Kiss me Kill me [YURI]
6.0
เขียนโดย Nekoyu
วันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 15.52 น.
7 chapter
0 วิจารณ์
12.01K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557 03.48 น. โดย เจ้าของนิยาย
2) 02 Innocence side
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ............................................................................................................
ห้าสาวมานั่งรวมกลุ่มกันหน้าเตาเนื้อย่างที่ร้านหมูกระทะใกล้มหาวิทยาลัย ฟาอยากจะปฏิเสธออกไปแทบตายเพราะกำลังคุมน้ำหนักอยู่แต่พอเด็กในพื้นที่อย่างมินตรากับทิพยาดาโฆษณาความอร่อยมากๆเข้าเลยจำใจมาอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกก็ทานไปพอเป็นพิธี แต่เมื่อได้ลิ้มรสเนื้อหมูสุดนุ่มที่หมักด้วยสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านก็เริ่มวางตะเกียบไม่ลง
อร่อยอ่ะ! พรุ่งนี้ค่อยเริ่มลดใหม่ละกัน
เลยกินไปยิ้มไป
บรรยากาศบนโต๊ะมีการพูดคุยกันบ้างเพื่อทำความรู้จักกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่มองสาวแว่นหนาตามแบบฉบับหนอนหนังสือพูดน้อยเน้นกิน ถัดมาก็เจอทิพยาดาที่พยายามขัดคอสาวหน้าขาวเด้งที่พูดพล่ามเรื่องผู้ชายโชว์ว่าตัวเองนั้นสวยเลือกได้ และสายตาที่มองจ้องมาจากมินตราที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน
อึดอัด หงุดหงิด น่ารำคาญ เมื่อไรจะกินกันเสร็จซักทีจะได้รีบกลับ เบื่อจะตายอยู่แล้ว!
พอเจ้าตัวอารมณ์บูดต่อให้เป็นหมูย่างอร่อยแซ่บเวอร์ก็หมดอารมณ์กินขึ้นมาได้เหมือนกัน
“อ่าวจานว่างนิ ฟาเอาอะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ”
ทิพยาดาถามเมื่อเห็นจานของคนข้างๆว่างเว้นจากเนื้อย่าง
“ไม่ล่ะ ฟาอิ่มแล้ว”
สาวหน้าหวานยิ้มตอบ
“อะไรอ่ะกินนิดเดียวเองอิ่มแล้วเหรอ จะไดเอทไปทำไมแค่นี้ฟาก็น่ารักอยู่แล้ว ”
มินตรายิ้มเจ้าเล่ห์เพราะนั่งมองเป็นอาหารตาอยู่นาน
แน่ใจว่าคิดแค่นั้น!? นั่งจ้องจนแทบจะทะลุแล้วเนี่ยนะ โรคจิต!
“ฟาไม่ได้ไดเอทน๊า อิ่มแล้วจริงๆ”
พอได้เห็นรอยยิ้มใสๆทำเอาคนชมเคลิ้มยิ้มไม่หุบ
“น่ารักแบบนี้คงโดนจีบบ่อยอ่ะดิ”
ว่าแล้วก็ตีสนิทเข้าให้ อีกฝ่ายเป็นถึงหลานอธิการอยู่ๆไปเดี๋ยวได้มีดราม่ามาให้เสพอื้อซ่าสมใจยากแน่ๆ
“ทำไม? จะทำตัวเป็นไม้กันหมาให้เค้ารึไงยะ?”
สาวหมวยรู้จักนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของเพื่อนซี้ดีเลยพูดดักทางเข้าให้
“อะไรป้า ไม่มีใครชมว่าน่ารักเลยอิจฉาล่ะดิ”
“ใครป้าแก! เดี๋ยวถ่ายรูปฟาแล้วแท็กหาแกดีกว่าพี่จูนของแกจะได้เห็นด้วย ดีมะ”
พูดไม่พูดเปล่าคุณเธอเล่นหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าจริงๆ
“ปะ...เอ้ยเจ้ ก็น่ารัก น่ารักแบบหมวยๆไง เนอะๆ ”
เจ้าตัวดีเปลี่ยนท่าทีมาชื่นชมเพื่อนซี้ยกใหญ่ อันตัวเธอก็ใช่ว่าจะหน้าตาดีอะไรนักติดจะห้าวเหมือนทอมซะมากกว่า ยังดีที่อุส่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าได้ ขืนให้สาวหมวยแท็กรูปคนน่ารักขนาดนี้ไว้เป็นภัยต่อความมั่นคงในรักแน่ๆ ก็นะน่ารักขนาดนี้มีผู้ชายที่ไหนบ้างที่จะไม่สน
“ท่าทางสนิทกันดีนะ ทิพกับมินจบที่เดียวกันมาเหรอ”
ใบหน้าหวานเผยยิ้มแต่หรี่ตามอง ขนาดเธอเพิ่งรู้จักสองคนนี้ยังพอจะดูออกเลยว่ามินตราเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านตัวยง ส่วนทิพยาดาก็พวกขี้อิจฉาสร้างภาพตัวแม่
“เจอหน้ากันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว เบื่อหน้ามันจะตายอยู่เนี่ยมหาลัยยังจะตามมาอีก”
“แหม่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไมเลือกที่นี่”
มินตราเบ้หน้า
“สนิทกันดีออก ฟาก็อยากมีเพื่อนแบบนี้บ้างจัง”
ก็พูดไปงั้นแหละ คบไว้ซักสองสามคนไว้พอมีกลุ่มทำรายงานก็พอ ยิ่งมีเพื่อนมากยิ่งเรื่องเยอะ!
“เอาเหอะน่ารักๆอย่างฟา ไอ้มินมันรีบสนิทด้วยอยู่แล้ว”
สาวหมวยแขวะใส่
“โหยพอเลยเลิก..เลิก เดี่ยวดราม่า”
สาวห้าวยกมือยอมความอย่างว่าง่าย
“เอ้อ...คนหัวแดงๆห้องเดียวกับเราชื่ออะไรนะ ที่เป็นลูกครึ่งน่ะ ใช่ชื่อมิ้นท์รึเปล่า”
คนนั่งเงียบไม่ค่อยคุยพูดโพลงออกมาทำเอารอบโต๊ะแทบสำลักน้ำกันเป็นแถว
“โอ้ยนึกถึงยัยหยิ่งแล้วกินไม่ลง คนบ้าอะไรหยิ่งเกิ้น”
สาวหน้าเด้งทำหน้ายี้
“ทำไมเหรอแจม?”
ผิดกับมินตราที่รีบถามด้วยความยากรู้อยากเห็น จะว่าไปสาวหัวแดงคนนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้หลานอธิการ คุณหนูลูกครึ่งบ้านรวยนิสัยแรงตัวแม่แถมยังดึงดูดดราม่าง่ายอีก
“ก็”
แจมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นสีสด
“อาทิตย์ก่อนเราไปดูหนังมาน่ะเจอเค้าไปกับผู้หญิงนั่งถัดเราไปไม่กี่ที่เอง ตอนรับน้องก็ว่าคุ้นๆอยู่หรอกพอมองดีๆเลยมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกัน”
“แล้วไงต่อ”
สาวห้าวทำหน้าเซ็งอุส่าลุ้น
“ไม่รู้สิ แต่เราเห็นเค้าจูบกันด้วยอ่ะ เป็นอย่างว่าๆแหงๆ”
จบประโยคเด็ดทำเอาหลายคนทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่มินตราดันยิ้มกริ่ม
“ยิ้มน่ะชอบเหรอ”
เลยโดนทิพยาดาจิกใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ตลกตายล่ะเจ้...”
สาวหน้าหวานนั่งมองภาพสองสาวเถียงกันไปมาพลางใช้ความคิด ที่จริงนิสัยอย่างยัยหัวแดงก็ไม่น่าคบเป็นเพื่อนอยู่แล้ว พอนึกถึงตอนที่โดนว่าใส่ก็พาลให้อารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ
ทำไมแอ๊บแล้วมันผิดตรงไหน! ทำยังกับคนอื่นไม่แอ๊บงั้นแหละ มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่รึไง
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ทีตัวเองเหอะทำเป็นออกตัวแรง อยากดังก็บอก! ยัยวิปริตเอ้ย!
เลยส่ายหน้าไปมาน้อยๆสะบัดความคิดไร้สาระออกไป ก็แค่คนคนเดียวจะเก็บมาคิดให้วุ่นวายใจทำไม เพียง แต่มันยังคาใจที่โดนยัยนั่นมองตัวตนที่แท้จริงออก ดวงตากลมโตมองสบเข้ากับหนุ่มเสื้อช๊อปสีน้ำตาลโต๊ะตรงข้ามที่แจกยิ้มให้เธอเลยยิ้มตอบแล้วเสสายตาไปทางอื่นก็เจอสาวสวยโต๊ะเยื้องๆกันส่งยิ้มมาถึงจะรู้สึกแปลกใจที่โดนผู้หญิงด้วยกันยิ้มหวานปานจะทอดสะพานให้แต่ก็ยิ้มตอบ ก็รู้ตัวมานานแล้วล่ะนะว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ยิ้มทั้งชายและหญิงก็หันมองหมด เพราะน่ารักยิ้มง่ายคุยเก่ง มันเป็นคุณสมบัติที่ใครๆก็อยากเข้าใกล้ มีแต่คนห้อมล้อม เป็นจุดเด่น
แต่....แค่ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น ที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น
“ท่าทางฟาจะอิ่มจริงๆแล้วมั้ง”
เสียงทิพยาดาดังขัดความคิดให้ใบหน้าหวานปรายตามอง
“อื้ม...แต่นั่งอยู่กันก่อนก็ได้นะ ฟาไม่รีบหรอก”
เธอบอกแล้วยิ้มน่ารักให้คนรอบโต๊ะ
....................................................................................................................
สาวผมสีเพลิงในชุดเสื้อยืดแขนยาวพอดีตัวที่ชายยาวคลุมทับกางเกงขาสั้นแต่งชายขาดตามแฟชั่น รอบๆนั้นมีชายร่างกำยำในชุดสูทสีดำทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านหลัง ปลายนิ้วจับอุปกรณ์เมาส์เลื่อนหน้าเอกสารในจอLAPTOPให้นัยน์ตาสีเทาไล่อ่านข้อมูล ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มพร้อมกับกดคำสั่งส่งไฟล์เอกสารที่สนใจเข้ามาเก็บไว้ในมือถือเครื่องจิ๋ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้ใบหน้าสวยต้องละจากจอคอมพิวเตอร์
“เชิญ”
เสียงเรียบบอกเป็นเชิงอนุญาตให้สาววัยกลางคนเดินเข้ามาภายในห้อง
“มาสเตอร์ค่ะ อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ”
“ค่ะ”
คุณหนูของบ้านตอบรับเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันมามองกลุ่มชายชุดดำที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“I checked it already everything OK.” (ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ)
เธอบอกก่อนจะลุกจากโซฟาหนังตัวใหญ่แล้วเดินตามหญิงวัยกลางคนออกไป
....................................................................................................................
.....ปลายเท้าก้าวย่างผ่านทางเดินหินขัดไปสู่ห้องอาหาร มือนั้นยกขึ้นลูบผนังปูนเปลือยที่ประดับรูปของชายสูงวัยผมแดงในชุดนักสำรวจโบราณสถานกับทีมงานใส่กรอบสีทองเรียงรายเล่นระดับไว้หลายรูป หลังจากที่บิดาตัดสินใจออกไปทำงานด้านการสำรวจอย่างเต็มตัวพอได้ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อนเธอก็ไม่เคยได้พบหน้าเขาอีกเลย
สาวผมแดงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในชุดสูทสุภาพที่โค้งต้อนรับเล็กน้อย
“เชิญด้านในครับมาสเตอร์”
เขาคือพ่อบ้านที่มีหน้าที่ดูแลคนงานกว่าหลายสิบชีวิตในคฤหาสน์แห่งนี้ รวมไปถึงการดูแลและอำนวยความสะดวกต่างๆให้คุณหนูของบ้านด้วย
ภายในห้องโทนสีอ่อนขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ยุโรปมีโต๊ะไม้ฉลุรายคลาสสิกตัวยาวประกอบด้วยเก้าอี้ไม้สุดหรูเข้าชุดสี่ตัว ด้านบนมีโคมไฟคริสตัลระย้าส่องแสงสะท้อนวาบวับ มีณชญานั่งลงมองอาหารที่เสริฟไว้บนตะเรียบร้อยแล้ว สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทยส่งกลิ่นหอมกรุ่น ถัดมาเป็นซีซาร์สลัด และมีซุปมะเขืออยู่ใกล้กัน ตบท้ายด้วยนมสดแก้วโตกับน้ำแร่ไว้ให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร
“เมนูอาหารเย็นวันนี้ จานหลักเป็น Steak Dory with garlic sauce(สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทย) Tomato Soup (ซุปมะเขือเทศ)และ Caesar Salad (สลัดซีซาร์) ครับ ส่วนของหวานTiramisu(ทีรามิสุ) จะนำมาเสริฟให้ทีหลังครับ”
คนครัวร่างใหญ่รายงานรายการอาหารประจำวัน
“วันนี้ขอไม่รับของหวานก็แล้วกันนะคะ”
“ครับ”
เขาพยักหน้ารับทราบแล้วเดินออกไปปล่อยให้ผู้เป็นนายได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหาร
ตั้งแต่จำความได้เธอก็เติบโตอยู่ที่อังกฤษแทบจะไม่ค่อยได้เจอกับพ่อแม่เท่าไรนัก จนเมื่ออายุครบ16ก็ได้พบท่านทั้งสองและได้เดินทางกลับมาอยู่ที่เมืองไทยอันเป็นบ้านเกิดของแม่ แม้จะพูดคุยกันดีแต่ลึกๆบิดามารดาดูเหินห่างไม่เหมือนคนรักกัน บิดาชาวอังกฤษเป็นคนจัดการเรื่องสถานศึกษาให้รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนมารดาชาวไทยนั้นจะส่งตารางอาหารมาให้คนครัวทุกเดือนรวมทั้งส่งของทุกอย่างที่คิดว่าเธอชอบมาให้เสมอ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างให้ยกเว้นเวลา แต่สายสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกต่างจากคนทั่วไปไม่ได้ทำให้ลูกสาวเพียงคนเดียวรู้สึกเสียใจเลย เพราะเข้าใจถึงความรักที่ได้จากผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอย่างดี
.........หลังมื้อค่ำผ่านไป มีณชญาใช้เวลาอยู่กับสมุดบันทึกที่รุ่นพี่ให้ทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนในเอก นิ้วเรียวพลิกหน้ากระดาษอ่านข้อมูลไปเรื่อยจนมาถึงหน้าของกุลธิดา ไชยบรรจง แต่มือถือเครื่องเล็กส่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนให้ต้องเอื้อมมือไปกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับเพราะคนปลายสายจดจ่ออยู่การเช็คความถูกต้องของเบอร์โทรในสมุด
“สวัสดีค่ะ...ต้องการขอสายใครคะ?”
ถามกลับมาอีกครั้ง
ฝ่ายสาวหน้าหวานยังปิดปากเงียบ ตอนแรกก็ตั้งใจจะโทรมาสร้างความสนิทสนมด้วยแต่พอได้ยินเสียงเรียบกรอกมาตามสายก็เริ่มลังเลขึ้นมา
ถึงได้เห็นเบอร์ของสายเข้าไม่กี่วินาทีแต่นัยน์ตาสีเทามองดูข้อมูลจนรู้ตัวจริงของสายปริศนาที่จงใจโทรมาป่วนประสาทกันเล่น
“ถ้าไม่มีธุระอะไร....คงต้องวางแล้วนะคะ”
“ดะ...เดี๋ยวนี่ฟาเองนะ”
เสียงใสระล่ำระลัก
“ฟา? ฟาไหน?”
จงใจตอบไปแบบไม่รู้เรื่องทั้งที่ในมือยังมีข้อมูลของกุลธิดาอยู่
...ยัยนี่ไม่ได้จดรายชื่อเพื่อนที่พวกพี่ให้ทำรึไงเนี่ยถึงไม่รู้จักเรา! คนบ้าอะไรขี้เกียจเกิ้น...
“ฟา กุลธิดาอ่ะ”
เจ้าของชื่อหน้ามุ้ยแต่ยังบอกเสียงหวาน
“อ๋อ” สาวสวยยกมือขึ้นแล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ “คนที่ชอบแอ๊บแหลน่ะเหรอ”
เจอคำพูดแรงแบบหมัดตรงน็อคปลายคางทำเอาคนฟังอยากจะขว้างมือทิ้งลงถังขยะไปเลย
มันจะมากไปแล้วนะ!
กุลธิดาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา....สงสัยงานนี้จะหาทางจัดการกับคนนิสัยแรงแบบนี้ให้ได้ซะแล้ว!
....................................................................................................................
ห้าสาวมานั่งรวมกลุ่มกันหน้าเตาเนื้อย่างที่ร้านหมูกระทะใกล้มหาวิทยาลัย ฟาอยากจะปฏิเสธออกไปแทบตายเพราะกำลังคุมน้ำหนักอยู่แต่พอเด็กในพื้นที่อย่างมินตรากับทิพยาดาโฆษณาความอร่อยมากๆเข้าเลยจำใจมาอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกก็ทานไปพอเป็นพิธี แต่เมื่อได้ลิ้มรสเนื้อหมูสุดนุ่มที่หมักด้วยสูตรพิเศษเฉพาะของทางร้านก็เริ่มวางตะเกียบไม่ลง
อร่อยอ่ะ! พรุ่งนี้ค่อยเริ่มลดใหม่ละกัน
เลยกินไปยิ้มไป
บรรยากาศบนโต๊ะมีการพูดคุยกันบ้างเพื่อทำความรู้จักกัน นัยน์ตาสีน้ำตาลหรี่มองสาวแว่นหนาตามแบบฉบับหนอนหนังสือพูดน้อยเน้นกิน ถัดมาก็เจอทิพยาดาที่พยายามขัดคอสาวหน้าขาวเด้งที่พูดพล่ามเรื่องผู้ชายโชว์ว่าตัวเองนั้นสวยเลือกได้ และสายตาที่มองจ้องมาจากมินตราที่นั่งฝั่งตรงข้ามกัน
อึดอัด หงุดหงิด น่ารำคาญ เมื่อไรจะกินกันเสร็จซักทีจะได้รีบกลับ เบื่อจะตายอยู่แล้ว!
พอเจ้าตัวอารมณ์บูดต่อให้เป็นหมูย่างอร่อยแซ่บเวอร์ก็หมดอารมณ์กินขึ้นมาได้เหมือนกัน
“อ่าวจานว่างนิ ฟาเอาอะไรเพิ่มอีกไหมล่ะ”
ทิพยาดาถามเมื่อเห็นจานของคนข้างๆว่างเว้นจากเนื้อย่าง
“ไม่ล่ะ ฟาอิ่มแล้ว”
สาวหน้าหวานยิ้มตอบ
“อะไรอ่ะกินนิดเดียวเองอิ่มแล้วเหรอ จะไดเอทไปทำไมแค่นี้ฟาก็น่ารักอยู่แล้ว ”
มินตรายิ้มเจ้าเล่ห์เพราะนั่งมองเป็นอาหารตาอยู่นาน
แน่ใจว่าคิดแค่นั้น!? นั่งจ้องจนแทบจะทะลุแล้วเนี่ยนะ โรคจิต!
“ฟาไม่ได้ไดเอทน๊า อิ่มแล้วจริงๆ”
พอได้เห็นรอยยิ้มใสๆทำเอาคนชมเคลิ้มยิ้มไม่หุบ
“น่ารักแบบนี้คงโดนจีบบ่อยอ่ะดิ”
ว่าแล้วก็ตีสนิทเข้าให้ อีกฝ่ายเป็นถึงหลานอธิการอยู่ๆไปเดี๋ยวได้มีดราม่ามาให้เสพอื้อซ่าสมใจยากแน่ๆ
“ทำไม? จะทำตัวเป็นไม้กันหมาให้เค้ารึไงยะ?”
สาวหมวยรู้จักนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านของเพื่อนซี้ดีเลยพูดดักทางเข้าให้
“อะไรป้า ไม่มีใครชมว่าน่ารักเลยอิจฉาล่ะดิ”
“ใครป้าแก! เดี๋ยวถ่ายรูปฟาแล้วแท็กหาแกดีกว่าพี่จูนของแกจะได้เห็นด้วย ดีมะ”
พูดไม่พูดเปล่าคุณเธอเล่นหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าจริงๆ
“ปะ...เอ้ยเจ้ ก็น่ารัก น่ารักแบบหมวยๆไง เนอะๆ ”
เจ้าตัวดีเปลี่ยนท่าทีมาชื่นชมเพื่อนซี้ยกใหญ่ อันตัวเธอก็ใช่ว่าจะหน้าตาดีอะไรนักติดจะห้าวเหมือนทอมซะมากกว่า ยังดีที่อุส่ามีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเค้าได้ ขืนให้สาวหมวยแท็กรูปคนน่ารักขนาดนี้ไว้เป็นภัยต่อความมั่นคงในรักแน่ๆ ก็นะน่ารักขนาดนี้มีผู้ชายที่ไหนบ้างที่จะไม่สน
“ท่าทางสนิทกันดีนะ ทิพกับมินจบที่เดียวกันมาเหรอ”
ใบหน้าหวานเผยยิ้มแต่หรี่ตามอง ขนาดเธอเพิ่งรู้จักสองคนนี้ยังพอจะดูออกเลยว่ามินตราเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านตัวยง ส่วนทิพยาดาก็พวกขี้อิจฉาสร้างภาพตัวแม่
“เจอหน้ากันมาตั้งแต่อนุบาลแล้ว เบื่อหน้ามันจะตายอยู่เนี่ยมหาลัยยังจะตามมาอีก”
“แหม่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าทำไมเลือกที่นี่”
มินตราเบ้หน้า
“สนิทกันดีออก ฟาก็อยากมีเพื่อนแบบนี้บ้างจัง”
ก็พูดไปงั้นแหละ คบไว้ซักสองสามคนไว้พอมีกลุ่มทำรายงานก็พอ ยิ่งมีเพื่อนมากยิ่งเรื่องเยอะ!
“เอาเหอะน่ารักๆอย่างฟา ไอ้มินมันรีบสนิทด้วยอยู่แล้ว”
สาวหมวยแขวะใส่
“โหยพอเลยเลิก..เลิก เดี่ยวดราม่า”
สาวห้าวยกมือยอมความอย่างว่าง่าย
“เอ้อ...คนหัวแดงๆห้องเดียวกับเราชื่ออะไรนะ ที่เป็นลูกครึ่งน่ะ ใช่ชื่อมิ้นท์รึเปล่า”
คนนั่งเงียบไม่ค่อยคุยพูดโพลงออกมาทำเอารอบโต๊ะแทบสำลักน้ำกันเป็นแถว
“โอ้ยนึกถึงยัยหยิ่งแล้วกินไม่ลง คนบ้าอะไรหยิ่งเกิ้น”
สาวหน้าเด้งทำหน้ายี้
“ทำไมเหรอแจม?”
ผิดกับมินตราที่รีบถามด้วยความยากรู้อยากเห็น จะว่าไปสาวหัวแดงคนนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้หลานอธิการ คุณหนูลูกครึ่งบ้านรวยนิสัยแรงตัวแม่แถมยังดึงดูดดราม่าง่ายอีก
“ก็”
แจมยกมือขึ้นดันกรอบแว่นสีสด
“อาทิตย์ก่อนเราไปดูหนังมาน่ะเจอเค้าไปกับผู้หญิงนั่งถัดเราไปไม่กี่ที่เอง ตอนรับน้องก็ว่าคุ้นๆอยู่หรอกพอมองดีๆเลยมั่นใจว่าเป็นคนเดียวกัน”
“แล้วไงต่อ”
สาวห้าวทำหน้าเซ็งอุส่าลุ้น
“ไม่รู้สิ แต่เราเห็นเค้าจูบกันด้วยอ่ะ เป็นอย่างว่าๆแหงๆ”
จบประโยคเด็ดทำเอาหลายคนทำหน้าบอกบุญไม่รับแต่มินตราดันยิ้มกริ่ม
“ยิ้มน่ะชอบเหรอ”
เลยโดนทิพยาดาจิกใส่ด้วยความหมั่นไส้
“ตลกตายล่ะเจ้...”
สาวหน้าหวานนั่งมองภาพสองสาวเถียงกันไปมาพลางใช้ความคิด ที่จริงนิสัยอย่างยัยหัวแดงก็ไม่น่าคบเป็นเพื่อนอยู่แล้ว พอนึกถึงตอนที่โดนว่าใส่ก็พาลให้อารมณ์เสียขึ้นมาดื้อๆ
ทำไมแอ๊บแล้วมันผิดตรงไหน! ทำยังกับคนอื่นไม่แอ๊บงั้นแหละ มีคนชอบดีกว่ามีคนเกลียดไม่ใช่รึไง
ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน ทีตัวเองเหอะทำเป็นออกตัวแรง อยากดังก็บอก! ยัยวิปริตเอ้ย!
เลยส่ายหน้าไปมาน้อยๆสะบัดความคิดไร้สาระออกไป ก็แค่คนคนเดียวจะเก็บมาคิดให้วุ่นวายใจทำไม เพียง แต่มันยังคาใจที่โดนยัยนั่นมองตัวตนที่แท้จริงออก ดวงตากลมโตมองสบเข้ากับหนุ่มเสื้อช๊อปสีน้ำตาลโต๊ะตรงข้ามที่แจกยิ้มให้เธอเลยยิ้มตอบแล้วเสสายตาไปทางอื่นก็เจอสาวสวยโต๊ะเยื้องๆกันส่งยิ้มมาถึงจะรู้สึกแปลกใจที่โดนผู้หญิงด้วยกันยิ้มหวานปานจะทอดสะพานให้แต่ก็ยิ้มตอบ ก็รู้ตัวมานานแล้วล่ะนะว่าตัวเองมีเสน่ห์แค่ยิ้มทั้งชายและหญิงก็หันมองหมด เพราะน่ารักยิ้มง่ายคุยเก่ง มันเป็นคุณสมบัติที่ใครๆก็อยากเข้าใกล้ มีแต่คนห้อมล้อม เป็นจุดเด่น
แต่....แค่ผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น ที่แตกต่างออกไปจากคนอื่น
“ท่าทางฟาจะอิ่มจริงๆแล้วมั้ง”
เสียงทิพยาดาดังขัดความคิดให้ใบหน้าหวานปรายตามอง
“อื้ม...แต่นั่งอยู่กันก่อนก็ได้นะ ฟาไม่รีบหรอก”
เธอบอกแล้วยิ้มน่ารักให้คนรอบโต๊ะ
....................................................................................................................
สาวผมสีเพลิงในชุดเสื้อยืดแขนยาวพอดีตัวที่ชายยาวคลุมทับกางเกงขาสั้นแต่งชายขาดตามแฟชั่น รอบๆนั้นมีชายร่างกำยำในชุดสูทสีดำทั้งสี่คนยืนอยู่ด้านหลัง ปลายนิ้วจับอุปกรณ์เมาส์เลื่อนหน้าเอกสารในจอLAPTOPให้นัยน์ตาสีเทาไล่อ่านข้อมูล ริมฝีปากบางเหยียดยิ้มพร้อมกับกดคำสั่งส่งไฟล์เอกสารที่สนใจเข้ามาเก็บไว้ในมือถือเครื่องจิ๋ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นให้ใบหน้าสวยต้องละจากจอคอมพิวเตอร์
“เชิญ”
เสียงเรียบบอกเป็นเชิงอนุญาตให้สาววัยกลางคนเดินเข้ามาภายในห้อง
“มาสเตอร์ค่ะ อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะ”
“ค่ะ”
คุณหนูของบ้านตอบรับเป็นเชิงรับรู้ก่อนจะหันมามองกลุ่มชายชุดดำที่ยังยืนอยู่ที่เดิม
“I checked it already everything OK.” (ตรวจสอบแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติ)
เธอบอกก่อนจะลุกจากโซฟาหนังตัวใหญ่แล้วเดินตามหญิงวัยกลางคนออกไป
....................................................................................................................
.....ปลายเท้าก้าวย่างผ่านทางเดินหินขัดไปสู่ห้องอาหาร มือนั้นยกขึ้นลูบผนังปูนเปลือยที่ประดับรูปของชายสูงวัยผมแดงในชุดนักสำรวจโบราณสถานกับทีมงานใส่กรอบสีทองเรียงรายเล่นระดับไว้หลายรูป หลังจากที่บิดาตัดสินใจออกไปทำงานด้านการสำรวจอย่างเต็มตัวพอได้ย้ายกลับมาอยู่ที่เมืองไทยเมื่อสองปีก่อนเธอก็ไม่เคยได้พบหน้าเขาอีกเลย
สาวผมแดงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มในชุดสูทสุภาพที่โค้งต้อนรับเล็กน้อย
“เชิญด้านในครับมาสเตอร์”
เขาคือพ่อบ้านที่มีหน้าที่ดูแลคนงานกว่าหลายสิบชีวิตในคฤหาสน์แห่งนี้ รวมไปถึงการดูแลและอำนวยความสะดวกต่างๆให้คุณหนูของบ้านด้วย
ภายในห้องโทนสีอ่อนขนาดใหญ่ตกแต่งสไตล์ยุโรปมีโต๊ะไม้ฉลุรายคลาสสิกตัวยาวประกอบด้วยเก้าอี้ไม้สุดหรูเข้าชุดสี่ตัว ด้านบนมีโคมไฟคริสตัลระย้าส่องแสงสะท้อนวาบวับ มีณชญานั่งลงมองอาหารที่เสริฟไว้บนตะเรียบร้อยแล้ว สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทยส่งกลิ่นหอมกรุ่น ถัดมาเป็นซีซาร์สลัด และมีซุปมะเขืออยู่ใกล้กัน ตบท้ายด้วยนมสดแก้วโตกับน้ำแร่ไว้ให้ดื่มระหว่างมื้ออาหาร
“เมนูอาหารเย็นวันนี้ จานหลักเป็น Steak Dory with garlic sauce(สเต็กปลาดอรี่ราดซอลกระเทียมพริกไทย) Tomato Soup (ซุปมะเขือเทศ)และ Caesar Salad (สลัดซีซาร์) ครับ ส่วนของหวานTiramisu(ทีรามิสุ) จะนำมาเสริฟให้ทีหลังครับ”
คนครัวร่างใหญ่รายงานรายการอาหารประจำวัน
“วันนี้ขอไม่รับของหวานก็แล้วกันนะคะ”
“ครับ”
เขาพยักหน้ารับทราบแล้วเดินออกไปปล่อยให้ผู้เป็นนายได้ดื่มด่ำกับมื้ออาหาร
ตั้งแต่จำความได้เธอก็เติบโตอยู่ที่อังกฤษแทบจะไม่ค่อยได้เจอกับพ่อแม่เท่าไรนัก จนเมื่ออายุครบ16ก็ได้พบท่านทั้งสองและได้เดินทางกลับมาอยู่ที่เมืองไทยอันเป็นบ้านเกิดของแม่ แม้จะพูดคุยกันดีแต่ลึกๆบิดามารดาดูเหินห่างไม่เหมือนคนรักกัน บิดาชาวอังกฤษเป็นคนจัดการเรื่องสถานศึกษาให้รวมทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนมารดาชาวไทยนั้นจะส่งตารางอาหารมาให้คนครัวทุกเดือนรวมทั้งส่งของทุกอย่างที่คิดว่าเธอชอบมาให้เสมอ เรียกได้ว่ามีทุกอย่างให้ยกเว้นเวลา แต่สายสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกต่างจากคนทั่วไปไม่ได้ทำให้ลูกสาวเพียงคนเดียวรู้สึกเสียใจเลย เพราะเข้าใจถึงความรักที่ได้จากผู้มีพระคุณทั้งสองเป็นอย่างดี
.........หลังมื้อค่ำผ่านไป มีณชญาใช้เวลาอยู่กับสมุดบันทึกที่รุ่นพี่ให้ทำกิจกรรมกระชับความสัมพันธ์ด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเพื่อนในเอก นิ้วเรียวพลิกหน้ากระดาษอ่านข้อมูลไปเรื่อยจนมาถึงหน้าของกุลธิดา ไชยบรรจง แต่มือถือเครื่องเล็กส่งเสียงดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อนให้ต้องเอื้อมมือไปกดรับ
“สวัสดีค่ะ”
ไม่มีเสียงตอบรับเพราะคนปลายสายจดจ่ออยู่การเช็คความถูกต้องของเบอร์โทรในสมุด
“สวัสดีค่ะ...ต้องการขอสายใครคะ?”
ถามกลับมาอีกครั้ง
ฝ่ายสาวหน้าหวานยังปิดปากเงียบ ตอนแรกก็ตั้งใจจะโทรมาสร้างความสนิทสนมด้วยแต่พอได้ยินเสียงเรียบกรอกมาตามสายก็เริ่มลังเลขึ้นมา
ถึงได้เห็นเบอร์ของสายเข้าไม่กี่วินาทีแต่นัยน์ตาสีเทามองดูข้อมูลจนรู้ตัวจริงของสายปริศนาที่จงใจโทรมาป่วนประสาทกันเล่น
“ถ้าไม่มีธุระอะไร....คงต้องวางแล้วนะคะ”
“ดะ...เดี๋ยวนี่ฟาเองนะ”
เสียงใสระล่ำระลัก
“ฟา? ฟาไหน?”
จงใจตอบไปแบบไม่รู้เรื่องทั้งที่ในมือยังมีข้อมูลของกุลธิดาอยู่
...ยัยนี่ไม่ได้จดรายชื่อเพื่อนที่พวกพี่ให้ทำรึไงเนี่ยถึงไม่รู้จักเรา! คนบ้าอะไรขี้เกียจเกิ้น...
“ฟา กุลธิดาอ่ะ”
เจ้าของชื่อหน้ามุ้ยแต่ยังบอกเสียงหวาน
“อ๋อ” สาวสวยยกมือขึ้นแล้วดีดนิ้วดังเป๊าะ “คนที่ชอบแอ๊บแหลน่ะเหรอ”
เจอคำพูดแรงแบบหมัดตรงน็อคปลายคางทำเอาคนฟังอยากจะขว้างมือทิ้งลงถังขยะไปเลย
มันจะมากไปแล้วนะ!
กุลธิดาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมา....สงสัยงานนี้จะหาทางจัดการกับคนนิสัยแรงแบบนี้ให้ได้ซะแล้ว!
....................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
6 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
6 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ