ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
9) บทที่ 8
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 8
ศศิธรหยุดรถเมื่อเหลือบไปเห็นสัญญาณไฟจราจรสีเหลืองซึ่งกำลังจะเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะหันมามองหน้าชายหนุ่มข้างกาย และเอ่ยยอมรับออกมาในที่สุดว่าเขาเป็นต้นเหตุของเสียงหัวเราะและใบหน้ายิ้มกว้างขวางของเธอตลอดทั้งเช้านี้ “ก็ทั้งหมด...ที่เป็นตัวท่าน”
ก็จะไม่ให้เธอขำเขาได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ออกมาจากบ้านเขาก็ทำอะไรเปิ่นๆ ให้เธอได้ยิ้มแทบจะตลอดเวลาในความไม่เคยคุ้นกับสถานที่และสิ่งของต่างๆ รอบตัวของเขา
ล่าสุด...ก็ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าเก่าที่เธอจะต้องแวะกินแทบจะทุกครั้งที่เดินทางเข้ากรุงเทพ และครั้งนี้เธอก็ไม่ลืมที่ชวนชายหนุ่มผู้เดินทางข้ามเวลามาจากยุคไหนก็ไม่รู้ กินก๋วยเตี๋ยวเรือตอนสิบเอ็ดโมงเป็นอาหารมื้อสายควบเที่ยงด้วยกัน
เพราะเมื่อเช้า เธอกับเขากินแค่กาแฟกับขนมปังจิ้มสังขยารองท้องมาเท่านั้น ซึ่งจะรอให้เที่ยงแล้วค่อยหาข้าวกินก็เกรงว่าชายหนุ่มที่นั่งมาด้วยกันจะหิวจนทนไม่ไหว
แต่เธอคงจะลืมนึกไปว่าเขาไม่ใช่คนยุคเดียวกับเธอ
เมื่อก๋วยเตี๋ยวของเธอและเขาที่เธอเป็นคนสั่งให้ ถูกนำมาเสิร์ฟ เธอก็ตั้งหน้าตั้งตากินโดยไม่ได้สนใจชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองชามก๋วยเตี๋ยวของเขาสลับกับหน้าเธอนิ่งๆ โดยไม่ปริปากพูดเลยสักนิด
และด้วยสายตาคมที่จ้องมองจนเธอรู้สึกตัวนั่นเอง เธอถึงได้เงยหน้าจากชามก๋วยเตี๋ยวของเธอ แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันพร้อมกับส่งสายตามีคำถามไปให้เขาว่า ‘ทำไมเขาไม่กิน แล้วเอาแต่จ้องหน้าเธอทำไม’
ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจในคำถามจากแววตาของเธอ เขาถึงได้ถามออกมาด้วยใบหน้าเครียดจัดว่า...‘แล้วมันกินอย่างไร’
ศศิธรจึงรับรู้ได้ทันทีว่าเขาใช้ตะเกียบไม่เป็น หญิงสาวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของตัวเองช้าๆ เพื่อเป็นการสอนเขาใช้ตะเกียบเป็นครั้งแรก
ชายหนุ่มลองทำตามอย่างที่หญิงสาวสอนช้าๆ แต่ให้ทำอย่างไร พยายามมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถคีบไอ้เส้นเล็กๆ ที่เรียกว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากเขาได้สักที...ครั้งแล้วครั้งเล่า
และหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็เอาแต่นั่งหัวเราะทุกครั้งที่เห็นเส้นก๋วยเตี๋ยวลื่นหลุดจากตะเกียบในมือของเขาลงชามกระเด็นเลอะไปทั่วโต๊ะ
จนเมื่อเธอได้ยินเสียงกระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับการกอดอกแน่น ของผู้ชายที่มีใบหน้านิ่งสนิทเพราะหมดความอดทนนั่นแหละ ศศิธรถึงได้กลั้นขำ แล้วลงมือใช้ช้อนตัดเส้นก๋วยเตี๋ยวในชามของเขาเป็นเส้นสั้น เพื่อที่เขาจะได้ใช้ช้อนตักขึ้นมากินได้สะดวก
“ฮึ” อินทุสะบัดหน้ากลับไปมองข้างทางตามเดิมพร้อมทั้งขับเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวอย่างไม่สบอารมณ์ ที่หญิงสาวหัวเราะเขาจนตัวโยนแบบนี้ แล้วเมื่อกี้ยังจะเถียงว่าไม่ได้ดูถูกเขาอีก
ผู้หญิงคนนี้ เธอช่าง...
“ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะไม่ขำ ไม่ล้อเลียนท่านอีกแล้ว” ศศิธรเอ่ยขอโทษออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหันไปสนใจท้องถนนเบื้องหน้าต่อ เมื่อสัญญาณไฟจราจรตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
อินทุไม่อยากจะถือสาหญิงสาวที่หัวเราะขำเขาตลอดเวลาคนนี้นัก เพราะถึงแม้ว่าเธอจะทำให้เขาไม่สบอารมณ์กับเสียงหัวเราะของเธอ
แต่เธอก็ยังมีน้ำใจช่วยเหลือเขาจนสามารถกินไอ้เส้นก๋วยเตี๋ยวยาวๆ นั่นได้ แถมยังช่วยเช็ดคราบที่กระเด็นเลอะเทอะตามแขนและหน้าของเขาออกให้อย่างเบามืออีกด้วย เขาจึงเสเปลี่ยนเรื่อง เมื่อรู้สึกว่าพาหนะที่เขานั่งมา กำลังจะเลี้ยวเข้าไปจอดสนิทข้างหน้าตึกรูปทรงแปลกๆ ตึกหนึ่ง
“ไหนเจ้าบอกว่า วันนี้จะพาข้ามาหาหญ้าอาบจันทร์ แล้วทำไมเจ้าถึงพาข้ามาที่นี่”
“ก็พามาหาที่นี่ไง”
“ที่นี่!” อินทุเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจ พร้อมกลับกลอกตามองไปทั่วบริเวณลานจอดรถ “ไม่เห็นมีภูเขาสักลูก แล้วเราจะไปขุดหญ้าที่ตรงไหน”
“ขุดหญ้า! ฮ่าๆๆๆ” ศศิธรหลุดขำออกมาอย่างหนักอีกครั้ง เมื่อได้ยินประโยคก่อนหน้าของชายหนุ่ม “โอ๊ยยย...ไม่ไหวแล้ว ฮ่าๆๆๆ”
ชายหนุ่มขยับปากจะต่อว่าหญิงสาวที่กำลังขำเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย จมูก แก้มแดงไปหมด แถมน้ำหูน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างหนักนั่น แต่ก็ถูกหญิงสาวขัดออกมาก่อนด้วยประโยคยาวๆ ที่ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะเธอกำลังกลั้นขำอย่างหนัก
“ท่านจะบ้ารึ...ข้าบอกว่าจะพาท่านมาหาข้อมูลหญ้าอาบจันทร์ ไม่ใช่มาขุดหญ้าอาบจันทร์ ข้ายังไม่รู้เลยว่าหญ้าอาบจันทร์อะไรนี่เป็นอย่างไร พบได้แถวไหน” ศศิธรไม่สามารถหยุดขำได้ง่ายๆ เมื่อเผลอคิดภาพอินทุกำลังแบกจอบ เสียม มาช่วยเธอขุดหญ้าอาบจันทร์ ที่หอสมุดแห่งนี้
“แล้วที่นี่มันจะมีได้อย่างไร” ชายหนุ่มอดจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่ได้
“ที่นี่เขาเรียกว่าหอสมุด เป็นแหล่งรวบรวมหนังสือตำราเรียนมากมาย เพื่อให้เราได้ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ค้นหาข้อมูลต่าง ซึ่งหนังสือที่เจ้าเห็นที่บ้านข้า ส่วนใหญ่ข้าก็ขอยืมมาจากที่นี่แหละ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ แล้วก็เปิดประตูก้าวลงจากรถเดินตามหญิงสาวที่วันนี้ดูจะมีใบหน้าร่าเริง ยิ้ม หัวเราะมากผิดปกติ เข้าไปยังแหล่งที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ มากมายจากทั่วโลก เพื่อไปช่วยกันค้นหาข้อมูลบางอย่าง ที่กำลังรอให้เขากับเธอได้ค้นพบ
//////////////////////////////////////////////
ภายในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือมากมาย ที่ตั้งเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ บวกกับความสงบเงียบอย่างมีมนต์ขลังของแหล่งศึกษาหาความรู้แห่งนี้ ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ชายหนุ่มที่ข้ามเวลามาจากเมืองกลาพิมพ์ยิ่งนัก
“หนังสือ เยอะมากจริงๆ”อินทุอดที่จะเอ่ยออกมาอย่างทึ่งจัดไม่ได้กับการพยายามรวบรวมความรู้ต่างๆ ไว้ในหนังสือของคนในยุคนี้
หญิงสาวที่กำลังลากบันไดเตี้ยๆ สำหรับปีนขึ้นไปหยิบหนังสือในชั้นที่มือเอื้อมไม่ถึง พยักหน้ารับเห็นด้วยกับความคิดของชายหนุ่ม “อือ”
“ข้าจะกลับไปบันทึกสิ่งต่างๆ ไว้เยอะๆ เพื่อที่ลูกหลานของกลาพิมพ์จะได้มีหนังสือไว้ค้นคว้าแบบนี้บ้าง” อินทุเอ่ยขึ้นขึ้นหลังจากที่หญิงสาว คนที่ชวนเขามาหาหญ้าอาบจันทร์เพื่อรักษาอาการป่วยของแม่เธอนั้น พาเขาเดินดูหนังสือตามชั้นต่างๆ มากมาย ก่อนจะพากันมาหยุดอยู่ที่ชั้นหนังสือชั้นหนึ่ง
เมื่อศศิธรหันไปให้ความสนใจกับชั้นหนังสือตรงหน้ามากกว่าจะพูดคุยกับเขา อินทุก็เลยเดินสำรวจหนังสือตามชั้นต่างๆ ด้วยตัวเอง แล้วจึงเดินวกกลับมาหาหญิงสาวที่กำลังต่อตัวขึ้นไปหยิบหนังสือสักเล่มบนชั้นสูงสุด แต่อาการเอื้อมจนสุดแขนแบบนั้น คาดว่าอีกไม่นานเธอคงตกลงมาจากบันไดพร้อมกับหนังสือเล่มใหญ่เป็นแน่
อินทุเห็นเช่นนั้น ก็รีบสาวเดินเข้าไปยืนซ้อนหลังหญิงสาว พร้อมกับก้มลงกระซิบถามอยู่เหนือศรีษะของเธอด้วยน้ำเสียงกึ่งดุกึ่งเอ็นดู “เจ้าจะหยิบเล่มไหน”
ศศิธรสะดุ้งตกใจเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงระยะห่างระหว่างเขากับเธอ จนตอนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะขยับหันไปไหน เพราะกลัวจะเกิดความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจขึ้นมาอีก ลำพังแค่นี้เธอก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของชายหนุ่มที่เป่ารดอยู่บริเวณศรีษะของเธอจนขนลุกซู่
“หือ” อินทุส่งเสียงถามออกมาเบาๆ เมื่อไม่ได้รับคำตอบจากหญิงสาว ซึ่งเหมือนเธอจะนิ่งแข็งไปชั่วขณะ แถมยังไม่ยอมตอบคำถามของเขาอีกด้วย
เมื่อคนอยากช่วย ไม่มีทีท่าจะขยับถอยหนีไปไหน แถมยังโน้มเอียงใบหน้าเข้ามาใกล้กับหญิงสาวมากยิ่งขึ้นไปอีก เธอจึงค่อยๆ เอ่ยออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงสั่นปนประหม่า “เล่มปกดำๆ นั่น” พร้อมกับเขย่งปลายเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อจะจิ้มไปที่สันหนังสือเล่มที่เธอต้องการ ซึ่งมันอยู่สูงเกินกว่าเธอจะหยิบถึง
และการกระทำของศศิธรก็ทำให้ผมหอมๆ ของเธอสัมผัสกับปลายจมูกของอินทุเข้าเต็มๆ อินทุจึงไม่รีรอที่จะสูดเอาความหอมเหมือนดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเข้าเต็มปอด ก่อนจะเอียงหน้าไปกระซิบข้างหูหญิงสาวเบาๆ พร้อมกับแตะฝ่ามือลงบนมือบางเบาๆ ด้วยอารมณ์หลงใหลเคลิบเคลิ้มไปกับความหอมหวานตรงหน้า “ข้าช่วย”
“เอ่อ...ขอบคุณ” หญิงสาวสะดุ้งเมื่อฝ่ามือร้อนๆ สัมผัสโดนหลังมือของเธอ จนต้องรีบชักมือหนี ตามมาด้วยอาการขนลุกซู่อีกระลอกและหน้าก็เห่อแดงทันทีที่ลมร้อนๆ จากริมฝีปากของเขาสัมผัสโดนหูและลำคอของเธอ
“มีเล่มไหนอีกไหม” อินทุเอ่ยถามขึ้นยิ้มๆ หลังจากหยิบหนังสือเล่มใหญ่ปกดำมาถือไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว และสังเกตเห็นว่าหญิงสาวตรงหน้าแข็งเป็นหินไปเสียแล้ว
ศศิธรพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจายกระเด็นกระดอนออกไปเมื่อสักครู่ให้กับมาอีกครั้ง ด้วยการก้มหน้าอ่านกระดาษเล็กๆ ในมือ ที่เธอจดรหัสหนังสือเล่มที่ต้องการเอาไว้ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นไปชี้หนังสือเล่มที่เธอต้องการอีกเล่มด้วยน้ำเสียงที่พยายามบังคับไม่ให้สั่นเต็มที่ “ละ...เล่ม...เล่มนั้น”
เมื่ออินทุเดินไปหยิบหนังสือให้ตามคำสั่งของเธอ ศศิธรก็สั่งต่อเรื่อยๆ “แล้วก็นั่น...เล่มนั้นแหละ”
หลังจากชายหนุ่มเดินไปหยิบหนังสือเล่มที่อยู่ห่างออกไปมาให้ศศิธร สติของเธอก็กลับมาอีกครั้ง ความเป็นตัวของตัวเองก็กลับมาอีกครั้งเช่นกัน เธอจึงทรุดตัวนั่งลงกับขั้นบันไดเตี้ยๆ นั่น แล้วชี้นิ้วสั่งให้อินทุเดินไปเดินมาเพื่อไปหยิบหนังสือตามรายชื่อหนังสือที่เธอจดมาจากการลองสืบค้นข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ภายในหอสมุดแห่งนี้ตั้งแต่มาถึง “นู่นอีก...ใช่ๆ ปกทองๆ”
ชายหนุ่มเดินมาหยุดยืนตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังนั่งเปิดหนังสือเล่มหนึ่งในมือบนบันไดเตี้ยๆ หลังจากที่สั่งให้เขาเดินไปเดินมาจนหัวหมุน พร้อมกับยื่นหนังสือปกสีทองให้กับเธอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมารับหนังสือจากมือของชายหนุ่ม พร้อมทั้งไล่สายตาหาหนังสือเล่มถัดไปที่ต้องการ “ขอบคุณ...แล้วก็เล่มที่อยู่ที่ชั้นที่สาม ชั้นนั้น เล่มที่...”
“เจ้ากำลังใช้ข้า!” อินทุก้มหน้าลงต่ำอยู่เหนือหัวของหญิงสาว แล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด เขารู้สึกไม่ชอบใจนักที่เธอพยายามเลี่ยงหลบสายตาของเขา แถมยังเอาแต่ใช้เขาอีกต่างหาก
“ก็ใช่นะซิ...”
“เจ้าไม่มีสิทธิ์” ไม่ว่าใครในกลาพิมพ์ก็ไม่ได้รับสิทธิ์ที่จะใช้เขาทำอะไรทั้งนั้น เว้นเสียแต่ว่าเขาจะยอม
“ข้าไม่มีสิทธิ์ใช้ท่าน! ทำไม?” ศศิธรลุกขื้นยืนเท้าเอว แล้วถามกลับไปที่ชายหนุ่มจอมวางอำนาจด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน แต่เธอก็พยายามบังคับเสียงให้เบาเท่าที่จะทำได้ เพราะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในหอสมุด ซึ่งทุกคนที่มาใช้บริการต้องการความเงียบสงบ
“ก็...ข้าแค่ไม่คุ้นกับการถูกใช้” อินทุรู้ตัวทันทีว่าเขาไม่สมควรพูดแสดงอำนาจกับศศิธรแบบนี้ เมื่อเห็นดวงตาวาวโรจน์ดุจแม่เสือสาวของเธอ และที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ๆ เขาจะวางอำนาจได้ เพราะที่นี่ไม่ใช่กลาพิมพ์
“ก็หัดคุ้นซะ ถ้าท่านยังอยู่ที่บ้านพี่ชายข้า ท่านก็ต้องเชื่อฟังข้า และยอมให้ข้าใช้แบบนี้แหละ” ศศิธรเถียงออกมาอย่างคนที่มีอำนาจเหนือกว่า เธอรู้สึกว่าตอนนี้เธอกับเขาเท่าเทียมกัน และเขาไม่สามารถข่มเธอได้ เมื่อเธอยืนอยู่บนขั้นบันไดเช่นนี้ เพราะเธอดูเตี้ยกว่าเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเขาจึงค่อนข้างวางอำนาจชัดเจน
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เขาหันหลังกลับไปหาหนังสือเล่มที่เธอสั่งล่าสุดทันที “เล่มไหน”
“ไม่ต้อง” ศศิธรเอ่ยปฏิเสธเสียงห้วน แล้วก็สะบัดหน้าเดินไปหยิบหนังสือเล่มสุดท้ายที่เธอต้องการด้วยตนเอง เธอตั้งปณิธานไว้แล้วว่าจะไม่เอ่ยปากใช้เขาอีกโดยเด็ดขาด พร้อมกับเดินบ่นเบาๆ ไปเรื่อย เพื่อระบายอารมณ์ “หึ...ตอนแรกบอกจะช่วยๆ แล้วทีนี้มาบอกว่าเธอไม่มีสิทธิ์ใช้ จะเอายังไงกันแน่”
ชายหนุ่มส่ายหน้ากับอารมณ์ปั้นปึ่งของหญิงสาว แต่เขาก็ไม่ได้คิดจะเดินตามเธอออกไป เพราะเห็นว่าเธอลืมหนังสือเอาไว้กองโต
ศศิธรรู้สึกเสียฟอร์มเล็กน้อย ที่ต้องเดินย้อนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง ทั้งที่เพิ่งสะบัดหน้าเดินผ่านหน้าชายหนุ่มที่ทำให้เธอหงุดหงิดไปไม่นาน แล้วตอนนี้ยังจะต้องเอ่ยปากใช้เขาอีกด้วย ทั้งที่เพิ่งบอกกับตัวเองเมื่อกี้ว่าจะไม่ใช้เขาอีกแล้ว
แต่จะให้เธอยกหนังสือเองทั้งหมด เธอก็ไม่สามารถ จึงต้องยอมจำนนเชิดหน้าใช้เขา “ยกหนังสือพวกนี้ แล้วตามข้ามา”
อินทุก้มหน้าลงซ่อนรอยยิ้มขบขันท่าทางเชิดๆ ของหญิงสาว เพราะเกรงว่าถ้าเธอเห็นเขายิ้ม เธอคงจะหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ หลังจากได้อาศัยอยู่กับเธอเพียงไม่กี่วัน เขาก็ค้นพบว่าเธอเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้หงุดหงิด ตัดสินใจอะไรรวดเร็ว ถ้าเธอคิดจะทำอะไร เธอก็จะทำมันทันที จนบางครั้งก็ขาดสติตริตรอง...เหมือนที่เธอตัดสินใจช่วยเขานั่นแหละ
ถ้าเขาเป็นคนไม่ดี เธอคงได้รับอันตรายไปแล้ว
ชายหนุ่มคิดพลางก็ย่อตัวลงยกหนังสือที่วางตั้งอยู่ข้างบันไดขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนแกร่ง แล้วก็เดินตามหลังหญิงสาวที่เดินคอเชิดตั้งบ่าไปที่โต๊ะริมหน้าต่างมุมสุดของหอสมุด
หลังจากที่พากันมานั่งหลบมุมอยู่ที่โต๊ะตัวในสุด หญิงสาวก็พยายามค้นหาข้อมูลต่างๆ ในหนังสือหลายเล่มที่กองอยู่บนโต๊ะอยู่เงียบๆ คนเดียว โดยละความสนใจชายหนุ่มที่นั่งจ้องมองเธออยู่ไม่ห่าง ผู้ชายที่มักทำให้จิตใจเธอสั่นไหวแปลกๆ ยามอยู่ใกล้กับเขา
หลังผ่านไปสักพัก ศศิธรก็ต้องเอ่ยปากถามเขาออกมา โดยที่เธอพยายามทำเป็นลืมความขัดเคืองใจก่อนหน้านี้ เมื่อเปิดไปเจอภาษาประหลาดในหนังสือเล่มหนึ่งเข้า “ท่านอ่านออกไหม” พูดจบก็ยื่นหนังสือในมือให้กับชายหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายอกสบายใจ
“หือ...ขอข้าดูหน่อย” อินทุชะโงกตัวมาด้านหน้าเพื่อรับหนังสือจากมือหญิงสาวมาเปิดดู
“ว่าอย่างไร” หญิงสาวเอ่ยเร่งเอาคำตอบออกมาด้วยความใจร้อน
“มันเขียนว่าหญ้าอาบจันทร์ช่วยรักษาโรคเกร็ดพิษได้”
และคำตอบของเขาก็ทำให้หญิงสาวยิ้มกว้างออกมาทันที
ซึ่งหลังจากอินทุบอกเช่นนั้น ศศิธรก็ไม่ได้สนใจเขาอีก เธอเดินไปค้นข้อมูลหญ้าอาบจันทร์จากคอมพิวเตอร์ภายในหอสมุดอีกครั้ง แล้วก็ได้หนังสือพันธุ์ไม้โบราณเล่มหนึ่งที่เขียนอธิบายไว้ว่า ‘หญ้าอาบจันทร์เป็นพืชล้มลุกโบราณ มักขึ้นตามภูเขาหินปูน’ ติดมือกลับมานั่งที่โต๊ะ
เมื่อหญิงสาวไม่ได้ให้ความสนใจหรือซักถามอะไรเขาอีก อินทุก็เดินไปเปิดหนังสือเล่นฆ่าเวลารอหญิงสาวบ้าง และเขาก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่มีรูปภาพประกอบซะเป็นส่วนใหญ่ และในภาพประกอบนั้น ก็มีภาษาที่เขาสามารถอ่านออกปนอยู่ด้วย
“ข้าเอาเล่มนี้กลับไปบ้านเจ้าด้วยได้ไหม”
“หือ..” ศศิธรเงยหน้าจากหนังสือที่กำลังอ่าน แล้วหันไปมองชายหนุ่มที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเธอ พร้อมกับยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้เธอดู
“รูปมันสวยดี ข้าชอบดู”
“เอาซิ เดี๋ยวข้ายืมให้” ศศิธรเอ่ยขึ้นหลังจากพลิกดูหนังสือที่ชายหนุ่มยื่นมาให้ดู แล้วเห็นว่าสามารถยืมหนังสือเล่มนี้กลับบ้านได้
///////////////////////////
อินทุมองดูผู้คนมากมายที่เดินกันขวักไขว่พลุกพล่านด้วยใบหน้าซีดเผือด เพราะเขาไม่เคยเจอผู้คนที่แต่งตัวด้วยสีสันสดใสแปลกตามากแบบนี้มาก่อน แล้วยิ่งมาอยู่รวมกันในสถานที่ๆ ที่เปิดเจ้าสิ่งที่เรียกว่าไฟฟ้าจนสว่างจ้า บวกกับการที่ผู้คนเหล่านี้แย่งกันพูด จนเสียงดังฟังไม่รู้เรื่อง แล้วยิ่งได้กลิ่นหอมจนฉุนไปหมดจากเจ้าสิ่งที่เรียกว่าน้ำหอม ก็ยิ่งทำให้ปราสาทรับรู้ทั้งหมดของเขาทำงานหนัก จนพานจะเป็นลม จนต้องจับแขนของหญิงสาวที่เดินนำหน้าไว้แน่น แล้วบอกให้เธอพาเขาไปที่ๆ คนน้อยกว่านี้สักหน่อย เพราะเขาอึดอัด
เมื่อศศิธรพาเขาเดินขึ้นบันไดมาแบบที่ไม่ต้องก้าวขาเดินขึ้นให้เมื่อย มายังชั้นที่มีเสื้อผ้ามากมายแขวนเรียงกันจนละลานตา อินทุก็อดจะถามออกมาด้วยความใคร่รู้ไม่ได้ “ที่นี่ที่ไหนหรือ”
“ห้างสรรพสินค้า”
“มันคือ?”
“ร้านค้า ที่มีของเกือบทุกอย่างวางขาย”
“แล้วเจ้าพาข้ามาที่นี่ทำไม...มาซื้อหญ้าอาบจันทร์รึ” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงพาซื่อ ในเมื่อหญิงสาวบอกว่าที่มีมีขายทุกอย่าง แต่เขากลับได้รับอาการสะบัดค้อนใส่ซะงั้น
“ถ้ามีขายก็ดีนะซิ...ข้าพาเจ้ามาซื้อของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น” หญิงสาวตอบไปพลางก็หันมาคว้ามือจับจูงคนตัวหนาที่ไม่ยอมขยับเดิน ให้เดินตามเธอมายังแผนกเสื้อผ้าของสุภาพบุรุษ
จากนั้นก็จับให้ชายหนุ่มร่างยักษ์ยืนนิ่งๆ เป็นหุ่นให้เธอหยิบเสื้อยืด เสื้อเชิร์ต มาทาบกับตัวเขา เพื่อวัดขนาด และเรียกพนักงานให้มาวัดเอวของชายหนุ่มเพื่อจะได้เลือกกางเกงให้กับเขา
“เข้าไปลองกางเกงหน่อย” ศศิธรดันหลังชายหนุ่มให้เข้าไปลองกางเกงยีนส์ที่เธอเลือกให้กับเขาในห้องลองเสื้อ และเมื่อเขาเข้าไปสักพัก หญิงสาวก็ตะโกนถามออกไปอีกครั้ง “ใส่ได้ไหม”
“ไม่รู้” คนในห้องลองเสื้อเอ่ยออกมาเสียงเบา
แต่คนนอกห้องลองเสื้อกลับแหวถามออกไปเสียงดัง ด้วยความหงุดหงิด “ทำไมถึงไม่รู้”
“เจ้าก็เข้ามาดูเองซิ” ชายหนุ่มเอ่ยตอบคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่รู้ว่าไอ้กางเกงที่เขาพยายามยัดใส่เข้าไปนี่ มันเรียกว่าใส่ได้หรือไม่ได้ของคนยุคเธอ แต่ถ้าเป็นคนกลาพิมพ์คงจะเขวี้ยงทิ้งไปนานแล้ว
+++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ