Guildmystic มนตราพันธนาการ

10.0

เขียนโดย อาม่า

วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 09.53 น.

  6 บท
  4 วิจารณ์
  8,267 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 มกราคม พ.ศ. 2558 10.17 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Chapter 2

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

                Chapter 2

                ภายในคฤหาสน์หลังหนึ่งซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของเจ้าชายจากต่างเมือง งานเลี้ยงรื่นเริงยังคงดำเนินต่อไปแม้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปจนดึกดื่นมากแล้ว เสียงพูดคุยหัวเราะดังอยู่เป็นระยะด้วยความรู้สึกสนุกสนานของบรรดาแขกเหรื่อผู้มาร่วมงาน ทว่าใครคนหนึ่งกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นทั้งที่ยังคงมีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้า

                สการ์เล็ต เรสเทล เจ้าหญิงลำดับแรกผู้รั้งตำแหน่งรัชทายาทอันดับสองแห่งอาณาจักรเรสทอเรียลอบระบายลมหายใจออกมอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่มีความหมายใดมากไปกว่าการต้องให้เกรียติแก่แขกเมืองที่ทำให้นางจำยอมตอบรับคำเชิญงานเลี้ยงในคืนนี้ แม้ว่าผู้เชิญจะเป็นคู่หมั้นหมายของนางเองก็ตาม

                ด้วยฐานะทางสังคมและความงดงามอันยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียงจึงทำให้เจ้าหญิงสการ์เล็ตเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย โดยเฉพาะบุรุษหนุ่มผู้ต้องการความก้าวหน้าและชื่นชมหลงใหลในความงดงามแห่งอิสสตรี

                ทั้งคหบดีและผู้มียศศักดิ์ต่างพากันแวะเวียนมาทักทายชวนสนทนากันได้ไม่หยุดหย่อน สร้างความเหนื่อยอ่อนให้หญิงสาวซึ่งต้องคอยปั้นสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เสมอ และยังผลให้เกิดความรู้สึกไม่พอใจแก่เจ้าชายเฟร์นานโดซึ่งต้องการหาโอกาสใช้เวลากับเจ้าหญิงเพียงลำพังอยู่ไม่น้อย

                เฟร์นานโด เฮย์เดน เจ้าชายลำดับที่สามแห่งอาณาจักรเฮย์เดนซึ่งอยู่ติดกับอาณาจักรเรสทอเรียทางด้านตะวันตก เขาผู้เป็นที่หมายปองจากหญิงสาวทั่วทั้งอาณาจักรด้วยรูปลักษณ์อันงดงามราวเทพบุตรจากสรวงสวรรค์ เรือนกายกำยำสูงโปร่งทรงสง่า เส้นเกศาดุจไหมสีทองยามต้องแสงตะวัน ดวงเนตรแวววาวราวมรกตเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ทำเอาสาวน้อยสาวใหญ่แทบละลายยามได้สบประสานสายตา

                ทว่าไม่ใช่กับสการ์เล็ต

                นางไม่เคยหลงใหลในเสน่ห์ของเขาและคงไม่คิดให้ความสนใจแม้แต่น้อยหากไม่ใช่เพราะพันธะหน้าที่ซึ่งบังคับให้ทั้งสองต้องผูกพันกัน

                กลับเป็นเฟร์นานโดเสียอีกที่หลงใหลได้ปลื้มในรูปโฉมอันงดงามราวกับเทพธิดาของเจ้าหญิง ดวงหน้าขาวนวลแก้มเนียนเปล่งปลั่งชวนลูบไล้ เรียวปากอวบอิ่มแดงระเรื่อ นัยน์ตาสีทับทิมรับกับเรือนผมสีน้ำตาลทองยาวหยักศกดูลุ่มลึกนุ่มนวลชวนฝัน มันสะกดเขาให้ชะงักงันตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้สบตา หลายครั้งคราที่เจ้าชายเทพบุตรลอบมองสำรวจเรือนร่างสมส่วนกลมกลึงน่าเคล้าคลึงสัมผัสจนยากนักที่จะอดใจมิให้ไขว่คว้าร่างนั้นมาเชยชม

                ดวงตาสีมรกตเชื่อมหวานยามจับจ้องเรือนร่างของเจ้าหญิงสการ์เล็ตจนมิได้รู้สึกถึงสัมผัสริษยาจากสตรีอีกนาง

                “ท่านคงหลงใหลในความงามราวกับเทวีจุติของเจ้าหญิงมาก จึงได้จับจ้องอย่างไม่วางตาเช่นนี้”

                เสียงหวานเอ่ยขึ้นข้างตัวเจ้าชาย เฟร์นานโดจับได้ถึงแววประชดประชันในน้ำเสียงเรียบเรื่อยนั้น ทว่ามันกลับทำให้เขาพึงพอใจ รู้ดีว่านางผู้นี้หลงใหลในตัวเขามากแค่ไหนจึงได้มีปฏิกิริยาหึงหวง

                “ของสวย ๆ งาม ๆ ใครบ้างไม่อยากมอง”

                เฟร์นานโดตอบพร้อมกับหันไปมองหญิงสาวในชุดราตรีสีหวาน เรียวปากบางกระตุกยิ้มเมื่อเห็นดวงตากลมโตของอีกฝ่ายลุกวาว

                “ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครติดตรึงใจข้าได้มากไปกว่าเจ้าหรอก เซเซีย”

                เจ้าชายหยอดคำหวานเพื่อมิให้เจ้าของนาม เซเซีย ต้องขุ่นเคืองใจมากเกินไปนัก

                นางยังมีประโยชน์ควรค่าแก่การเอาใจอยู่บ้าง

                “คำหวานเช่นนี้ ท่านคงโปรยให้สตรีไปทั่ว” ถึงปากว่าอย่างนั้นแต่เซเซียกลับพึงพอใจอยู่มิใช่น้อย

                หญิงสาวรู้ดีว่าเจ้าชายผู้หล่อเหลาองค์นี้เป็นที่หมายปองของสตรีทั่วแดน ทั้งยังมีคู่หมั้นหมายเป็นตัวเป็นตน แต่บางสิ่งก็ทำให้นางถือสิทธิ์ในตัวเขา แม้ว่ามันยังเป็นสิ่งที่ต้องซ่อนเร้นต่อผู้คนก็ตาม

                ทว่าอีกไม่นานนักหรอก...

                “คุยอะไรกันอยู่หรือ ท่าทางน่าสนุก” เสียงเอ่ยถามจากเจ้าหญิงสการ์เล็ตทำให้ความสำราญภายในใจของเซเซียมลายหายไปทันที ทว่าด้วยมารยาทแล้วเซเซียจำต้องยิ้มตอบ แม้ว่าใจจริงอยากไล่นางออกไปให้พ้นก็ตาม

                “คุยเรื่องทั่วไปน่ะค่ะ ไม่มีอะไรน่าสนใจนักหรอก”

                สการ์เล็ตได้แต่ยิ้มกับคำตอบอย่างเสียมิได้ของสตรีตรงหน้า ช่างเป็นการยากนักกับการจะหาโอกาสคุยกับน้องสาวต่างมารดาผู้นี้สักครั้ง เจ้าหญิงทอดถอนใจภายในห้วงดำริก่อนหันไปกล่าวกับเฟร์นานโด

                “นี่ก็ดึกมากแล้ว เห็นควรได้เวลากลับเสียที ข้าขอลาเจ้าชายตรงนี้เลยนะคะ”

                “จะกลับแล้วหรือ เรายังไม่ได้คุยกันเท่าไหร่เลย” เฟร์นานโดถามอย่างนึกเสียดาย ทว่านางจะกลับหรือจะอยู่เขาก็ไม่ได้รู้สึกขัดข้องอะไรนัก เพราะยังมีอีกตัวเลือกสำหรับฆ่าเวลาอยู่ข้าง ๆ ทั้งคน

                “ข้าเป็นห่วงท่านพี่ค่ะ วันนี้อาการของท่านไม่ดีนัก อย่างน้อยก็อยากกลับไปดูแลท่านสักหน่อย”

                “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่เจ้าหญิงเห็นควรเถิด ข้าฝากความห่วงใยถึงเจ้าชายอลันด้วยก็แล้วกัน”

                “ข้าขอขอบคุณแทนท่านพี่ค่ะ” สการ์เล็ตคำนับเจ้าชายคู่หมั้นแล้วหันไปถามเซเซีย “แล้วน้องจะกลับหรือยังจ๊ะ เราจะได้กลับพร้อมกัน”

                “ข้าคิดว่าจะอยู่ต่ออีกสักพัก ท่านพี่กลับไปก่อนเถอะค่ะ” เซเซียกล่าวปฏิเสธ นางจะรีบร้อนกลับไปทำไม ในเมื่อความสำราญที่แท้จริงจะเริ่มต่อไปนับจากนี้ เพราะตัวขวางหูขวางตากำลังจะกลับไปแล้ว

                “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปก่อนนะจ๊ะ”

                “ขอให้ท่านพี่เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพค่ะ” เจ้าหญิงองค์รองอวยพรทั้งที่ใจจริงอยากให้มันเป็นในสิ่งตรงกันข้าม

                หลังจากสการ์เล็ตลับหลังไปแล้ว เจ้าหญิงเจ้าชายทั้งสองต่างสบตากัน ก่อนจะลอบหลบผู้คนออกไปอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เพื่อสานสัมพันธ์ที่ยังมิอาจเปิดเผยต่อผู้ใด

                */*/*/*/*

 

                ระหว่างรอรถม้าของตนอยู่ที่บันไดทางเข้าประตูหน้าคฤหาสน์ สการ์เล็ตขยับเสื้อคลุมขนสัตว์ให้กระชับขึ้นเมื่อสายลมเย็นยะเยือกพัดมากระทบผิวกาย นางเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดสลัวซึ่งมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่เพียงเบาบาง เพิ่งผ่านพ้นคืนเดือนเพ็ญไปแค่สองราตรี ดวงจันทร์จึงยังส่องแสงสว่างกระจ่างนัก

                “ท่านหญิงสนใจทำนายดวงชะตาบ้างหรือไม่”

                เสียงทุ้มที่เอ่ยถามทำให้เจ้าหญิงสการ์เล็ตหันไปมองยังที่มาอย่างแปลกใจ บุคคลในชุดคลุมสีดำปกปิดมิดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มีเพียงแว่นตารูปทรงเรียวรีกรอบหนากับใบหน้าขาวเผือดโผล่พ้นชายผ้าออกมาให้เห็น ความสูงที่มีมากกว่ามาตรฐานทั่วไปของหญิงสาวกับน้ำเสียงทุ้มต่ำทำให้สการ์เล็ตพอจำแนกได้ว่าเขาเป็นบุรุษที่ยังไม่น่าจะสูงวัยนัก

                เจ้าหญิงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพลางมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา

                “ข้าไม่สนใจในโชคชะตา ข้าเชื่อว่าอนาคตย่อมเกิดจากผลของการกระทำของตัวเอง”

                สการ์เล็ตปฏิเสธนักทำนายไปอย่างนั้น หากนางต้องการดูดวงจริง มีหรือนักพยากรณ์ประจำราชสำนักจะใช้การไม่ได้

                “น่าเสียดาย...นึกว่าจะได้ลูกค้าอีกสักคน” นักทำนายพ่นลมหายใจพร้อมกับขยับแว่น “ไม่อย่างนั้นก็คงได้เงินพอสำหรับค่าที่พักในคืนนี้”

                “ถ้าเรื่องนั้นข้าพอช่วยได้” สการ์เล็ตแย้มยิ้มบางเมื่อได้ยินดังนั้น นางหยิบเหรียญเงินสกุลการ์ตออกมาจำนวนหนึ่งแล้วส่งให้กับนักทำนาย “จงรับเอาไว้ หากเจ้าจำเป็นต้องใช้มันจริง ๆ “

                “ยังใจดีต่อคนแปลกหน้ามิเคยเปลี่ยน...” นักทำนายเอ่ยพึมพำแผ่วเบา เจ้าหญิงจึงมิอาจได้ยินและไม่ทันเห็นรอยยิ้มบางที่ผุดขึ้นบนเรียวปากเพียงวูบหนึ่งของเขา

                บุรุษในชุดคลุมสีดำยื่นมือออกไปรับเหรียญเงินเอาไว้แล้วค้อมกายลงต่ำ กล่าวถ้อยคำด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความซาบซึ้ง

                “ท่านช่างมีจิตเมตตาต่อข้านัก แต่ข้ามิปรารถนารับสิ่งของจากผู้ใดโดยไม่ได้ตอบแทน ดังนั้นจึงใคร่ขอทำนายให้ท่านเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับเหรียญเงินจำนวนนี้ด้วยเถิด”

                “ไม่ต้องหรอก ข้าไม่ได้อยากรู้” สการ์เล็ตมุ่นคิ้วต่อความรั้นของบุรุษตรงหน้า แต่แล้วนางก็ต้องชะงักคำกล่าว เมื่อจู่ ๆ นักทำนายก็เงยหน้าขึ้นมาสบประสานสายตากับนาง ดวงตาสีน้ำเงินทอประกายแสงสีม่วงประหลาดหลังกรอบแว่นหนาที่ลดลงต่ำ ดวงตาสีเดียวกันกับใครบางคนในความทรงจำอันเนิ่นนานซึ่งไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นจากใครอื่น

                ดวงตาคู่นั้นมันเบิกกว้างเสียจนสะกดเจ้าหญิงให้ยืนนิ่งอยู่กับที่

                “ลางร้าย...“

                “เอ๊ะ!?“ เจ้าหญิงอุทานพลางมุ่นคิ้วอย่างประหลาดใจต่อคำทำนายที่มิได้ตั้งใจจะฟัง

                “เป็นเภทภัยที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิต...”

                นักทำนายเว้นช่วงคำพูดไปครู่หนึ่งก่อนหลุบตาลงแล้วค่อย ๆ ถอยห่างออกไป

                “จงรักษาสัญญาและอย่าไว้วางใจคนใกล้ตัว แล้วเคราะห์ร้ายของท่านจะบรรเทา”

                “หมายความว่าอย่างไร” สการ์เล็ตเอ่ยถาม คิ้วโก่งเรียวงามเริ่มจะขมวดเป็นปม ขณะกำลังจะก้าวเท้าตามนักทำนาย รถม้าของนางก็มาถึงเสียก่อน

                “เจ้าหญิงสการ์เล็ต รถม้าพร้อมแล้วขอรับ”

                สการ์เล็ตหันไปมองรถม้า ก่อนหันไปมองหน้าคนคุมบังเหียนวูบหนึ่ง แล้วจึงหันกลับไปยังนักทำนายอีกครั้ง ปรากฏว่าเขาได้หายตัวไปเสียแล้ว

                เจ้าหญิงมองไปรอบบริเวณแต่ก็ไม่พบวี่แววของใคร แม้จะแปลกใจ แต่ก็ไม่คิดใส่ใจในตัวบุรุษลึกลับผู้นั้นอีก ซึ่งรวมไปถึงคำทำนายที่นางมิเคยใคร่จะรู้นั่นด้วย

                ถึงอย่างไรหากจะมีอะไรเกิดขึ้นมามันก็ต้องเกิด เมื่อถึงเวลานั้นก็ได้แต่เดินหน้าต่อไปและหาหนทางแก้ไขเอาก็เท่านั้น หากมั่วนึกหวั่นกับแค่คำทำนายคงมิต้องทำอะไรกันพอดี

                ขณะที่กำลังจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถม้า สการ์เล็ตสังเกตว่าพลขับไม่ใช่พนักงานซึ่งทำหน้าที่ประจำจึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ

                “เขามีอาการอาหารเป็นพิษกะทันหัน จึงได้ให้ข้าเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทนขอรับ”

                แม้จะรู้สึกแคลงใจอยู่บ้าง แต่สการ์เล็ตต้องการรีบกลับโดยเร็วจึงไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดต่อ นางพยักหน้าว่าเข้าใจเพียงครั้งเดียวก่อนก้าวขึ้นไปนั่งบนเบาะกำมะหยี่บุนวมนุ่มภายในรถซึ่งตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราด้วยโทนสีทองกับสีแดงเลือดหมู

                หลังจากรถม้าเคลื่อนตัวออกห่างจากคฤหาสน์เจ้าหญิงก็ปล่อยใจให้เข้าสู่ภวังค์ นึกถึงใบหน้านวลใสของสตรีนางหนึ่งซึ่งเป็นน้องสาวของตน

                เซเซียเป็นน้องสาวต่างมารดา สการ์เล็ตไม่เคยคิดดูถูกนางที่เกิดจากครรภ์ของนางสนมเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังนึกสงสารที่เด็กสาวต้องสูญเสียผู้เป็นแม่ไปแต่วัยเยาว์ นางเคยใคร่อยากร่วมสนทนาสานสัมพันธ์สร้างความสนิทสนมอยู่หลายครา แต่โอกาสและเวลาก็ไม่เคยเอื้ออำนวย

                เจ้าหญิงลำดับแรกแห่งเรสทอเรียรู้ดีว่าน้องสาวต่างมารดานั้นหมายปองเจ้าชายแห่งเฮย์เดนซึ่งเป็นคู่หมั้นของตน และรู้ด้วยว่าสายตาของเจ้าชายเฟร์นานโดที่จ้องมองเซเซียก็มีความพึงพอใจอยู่มิใช่น้อย สการ์เล็ตจึงคิดไตร่ตรองถึงการหมั้นหมาย อย่างไรนางก็ไม่ได้นึกใคร่ในตัวเจ้าชายผู้นั้นอยู่แล้ว หากจะต้องมีการแต่งงานก็ให้คนที่เขามีใจได้สมหมายในรักเสียจะดีกว่า และหลังจากปรึกษาบิดาผู้เป็นกษัตริย์แล้วก็ได้ความว่าไม่มีเหตุขัดข้องอันใด การหมั้นหมายระหว่างแคว้นในอนาคตจึงอาจมีกำหนดการว่าจะเปลี่ยนแปลง

                แรงสั่นสะเทือนของรถม้าทำให้สการ์เล็ตต้องออกจากห้วงแห่งความคิด นางแง้มบานหน้าต่างเปิดดูถนนภายนอกว่าเหตุใดเส้นทางภายในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งควรจะเรียบสม่ำเสมอจึงทำให้เกิดความสั่นสะเทือนได้ ราวกับว่ารถม้ากำลังวิ่งอยู่บนถนนอันขรุขระทุรกันดาร

                พลันคิ้วโก่งเรียวงามของเจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียก็ต้องขมวดมุ่น เมื่อพบว่าทิวทัศน์ภายนอกมีแต่ป่ามืดทึบไร้ซึ่งวี่แววของที่อยู่อาศัยหรือสิ่งก่อสร้างใดที่จะมีมนุษย์อาศัยอยู่ ครั้นก้มลงมองไปด้านล่างก็พบว่าล้อรถกำลังบดอยู่บนถนนขรุขระซึ่งเต็มไปด้วยกรวดหิน

                สการ์เล็ตขยับตัวไปเปิดช่องเล็ก ๆ ด้านหลังพลขับแล้วเอ่ยถาม

                “เจ้าพาข้ามาที่ใด นี่ไม่ใช่ทางกลับปราสาท”

                ผู้คุมบังเหียนหันมายิ้มแสยะพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม

                “เดี๋ยวก็รู้เอง”

                ฉับพลันประตูห้องโดยสารก็เปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของชายคนหนึ่งซึ่งโหนร่างเข้ามาจากทางด้านหลังรถโดยสาร เขาจ่อคมดาบมาที่เจ้าหญิงจนนางต้องผงะถอยด้วยความตกใจ

                “หากเจ้าหญิงจะกรุณา...โปรดทรงอยู่เฉย ๆ เงียบ ๆ จะเป็นพระคุณอย่างสูง ข้ายังไม่อยากสร้างบาดแผลบนใบหน้าสวย ๆ ของท่าน”

                สการ์เล็ตจ้องคมดาบตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่นหากยังคงรักษากิริยาเอาไว้ ทั้งสองต่างจ้องมองเชิงกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่รถม้าจะชะลอลงจนกระทั่งจอดสนิท ชายฉกรรจ์ผายมือเชิญให้เจ้าหญิงก้าวออกไปนอกรถแล้วจึงค่อยตามออกไป

                เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียกวาดตามองกลุ่มชายฉกรรจ์ราวห้าคนด้วยความหวาดวิตกพลางคิดหาทางหนีทีไล่ หนึ่งในกลุ่มคนร้ายซึ่งไว้หนวดเคราก้าวออกมาด้านหน้า บุคลิกท่าทางของเขาน่าเกรงขามและเยือกเย็นกว่าผู้ใด บ่งบอกให้รู้ว่านี่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มคนร้ายอย่างแน่นอน

                “เจ้าเป็นใคร ต้องการสิ่งใดจากข้า” สการ์เล็ตรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว

                หัวหน้าโจรยิ้มให้ต่อการแสดงความกล้าหาญของหญิงสาวก่อนตอบ

                “นามข้ามิอาจเอื้อมให้เจ้าหญิงรับฟัง หรือถ้าจะให้บอกตามตรง... คนที่กำลังจะตายอย่างท่านไม่จำเป็นต้องรู้หรอก”

                ธิดาองค์แรกแห่งเรสทอเรียเบิกตากว้างอย่างตระหนกหากยังข่มใจให้รักษากิริยา นางสูดหายใจลึกแล้วเอ่ยถาม

                “เพราะเหตุใด ใครที่ต้องการชีวิตข้า”

                “ถ้าไม่รู้ว่าถูกใครปองร้ายก็คงตายตาไม่หลับสินะ” โจรร้ายหัวเราะในลำคอแล้วจึงตอบคำถามของเจ้าหญิง “ข้าบอกได้เพียงว่าเป็นคนใกล้ตัวที่ท่านคงไม่เคยคาดถึง ส่วนเหตุผล... ท่านลองไปไตร่ตรองเอาในโลกหน้าเสียก็แล้วกัน”

                เพียงสดับคำนั้นสการ์เล็ตก็ถอยกรูดจนหลังติดท้ายรถโดยสาร เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียจ้องมองเหล่าคนร้ายซึ่งแต่ละคนมีอาวุธครบอยู่ในมือกำลังย่างเท้าเข้าใกล้นางด้วยสายตาหวาดระวัง

                แต่แล้วนางก็รู้สึกถึงสิ่งที่มือแปะป่ายไปสัมผัสเข้าโดยบังเอิญ หญิงสาวรีบคลำมันจนแน่ใจว่าคืออะไร แล้วจึงหยิบแส้ม้าสำรองซึ่งเก็บซ่อนเอาไว้ในกล่องใต้ท้ายรถโดยสารสะบัดฟาดใส่กลุ่มโจรเต็มแรง เหล่าคนชั่วต่างผงะถอยกันไปคนละครึ่งก้าว สการ์เล็ตฉวยโอกาสนั้นวิ่งหลบไปยังอีกฝั่งของรถซึ่งไม่มีใครยืนขวางอยู่

                “ผู้หญิงคนเดียวในป่ามืดทึบเช่นนี้จะไปได้กี่น้ำ” หัวหน้าโจรส่งเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะออกคำสั่งกับพลพรรคของตน

                “ตามไป! อย่าให้แม่กระต่ายน้อยนั่นหนีไปได้”

                รองเท้ายกส้นสูงกับความมืดทำให้สการ์เล็ตวิ่งไปในป่าได้อย่างยากลำบาก นางสะดุดล้มหลายครั้งจนกระทั่งแส้และรองเท้าหลุดหายไปทั้งสองข้างตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ หญิงสาวกัดฟันวิ่งต่อไปอย่างไม่คิดชีวิตแม้จะถูกหนามหินทิ่มตำจนเจ็บระบม ขืนรั้งรอมองบาดแผลคงไม่ใช่แค่รองเท้าที่ต้องเสียไปให้กลุ่มคนร้ายซึ่งกำลังเดินอย่างย่ามใจไล่หลังมา

                ทว่าราวกับสวรรค์กำลังกลั่นแกล้ง เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียหวีดร้องอย่างตกใจเมื่อพื้นที่เหยียบย่างทรุดฮวบร่วงลงไปด้านล่าง เพราะความมืดและความรีบร้อนทำให้ไม่ทันสังเกตว่าข้างหน้านั้นเป็นหุบเหว โชคดีนักที่นางรีบคว้าเถาวัลย์เส้นหนาเอาไว้ได้ทัน สการ์เล็ตชำเลืองมองลงไปใต้ฝ่าเท้าซึ่งเป็นก้นเหวมืดทึบลึกสุดหยั่งด้วยความหวาดกลัว

                นางต้องมาตายอยู่ในที่แบบนี้จริง ๆ หรือนี่... ไม่เอานะ!

                “ว้าว! ดูสิว่าข้าเจออะไร”

                เสียงบุรุษคุ้นหูทำให้สการ์เล็ตรีบเงยหน้าขึ้นมอง นางแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นเงาร่างเจ้าของเสียง

                “เจ้า! นักทำนายเมื่อครู่“

                “อ้อ! ท่านหญิงที่ข้าเพิ่งทำนายชะตาให้สินะ” คิ้วเรียวหลังกรอบแว่นหนาเลิกขึ้นเล็กน้อย “แล้วท่านมาทำอะไรอยู่ในที่แบบนี้กันล่ะครับ”

                “ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายถาม” เจ้าหญิงตอบเสียงดัง อดโมโหขึ้นมาไม่ได้ที่ชายหนุ่มข้างบนยังยืนนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่เห็นสถานการณ์ตอนนี้หรืออย่างไร รีบช่วยข้าสิ”

                นักทำนายขยับแว่นพลางฉีกยิ้มหวานให้หญิงสาวซึ่งกำลังเกาะเถาวัลย์ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องล่าง

                “ต้องขออภัยท่านหญิง ข้าไม่มีนโยบายในการช่วยเหลือใครโดยไม่ได้รับสิ่งตอบแทน”

                สการ์เล็ตอ้าปากค้าง นึกอยากกระโดดขึ้นไปเองแล้วเข้าไปบีบคอตอบแทนความไร้น้ำใจของฝ่ายตรงข้าม แต่ช่างน่าเสียดายที่นางไม่มีเรี่ยวแรงพอจะทำได้อย่างใจคิด

                “เจ้าคนไร้น้ำใจ!“ เจ้าหญิงสบถแล้วร้องอย่างตระหนกเมื่อเถาวัลย์ที่เกาะเกี่ยวอยู่กำลังครูดลงเพราะน้ำหนักและการขยับดิ้นรนของนางเอง

                สการ์เล็ตชำเลืองมองก้นเหวลึกด้านล่างพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจเงยหน้าจ้องสบตากับนักทำนาย

                “ก็ได้ ข้าจะตอบแทนทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ หากเจ้ายอมช่วยเหลือข้า”

                “ค่อยเป็นข้อเสนอที่น่าสนหน่อยนะ”

                นักทำนายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาทำปากขมุบขมิบพลางโบกมือครั้งหนึ่ง ทันใดนั้นเส้นเถาวัลย์ที่สการ์เล็ตเกาะอยู่ก็ค่อย ๆ ดึงนางขึ้นไปด้านบน นักทำนายรับร่างหญิงสาวจากเถาวัลย์แล้วบรรจงให้เท้านางแตะถึงพื้นอย่างนุ่มนวล

                “ขอบคุณ” สการ์เล็ตกล่าวอย่างโล่งใจ ครั้นรู้สึกได้ถึงความมั่นคงของผืนดินที่เหยียบอยู่ นางก็ลืมความโกรธเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

                “ข้าจะตอบแทนเจ้าตามที่สัญญาไว้อย่างแน่นอน...นักทำนาย ถ้าเรารอดพ้นจากคนพวกนี้ไปได้นะ”

                นักทำนายหันมองตามสายตาที่หญิงสาวจ้องไป กลุ่มชายฉกรรจ์อาวุธครบมือกำลังกระจายตัวตีวงล้อมทั้งคู่เอาไว้

                “เจ้าหนุ่ม ส่งตัวหญิงสาวผู้นั้นมาแล้วพวกข้าจะปล่อยเจ้าให้รอดชีวิตไป” โจรไว้เครากล่าวด้วยน้ำเสียงข่มขู่

                “คงทำตามที่ขอไม่ได้ เพราะนางยังมีสัญญาที่ต้องจ่ายให้ข้าอยู่” นักทำนายตอบพลางหันไปประจันหน้ากับกลุ่มคนร้ายอย่างไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจ “ข้าไม่ชอบทำงานโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน”

                “งั้นพวกเราจะช่วยส่งเจ้าตามไปรับค่าจ้างจากผู้หญิงคนนั้นในโลกหน้าก็แล้วกัน” เหล่าโจรร้ายแสยะยิ้มอย่างโหดเหี้ยมพร้อมกับเงื้อง้างอาวุธขึ้นแล้วพากันกรูเข้าหานักทำนายกับเจ้าหญิง

                “ถ้าทำได้ก็ตามสบาย แต่ระวังเถาวัลย์กันหน่อยจะดีกว่านะครับ”

                นักทำนายขยับยิ้มกว้างพลางขยิบตา ทันใดนั้นเถาวัลย์มากมายจากทุกสารทิศก็ตวัดรัดกายเหล่าโจรชั่ว ดึงรั้งจนร่างของแต่ละคนลอยขึ้นเหนือพื้น

                “นี่แกทำอะไร! แกเป็นใครกันแน่!”

                กลุ่มคนร้ายตวาดถามพร้อมกับพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากเถาวัลย์อย่างลนลาน แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร เถาวัลย์ก็ยิ่งม้วนรัดพันตัวแน่นหนาขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก นักทำนายเลิกคิ้วแล้วหันไปทางหญิงสาวด้านหลัง

                “อ้อ! จริงสิ... ข้าไม่ใช่นักทำนายหรอกนะครับ ท่านหญิง” เขากล่าวแล้วหันกลับไปยังเหล่าโจรร้ายที่ถูกเถาวัลย์พันธนาการอยู่กลางอากาศ แววตาและรอยยิ้มพรายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยมอย่างฉับพลัน

                “อาชีพของข้าคือพ่อมดต่างหาก แค่นักทำนายน่ะ... คงทำไม่ได้ขนาดนี้หรอก”

                กล่าวจบโจรร้ายทั้งห้าต่างก็ถูกเถาวัลย์ฉีกกระชากร่างจนขาดออกเป็นชิ้น ไม่ทันแม้จะอ้าปากส่งเสียงร้องใดออกมา หยดเลือดสาดกระเซ็นย้อมต้นไม้และใบหญ้าจนเป็นสีแดงฉานท่ามกลางสายตาเย็นชาของพ่อมด เขาแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่บังเอิญมีโลหิตกระเด็นใส่ ส่วนสการ์เล็ตได้แต่กรีดร้องพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหน้าให้พ้นจากภาพอันน่าสยดสยอง นางตระหนกตกใจกลัวจนเข่าอ่อนทรุดนั่งลงบนพื้น

                “ให้ท่านหญิงเห็นภาพไม่น่ามองเสียแล้วสิ”

                พ่อมดเอ่ยแล้วช้อนร่างเจ้าหญิงอุ้มเดินฝ่าเข้าไปในความมืดแห่งพงไพร ทิ้งซากศพเกลื่อนกระจายอย่างน่าสยดสยองเอาไว้เพียงเบื้องหลัง

                หากเขายังอยู่รั้งรอสักนิดคงได้เห็นว่ามีใครบางคนโผล่ร่างออกมาจากมวลอากาศที่บิดเกลียวม้วนตัวราวกับน้ำวน รองเท้าหนาหนักเหยียบย่ำลงบนพื้นดินที่เจิ่งนองไปด้วยหยาดโลหิตอย่างเฉยชาราวกับมันเป็นเพียงแอ่งน้ำธรรมดา

                “กลิ่นของเป้าหมาย... เพิ่งไปจากที่นี่”

                สายตาเย็นเยียบกวาดมองเศษเนื้อซึ่งกระจายเกลื่อนอยู่ตามพื้นก่อนจะสะบัดมือเรียกสายลมให้พัดมาวูบหนึ่ง พลันเศษเนื้อและกองเลือดก็มลายหายไปเหลือเพียงตุ๊กตากระดาษขาดวิ่นกระจายเกลื่อนกลาด เขาเก็บเศษกระดาษซึ่งยังคงสภาพสมบูรณ์ที่สุดขึ้นมา พิจารณาวงเวทและลายมือเจ้าของอาคมพลางแค่นหัวเราะในลำคอก่อนจะเก็บมันไว้ในอกเสื้อ

                ร่างนั้นกวาดมองรอบบริเวณอีกครู่หนึ่งแล้วจึงเดินกลับเข้าไปในมวลอากาศอันบิดเบี้ยวนั้นก่อนที่มันจะสลายหายไปราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

                เป็นเวลานานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ที่สการ์เล็ตปิดหน้าอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพ่อมดบอกให้ลืมตา

                “ถึงรถม้าของท่านแล้ว เดินไหวหรือเปล่า”

                หญิงสาวอยากจะตอบว่าไหว แต่ร่างกายยังสั่นเทาไม่หาย แม้แต่เสียงก็ไม่มีจะเปล่งออกมา พ่อมดจึงอุ้มนางเข้าไปวางบริเวณโค่นต้นไม้โล่งเพื่อให้รับลมเย็น เขานั่งรอจนใบหน้าที่ซีดเผือดของเจ้าหญิงมีสีเลือดขึ้นมาอีกครั้ง

                “ท่านคงไม่มีพลขับ ข้าจะพากลับปราสาทให้เอง”

                สการ์เล็ตจ้องตาพ่อมดหนุ่มทันใด เขารู้ได้อย่างไรว่าต้องพานางกลับไปส่งที่ไหน และทั้งที่ก่อนออกเดินทางนางยังพบเขาอยู่ในเมืองแล้วทำไมคนผู้นี้จึงมาอยู่กับนางที่นี่ได้

                คิดอย่างไรก็ไม่น่าไว้ใจสักนิด

                “แต่ก่อนที่จะไปส่งท่าน ข้าอยากให้เราตกลงกันเรื่องค่าตอบแทนเสียก่อน”

                เจ้าหญิงแห่งเรสทอเรียมองตาพ่อมดซึ่งถูกกระจกแว่นบดบังเอาไว้อย่างแน่วนิ่งก่อนจะพยักหน้า

                “ได้สิ ข้าเอ่ยวาจาแล้ว เจ้าต้องการสิ่งใดก็ว่ามา”

                “ข้าช่วยชีวิตท่านให้รอดพ้นจากความตาย ค่าตอบแทนของชีวิตก็คือชีวิตเช่นกัน” พ่อมดกล่าวช้าชัด

                คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นขณะฟังความต้องการของฝ่ายตรงข้าม สการ์เล็ตยังไม่อาจเข้าใจได้ในทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ทันใดนางก็ต้องกรีดร้องอย่างตระหนก เมื่อจู่ ๆ พ่อมดหนุ่มก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วดึงคอเสื้อลูกไม้ผืนบางของนางลงจนเผยให้เห็นเนินอกเนียนขาว

                “เจ้าจะทำอะไร! “

                เจ้าหญิงตวาดเสียงดังพร้อมกับเงื้อฝ่ามือขึ้นแล้วตบออกไปตามสัญชาติญาณ ทว่าอีกฝ่ายกลับรับฝ่ามือนั้นเอาไว้ได้ เขายึดข้อมือนางอย่างแน่นหนาราวกับคีมเหล็ก

                “ประทับตราสัญญา”

                พ่อมดตอบเสียงพร่าระหว่างยื้อยุดฉุดข้อมือกับหญิงสาว

                เจ้าหญิงพยามยามผลักไสเขาให้ถอยห่างอย่างสุดกำลัง ทว่าราวกับนางกำลังผลักหินผา กายกำยำหนาของบุรุษหนุ่มจึงไม่รู้สึกสะเทือน

                “ช่วยอยู่เงียบ ๆ นิ่ง ๆ หน่อยได้ไหม”

                จอมเวทหนุ่มขมวดคิ้ว เขารวบข้อมือที่กำลังทุบตีตนเองแล้วบังคับให้สการ์เล็ตนอนราบลงบนพื้นหญ้า

 

                นัยน์เนตรสีน้ำเงินซึ่งมีริ้วรอบขอบม่านตาเป็นสีม่วงอย่างประหลาดโผล่พ้นกรอบแว่นออกมาจ้องมองหญิงสาวด้วยประกายวาววับจนนางถึงกับชะงักงัน จากนั้นเขาก็มอบจุมพิตอันหนักหน่วงกดดันกระทั่งนางไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง

                ในสมองของหญิงสาวขาวโพลนว่างเปล่า ราวกับถูกปลายชิวหาอุ่นร้อนที่แทรกซึมเข้ามากระชากวิญญาณออกไป

                เมื่อบุรุษหนุ่มเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์แล้วจึงยอมถอนริมฝีปากออกมา

                “อยู่นิ่ง ๆ แต่แรกก็สิ้นเรื่อง”

                น้ำใส ๆ ร่วงรินจากดวงตาสีทับทิมคู่งาม ร่างนางสั่นสะท้านอย่างห้ามไม่ได้ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ถูกหมิ่นเกียรติถึงเพียงนี้ เรียวปากสีกุหลาบเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรงขณะที่พ่อมดเลื่อนใบหน้าลงไปยังทรวงอก เขาประทับริมฝีปากลงไปบนเนินเนื้อเนียนขาวตำแหน่งเดียวกับหัวใจ พลันสการ์เล็ตก็รู้สึกร้อนราวถูกหินไฟนาบผิวหนังจนสะท้านเฮือก

                ตรงบริเวณที่ถูกพ่อมดประทับรอยมีลำแสงสีแดงเรื่อเรืองออกมา มันส่องประกายเพียงชั่วครู่ก็หายไปเหลือเพียงรอยปานรูปดาวหกแฉกซ้อนวงเวทสีแดงเข้มราวกับรอยเลือดเอาไว้บนเนินอก

                พ่อมดหนุ่มมองสัญลักษณ์ขนาดเท่าเหรียญเงินที่ตัวเองสร้างบนผิวขาวนวลอย่างพอใจแล้วจึงปล่อยสการ์เล็ตให้เป็นอิสระ เขาถอยออกไปยืนกอดอกมองหญิงสาวยันตัวลุกขึ้นแล้วดึงคอเสื้อกลับที่เดิมอย่างรวดเร็ว

                “เจ้าทำอะไรกับข้า! ” เจ้าหญิงถามเสียงสั่น ร่างกายสะท้านไหวด้วยความโกรธจนควบคุมไม่ได้

                “ประทับตราสัญญา… ว่าท่านได้กลายเป็นของของข้าแล้วทั้งร่างกายและวิญญาณอย่างไรล่ะ เจ้าหญิงลำดับแรกแห่งเรสทอเรีย”

                สการ์เล็ตเบิกตาโพลงพลางเค้นเสียงถามอย่างเจ็บใจ “เจ้ารู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม”

                พ่อมดหาได้คิดตอบคำใด เขายิ้มอย่างผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า นัยน์ตาสีประหลาดทอประกายกร้าวขณะจ้องมองหญิงสาวผู้หลวมตัวมาอยู่ในกำมือผ่านกระจกแว่น

                “อย่าได้คิดผิดสัญญา เพราะท่านลั่นวาจาเองว่าจะตอบแทนทุกสิ่งที่ข้าต้องการ และอย่าได้คิดหลีกหนีไปจากข้าไม่ว่าทางเป็นหรือทางตาย ไม่อย่างนั้นท่านจะได้รู้ว่าข้า คาอิล มิลตัน ร้ายกาจได้มากกว่าที่ท่านเห็นเพียงใด”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา