D.May Reign - ดี.เมย์ ปริศนาบัลลังก์นักเชิด

9.7

เขียนโดย Tsmit

วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558 เวลา 14.13 น.

  7 ตอน
  1 วิจารณ์
  10.04K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 มกราคม พ.ศ. 2558 22.14 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Episode 1 - ความผิดบาป

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

I

ความผิดบาป

 
 

“ฉันไม่ได้ทำ!! ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่ได้ฆ่าเขา!!! ฆาตกรเป็นผู้ชายไว้หนวดต่างหากเล่า!!!

“อย่างที่ผมได้แจ้งไปก่อนหน้านี้ว่ามีกล้องวิดีโออยู่ในห้องนั้น ซึ่งมันจับภาพได้แค่คุณคนเดียวเท่านั้น ไม่มี...”

“ไม่จริง! ก็ฉันเห็นเขาฆ่าเด็กคนนั้น!

“เฮ้อ... ซึ่งกล้องจับภาพได้แค่คุณคนเดียว ไม่มีคนอื่นนอกจากผู้ตายอยู่ในห้อง แล้วอาวุธมีดก็อยู่ในมือคุณอีกด้วย”

นี่มันอะไรกัน พวกเขาตาบอดงั้นเหรอ ทำไมถึงมองไม่เห็นไอ้ฆาตกรนั่นล่ะ มันฆ่าเด็กคนนั้น แล้วก็เดินเข้ามายัดมีดใส่มือเธอ ไม่ว่าจะเปิดวิดีโอให้ดูกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ภาพของมันก็ยังปรากฏให้เห็นชัดเจนอยู่ในนั้นไม่ใช่เหรอไง

แต่คนพวกนี้กลับเอาแต่หาว่าเธอเป็นฆาตกร แล้วก็จับเธอมาขังไว้ในที่แบบนี้

พวกเขาหาว่าเธอบ้า

“ผลตรวจเลือดบอกว่าไม่มีการใช้สารเสพติด คงจะเป็นอาการทางจิตเวชจริงๆ ซะแล้วล่ะมั้ง”

“แต่จิตแพทย์ก็ยังไม่ยืนยันอะไร บอกว่าต้องขอคุยกับคนไข้มากกว่านี้ถึงจะยืนยันได้ว่าเป็นโรคทางจิตเวชแน่รึเปล่า”

นายตำรวจคนเดิมถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายขณะมองแฟ้มประวัติของมูลของเธอ เพียงชั่วอึดใจเดียวต่อมาเขาก็แค่นหัวเราะออกมาด้วยสีหน้ายิ้มระรื่น ราวกับว่ากำลังเยาะเย้ยเธออยู่ไม่มีผิด

“ยังจะต้องคุยอะไรอีกงั้นเรอะ ยัยเด็กนี่มันเห็นภาพหลอน แถมยังกุเรื่องเล่าเป็นตุเป็นตะซะได้ขนาดนี้” เขาหันไปคุยเล่นกับนายตำรวจอีกคนซึ่งกำลังยืนอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก่อนที่จะหันขวับมาแสยะยิ้มใส่เธอ

น่าขยะแขยงสิ้นดี

“นี่คุณเมธิภา คุณรู้ตัวรึเปล่าว่าคุณกำลังจะได้อยู่ที่นี่ต่ออีกยาวเลยล่ะ ดีใช่มั้ย ดีสุดๆ ไปเลย ดีกว่าการที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกหลายร้อยเท่าเลยเนอะ”

ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มเยาะนั่น ฟันสีเหลืองที่เรียงกันระเกะระกะบนใบหน้าอันแสนทุเรศของมัน หรือจะเป็นที่นี่ หรือคนพวกนี้ ทุกอย่าง ทุกอย่างเลย!

น่าโมโห!

แกร๊ง!

“เหวอ” นายตำรวจสะดุ้งเฮือกทันทีที่เธอลุกพรวดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่โซ่ที่ข้อมือก็ทำให้ตัวเธอยึดติดอยู่กับเก้าอี้ ไม่สามารถขยับไปไหนไปได้มากกว่านี้ “ตกใจหมดเลย ดีนะที่มีโซ่อยู่”

“ก็นายเล่นไปยั่วโมโหเขาก่อนนี่หว่า น้องเขายังเด็กอยู่เลย น่าสงสารออก”

“ฉันก็แค่พูดความจริง” เขายักไหล่น้อยๆ อย่างไม่ยี่หระก่อนจะหันมาแสยะยิ้มให้เธออีกครั้ง ไม่สนใจเพื่อนร่วมงานที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความเอือมระอา

“บางทีคนเราก็ไม่อยากที่จะรับฟัง ความจริง นักหรอกนะ”

ประโยคนั่นสะกิดใจเธอให้เหลือบสายตาไปยังนายตำรวจอีกคนผู้เป็นเจ้าของคำกล่าวเมื่อครู่ เมื่อกี้นี้เขาพูดถึงความจริง อะไรคือความจริง ความจริงก็คือการที่เธอเป็นเพียงแค่พยานรู้เห็นเหตุการณ์ ไม่ใช่ฆาตกรไม่ใช่เหรอ พวกเขาควรจะใส่ใจกับคำให้การของเธอสิ แต่แล้วทำไม ทำไมถึงหาว่าเธอเป็นคนผิดล่ะ พวกเขาต่างหากที่ต้องไปตรวจสายตาของตัวเองดีๆ พวกเขาต่างหากที่เป็นคนมองไม่เห็น เป็นฝ่ายผิดปกติ พวกเขาต่างหากที่ต้องไปตรวจสอบ ความจริง อะไรนั่น

ไม่ใช่เธอ

“หมดเวลาแล้วค่ะ”

เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลเปิดประตูเข้ามาเรียกความสนใจจากนายตำรวจทั้งสองคน แต่ก่อนที่คนของทางโรงพยาบาลจะพาตัวหญิงสาวออกไปนอกห้อง นายตำรวจคนที่ยืนอยู่ก็เดินตรงเข้ามาหาเธอ พร้อมกับยื่นมือซึ่งกำอะไรบางอยู่มาให้ ทันทีที่เขาแบมือออกจนเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอก็แทบอยากจะสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมของเจ้าหน้าที่ แล้วคว้าหยิบ มัน มาเสียเดี๋ยวนั้น

“น้องเมย์ครับ สร้อยคอนี่เป็นของเธอสินะ ตอนที่เธอลุกเมื่อกี้มันคงจะหลุดออกมาน่ะ” คนตรงหน้ายิ้มน้อยๆ แม้ว่ารอยยิ้มของเขาจะดูเป็นมิตร แต่เธอก็ไม่ไว้ใจอยู่ดี จึงทำเพียงแค่พยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้พูดอะไร

“สร้อยเส้นนี้สวยดีนะ เหมือนจะเป็นหินสลักอะไรสักอย่าง...” นายตำรวจเริ่มก้มดูสร้อยหินของเธอที่อยู่ในมืออย่างสนอกสนใจ “อืม ดูเหมือนจะเป็นรูปกุญแจแฮะ ได้มาจากไหนเหรอ ฉันเห็นเธอใส่อยู่ตลอดเวลาเลย”

การชวนคุยไม่ได้ทำให้บรรยากาศรอบด้านผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกว่าต้องระวังอีกฝ่ายมากขึ้นอีกเท่าตัว เพราะว่าเธอไม่รู้ว่าเขาจะมาไม้ไหน ตั้งใจชวนคุยเพื่อหลอกถามอะไรบางอย่างหรือเปล่า รอยยิ้มนั่นต้องเป็นรอยยิ้มหลอกลวงอย่างแน่นอน คนพวกนี้นั้นไม่มีวันทำดีกับเธอโดยที่ไม่หวังผลอะไรตอบแทนอยู่แล้ว

“หมดเวลาแล้วนะคะ ถ้าจะคุยกันอีกนี่ต้องรบกวนให้มาพรุ่งนี้แล้วล่ะค่ะ” เสียงไม่สบอารมณ์ของเจ้าหน้าที่เรียกให้นายตำรวจตรงหน้าหันไปสนใจอีกฝ่ายแทน ถ้าไม่ติดว่ามือทั้งสองข้างของเธอมีกุญแจมือล็อกเอาไว้ล่ะก็ ป่านนี้เธอก็คงจะคว้าสร้อยคอที่อยู่ในมือของเขามาได้ตั้งนานแล้ว

“ขอต่ออีกนิดนะครับ เดี๋ยวผมคืนสร้อยให้น้องเขาแล้วขอคุยอะไรต่อแป๊บเดียว”

“พวกคุณขอต่อเวลามาสองหนแล้วนะคะ ฉันเองก็มีงานอื่นรออยู่อีกนะ” เจ้าหน้าที่หญิงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจพร้อมกับบุ้ยหน้าออกไปข้างนอก

“เถอะน่า นิดเดียวเอง ที่นี่ตรวจเข้มขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ก็ไม่ได้เข้มมากหรอก จริงๆ แล้วก็ค่อนข้างปล่อยกฎล่ะนะ แต่ก็ไม่ใช่อะไร เดี๋ยวฉันจะโดนว่าเอาน่ะสิคะ”

ปล่อยกฎ... จะว่าไปก็อาจจะใช่ เจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลแทบไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าเธอจะอยู่ที่ไหน ขอแค่ต้องกินยาตามสั่งและเข้าห้องตามเวลาที่กำหนดไว้ก็พอแล้ว คงจะเป็นเพราะว่าในเมื่อมีประตูเหล็กกั้นแน่นหนาเสียขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีคนนั่งเฝ้า คนไข้ที่อยู่ที่นี่ก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน

อยู่ในกรงขัง ที่ไร้ทางออก

“ตรวจไม่เข้มไม่ใช่เหรอ คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ขอต่ออีกสักห้านาทีเถอะนะครับ คนกันเอง” นายตำรวจหนุ่มพยายามขอร้อง จนในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมพยักหน้าเบาๆ เป็นการอนุญาต

หลังจากที่เขาคืนสร้อยให้เธอแล้ว ช่วงเวลาห้านาทีถัดมานั้นหมดไปกับการที่นายตำรวจทั้งสองคนเอาแต่ถามคำถามเดิมกับเธออยู่นั่นแหละ และถามอะไรอีกก็ไม่รู้ มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรต่ออีก เพราะรู้แล้วว่าถึงพูดไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรอยู่ดี ไม่ว่าเธอจะพูดยืนยันในสิ่งที่ตัวเองเห็นแค่ไหน คนพวกนี้ก็ไม่มีวันเชื่อเธอ

จนกระทั่งครบห้านาทีตามที่ได้ขอต่อเวลาเอาไว้ แต่พวกเขาก็ขอผ่อนผันเวลาต่อเป็นสิบนาที สิบห้านาที ยี่สิบนาที จนในที่สุดทั้งคู่ก็ต้องยอมแพ้และออกไปจากที่นี่ได้เสียที

น่าโมโห

น่าหงุดหงิดสิ้นดี

เธอโกรธพวกเขา โกรธทุกคนที่ไม่มีใครเชื่อเธอเลยสักคน แต่คนพวกนั้นก็ไม่ใช่คนที่เธอโกรธมากที่สุด

เธอโกรธตัวเอง โกรธที่ไร้พลัง โกรธที่ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด เธอไม่ควรจะมาอยู่ในที่แบบนี้ และยังมีเรื่องให้ทำอีกตั้งเยอะ โดยเฉพาะเรื่องมิว ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ แล้วใครจะมาดูแลน้องชายของเธอกันล่ะ

ไม่สิ

ถ้าเธอมาอยู่ที่นี่ อนาคตของมิวจะเป็นอย่างไรกัน ถ้าเพื่อนๆ ของเขารู้ว่าเขามีพี่สาวอยู่ในโรงพยาบาลบ้า คนอื่นๆ อาจจะทำเป็นว่าไม่คิดอะไร พร้อมกับบอกว่าคนในสมัยนี้ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น ทัศนคติแง่ลบที่มีต่อโรคทางจิตเวชของสังคมมันไม่ได้ลบออกไปได้ง่ายๆ ภายนอกอาจจะทำเป็นว่าไม่รู้สึกอะไร แต่จริงๆ แล้วคนพวกนั้นก็มักจะคิดอคติอยู่ในใจอยู่ดีนั่นแหละ

ถ้าเธอต้องอยู่ที่นี่ต่อไป มิวก็จะมีตราบาปติดไปชั่วชีวิตว่ามีพี่สาวโรคจิต ทั้งๆ ที่ตราบาปนั่นเป็นของเธอแท้ๆ

ไม่ยุติธรรม

โลกนี้ไม่มีคำว่ายุติธรรมหรอก

เพราะฉะนั้นเธอจะไม่ยอมให้มิวต้องเผชิญกับความโหดร้ายของการถูกตราหน้าว่ามีพี่สาวโรคจิตแน่ เธอจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อมิว เพื่อน้องชายของเธอ

วันนี้เป็นเวลาสองอาทิตย์พอดี ผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนับจากวันที่เธอถูกจับมาขังอยู่ที่นี่ อาการนอนไม่พอทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นซอมบี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะพยายามข่มตาหลับสักแค่ไหน สมองของเธอกลับเอาแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ยอมหยุด แม้ว่าจะคิดจนเหนื่อยแสนเหนื่อยและผลอยหลับไปได้แล้วจริงๆ แต่เธอก็ยังเก็บเอามันไปฝันเกือบทุกคืนโดยที่เห็นภาพน้องชายของตัวเองซ้อนทับกับภาพของเหยื่อที่ถูกยิงตาย ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เธอต้องสะดุ้งตื่นกลางดึกแทบทุกคืน

จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เธอก็ยังคงคิดสงสัยอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากว่าในวันนั้นเธอไม่ได้เดินเข้าไปในร้านเค้ก...เด็กคนนั้นจะตายหรือเปล่า

ทำไมถึงเป็นเด็กคนนั้นที่ต้องตาย ทำไมคนที่ตายถึงไม่ใช่เธอ ทำไมถึงเป็นเธอที่ถูกเลือกให้เป็นผู้อยู่รอดและต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์ที่เธอไม่ได้ก่อ การถูกทำให้เป็นแพะรับบาปคือผลกรรมของการที่เธอตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านเค้กวันนั้นหรือเปล่า

หรือว่านี่จะเป็นผลกรรมของการที่เธอไม่สามารถช่วยชีวิตเด็กคนนั้นเอาไว้ได้?

หรือบางทีอาจจะเป็นผลกรรมจากการที่เธอทำให้มิวต้องรับเคราะห์ไปด้วยว่ามีพี่สาวโรคจิต?

แต่ยิ่งคิดหาคำตอบของคำถามเหล่านี้มากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกปวดร้าวในอก ถ้าเกิดว่าเด็กคนนั้นเป็นมิวขึ้นมาล่ะ แล้วเธอช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้ ทำให้เขาต้องตายไปต่อหน้าต่อตาเธอ

กลัว

ไม่นะ ทำไมในวันนั้นสติของเธอถึงได้หลุดกระเจิงไปถึงขนาดนั้น ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมเธอถึงทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง เอาแต่ยืนนิ่งเป็นรูปปั้น เพราะความตกใจงั้นเรอะ จะตกใจอะไรกันนักกันหนา ก็แค่มีคนกำลังถือปืนจ่อไปที่หัวของเด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ถ้าในตอนนั้นเธอร้องส่งเสียงอะไรออกไปบ้างล่ะก็ เด็กคนนั้นอาจจะยังคงมีชีวิตรอดอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้

ทั้งๆ ที่เธออุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่ยอมตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันกับเมื่อแปดปีก่อนแล้วแท้ๆ

ไม่ ไม่ เธอต้องหยุดคิดเดี๋ยวนี้ คิดย้อนอดีตไปมันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา แม้ว่าจะต้องทนความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจมากแค่ไหน เธอก็ต้องทนให้ได้ ในเมื่อเธอทนมาได้ถึงแปดปีเต็มๆ มีเรื่องนี้เพิ่มเข้าไปอีกเรื่องก็คงจะไม่ทำให้ต่างไปจากเดิมเท่าไหร่อยู่ดี ยังไงเธอก็ต้องทนแบกรับความรู้สึกนี้ต่อไปให้ได้!

และสิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือการคิดหาวิธีช่วยเหลือมิว

ในระหว่างสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้นมีจิตแพทย์และตำรวจเข้ามาถามคำถามโน่นนี่กับเธออยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ว่าเธอจะพร่ำบอกสิ่งที่เธอเห็นในวันนั้นให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อเธอเลยแม้แต่คนเดียว แต่ถ้าเธอโกหกว่ามองไม่เห็นไอ้ฆาตกรนั่น ก็จะถือว่าเธอยอมรับบทเป็นฆาตกรแทนมันน่ะสิ นอกจากนี้หลักฐานทุกอย่างยังระบุว่าเธอเป็นคนลงมือฆ่าเด็กคนนั้นอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ผลสุดท้ายแล้วก็จะเหลือแค่ว่าเธอเป็นบ้าหรือไม่ก็เป็นฆาตกร ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดก็คงจะทำให้น้องชายของเธอต้องมีตราบาปติดไปชั่วชีวิตอยู่ดี

ที่โรงพยาบาลแห่งนี้นั้นมีประตูอยู่บานหนึ่ง เป็นประตูที่เธอเฝ้ามองมาตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา วันแรกๆ นั้นเป็นเพราะว่าเธอไม่มีอะไรทำ แต่หลังๆ มานี้เธอค่อนข้างสนใจประตูบานนั้นพอสมควร เพราะว่าเธอมักจะเห็นเจ้าหน้าที่ของทางโรงพยาบาลบางคนแอบเดินเข้าออกผ่านประตูบานนั้นบ้างเป็นครั้งคราว

โดยเฉพาะคนตัวผอมที่ทำผมเรียบแปล้และไว้เคราบางๆ คนนั้น

เขามักจะลืมล็อกกุญแจอยู่เสมอ หรือไม่ก็จงใจไม่ล็อกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาไขมันเปิดซ้ำอีก เขาคงจะคิดว่ายังไงก็คงไม่มีคนมองเขาอยู่แล้ว เพราะหน้าที่ของเขาคือการเป็นผู้เฝ้ามองคนอื่นต่างหาก

ผิดแล้วล่ะ

เธอไม่รู้หรอกว่าเขาเข้าไปทำอะไรหลังประตูบานนั้น แต่เธอรู้ว่าประตูนั่นเชื่อมไปถึงที่ไหน เธอรู้เพราะว่าพวกเขาเคยพูดถึงเรื่องการตรวจเจอซากบุหรี่ที่นั่น แล้วก็พาเจ้าหน้าที่บางคนผ่านประตูบานนั้นออกไปเพื่อที่จะไปยืนยันให้เห็นกับตา แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงหาตัวคนผิดไม่ได้อยู่ดี หรืออาจจะไม่ได้จริงจังกับการหาตัวคนผิดตั้งแต่แรกอยู่แล้วก็ได้ เป็นอย่างที่เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นได้กล่าวไว้จริงๆ นั่นแหละ

ปล่อยกฎ

แต่ก็ต้องขอบคุณการปล่อยกฎที่ว่านั่น รวมทั้งเจ้าของทรงผมเรียบแปล้คนนั้นด้วย เพราะว่ามันทำให้เธอสามารถเดินผ่านประตูบานนั้นเข้ามายืนอยู่บนที่แห่งนี้ได้อย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก

บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล

มิว

ถ้าเธออยู่ที่นี่ต่อไป มันจะต้องเป็นผลร้ายกับเขาแน่นอน ดังนั้นเธอจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และจะไม่ยอมถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกรด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นทางออกของเธอจึงเหลือเพียงอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้น

เพียงแค่ก้าวขาออกไป ทุกอย่างก็จะจบลง ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลาย แล้วมิวก็จะไม่มีพี่สาวโรคจิตหรือพี่สาวที่เป็นฆาตกรอีกต่อไป สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้ก็คือแค่ก้าวขาออกไป ก้าวขา ก้าว...

ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก ตึก

ให้ตายสิ เสียงหัวใจที่กำลังเต้นรัวอยู่ในอกนี่มันช่างน่ารำคาญที่สุด ตอนนี้เธอจะต้องมีสมาธิอยู่กับก้าวขาสิ ไม่ใช่ไปฟังเสียงหัวใจตัวเอง

เสียง

เดี๋ยวนะ พอฟังดูดีๆ แล้วเสียงที่ว่านั่นมันไม่ใช่แค่เสียงหัวใจ แต่มีเสียงรองเท้าอยู่ด้วยต่างหาก!

เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงหันขวับไปมองคนข้างหลังทันที

เขาเป็นชายหนุ่มผิวขาวที่ค่อนข้างหน้าตาดีคนหนึ่ง สวมชุดสีดำสนิททั้งชุด ยิ่งมายืนอยู่บนดาดฟ้าท่ามกลางแสงแดดแบบนี้แล้วยิ่งทำให้ผิวขาวๆ นั่นดูขาวซีดจนน่ากลัว ดูๆ แล้วน่าจะอายุพอๆ กันกับเธอ หรือบางทีอาจจะน้อยกว่าก็ได้เพราะว่าเขาดูเด็กพอสมควร แต่สิ่งที่ทำให้เธอต้องมองอีกฝ่ายอย่างฉงนนั้นไม่ใช่เพราะสีผิว หน้าตา หรือเสื้อผ้าเลยสักนิด แต่เป็นสีหน้าเรียบเฉยนั่นต่างหาก และสายตานิ่งๆ ที่กำลังมองตรงมายังเธอ

คนประเภทไหนกันที่มายืนจ้องคนกำลังจะฆ่าตัวตาย

“นี่นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ” เสียงหงุดหงิดถามขึ้นอย่างขัดใจ

“มองเธอ”

นอกจากสีหน้าและสายตาแล้ว น้ำเสียงของเขายังราบเรียบราวกับไร้อารมณ์ความรู้สึกอีกด้วยเช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาทำให้เธอรู้สึกรำคาญ ถ้าจะมาขัดขวางก็รีบพูดออกมาเลยสิ หรือจะทำอะไรอย่างอื่นก็ได้ ไม่ใช่มายืนบื้อ เอาแต่มองอยู่แบบนี้

“มองฉันทำไมไม่ทราบ ออกไปนะ จะไปไหนก็ไป!

“เธอมาเที่ยวที่นี่เหรอ”

“...ฮะ?” อยู่ๆ เขาก็เอ่ยถามออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย แถมคำถามยังฟังดูประหลาดอีกต่างหาก ซึ่งมันทำให้เธอเผลอนึกสงสัยไปวูบหนึ่งว่าตัวเองฟังผิดไปหรือเปล่า “ไม่ใช่!

“ว้า ถ้างั้นเธอก็ไม่มีกล้องน่ะสิ ฉันว่าคนที่นี่น่าสนใจดี”

“พูดเรื่องอะไรน่ะ อย่ามายุ่งกับฉันจะได้มั้ย! ฉันกำลังยุ่ง!

ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามสงบสติอารมณ์มากแค่ไหน แต่ความรู้สึกหงุดหงิดก็ไม่ได้น้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย และยิ่งคิดถึงสถานการณ์ในตอนนี้ดูแล้วเธอก็ยิ่งโมโห นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเอามาคุยกับเธอในตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แล้วเขาจะถามถึงกล้องไปทำไม หรือว่าคิดจะถ่ายรูปคนไข้ที่นี่งั้นเหรอ พวกเขาน่าสนใจตรงไหนกัน เดี๋ยวก่อนนะ ไม่ใช่สิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดว่าคนไข้น่าสนใจหรือไม่น่าสนใจ แต่เธอจะต้องก้าวขาออกไปจากดาดฟ้าแห่งนี้ต่างหาก

“เธอเห็นห้องโถงตรงชั้นสองรึยัง ของตกแต่งเก่ามาก โดยเฉพาะนาฬิกา เหมือนลักษณะของทอมเปียนเลยล่ะ โทมัส ทอมเปียน เธอรู้จักมั้ย แต่ช่างมันเถอะ เธอไม่รู้จักเขาหรอก เจ้าของนาฬิกานั่นจะต้องมีรสนิยมดีแน่นอน การตกแต่งห้องนั้นดีมากเลยนะ ที่ไม่เข้าพวกกันก็คงจะมีแต่บานประตู เธอเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะ มันไม่สวยเลย”

เขาเงียบไปพร้อมกับจ้องมาตรงมาด้วยสายตานิ่งๆ ราวกับว่ากำลังรอความเห็นจากเธออยู่

“...ฮะ?”

“มันไม่เข้ากันจริงๆ นะ คงจะเป็นเพราะสี สีของมันไม่เข้ากับของอย่างอื่นก็เลยทำ...”

“ไม่ ไม่ใช่เรื่องนั้น! นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย! เลิกกวนฉันซะที!!

เธอละสายตากลับมายังพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้า แล้วพยายามตั้งสมาธิไปยังขาทั้งสองข้างเพื่อที่จะก้าวออกไปจากพื้นปูนใต้ฝ่าเท้า

แต่ความรู้สึกที่ว่ากำลังถูกใครบางคนจ้องอยู่ก็ทำให้เธอต้องเสียสมาธิไปอีกหนจนได้ ดังนันหญิงสาวจึงพยายามสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่กำลังปะทุเดือดอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆ หันใบหน้าไปทางด้านข้างพร้อมกับเหล่ตาไปมองคนข้างหลัง

“...นี่นายกำลังทำอะไรอยู่น่ะ”

“มองเธอ”

ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขายังคงราบเรียบไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเธอจะตวาดไล่สักเท่าไหร่เขาก็เอาแต่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหนเลยแม้แต่น้อย แถมยังมาพล่ามเรื่องการตกแต่งห้องอะไรก็ไม่รู้ นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย

“ฉันกำลังจะโดดตึก แล้วนายก็บอกว่าจะดูฉันงั้นเหรอ”

“ใช่แล้ว”

ใบหน้าเรียบนิ่งปรากฏรอยยิ้มขึ้นทันควัน ไม่ใช่รอยยิ้มเยาะ ไม่ใช่รอยยิ้มแสยะน่ากลัวใดๆ แต่เป็นรอยยิ้มเรียบๆ ที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยและไม่ให้ความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ราวกับว่าการนี่เป็นแค่เรื่องปกติธรรมดา ราวกับว่าเธอเป็นเพียงแค่ของตกแต่งที่มีไว้ใช้มองเพื่อความรื่นรมย์ ซึ่งมันยิ่งทำให้เธอยัวะหนักมากขึ้นไปอีกจนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“นี่มันอะไรกัน! ฉันเหมือนตัวตลกนักรึไง! หรือ...หรือ หรือพวกรายการตลกแสดงโชว์!?”

“ไม่นะ เธอไม่เหมือนรายการพวกนั้น เธอไม่ได้อยู่ในทีวี แล้วฉันก็ไม่คิดว่าจะมีโปรดิวเซอร์คนไหนสนใจที่จะทำรายการฆ่าตัวตายนักหรอก มันน่าเบื่อน่ะ ใครๆ เขาก็ทำกัน”

คนถูกถามตอบด้วยน้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังจนทำให้เธอรู้สึกแปลกใจน้อยๆ เพราะนึกว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าตายเหมือนเคย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำให้รู้สึกสับสนอีกด้วยว่าเขาพูดเรื่องเดียวกันกับเธออยู่หรือเปล่า

“...ฮะ?”

ในขณะที่เธอกำลังรู้สึกมึนงงเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่อยู่นั่นเอง อยู่ๆ เขาก็ก้าวเดินเข้ามาใกล้ จึงทำให้เธอสะดุ้งด้วยความตกใจจนเกือบที่จะเผลอก้าวขาออกไปกลางอากาศเข้าจริงๆ ถึงแม้ว่าจะมีเสียงหัวใจเต้นกระหน่ำรัวอยู่ในอกเป็นสิ่งยืนยันว่าเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ตกลงไปก็ตาม แต่ความรู้สึกใจหายวูบเมื่อครู่นี้ก็ทำให้เธอหวาดวิตกจนเสียวสันหลังวาบ

และในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เธอต้องเกลียดตัวเองเหลือเกินที่รู้สึกโล่งอกเมื่อรู้ว่าตัวเองยังคงปลอดภัยดี

เธอนี่มันช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวที่สุดเลย

“อย่าเข้ามาใกล้มากไปกว่านี้นะ” เสียงสั่นเทาจากอาการตกใจเมื่อครู่โพล่งออกมาทันทีที่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้มากเกินไปแล้ว เรียกได้ว่ากำลังยืนอยู่ข้างๆ เธอเลยด้วยซ้ำ “...นายเป็นใครน่ะ ต้องการอะไรกันแน่”

ชายหนุ่มไม่ตอบอะไรทั้งสิ้น สีหน้าของเขายังคงเรียบนิ่งเหมือนอย่างเคย ความเงียบจึงทำให้เสียงร้องของนกบนท้องฟ้าดังชัดขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าเธอเป็นใครล่ะนะ” เขาเอ่ยกลับมาแค่นั้น

หา!? ตอนนี้เธอเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใครหรือกำลังอยู่ในสถานะอะไร คนโรคจิตหรือว่าฆาตกร หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่างเลยก็ได้

ในจังหวะที่เธอกำลังจะเอ่ยแย้งกลับไปนั่นเอง อยู่ๆ เขาก็ยื่นกระดาษใบเล็กๆ แผ่นหนึ่งมาให้ หญิงสาวมองกระดาษแผ่นนั้นด้วยความไม่ไว้ใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะยื่นมือไปรับมันมาในที่สุด

D.

อะไรน่ะ ตัวอักษรดี? เขาต้องการจะสื่ออะไรกันล่ะเนี่ย

เธอพลิกดูหน้าหลังของกระดาษเพื่อหาข้อความหรืออะไรก็ตามอย่างอื่น แต่นอกจากตัวอักษรดีที่ตามด้วยจุดเล็กๆ นี้แล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นเขียนเอาไว้อีก

“นี่อะไรน่ะ” เสียงหงุดหงิดเอ่ยถามด้วยความฉงนพร้อมกับชูกระดาษในมือขึ้น เธอจับความรู้สึกได้ว่ากระดาษแผ่นนี้แข็งกว่าพวกกระดาษรายงานทั่วไปพอสมควร

“นามบัตร”

นามบัตร!?

คำเฉลยของเขาทำให้เธอต้องก้มมองแผ่นกระดาษในมืออีกหนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง นามบัตรใครเขามีเขียนไว้แค่ตัวอักษรตัวเดียวกันบ้าง

“ดี...?”

“ชื่อฉันเอง”

“นายชื่อดี? เดี๋ยวนะ คือชื่อของนายคือดี แล้วตามด้วยจุดงั้นเหรอ”

คนถูกถามพยักหน้ากลับมาให้หนึ่งที

ฮะ? จริงๆ แล้วมันควรจะเป็นตัวอักษรย่อของชื่อไม่ใช่เหรอ มันไม่ใช่ชื่อของเขาสักหน่อย แล้วนั่นก็หมายความว่าเขาไม่ยอมบอกชื่อจริงของตัวเองกับเธอไม่ใช่เหรอไง

“มีแต่ตัวอักษรย่อแบบนี้นี่เหมือนจะไม่ใช่นามบัตรเลยนะ”

คิดๆ ดูแล้วเธอก็ชักจะรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าเหลือเกินที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้ นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย ไม่ใช่สิ ต้องเป็นเจ้าคนประหลาดนี่ต่างหากที่กำลังทำอะไรอยู่ มายืนให้นามบัตรกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายเนี่ยนะ

“นี่ชื่อฉัน แล้วนี่ก็บัตร ชื่อ บน บัตร นามบัตรน่ะถูกแล้ว” ดี หรือใครสักคนที่ชื่ออะไรก็ตามชี้นิ้วไปยังอักษรดี แล้วแตะนิ้วเบาๆ ลงบนขอบกระดาษเพื่ออธิบาย นามบัตรของเขา “ใครๆ เขาก็เรียกฉันว่าดี เพราะฉะนั้นดีก็คือชื่อฉัน”

ฟังดูแล้วช่างเป็นการใช้เหตุผลที่เพี้ยนสิ้นดี

“จะชื่อว่าดีหรืออะไรก็ช่างเถอะ สรุปแล้วนายมายืนจ้องฉันทำไม”

ถ้าไม่อยากบอกชื่อก็ไม่ต้องบอก เธอเองก็ไม่ได้อยากรู้ชื่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแค่อยากรู้ว่าเขาต้องการอะไร ทำไมถึงเอาแต่ยืนจ้องเธออยู่ได้ ตามปกติแล้วเวลาคนเราถูกถามว่าเป็นใคร ต้องการอะไร ก็มักจะบอกแค่สถานะของตัวเองที่มีต่อบุคคลนั้นๆ และบอกจุดประสงค์ที่ต้องการจะติดต่อพูดคุยด้วยเท่านั้น ถ้าเป็นในโลกธุรกิจก็คงจะมีการแลกนามบัตรกัน แต่นี่มันไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ แถมยิ่งเป็นนามบัตรปลอมแบบนี้ด้วยยิ่งน่าสงสัย

แต่คนถูกถามกลับยังคงยืนเงียบ สายตานิ่งๆ มองเธอที่กำลังค่อยๆ ก้าวเดินถอยออกห่างจากเขาไปทีละนิด

“เธอกลัวฉันเหรอ”

สีหน้าเรียบเฉยของเขาเมื่อครู่ถูกทำลายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปากไปจนหมดสิ้น

“เธอกลัวฉันสินะ แต่ถ้าลองมองอีกมุมหนึ่งแล้วก็จะทำให้คิดได้ว่าเธอกลัวว่าจะถูกฉันทำร้ายจนบาดเจ็บ หรืออาจจะอาการสาหัสจนถึงขั้นตายได้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเธอกลัวการบาดเจ็บและกลัวตาย ซึ่งมันน่าแปลกนะ เพราะฉันไม่นึกว่าเธอจะกลัวตายได้ถึงขนาดนี้”

หญิงสาวทำหน้ามุ่ยด้วยความสับสนและมึนงง ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนตรงหน้าต้องการจะสื่ออะไร

กลัวเขา? ใช่ โดยเฉพาะคนประหลาดแบบนี้เธอยิ่งต้องกลัวเป็นอันดับหนึ่ง

กลัวการบาดเจ็บและกลัวตาย? ก็ใช่อีกนั่นแหละ มีใครที่ไหนไม่กลัวกันบ้างเล่า

น่าแปลกที่เธอกลัวตาย? ไม่น่าใช่ การที่เขามาสาธยายเรื่องนี้ต่างหากที่มันพิลึกยิ่งกว่า

“แปลกยังไงไม่ทราบ” เสียงแข็งถามกลับไปอย่างรำคาญเต็มทน พอได้ฟังอีกฝ่ายพล่ามทฤษฎียืดยาวนั่นแล้วเธอก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อย เหนื่อยที่ต้องมาฟังเรื่องอะไรก็ไม่รู้จากใครที่ไหนก็ไม่รู้ คุยกับเขาแล้วเธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองต้องดึงพลังงานออกมาใช้อย่างมหาศาลในการประมวลผล โดยที่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรมาเลยสักอย่างเดียว คำถามของเธอมันเข้าใจยากมากนักเหรอไง

“เธอลองนึกดูสิว่าตัวเองมายืนอยู่ตรงนี้เพราะอะไร”

อยู่ๆ คำย้อนจากคนตรงหน้าก็เป็นเสมือนสายฟ้าฟาดลงกลางอกเสียอย่างนั้น อีกทั้งยังทำให้เธอต้องเผลอกลืนน้ำลายเหนียวลงคอโดยไม่รู้ตัว

แปลก...? คงจะใช่สินะ เธอมาที่นี่เพื่อที่จะจบปัญหาทุกอย่างลง เพื่อมิว เพื่อน้องชายของเธอ แต่สุดท้ายแล้วเธอกลับขี้ขลาดเกินกว่าที่จะก้าวขาออกไปจริงๆ เธออยากตาย แต่กลับกลัวความตาย

อยากจะย้อนเวลากลับไปได้เหลือเกิน ถ้าย้อนเวลาได้ เธออยากจะย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดเหตุอันน่าสลดนั่น เมื่อย้อนกลับไปได้แล้วไม่ว่ามิวจะร้องขออยากกินเค้กร้านนั้นสักเท่าไหร่ เธอก็จะไม่มีวันก้าวขาเข้าไปข้างในร้านโดยเด็ดขาด ถ้าหากว่าเธอไม่ได้เข้าไปข้างในร้านในวันนั้น เด็กคนนั้นก็อาจจะไม่ต้องตายก็ได้ แล้ววันนี้เธอก็คงจะได้ใช้ชีวิตตามปกติเหมือนอย่างที่ผ่านมา และก็คงได้กลับบ้านทุกวัน ไม่ใช่มาถูกขังอยู่ในกรงแบบนี้

อดีต ช่างเป็นคำที่น่าพะอืดพะอมเสียเหลือเกิน ในเมื่อทำอะไรกับมันไม่ได้ แล้วจะมีมันเอาไว้เพื่ออะไร เพื่อเรียนรู้? หึ น่าขำสิ้นดี เธอจะไปเรียนรู้ไปเพื่ออะไรกันล่ะ ในเมื่ออดีตทำให้ปัจจุบันของเธอไร้อนาคตไปเรียบร้อยแล้ว

“บางทีเธอคงจะต้องทำความรู้จักกับคำว่า ลองให้โอกาส ดูสักหน่อย”

คำกล่าวนั้นเรียกให้หญิงสาวหันขวับไปมองคนพูดทันทีด้วยความตกใจ

คนตรงหน้ายิ้มจางๆ ขณะมองสบตากลับมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ชั่ววูบหนึ่งเธอรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกอ่านใจออก เขาคงไม่ได้อ่านใจเธอได้หรอกนะ...

หลังจากที่ประสานสายตากันไปได้สักพัก เธอก็ต้องเป็นฝ่ายละสายตาไปจากเขาก่อนเพราะว่าทนความรู้สึกกดดันต่อไปไม่ไหว

“ถ้าเธอลองให้โอกาสฉัน เธออาจจะพบว่าฉันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด แล้วเธอก็อาจจะดีใจที่ได้เจอฉันก็ได้นะ” เสียงเรียบกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกเป็นมิตร แต่เธอก็ดูไม่ออกอยู่ดีว่ามันเป็นรอยยิ้มจากใจจริง หรือว่าจะเป็นรอยยิ้มเสแสร้งกันแน่

ดีใจที่ได้เจองั้นเหรอ ฟังดูเลี่ยนและมีจุดประสงค์อะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ยังไงชอบกล หรือบางทีอาจจะเป็นเพียงแค่คำหวานเยิ้มเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีตามแบบฉบับของเขา เพราะคนตรงหน้าเองก็ดูไม่ค่อยจะเหมือนคนปกติทั่วไปสักเท่าไหร่เสียด้วย แต่จะมีใครเขาเข้ามาผูกมิตรกับคนไข้โรคจิตที่อยู่ในโรงพยาบาลโรคจิตกันบ้างเล่า

“แล้วทำไมฉันถึงจะต้องดีใจที่ได้เจอนายด้วย”

คำถามกวนประสาท? อาจจะใช่ แต่เธอก็อยากจะรู้จริงๆ ว่าเขาจะตอบกลับมายังไง เธอเดาได้เลยว่าคำตอบของอีกฝ่ายก็คงจะหนีไม่พ้นพวกคำหวานเลี่ยนอย่างคำว่าโชคชะตา หรือความบังเอิญ หรือพรหมลิขิตอะไรพวกนี้แน่นอน

“เพราะว่าฉันช่วยให้เธอออกไปจากที่นี่ได้ยังไงล่ะ” ชายหนุ่มตอบเสียงเรียบ

ซึ่งมันทำลายทฎษฎีของเธอจนย่อยยับ

หญิงสาวรู้สึกว่าตัวเองเผลอหยุดหายใจและคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะทันทีที่ได้ยินคำตอบของเขา พร้อมกับรู้สึกถึงได้ความหวังที่พุ่งทะยานขึ้นสูงอยู่ในอก

“แต่ก็มีเงื่อนไขอยู่อย่างหนึ่งนะ”

ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ช่วยเหลือคนอื่นโดยที่ไม่หวังผลตอบแทน แต่ในช่วงเวลานั้นเธอก็อยากจะเชื่อจริงๆ ว่าจะต้องมีพระผู้ช่วยมาช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน จึงได้เพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังความหวังในจิตใจโดยที่ไม่คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีก

“เงื่อนไข?”

ชายหนุ่มไม่อธิบายอะไรเพิ่มเติมทั้งนั้นขณะมองตรงมายังเธอด้วยสายตาเรียบนิ่ง ผมยุ่งๆ ของเขาปลิวไหวบ้างเล็กน้อยตามแรงลมอ่อนๆ ที่พัดผ่าน

“เธอจะต้องสัญญาว่าจะมาช่วยล่าวิญญาณกับฉัน”

จากนั้นเสียงกริ่งแจ้งเตือนว่าถึงเวลาเข้าห้องพักของทางโรงพยาบาลก็ดังลั่นขึ้นในทันใด

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา