะก็ ย่าอยากจะไปสู่ขอมาเป็นหลานสะใภ้ซะจริงๆเชียว”
        “คุณย่าหัวเราะเยาะผมทำไมครับ ผมเป็นหลานย่านะ”ธีเดชว่าอย่างงอนๆ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขาเลย คำพูดที่ไม่ใช่คำด่า แต่ฟังแล้วรู้สึกแสบไปถึงทรวงเลยทีเดียว
        (ให้ตายเถอะ! ไม่น่าเผลอใจเต้นให้หมอนั่นเลย)  ธีเดชนึกโมโหอยู่ในใจ
        “วันนี้ฉันอารมณ์ดี งั้นไม่ต้องดูตงดูตัวกันแล้ว กลับบ้านดีกว่านะตาธี ฮ่าๆๆ” หลานชายตัวดีได้แต่ทำหน้าหงิกหน้างอส่งให้ผู้เป็นย่าแทนคำตอบ
 
        ธีเดชรู้สึกไม่ชอบใบหม่อนเป็นอย่างมาก ไม่ชอบและไม่อยากเจอ ไม่อยากจะเข้าใกล้ เพราะเป็นคนประเภทที่เขาไม่สามารถจะเอาชนะได้ และหวังว่านี่คงจะเป็นการพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของพวกเขาทั้ง 2 คน
 
        แต่อย่างไรก็ตาม ลึกๆในใจของธีเดชกลับรู้สึกสังหรณ์ใจว่าพวกเขาจะต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ มันเป็นเพราะอะไรกันนะ...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา