D.May Reign - ดี.เมย์ ปริศนาบัลลังก์นักเชิด
เขียนโดย Tsmit
วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.13 น.
แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2558 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย
3) Episode 2 - อิสระ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
II
อิสระ
ที่แท้ดีก็เป็นคนไข้ของที่นี่นี่เอง
ภาพความฝันและความหวังในจิตใจได้พังทลายลงไปในพริบตาทันทีที่เธอเริ่มตั้งสติได้
ใช่แล้ว เขาต้องเป็นคนไข้ของที่นี่แน่นอน ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำเขาถึงได้ดูผิดเพี้ยนไปจากคนปกติขนาดนี้
“นายเป็นคนไข้ของที่นี่ใช่มั้ย”
เธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้เพียงสองอาทิตย์เท่านั้นจึงจำหน้าคนไข้คนอื่นได้แค่ไม่กี่คน บางทีเขาอาจจะเป็นพวกชอบหลบอยู่แต่ในห้องของตัวเอง แล้ววันนี้ก็ดันนึกคึก อยากออกมาเดินเล่นบนดาดฟ้า หรือไม่ก็อาจจะแค่อยากเดินตามเธอขึ้นมาเฉยๆ หรือบางทีเขาอาจจะเห็นเธอเป็นใครก็ตามหรือเป็นตัวประหลาดอะไรบางอย่างไปเลยก็ได้ แต่ที่นี่แยกวอร์ดหญิงชาย...ทำไมเขาถึงเข้ามาในวอร์ดหญิงได้กันล่ะ
“ชุดสีครีมแบบที่เธอใส่อยู่มันก็สวยดีนะ แต่สีจืดไปหน่อย” ชายหนุ่มตอบกลับมาเสียงเรียบพร้อมกับยักไหล่น้อยๆ อย่างไม่สนใจ
ฮะ?
หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ อย่างงุนงง ไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะประมวลผลประโยคคำตอบนั่นว่าอย่างไร
นี่เขาเพี้ยนไปแล้วหรือว่าจงใจพูดกวนประสาทเธอกันแน่
“ถึงจะบอกว่าให้ทำสัญญากัน แต่มันก็ไม่ได้เป็นทางการอะไรหรอกนะ เธอก็แค่ต้องมาช่วยฉันล่าวิญญาณ ส่วนฉันก็จะช่วยให้เธอออกไปจากที่นี่ เป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมดีใช่มั้ยล่ะ เธอได้ประโยชน์ ฉันก็ได้ประโยชน์”
“เดี๋ยว เดี๋ยวนะ... ล่าวิญญาณ...?”
อยู่ๆ คนตรงหน้าก็เริ่มต้นพล่ามเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แถมยังทำเหมือนกับว่าสิ่งที่ตัวเองพูดนั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาทั่วไปอย่างนั้นแหละ ล่าวิญญาณเนี่ยนะ? นี่เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในหนังหรือในการ์ตูนรึไงกัน คนคนนี้ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้มาพูดอะไรแบบนี้
แต่คนที่บ้ายิ่งกว่านั้นคงจะเป็นเธอ ที่พยายามจะทำความเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด
“เธอน่ะมีความสามารถในการมองเห็นวิญญาณ และสิ่งที่เธอเห็นในร้านเค้กวันนั้นก็คือวิญญาณร้ายยังไงล่ะ” ดีพูดด้วยรอยยิ้มสดใส เขาดูหลงเชื่ออย่างสนิทใจเหลือเกินว่าวิญญาณมีอยู่จริง บางทีมันอาจจะมีอยู่จริงๆ ก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือเธอไม่ได้ความสามารถอะไรที่ว่านั่นเลยแม้แต่น้อย
และสิ่งที่เขาพูดมาก็เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระเท่านั้น
เขาก็แค่คนไข้คนหนึ่งที่แอบเข้ามาในวอร์ดหญิง แล้วก็ดันมาขัดจังหวะการฆ่าตัวตายของเธอพอดี จากนั้นก็มาพล่ามเรื่องความเชื่อในจินตนาการของตัวเองให้เธอฟัง
เป็นแค่คนบ้าคนหนึ่งที่ทำให้เธอค้นพบความขี้ขลาดของตัวเอง และล้มเหลวในการช่วยเหลือน้องชาย
ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะเป็นบ้าไปกับเขาด้วยแล้วก็ได้
หึ ข้อแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมงั้นแหรอ เธอไม่รู้หรอกว่าโลกจินตนาการที่เขาอยู่นั้นมีลักษณะเป็นแบบไหน แต่ว่าที่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง และโลกอันแสนโหดร้ายแห่งนี้นั้นไม่มีคำว่ายุติธรรม
มันก็เหมือนกับเหตุฆาตกรรมในร้านเค้กนั่นแหละที่คนอ่อนแอกว่ามักจะถูกกำจัด และผู้ทรงอิทธิพลที่สุดก็ย่อมหนีรอดไปได้ ส่วนคนที่อยู่ในเหตุการณ์แต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลยนั้นก็สมควรแล้วที่จะต้องกลายเป็นแพะรับบาป แล้วก็ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าสมเพช
เหมือนอย่างเธอเป็นต้น
ร้านเค้ก
ร้านเค้ก...?
เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อกี้... ดีรู้เรื่องคดีของเธอได้ยังไงกัน เขาเป็นคนไข้ของที่นี่ไม่ใช่เหรอ แล้วรู้เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับเธอได้ยังไง ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องรู้ว่าเธอเป็นใครตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วยน่ะสิ
แล้วเขาต้องการอะไรกันล่ะ
มีจุดประสงค์อะไรถึงได้เข้ามาคุยกับเธอ เป็นพวกเดียวกับตำรวจที่ต้องการจะสืบเรื่องคดีหรือเปล่า แต่เขาก็ดูเด็กเกินไป หรือว่าจะเป็นนักข่าวแอบแฝงตัวเข้ามา?
ไม่ว่าจะยังไงเขาก็ต้องไม่ได้มีจุดประสงค์ดีแน่นอน
แต่ทว่า
“ข้อเสนอที่ว่านั่น...ฉันตกลง” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ
ไม่แน่ว่าเขาอาจจะช่วยให้เธอออกไปจากที่นี่ได้จริงๆ ก็ได้ และต่อให้ถูกเขาหลอก เธอก็ไม่มีอะไรที่จะต้องเสียอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเธอก็ควรที่จะเออออตามเขาไปก่อน
ดียิ้มร่าออกมาทันทีที่ได้ยินคำตอบรับอันน่าพึงพอใจสำหรับเขา แต่ความไม่สนิทใจก็ทำให้หญิงสาวทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มเจื่อนๆ กลับไปให้อีกฝ่ายเท่านั้น อีกทั้งยังอดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้ว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องแล้วหรือเปล่าในเมื่อเธอไม่ได้เชื่อสิ่งที่เขาพูดมาเลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม
ขอเพียงแค่ให้ได้ออกไปจากที่นี่ก็พอแล้ว
***
ตลอดเวลาสิบเก้าปีนับตั้งแต่เกิดมา เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่ตัวเองได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าจนถึงกับต้องถูกจับตัวเข้ามาอยู่โรงพยาบาลโรคจิต ชีวิตก่อนหน้านี้ของเธอนั้นสุดแสนจะธรรมดา เป็นแค่คนธรรมดาที่ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองและน้องชาย เธอเป็นหัวหน้าครอบครัวมาตั้งแต่แปดปีก่อน อาศัยอยู่ในสังคมปกติเหมือนคนทั่วไป เป็นแค่ผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ผมสีน้ำตาลเข้ม ผิวสองสี จะคล้ำมากหรือคล้ำน้อยนั้นขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้นเธอออกแดดเยอะแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีชีวิตเรียบง่ายเพราะว่ามีปัญหาเรื่องเงินอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ต้องมาอยู่ในกรงขังเหมือนอย่างในตอนนี้
แม้ว่าลึกๆ ในใจแล้วเธอจะรู้สึกว่าตัวเองสมควรอยู่ที่นี่ก็ตาม
“เชิญครับ” เจ้าหน้าที่ประจำประตูเหล็กกล่าวสั้นๆ พร้อมกับกดปลดล็อกประตูให้อย่างสุภาพ
หญิงสาวกระพริบตาสองสามทีอย่างงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองรอยยิ้มแป้นของคนข้างกายด้วยความฉงน
นี่เธอฝันไปหรือเปล่าเนี่ย
“คุณครับ” เสียงของเจ้าหน้าที่ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับที่เขายื่นหนังสือเล่มหนาเตอะเล่มหนึ่งมาให้ดี “ช่วยเซ็นรับรองออกจากสถานที่ให้ผมที”
ชายหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้กับอีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร แล้วรับหนังสือในมือของเจ้าหน้าที่มาเขียนเช็นชื่อลงไปบนหน้ากระดาษตามคำขอ
หลังจากนั้นอีกไม่กี่วินาทีถัดมา พวกเธอสองคนก็สามารถก้าวเดินออกจากโรงพยาบาลบ้าแห่งนี้ได้สำเร็จ
สิ่งที่เธอต้องทำก็มีเพียงแค่เดินตามดีออกมาเท่านั้น
เมื่อประมาณสิบนาทีก่อนเธอเห็นเขาเข้าไปพูดคุยอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ในห้องห้องหนึ่ง คงจะเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงของทางโรงพยาบาล แต่คุยกันไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็ออกมา แล้วก็พาเธอเดินผ่านพวกประตูเหล็กกั้นทั้งหลายนั่นจนกระทั่งออกมาถึงข้างนอกได้อย่างง่ายดาย
ง่ายมาก ง่ายเสียจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันจะง่ายขนาดนี้
“เมื่อกี้...นายทำได้ไงน่ะ” เธอเอ่ยถามพร้อมกับหันกลับไปมองสถานที่ที่เคยกักขังตัวเธอเอาไว้ ทุกอย่างมันเร็วมากเสียจนเธอยังคงงงๆ อยู่เลยว่าตัวเองออกมาข้างนอกได้แล้วจริงๆ หรือเปล่า
“ฉันก็แค่ยื่นเอกสารขอปล่อยตัวเธอเท่านั้นเอง”
“แค่เอกสารแผ่นเดียวพวกเขาถึงกับยอมปล่อยตัวฉันออกมาเลยเหรอ”
“แค่เอกสารแผ่นเดียวสงครามยังเกิดขึ้นได้เลย”
เธออยากจะแย้งกลับไปว่ามันคนละเรื่องกัน แต่แล้วก็ต้องยอมแพ้เพราะคิดว่ายังไงเขาก็คงต้องเถียงเธอกลับมาอีกอยู่ดี
ดียื่นเอกสารขอปล่อยตัวเธอ... แสดงว่าเขาต้องรู้จักชื่อของเธอดีอยู่แล้ว หรือว่าเขาจะเป็นตำรวจหรือเปล่า ถึงได้มีอำนาจขอเอกสารแบบนั้นได้
ไม่สิ เธอคิดตื้นเกินไป ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นตำรวจเสียหน่อย แล้วก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเอกสารฉบับจริงเสมอไปด้วย ดีอาจจะไปจ้างใครสักคนให้ทำเอกสารปลอมขึ้นมาให้ก็ได้
สุดท้ายแล้วก็ต้องวกกลับมายังคำถามเดิมอยู่ดีว่าเขาเป็นใคร ทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร
เธอเดินตามคนตรงหน้าไปที่ลานจอดรถของทางโรงพยาบาลอย่างโดยที่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปอีก ถึงแม้ว่าจะมีคำถามมากมายอัดแน่นอยู่ในหัว แต่เธอก็คิดว่าเขาคงจะให้คำตอบแบบที่มันไม่ใช่คำตอบของคำถามนั้นๆ จนน่าปวดหัวเหมือนอย่างก่อนหน้านี้แน่ ในเมื่อเขาไม่ยอมตอบ เธอก็ไม่อยากที่จะเซ้าซี้เพราะว่ามันงี่เง่า แต่ถ้าหากว่ามันเป็นคำถามที่เธอต้องรู้ เธอก็คงจะต้องหาคำตอบด้วยตัวเอง
หลังจากที่เธอเดินตามอีกฝ่ายมาจนถึงรถของเขา ดีก็เสนอตัวว่าจะขับรถไปส่งเธอที่บ้าน ทำให้เธออดที่จะรู้สึกระแวงไม่ได้ว่าเขาจะพาเธอไปส่งให้ถึงที่บ้านจริงหรือเปล่า แต่ยิ่งคิดระแวงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกแปลก คนร้ายที่ไหนจะลงทุนถึงขนาดทำเอกสารปลอมขึ้นมาเพื่อไปพาคนไข้โรคจิตออกมาจากโรงพยาบาลบ้ากันบ้างเล่า เพราะฉะนั้นเขาอาจจะไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายเธอก็ได้ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงผลักเธอให้ตกลงมาจากดาดฟ้าเสียตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
ชายหนุ่มขับรถพาเธอมาส่งถึงหน้าบ้านได้โดยที่ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง คงจะเป็นเพราะว่าในตอนนี้เป็นช่วงเวลาสายก่อนเที่ยงพอดีจึงทำให้ไม่ค่อยมีปัญหารถติดสักเท่าไหร่
ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะกลับมาถึงบ้านได้แล้วจริงๆ
ภาพบ้านอันแสนคิดถึงที่ปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นทำให้หญิงสาวอยากจะร้องตะโกนออกมาดังๆ ด้วยความดีใจ แต่แล้วความรู้สึกยินดีในอกก็ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยเมื่อเธอนึกย้อนไปถึงเรื่องข้อตกลงอะไรนั่นกับคนข้างกาย พวกเธอยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรกันเลยสักนิด และยิ่งคิดถึงเรื่องนั้นมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งกังวลมากขึ้นเท่านั้น เธอเกลียดการติดหนี้บุญคุณคนอื่น อีกทั้งยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายต้องการให้เธอไปทำอะไรกันแน่
เพราะฉะนั้นหลังจากที่เข้าไปในบ้านแล้วพวกเธอคงจะต้องคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังเสียที
พื้นคอนกรีตหน้าบ้านอันแสนคุ้นเคยทำให้เธอรู้สึกโล่งอกราวกับว่าตัวเองเพิ่งจะหลุดพ้นออกมาจากอันตรายทั้งปวง เสียงเครื่องยนต์ถูกเสียงเห่าของเจ้าตูบข้างบ้านกลบจนหมด ถ้าเป็นเมื่อก่อนหน้านี้เธอก็คงจะรู้สึกรำคาญมัน แต่ในวันนี้เธอกลับคิดถึงมันเหลือเกิน ดังนั้นหญิงสาวจึงหันไปส่งเสียงผิวปากทักทายเจ้าตูบตัวน้อย ก่อนที่จะหันกลับมาปิดประตูรถ
ดีหันมาส่งยิ้มเร็วๆ ให้เธอหนึ่งที หลังจากนั้นก็เหยียบคันเร่ง บึ่งรถจากไปอย่างรวดเร็ว
โดยที่ทิ้งให้เธอยืนงงอยู่หน้าบ้านทั้งๆ อย่างนั้น
?
ปล่อยเธอลงจากรถ แล้วก็หายตัวไปเลยเนี่ยนะ แล้วเรื่องงานล่ะ?
หญิงสาวยืนรออยู่หน้าบ้านต่ออีกประมาณห้านาทีเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายไปหาที่จอดรถหรือเปล่า แต่หน้าบ้านของเธอก็มีที่พอสำหรับให้รถจอดได้อยู่แล้วนี่ หรือว่าเขาต้องการที่จะล้อเธอเล่น? แต่ตามปกติแล้วจะมีใครเขามาล้อเล่นอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ
เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังใช้เวลาไปอย่างไร้ค่าเธอจึงตัดสินใจที่จะเลิกสนใจถนนอันไร้วี่แววของชายหนุ่ม แล้วเดินไปไขกุญแจประตูบ้านเปิดเข้าไปข้างใน ภายในบ้านให้ความรู้สึกเงียบเหงาเนื่องจากเธออาศัยอยู่กับมิวแค่สองคน และตอนนี้เขาก็คงจะอยู่ที่โรงเรียน
แวบแรกที่เหลือบสายตาไปเห็นโทรศัพท์บ้านในห้องนั่งเล่น หญิงสาวก็คิดที่จะหยิบมันขึ้นมากดเบอร์มือถือของมิวทันที อยากจะพูดคุยกับเขาให้หายคิดถึงเหลือเกิน มิวคงจะตกใจน่าดูที่ได้รับโทรศัพท์จากเธอ แล้วก็คงจะต้องรีบกลับบ้านมาหาเธอแน่นอน แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป เพราะไม่อยากที่จะไปรบกวนเวลาเรียนของเขา
สองสามชั่วโมงแรกนั้นเธอยังคงงงๆ อยู่ว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นแค่ความฝันหรือเปล่า อีกทั้งยังต้องลุกไปดูหน้าบ้านทุกๆ ครึ่งชั่วโมงด้วยความรู้สึกกังวลว่าดีจะกลับมาหาเธออีกหรือไม่ แล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าตรงหน้าบ้านไม่มีรถของเขาจอดอยู่
แต่เมื่อย่างเข้าสู่ชั่วโมงที่สี่ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้น
“สวัสดีค่ะ”
เงียบ
พวกโรคจิตหรือเปล่าน่ะ?
“ฮัลโหล?”
‘เมย์ นี่ฉันดีเองนะ’ เสียงของอีกฝ่ายฟังดูอ่อนเพลียและเนือยๆ กว่าที่เธอจำได้
เยี่ยม ปริศนาเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งซะแล้ว นับวันกองคำถามในหัวมีแต่จะสูงพะเนินขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าดีจะรู้เบอร์โทรศัพท์บ้านของเธอด้วยวิธีไหนก็ตาม ยังไงเธอก็คงไม่มีทางได้รู้คำตอบจากเขาในเร็ววันนี้แน่
“นายโทรมาทะ...”
‘พอดีฉันไม่ว่างน่ะ เดี๋ยวฉันโทรกลับได้มั้ย’
“ฮะ?”
‘แป๊บเดียว’
ตู๊ด แล้วสายก็ถูกตัดขาดไปในทันที เธอยืนแนบหูอยู่กับโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้นด้วยความงุนงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาโทรมาหาเธอเพื่อบอกว่าเขาไม่ว่างเนี่ยนะ
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปร่วมชั่วโมง กว่าที่เสียงโทรศัพท์จะดังขึ้นอีกครั้ง
เธอไม่เข้าใจนิยามคำว่าแป๊บเดียวของเขาเลยแม่แต่น้อย
“สวัสดีค่ะ”
‘เมย์! นี่ฉันดีเองนะ’ เสียงของเขาฟังดูสดใสกว่าก่อนหน้านี้มากเลยทีเดียว
“เสร็จธุระแล้วเหรอ” เธอรีบขอคำยืนยันก่อนทันทีเพราะว่าที่จะไม่อยากถูกทิ้งให้ต้องรอเก้อเหมือนเมื่อครู่นี้อีก
‘คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้วล่ะ พวกรายละเอียดนี่ต้องตรวจดูให้ดีเพราะมักจะเป็นจุดที่ผิดพลาดได้ง่าย แต่บางทีเรื่องความเร็วก็สำคัญกว่าเพราะจะทำให้มองข้ามและตามไม่ทัน ฉันจึงคิดว่าน่าจะใช้จุดนั้นให้เป็นประโยชน์ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องอาศัยความสะเพร่าของคนเราด้วย ที่จริงแล้วเรื่องความสะเพร่านี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดเลยต่างหาก เธอเองก็รู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่ามันเอามาใช้งานได้’
ประโยคอันยาวยืดของชายหนุ่มทำเอาเธอมืดแปดด้านเนื่องจากเธอไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขากำลังพล่ามถึงเรื่องอะไรอยู่
“...ฉันควรจะต้องรู้อะไรด้วยเหรอ”
‘การใช้งานจริงไงเมย์ การใช้งานจริง การทำงานจริงมันไม่เหมือนกับทฤษฎี คนเรามันต่างกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมองหาจุดที่ทุกคนมีเชื่อมกัน แล้วสิ่งนั้นแหละคือสิ่งที่เอามาใช้งานได้ เธออยู่ในนั้นมาตั้งสองอาทิตย์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยหรือไง แต่ช่างเถอะ ฉันคงให้เครดิตเธอสูงไปเอง’
ทั้งหมดที่เขาพูดมานี่คือเรื่องที่โรงพยาบาลโรคจิตหรือเปล่าน่ะ
“เดี๋ยวนะ...คือฉันยังไม่ค่อยเข้าใจเลยว่านายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
‘อะไรกันเมย์ ฉันก็บอกไปแล้วนี่ หรือว่าฉันยังไม่ได้บอก’
“เอ่อ...บอกอะไร”
เธอได้ยินเสียงเขาถอนหายใจเบาๆ
‘เรื่องความสะเพราะคือส่วนสำคัญของเรื่องทั้งหมดยังไงล่ะ เพราะว่าถ้าไม่มีมัน ฉันก็คงจะพาเธอออกมาจากที่นั่นไม่ได้ แต่ถ้ามาคิดดูดีๆ แล้วมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มี เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะยังไงฉันก็คงจะพาเธอออกมาจากที่นั่นได้อยู่ดีนั่นแหละ’
นี่เขากำลังพยายามจะทำให้เธอเป็นไมเกรนอยู่หรือเปล่าน่ะ อาจจะเป็นวิธีการทรมานแบบใหม่ด้วยการทำให้เหยื่อสับสนจนตาย
“...ฉันไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านายต้องการจะสื่ออะไร”
‘งั้นฟังนะ คนที่นั่นรักงานเอกสาร ถ้าเธอรักงานเอกสารเธอก็อาจจะอยากไปทำงานที่นั่นด้วยก็ได้ แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเหมาะกับเธอสักเท่าไหร่และเธอก็คงไม่อยากที่จะกลับไปเหยียบที่นั่นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะฉะนั้นเธอคงไม่ไปทำงานที่นั่นอยู่แล้วล่ะ เอาเป็นว่า สิ่งที่คนพวกนั้นสนใจจริงๆ ก็คือเอกสาร เธอก็เห็นแล้วนี่ พวกเขาแทบไม่ได้มองมาที่พวกเราเลยด้วยซ้ำในตอนที่ฉันยื่นเอกสารเรื่องเธอน่ะ เธอคงเห็นใช่มั้ยล่ะ แต่ในห้องนั้นมันติดฟิล์มกันแสงเพราะฉะนั้นเธอไม่น่าจะเห็น ยังไงก็ตามสิ่งที่ฉันกำลังบอกอยู่ก็คือ ต่อให้เป็นแค่เด็กสิบขวบก็ยังสามารถพาตัวเธอออกมาจากที่นั่นได้สบาย คนเรามักจะหลงเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นอยู่แล้ว น้อยคนที่จะตั้งคำถามจริงๆ จังๆ ว่ามันเป็นความจริงหรือว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงกันแน่ เพราะเหตุนี้เวลาที่มองไม่เห็นอะไรบางอย่าง พวกเขาจึงเชื่อสนิททันทีว่ามันไม่มีอยู่จริง ผิดกับเธอไง เธอเห็น ส่วนพวกเขาไม่เห็น เธอก็เลยต้องกลายเป็นพวกผิดปกติไป ขอโทษที่ฉันใช้คำไม่ดีนะ แต่ก็นั่นแหละ เธอต้องกลายเป็นพวกผิดปกติ ส่วนพวกเขาก็เชื่อต่อไปว่าตัวเองถูกต้อง คงเข้าใจแล้วสินะ ยังฟังอยู่รึเปล่าน่ะ’
ไม่ ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเขากำลังพล่ามเรื่องบ้าอะไรอยู่ ยิ่งเขาพยายามพูดอธิบายมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งงงหนักมากขึ้นเท่านั้น จนถึงเดี๋ยวนี้เธอก็ยังคงไม่รู้อยู่ดีว่าเขาโทรมาทำไม มีธุระอะไร จะคุยเรื่องอะไร
‘เมย์?’ เสียงปลายสายขึ้นสูงเล็กน้อย
“ฉันอยากจะคุยเรื่องข้อตกลงอะไรนั่นน่ะ นายหมายความว่ายังไง” หญิงสาวตัดสินใจเปิดประเด็นหัวข้อสนทนาที่ตัวเองต้องการจะรู้เพื่อที่จะได้คุยให้มันรู้เรื่องกันไปเลยเสียที ไม่อย่างนั้นการคุยโทรศัพท์ครั้งนี้คงจะยืดต่อไปอีกยาวแน่
‘ข้อแลกเปลี่ยนน่ะเหรอ ก็ตามที่ฉันเคยบอกไปนั่นแหละ คือเธอต้องมาเป็นผู้ช่วยในการล่าวิญญาณให้ฉัน’
“แล้วไอ้การล่าวิญญาณที่ว่านี่มันคืออะไรกันล่ะ นายคงไม่ได้ล้อฉันเล่นอยู่ใช่มั้ย”
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขายังคงดึงดันที่จะพูดถึงเรื่องล่าวิญญาณอะไรนี่อยู่ได้ ทั้งๆ ที่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
‘ก็อย่างที่ฉันเคยบอกไปว่าสิ่งที่เธอเห็นในร้านเค้กเมื่อวันนั้นน่ะมันคือวิญญาณ ฆาตกรก็คือวิญญาณร้ายนั่น แต่มีแค่เธอเท่านั้นที่มองเห็นมันได้ ดังนั้นคนอื่นจึงคิดว่าเธอมีอาการทางจิต เห็นภาพหลอน พวกเขาก็เลยจับเธอส่งโรงพยาบาลโรคจิต ส่วนฉันก็จะให้เธอมาเป็นผู้ช่วยในการล่าวิญญาณเพราะว่าเธอมองเห็นพวกมันได้ยังไงล่ะ’
เรื่องที่เขาพูดมานั้นพอจะฟังดูเป็นเหตุเป็นผลอยู่ก็จริง แต่เธอไม่เห็นจะเคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองมีความสามารถอะไรแบบนั้นอยู่ด้วย แล้วอยู่ๆ จะให้มาเชื่อกันง่ายๆ แบบนี้เลยได้ยังไงกันล่ะ เรื่องแบบนี้มันเหลือเชื่อเกินไปหน่อยแล้ว เธอไม่ได้อยู่ในหนังหรือในการ์ตูนนะ
“ฉันคิดว่านายกำลังหลอกฉันอยู่นะ บอกความจริงมาเลยดีกว่า เลิกอ้อมค้อมซะที”
ไม่มีคำตอบใดๆ ทั้งสิ้นจากดี เขาเงียบไปนานจนเธอสงสัยว่าสายถูกตัดไปแล้วหรือเปล่า หรือไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะกำลังคิดหาคำแก้ตัวกลับมาอยู่แน่ๆ
‘ที่แท้เธอก็เป็นพวกบุคลิกภาพผิดปกติแบบหวาดระแวงนี่เอง’ เสียงเรียบตอบกลับมาในที่สุด
หา!?
“ฉันไม่ได้เป็นนะ!”
‘Paranoid Personality Disorder บุคลิกภาพแปรปรวนชนิดหวาดระแวง เธอเป็นแน่นอน’
“ฉันไม่ได้หวาดระแวง!”
‘ฟังนะเมย์ หวาดระแวงน่ะดีแล้วล่ะ ดีมากเลยด้วย การหวาดระแวงจะช่วยสร้างผลประโยชน์ให้กับตัวเธอเอง เธอจะได้ไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ และคอยตั้งคำถามกับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเธอควรที่จะเก็บรักษาอาการหวาดระแวงแบบนี้ให้คงอยู่ตลอดไป’
ตรรกะวิบัติ ตรรกะวิบัติสุดๆ! เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ ถึงได้บอกว่าการหวาดระแวงเป็นสิ่งดี ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีประโยชน์อยู่บ้างตามที่เขาพูดมา แต่มันก็มีข้อเสียอีกตั้งเยอะ ที่แน่ๆ คือมันทำให้เกิดความเครียดสูงยังไงล่ะ
คุยกับดีแล้วเธอรู้สึกปวดหัวเหลือเกิน สรุปแล้วในตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเขาเลยแม้แต่อย่างเดียว
“ฉันอยากจะรู้ว่านายต้องการให้ฉันทำอะไร ขอรายละเอียดแบบเจาะลึกมาเลย ไม่ใช่มาพูดอ้อมๆ แบบนี้ มันเสียเวลา แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ซะที” หญิงสาวโพล่งออกไปอย่างหงุดหงิด
‘ก็อย่างที่บอกไปว่าเธอต้องมาช่วยฉันล่าวิญญาณ จริงๆ แล้วเธอก็ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่มาช่วยฉันก็พอ คอยบอกฉันว่าพวกมันอยู่ที่ไหน แต่อย่าบอกมาแบบพรรณนาจะดีกว่า พวกแฟชั่นเสื้อผ้านี่ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ดูจากสภาพเธอก่อนหน้านี้แล้วเธอคงจะไม่สนใจเรื่องนั้นอยู่แล้วล่ะนะ เอาเป็นว่าไม่ต้องบอกพวกรายละเอียด เพราะว่ามันไม่มีประโยชน์ แค่อธิบายคร่าวๆ มาก็พอ คล้ายๆ กับการบอกทางนั่นแหละ เธอคงจะเคยบอกทางให้กับคนหลงทางใช่มั้ยล่ะ’
“...ก็ใช่” หญิงสาวตอบรับอย่างงงๆ
สรุปแล้วหน้าที่ของเธอคือการบอกทาง? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับแฟชั่นเสื้อผ้าหรือวิญญาณน่ะ
‘อธิบายแบบนี้คงจะไม่เห็นภาพเท่าไหร่สินะ คงจะต้องให้มาลองลงสนามจริงกันสักหน่อย โชคดีจริงๆ ที่เธอถูกไล่ออกจากงานพอดี เธอต้องเอาพวกของใช้จำเป็นมาด้วยนะ โดยเฉพาะใบชาแห้ง แต่ไม่ต้องก็ได้ ฉันคิดว่าฉันเตรียมไปเองดีกว่า ส่วนเสื้อผ้าก็ควรจะเป็นชุดที่เคลื่อนไหวได้สะดวก รองเท้าผ้าใบได้ยิ่งดี อ้อ จริงสิ เธอมีกล้องมั้ย’
คำถามของอีกฝ่ายทำให้เธอหวนนึกไปถึงตอนที่เธอเจอเขาครั้งแรกบนดาดฟ้าของโรงพยาบาล เมื่อตอนนั้นเขาก็ถามหากล้องด้วยเช่นกัน บางทีดีอาจจะชอบถ่ายรูปหรือเปล่า แต่ถ้าชอบถ่ายรูปจริงเขาก็น่าจะมีกล้องเป็นของตัวเองสิ
“มีแต่กล้องของน้องน่ะ”
‘เอามันมาด้วย’
เธอนิ่วหน้าทันทีด้วยความไม่พอใจ
“แต่ว่านั่นมันเป็นกล้องของน้องฉันนะ”
‘ขอยืมใช้นิดเดียวเอง ใช้เสร็จแล้วค่อยเอาไปคืนก็ได้นี่ คุณน้องชายไม่ว่าอะไรหรอกน่า เขาอาจจะดีใจก็ได้นะที่กล้องของตัวเองมีส่วนทำให้พี่สาวใช้หนี้ได้สำเร็จ’
คำว่า ‘ใช้หนี้’ ของดีทำให้หญิงสาวรู้สึกเคืองขึ้นมาในทันใด แต่ถ้ามัวแต่มาเถียงกันอยู่อีกล่ะก็เรื่องนี้ก็คงจะไม่มีวันได้ข้อสรุปแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงไม่แย้งอะไรกลับไปอีกเพื่อที่จะได้รีบๆ ทำตามข้อตกลงของเขาให้มันจบๆ ไปเสียที
‘รายละเอียดต่อจากนี้ไว้ฉันค่อยบอกเธอทีหลังละกัน’
“แล้วจะนัดคุยกันอีกทีวันไหน” เสียงแข็งถามต่ออย่างเซ็งๆ
สุดท้ายแล้วเธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าเขาโทรมาทำไม
‘อีกห้านาทีเจอกันที่ร้านกาแฟหน้าปากซอยบ้านเธอนะ อย่าลืมกล้องซะล่ะ’
“ฮะ! ดะ...เดี๋ยวนะ ตอนนี้เลยเหรอ!?”
‘ก็ใช่น่ะสิ ตอนนี้ฉันกำลังหาที่จอดรถในซอยอยู่ เพราะงั้นฉันถึงได้โทรมาบอกรายการของที่เธอต้องไปเตรียมมาไง อีกไม่นานน้องชายเธอก็คงจะกลับมาถึงบ้านแล้วนี่ เพราะฉะนั้นเธอต้องรีบออกมาเดี๋ยวนี้ อย่าให้เขารู้เด็ดขาดว่าเธอออกจากโรงพยาบาลนั่นมาแล้ว’ เสียงของเขาฟังดูราบเรียบ ไม่ได้รู้สึกตื่นตกใจไปกับเธอด้วยเลยแม้แต่น้อย
แล้วไอ้บทสนทนาก่อนหน้านี้มันคืออะไรกันล่ะเนี่ย! คุยกันมาตั้งยืดยาว แต่กลับมาบอกเอาในตอนนาทีสุดท้ายเนี่ยนะ
“ละ...แล้วทำไมฉันถึงบอกมิวไม่ได้ล่ะ” เธอถามอย่างตื่นตระหนกขณะรีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นบนอย่างรวดเร็วเพื่อจัดกระเป๋า โชคดีที่โทรศัพท์บ้านเป็นแบบไร้สายพอดีจึงทำให้เธอยังคงพูดคุยกับเขาต่อไปได้
‘เพราะว่ามันไม่สมเหตุสมผลยังไงล่ะ แล้วก็จะเป็นการทำให้สิ่งที่ผ่านมานั้นสูญเปล่า เพราะฉะนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไม่ต้องบอกอะไรทั้งนั้นนั่นแหละ’ เขาตอบกลับมา แต่เธอกำลังเพิ่งสมาธิไปยังสิ่งที่ตัวเองต้องทำ จึงทำให้ไม่ได้สนใจฟังสิ่งที่ชายหนุ่มพูดสักเท่าไหร่
‘แต่ถ้าเธออยากบอก มันก็จะมีเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเพิ่มเข้ามาอีก ยิ่งมีตัวละครเยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งน่าปวดหัวมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นเธอคงไม่อยากที่จะดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรอก ปล่อยให้เขาเศร้าโศกไปนั่นแหละดีที่สุดแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะอยากเจอเขาแค่ไหนก็ตาม แต่มันก็จะทำให้เขาต้องสับสนแน่นอน อยู่ๆ คนตายไปแล้วจะมาปรากฏตัวขึ้นได้ยังไงกัน’
“ฮะ? คนตายไปแล้วอะไร นายพูดถึงใครกันน่ะ”
ความเร่งรีบทำให้เธอหยิบแค่กางเกงมาใส่กระเป๋าเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงต้องรีบวิ่งกลับไปรวบหยิบเสื้อที่แขวนในตู้มายัดใส่ลงไปในกระเป๋าเป้เพิ่มอีกหลายตัว
‘คนตายไปแล้วนั่นก็คือเธอยังไงล่ะ’ ดีพูดต่อด้วยเสียงไร้อารมณ์เช่นเดิม
แล้วเขาก็กดตัดสายทิ้งไปในทันที
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ