นาคาจตุรวงศ์
7.7
เขียนโดย waratshida
วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.54 น.
2 ตอน
2 วิจารณ์
5,405 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 28 มกราคม พ.ศ. 2558 22.05 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บัญชามหาราช
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ณ ผืนน้ำเบื้องหน้าคลาคล่ำไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายสีสัน บ้างก็แหวกว่ายอย่างสบายใจ บ้างก็ใช้ขนดหางอันยิ่งใหญ่ตีน้ำกวนหมุนเล่นให้เป็นเกลียวคลื่น สาดกระทบฝั่งชายหาดอยู่ตลอดเวลาอย่างรื่นเริง ด้านในมีการเตรียมการจัดงานประชุมครั้งยิ่งใหญ่ของเหล่าเทพนาคาที่จะย้ายลงมาชุมนุมเหนือน่านน้ำมหาสมุทรแทนการขึ้นเฝ้าบนสรวงสวรรค์ชั้นจาตุม
บรรดาพญานาคทั้งหลายต่างก็พากันมาสรงสนานเล่นน้ำหยอกล้อกันอย่างสุขใจ เพราะยากยิ่งนักที่จะได้มาพบเจอกันเช่นนี้ ด้วยว่าหน้าที่ของแต่ละองค์ก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน เบื้องนอกเป็นเหล่านาคีแหวกว่ายอย่างสนุกสนาน แต่ด้านในกลับประชุมกันด้วยสภาวะที่เคร่งเครียด
เนื่องจากบัดนี้โลกมนุษย์ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมายนัก ล้วนแต่เกิดอาเพศหลากหลายสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็บังเกิดให้ได้ฉงนใจ องค์มหาเทพแห่งนาคาท้าววิรูปักษ์นาคราชจึงได้มีพระบัญชาให้เหล่านาคาทั้งสี่ตระกูลเข้าเฝ้าเพื่อหาหนทางแก้ไขต่อไป เบื้องหน้าบัลลังก์นาคราชสีทองที่ทรงประทับอยู่ มีเหล่ากษัตริย์จากเมืองต่างๆ นั่งสงบนิ่งฟังในรับสั่งของพระองค์อย่างตั้งใจ
เนื่องจากในยุคสมัยนี้ได้มีเรื่องวุ่นวายนานัปการเกิดขึ้นยังเมืองมนุสสภูมิ ผู้คนเสื่อมถอยในวัตรอันดีงาม ปล่อยวัตถุครอบงำเหนือศีลธรรมและจิตใจ เรากลัวนักว่าใกล้จะถึงวันที่ผู้คนเข่นฆ่าทำลายล้างกันโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมอีกแล้ว ท่านท้าววิรูปักษ์ตรัสขึ้นในที่ประชุมนั้น ซึ่งผู้ที่ฟังอยู่ต่างก็พยักหน้ารับว่าเห็นเป็นความจริงทั้งสิ้น โลกใบนี้ล้วนแต่วุ่นวายหนักเมื่อทุกคน ได้ละเลยหลักธรรมประจำใจไป
ในโลกมนุษย์นั้น พระพุทธองค์ทรงได้สอนสั่งเอาไว้ ว่าให้ธำรงตั้งมั่นในหลัก โลกบาลธรรม อันประกอบด้วย หิริ โอตตัปปะ ว่าด้วยหิริก็คือ ความรู้สึกละอายใจไม่กล้าทำความชั่ว ถ้าเราไม่ชอบอะไร เราก็จะอยู่ห่างไกลและไม่ทำสิ่งนั้น ยิ่งเราไม่ชอบความชั่วมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะทำความชั่วก็ไม่มี หากจะว่าด้วย โอตตัปปะย่อมหมายถึง ความรู้สึกกลัวว่าความชั่วที่ตัวเองเคยทำไว้จะกลับมาตอบสนองเข้าวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากให้สิ่งใดเกิดขึ้น เราก็จะไม่ทำเรื่องที่จะเป็นเหตุให้เราต้องเจอสิ่งนั้น คนที่ทำความชั่ว ย่อมต้องรับผลของความชั่วที่ตนเองทำไว้อย่างแน่นอน ผู้เป็นจอมนาคากล่าวแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
คนที่มีหิริโอตตัปปะ ย่อมไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น บุคคลใดที่มีทั้งหิริ และโอตตัปปะย่อมต้องคุ้มครองโลกใบนี้และควบคุมจิตใจของตนให้ตั้งอยู่ในศีลและธรรม เพียงเท่านี้ ความวุ่นวายจะไม่บังเกิด มนุษย์น้อยพวกนั้นหาได้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์ไม่
"พวกเขาล้วนแต่นับถือในวัตถุ ลุ่มหลงในเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ จนหลงลืมเรื่องพวกนี้ไปจนสิ้นแล้วพระเจ้าค่ะ" นาคราชาหรือนาคาธิบดีแห่งตระกูลฉัพยาปุตตะได้กล่าวขึ้น เพราะได้คอยสังเกตเรื่องราวเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน
"พวกท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้ เราจะช่วยพวกเขาได้เช่นไรบ้าง"
"ลูกหลานพวกเราชาวนาคาที่ได้ไปเกิดบนเมืองมนุษย์ก็มากมายพอสมควร แต่พวกเขาเหมือนจะจดจำเรื่องในอดีตไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ หากพวกเขาจดจำได้ก็อาจจะเป็นกำลังสำคัญช่วยเราคุ้มครองโลกใบนี้สืบต่อไปอย่างสันติสุขได้" นาคราชาที่ปกครองชาวเอราปัถถะ ได้กราบทูลขึ้นมาเช่นกัน
"แต่เราไม่ปรารถนาให้ลูกหลานเราได้จดจำพบชาติเก่าก่อนของพวกเขาว่าเคยเป็นใครมาก่อน สิ่งที่เราปรารถนาก็คือการให้พวกเขาดำรงมั่นในศีล ทาน ภาวนาต่างหากแล้วหมั่นทำนุบำรุงพระศาสนาต่างหากเล่า"
นิยายเรื่องนี้เป็นจินตนิยายอิงพระพุทธศาสนา
อาจจะอ่านยากหน่อยนะคะ
เพิ่งอัพตอนแรก แฮ่ๆๆ ฝากผลงานด้วยนะคะ
บรรดาพญานาคทั้งหลายต่างก็พากันมาสรงสนานเล่นน้ำหยอกล้อกันอย่างสุขใจ เพราะยากยิ่งนักที่จะได้มาพบเจอกันเช่นนี้ ด้วยว่าหน้าที่ของแต่ละองค์ก็แตกต่างกันออกไปเช่นกัน เบื้องนอกเป็นเหล่านาคีแหวกว่ายอย่างสนุกสนาน แต่ด้านในกลับประชุมกันด้วยสภาวะที่เคร่งเครียด
เนื่องจากบัดนี้โลกมนุษย์ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมากมายนัก ล้วนแต่เกิดอาเพศหลากหลายสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดก็บังเกิดให้ได้ฉงนใจ องค์มหาเทพแห่งนาคาท้าววิรูปักษ์นาคราชจึงได้มีพระบัญชาให้เหล่านาคาทั้งสี่ตระกูลเข้าเฝ้าเพื่อหาหนทางแก้ไขต่อไป เบื้องหน้าบัลลังก์นาคราชสีทองที่ทรงประทับอยู่ มีเหล่ากษัตริย์จากเมืองต่างๆ นั่งสงบนิ่งฟังในรับสั่งของพระองค์อย่างตั้งใจ
เนื่องจากในยุคสมัยนี้ได้มีเรื่องวุ่นวายนานัปการเกิดขึ้นยังเมืองมนุสสภูมิ ผู้คนเสื่อมถอยในวัตรอันดีงาม ปล่อยวัตถุครอบงำเหนือศีลธรรมและจิตใจ เรากลัวนักว่าใกล้จะถึงวันที่ผู้คนเข่นฆ่าทำลายล้างกันโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมอีกแล้ว ท่านท้าววิรูปักษ์ตรัสขึ้นในที่ประชุมนั้น ซึ่งผู้ที่ฟังอยู่ต่างก็พยักหน้ารับว่าเห็นเป็นความจริงทั้งสิ้น โลกใบนี้ล้วนแต่วุ่นวายหนักเมื่อทุกคน ได้ละเลยหลักธรรมประจำใจไป
ในโลกมนุษย์นั้น พระพุทธองค์ทรงได้สอนสั่งเอาไว้ ว่าให้ธำรงตั้งมั่นในหลัก โลกบาลธรรม อันประกอบด้วย หิริ โอตตัปปะ ว่าด้วยหิริก็คือ ความรู้สึกละอายใจไม่กล้าทำความชั่ว ถ้าเราไม่ชอบอะไร เราก็จะอยู่ห่างไกลและไม่ทำสิ่งนั้น ยิ่งเราไม่ชอบความชั่วมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะทำความชั่วก็ไม่มี หากจะว่าด้วย โอตตัปปะย่อมหมายถึง ความรู้สึกกลัวว่าความชั่วที่ตัวเองเคยทำไว้จะกลับมาตอบสนองเข้าวันใดวันหนึ่ง ถ้าเราไม่อยากให้สิ่งใดเกิดขึ้น เราก็จะไม่ทำเรื่องที่จะเป็นเหตุให้เราต้องเจอสิ่งนั้น คนที่ทำความชั่ว ย่อมต้องรับผลของความชั่วที่ตนเองทำไว้อย่างแน่นอน ผู้เป็นจอมนาคากล่าวแล้วก็ได้แต่ทอดถอนใจ
คนที่มีหิริโอตตัปปะ ย่อมไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น บุคคลใดที่มีทั้งหิริ และโอตตัปปะย่อมต้องคุ้มครองโลกใบนี้และควบคุมจิตใจของตนให้ตั้งอยู่ในศีลและธรรม เพียงเท่านี้ ความวุ่นวายจะไม่บังเกิด มนุษย์น้อยพวกนั้นหาได้เชื่อฟังคำสอนของพระพุทธองค์ไม่
"พวกเขาล้วนแต่นับถือในวัตถุ ลุ่มหลงในเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ จนหลงลืมเรื่องพวกนี้ไปจนสิ้นแล้วพระเจ้าค่ะ" นาคราชาหรือนาคาธิบดีแห่งตระกูลฉัพยาปุตตะได้กล่าวขึ้น เพราะได้คอยสังเกตเรื่องราวเหล่านี้มาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน
"พวกท่านคิดเห็นเช่นไรกับเรื่องนี้ เราจะช่วยพวกเขาได้เช่นไรบ้าง"
"ลูกหลานพวกเราชาวนาคาที่ได้ไปเกิดบนเมืองมนุษย์ก็มากมายพอสมควร แต่พวกเขาเหมือนจะจดจำเรื่องในอดีตไม่ได้แล้วพระเจ้าค่ะ หากพวกเขาจดจำได้ก็อาจจะเป็นกำลังสำคัญช่วยเราคุ้มครองโลกใบนี้สืบต่อไปอย่างสันติสุขได้" นาคราชาที่ปกครองชาวเอราปัถถะ ได้กราบทูลขึ้นมาเช่นกัน
"แต่เราไม่ปรารถนาให้ลูกหลานเราได้จดจำพบชาติเก่าก่อนของพวกเขาว่าเคยเป็นใครมาก่อน สิ่งที่เราปรารถนาก็คือการให้พวกเขาดำรงมั่นในศีล ทาน ภาวนาต่างหากแล้วหมั่นทำนุบำรุงพระศาสนาต่างหากเล่า"
นิยายเรื่องนี้เป็นจินตนิยายอิงพระพุทธศาสนา
อาจจะอ่านยากหน่อยนะคะ
เพิ่งอัพตอนแรก แฮ่ๆๆ ฝากผลงานด้วยนะคะ
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ