ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
5) บทที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 4
หลังจบคำถามว่า ‘คุณเป็นใคร’ คนป่วยก็หันขวับมาจ้องตาคนถามแทบจะทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด “ข้าก็เป็นข้า ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จันทรพิมพ์ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ ฉันจึงไม่รู้จักคุณ ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน” ศศิธรพยายามพูดออกอย่างใจเย็นกับคนป่วย เพราะเธอไม่อยากจะเถียงกับเขาแล้ว ตอนนี้เธออยากจะรู้เรื่องราวของเขามากกว่า
“แต่ข้ารู้จักเจ้า”
“ท่านจะมารู้จักข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” หญิงสาวเผลอแหวออกไปอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็อดที่จะล้อเลียนสรรพนามแทนตัวเธอและเขาตามแบบที่เขาใช้พูดกับเธอไม่ได้
นกน้อยซึ่งกำลังตั้งใจฟังศศิธรซักไซร้คนป่วย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดกึ่งโมโห กึ่งล้อเลียนของหญิงสาวเจ้าของบ้าน
“งั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศศิธร หรือเรีอกสั้นๆ ว่าศศิก็ได้ ส่วนนางคนนั้นชื่อนกน้อย เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ข้า...ทีนี้ก็ถึงคราวท่านแนะนำตัวเองบ้างแล้ว”
“เจ้าคือจันทรพิมพ์”
“นี่!...ข้าบอกให้ท่านแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่ให้มาเถียงกับข้า” ศศิธรเกือบจะเผลอตัวปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มบนเตียงนอนอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเถียงเธอออกมาแบบนี้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่า เธออยากจะรู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงพยายามจะระงับอารมณ์โมโหโกรธาลง
ภูผามักจะพูดเสมอว่าเธอเป็นคนดื้อ ชอบเถียง ชอบเอาชนะ แต่เธอก็มักจะเถียงกลับไปเสมอว่า เธอไม่ได้เถียง เธอแค่จะอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องให้ฟังเท่านั้น ก็ผู้ชายที่เธอเคยรู้จักแต่ละคน...ทั้งพ่อ ทั้งคุณลุง รวมทั้งพี่ชายของเธอ...มักชอบคิดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด
และเธอก็เป็นคนที่มักไม่ยอมกับอะไรที่มันไม่ถูกต้อง...เธอก็เลยต้องพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เธอคิดบนพื้นฐานของความถูกต้องและมีสัมมาคารวะ...แต่ก็ยังถูกมองว่า...ดื้อและชอบเถียงอยู่ดี
แต่ตอนนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญเข้าให้แล้ว
“ข้าชื่ออินทุ”
“บ้านท่านอยู่ที่ไหน”
“เมืองกลาพิมพ์ เมืองของเทพแห่งจันทรา”
“กลาพิมพ์...ข้าไม่รู้จัก เป็นอำเภอหรือ แล้วอยู่จังหวัดอะไร” ศศิธรเอ่ยทวนชื่อเมืองของเขาอีกครั้ง เหมือนเธอเคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ก็อยู่ที่นี่”
เมื่อรู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องถามใหม่ทันที “แล้วท่านมาทำอะไรที่กาญจนบุรี”
“กาญจนบุรี...คือที่ไหน แคว้นใหม่รึ”
“ที่นี่แหละ จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่แคว้นมงแคว้นใหม่อะไรทั้งนั้น” ยิ่งคุยกัน ศศิธรก็ยิ่งสงสัยว่าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ของเธอ สงสัยจะตกลงมาจากโรงลิเก เพราะคำพูดคำจาแต่ละคำนั้น เหมือนหลุดออกมาจากโรงลิเกที่เธอชอบไปนั่งดูสมัยเป็นเด็ก
“ที่นี่ไม่ช่สวรรค์หรอกรึ”
“สวรรค์...ก็ไม่ใช่นะซิ” หญิงสาวตอบพลางเพ่งมองหน้าหนุ่มที่ตกลงมาจากโรงลิเกด้วยแววตาครุ่นคิด หรือเขาจะเป็นคนไข้สติไม่ดีที่พลัดหลงเข้ามาในรีสอร์ทของพี่ชายเธอ
“แสดงว่าข้ายังไม่ตาย และเจ้าก็ยังไม่ตาย”
ศศิธรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ตัวเธอเอง และพยาบาลสาวน้อย พร้อมทั้งอธิบายช้าๆ ชัดๆ ให้เขาได้เข้าใจ “ท่าน ข้า และนาง ยังไม่มีใครตายทั้งนั้น ทุกคนยังมีชีวิตดีอยู่ บนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้”
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ และข้าก็ยังไม่ตายอย่างที่เจ้าบอก แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก่อน ข้ายังนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ที่ริมแม่น้ำคชาธารที่เมืองกลาพิมพ์ของข้าอยู่เลย” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ท่านถามข้า!” ศศิธรยกนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอคุยกับเขา เธอก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าอารมณ์มากขึ้น เขามักจะพูดอะไรออกมาให้เธอได้ปรี๊ดแตกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทุกที
“ถ้าข้าไม่ถามเจ้า แล้วข้าจะถามใคร”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลับมานิ่งๆ ของอินทุช่างกวนโมโหศศิธรยิ่งนัก ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไป “ข้ามากกว่านะ ที่สมควรจะถามคำถามนี้กับท่าน...ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขากลับนั่งนิ่ง กอดอก และเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ ศศิธรเห็นอาการเหมือนคนดื้อที่ไม่ยอมลงให้กับใครง่ายๆ ของอินทุ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ แล้วเอ่ยสรุปออกมาในที่สุด “สรุปตอนนี้คือ ข้าไม่ใช่จันทรพิมพ์ นางไม่ใช่บุหรง และท่านคืออินทุ...ทีนี้ก็เล่ามาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า...” อินทุทำเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เงียบเสียงลง พร้อมกับค่อยๆ เบือนหน้ามองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคยภายในห้องกว้าง แล้วก็มองตรงไปที่บุหรงนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดนิ่งลงที่ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ
ทว่าเขากลับปิดเปลือกตาลงเสียดื้อๆ เหมือนเขาก็คิดไม่ตกกับคำถามที่ศศิธรถามเขาว่า เขาโผล่มาอยู่ที่บ้านของเธอได้อย่างไร และมาด้วยวิธีใด
เมื่อเห็นว่าคนป่วยยังไม่อยากเล่า แถมยังหลับตาเพื่อหลีกหนีคำถามของเธอเสียดื้อๆ ศศิธรก็เลยหันไปชวนพยาบาลพิเศษ ไปดูแม่ที่ห้องข้างๆ แทนการซักไซร้ไล่เรียงหัวนอนปลายเท้าของคนป่วย ที่ดูจะไร้ผล ซึ่งดูเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ “เราออกไปดูแม่กันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
////////////////////////////////////////////////
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของสองสาวทยอยก้าวออกไปจากห้องจนหมด พร้อมกับเสียงปิดประตูบาๆ ตามมา อินทุก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนที่บอกว่าเธอชื่อ...ศศิธร...เดินออกไปทันที
“เธอไม่ใช่จันทรพิมพ์” อินทุเอ่ยยอมรับกับตนเองเบาๆ หลังจากที่เขาได้สบตาเธอตรงๆ หลายครั้ง เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เธอแค่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภรรยาของเขาเท่านั้น
ศศิธร เธอมีนัยตาสีดำคลับ...แววตาที่ช่างดูกล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวกับอะไรทั้งนั้น แม้แต่เขา...เธอคนนี้ ไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาจริงๆ
เพราะภรรยาของเขานั้น นางมีดวงตาสีเขียวสดใสราวกับสีของแม่น้ำคชาธารยามกระทบแสงจันทร์ ที่แฝงไปด้วยความโอนอ่อนและอ่อนโยน
ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน แต่สายตาของพวกเธอ นิสัยของพวกเธอ ช่างต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน
อินทุหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนความทรงจำอันแสนลางเลือนของเขา ก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบนี้...
/////////////////////////////////////////
“ท่านอินทุ ท่านจะไปไหน”
นายทหารคนสนิทตะโกนถามจากบนหลังม้าของตน เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้านำอยู่หน้าสุดของขบวนกำลังชักม้าเบี่ยงออกนอกเส้นทางกลับบ้านของพวกตน
“พวกเจ้ากลับไปที่ปราสาทกันก่อน ข้าขอไปล้างตัวที่ลำธารแล้วจะตามไป” ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยสีดำสนิทตลอดทั้งลำตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งม้าของเขาก็มีสีดำสนิทเฉกเช่นเขา หันกลับมาบอกชายบนหลังม้าที่รีบควบม้ามาหยุดอยู่ข้างตัวเขาเพื่อถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
“ไม่ต้อง เราอยู่ได้”
“มันอันตราย”
“สุมะ...ที่นี่มันอยู่ในเขตแดนของเรา ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอันตรายเราหรอก”
“แต่...” นายทหารที่ยังรู้สึกเป็นห่วงคู่สนทนาบนหลังม้าตัวงาม ยังพยายามจะหาข้ออ้างมาพูดเพื่อให้เขาได้ตามไปเฝ้าอารักขาชายหนุ่มต่อ
ทว่า ‘สุมะ’ กลับถูกขัดด้วยประโยคทอง...ประโยคที่มักใช้ได้ผลกับเขาเสมอมา...
“เมียเจ้ากำลังรอเจ้ากลับบ้านอยู่นะ...เราไม่อยากคิด...ว่าเจ้าจะเจอกับอะไร ถ้าเจ้ากลับบ้านผิดเวลา” อินทุพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านี้ ก็ควบม้าหนีออกมาจากคู่สนทนา ทิ้งให้ทหารเกือบร้อยชีวิต ที่มีเขาเป็นผู้กุมอำนาจสั่งการทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง และทหารเหล่านั้นก็กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาแห่งความจงรักภักดิ์ บวกความเป็นห่วงเป็นใย...
ซึ่งอินทุก็สุดจะคาดเดาว่า...นายทหารเหล่านั้นเป็นห่วงในความปลอดภัยของเขา
หรือเป็นห่วง...จิตใจของเขาที่ต้องอยู่คนเดียวในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้กันแน่
หลังจากที่ควบม้าผ่านแนวป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ ชายหนุ่มก็มองเห็นสายธารสีเขียวดังมรกตสะท้อนรับกับแสงจันทร์ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงลอดผ่านแนวป่าไผ่เบื้องหน้า ส่องสว่างเจิดจรัสเหมือนดั่งแสงไฟนำทางให้กับเขา
อินทุลงจากหลังม้าสีดำตัวใหญ่ ‘เจ้าสีนิล’ แล้วกระซิบบอกม้าของเขาให้รอเขาอยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่มีหญ้าขึ้นอยู่โดยรอบเพื่อให้มันได้แทะเล็มยอดหญ้าฆ่าเวลาระหว่างรอเขาไปพลางๆ “กินหญ้า รอข้าอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน”
หลังจากลูบหัวลูบคอทำความเข้าใจกับสีนิลเรียบร้อยแล้ว อินทุก็เดินผ่านแนวป่าไผ่เข้ามายังบริเวณน้ำตก ที่มีแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า
ซึ่งเมื่อเพ่งมองพิจารณาแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่นี้ให้ดี จะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายเศียรช้างสามเศียร จนชาวเมืองกลาพิมพ์ต่างขนานนามน้ำตกแห่งนี้ว่า ‘คชาธาร’
และเมื่อเขาเข้ามายืนอยู่บริเวณลำธารแห่งนี้ แล้วมองออกไปยังด้านนอกแนวป่าไผ่ เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย ที่นี่เหมือนเมืองๆ หนึ่ง ที่มีป่าไผ่เป็นม่านบางๆ กั้นสรรพสิ่งด้านนอกไม่ให้รุกล้ำเข้ามายังที่แห่งนี้ เรื่อยไปตลอดแนวของลำธาร ที่มีต้นกำเนิดจากช้างสามเศียรสายนี้...เป็นความสวยงามที่ธรรมชาติแต่งแต้มไว้อย่างลงตัว
ชายหนุ่มจัดการถอดชุดสีดำสนิทออกจากตัว แล้วนำไปซุกไว้กับพุ่มไม้เตี้ยข้างโขดหิน เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผิวกายสีดำแดงที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดก็สะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ ส่องให้เห็นถึงร่างกายกำยำสมส่วนได้อย่างชัดเจน บวกกับใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตร
ในแอ่งน้ำสีเขียวใสนั้น จึงสะท้อนให้เห็นเป็นภาพประติมากรรมอันงดงามของบุรุษเพศขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มกระโดดลงไปแหวกว่ายลอยคออยู่ในแอ่งน้ำเย็นจัดขนาดใหญ่เพื่อชำระคราบไคลและกลิ่นเหงื่อออกจากตัว หลังจากที่เขาต้องพาขบวนทหารออกลาดตระเวณตามแนวเขตแดนโดยมิได้อาบน้ำมาตลอดหนึ่งอาทิตย์
อินทุนอนหลับตาลอยคออยู่ในน้ำนิ่งๆ โดยไม่สะทกสะท้านถึงความหนาวเหน็บของสายธาร หลังจากที่ชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว พลันเขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นชินของหญิงสาวอันเป็นที่รัก กำลังท่องอะไรสักอย่าง ท่องวนซ้ำๆ กลับไปกลับมา
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า
ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...”
อินทุคิดว่าตนเองนั้นหูแว่ว เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาคิดถึงเธอ แต่ทว่าเมื่อเขายิ่งพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจนมากขึ้น จนเขาทนไม่ไหวต่อเสียงร่ำร้องในหัวใจ จนต้องลืมตาเพื่อมองหาทิศทางของเสียงที่เขาได้ยิน
และเขาก็ได้เห็นเธอ...จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาที่เพิ่งเสียไปเมื่อประมาณสามเดือนก่อน ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเฉกเช่นคืนนี้
เขาเห็นเธอจากในแอ่งน้ำซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เขาลอยคออยู่ อินทุพยายามเพ่งมองว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นภาพลวงตาหรือเรื่องจริง โดยการพยายามดำน้ำเข้าไปให้ใกล้กับตำแหน่งที่เขาเห็นเธอให้มากที่สุด
แต่เหมือนยิ่งดำน้ำลงไปลึกมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า เธอห่างไกลจากเขามากขึ้นเท่านั้น
เขาจึงพูดในสิ่งที่เขาได้ยินด้วยแรงปรารถนาจากส่วนลึก...“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...ข้าได้พบนางอันเป็นที่รักอีกครั้ง”
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าสายธารที่นิ่งสงบเมื่อสักครู่ กำลังเกิดคลื่นใหญ่ถาโถมเข้าหาเขา พลันเขาก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นที่สร้อยคอที่เขาแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลา
แล้วหลังจากนั้นอินทุก็ไม่รับรู้อะไรอื่นอีกเลย นอกจากเสียงเหมือนมนต์บางอย่างที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้จากที่ไกลแสนไกล ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นเธอ เขาไม่รู้ว่าเขากับเธอมาเจอกันได้อย่างไร แต่เขาเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เทพแห่งจันทราเป็นผู้นำพาให้เขามาเจอเธออีกครั้ง “จันทรพิมพ์”
//////////////////////////////////////////
นกน้อยเดินเข้ามาดูชายหนุ่มในห้องนอนตามคำสั่งของน้องสาวเจ้าของบ้าน หลังจากที่เมื่อเช้าพวกเธอช่วยกันป้อนข้าวป้อนน้ำป้อนยาให้ แล้วชายหนุ่มก็หลับยาวจนบ่ายแก่ แบบไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ
จนเมื่อสักครู่เธอเห็นเขานอนกระสับกระส่ายเหมือนกำลังไขว่คว้าอะไรสักอย่าง พร้อมกับหลุดตะโกนออกมาเสียงดังว่า...จันทรพิมพ์ แล้วก็ตามมาด้วย ศศิธร
เธอจึงรีบรุดเดินเข้าไปหาเขาที่ข้างเตียงนอน พร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มเอาไว้ และก็ตะโกนเรียกเขาเสียงดัง เพื่อเป็นการปลุกให้เขาตื่นจากฝันร้าย
“คุณอินทุ คุณอินทุ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มบนเตียงนอนค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งหันมองรอบตัว เหมือนต้องการจะทบทวนเรื่องราวบางอย่างในห้วงฝันของเขา ที่คงจะเหมือนจริงมาก จนทำให้เขาตื่นมาด้วยสภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด และเหงื่อเต็มตัว
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เรา..เราไม่ได้เป็นอะไร...เราแค่...” อินทุส่ายหน้า พร้อมทั้งจ้องนิ่งไปที่หญิงสาวที่กำลังจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น
“เอ่อ...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คุณหลับไปทั้งวันแล้วนะคะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าบ้างได้แล้ว คุณจะได้รู้สึกดีขึ้น” นกน้อยเอ่ยจบ ก็รีบปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม พร้อมทั้งถอยออกมายืนอยู่ห่างๆ อย่างเกรงๆ เมื่อเจอสายตานิ่งๆ ของชายหนุ่มบนเตียง
สายตาที่ไม่ได้แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว แต่เหมือนกับว่ามีอำนาจแห่งมนต์อะไรบางอย่าง ที่ทำให้เธอเกรงกลัวในตัวชายหนุ่มคนนี้
อินทุขยับตัวลุกขึ้นนั่งห้อยเท้ากับเตียงนอน ลูบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมกับสะบัดคอ สะบัดแขน สะบัดขาเพื่อไล่ความเมื่อยขบตามเนื้อตามตัว แล้วจึงหันมาถามถึงเจ้านายสาวของเธอ ที่ดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ทั้งในห้วงฝันและห้วงตื่นของชายหนุ่มไปเสียแล้ว
“แล้วจันทร...ศศิธรล่ะ”
“คุณศศิกำลังดูแลคุณแม่ของเธออยู่ค่ะ” นกน้อยตอบ แล้วก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูที่โต๊ะมุมห้องที่หญิงสาวเจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้กับชายหนุ่มตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันมาส่งให้กับเขาถึงมือ “นี่ชุดของคุณภู คุณอินทุน่าจะใส่ได้ คุณเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนใส่ชุดนี้นะคะ”
“อาบน้ำ ที่ไหน” อินทุถาม แล้วจึงเอื้อมมือไปรับเสื้อผ้าในมือของพยาบาลสาวไว้ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนคนที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งของเหล่านี้
นกน้อยเดินไปเปิดประตูห้องน้ำภายในห้องนอนให้ชายหนุ่มบนเตียงได้ดู “อาบในนี้ค่ะ”
อินทุเดินตามหญิงสาวไปที่ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดเล็กๆ พร้อมกับมองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ไปด้วย “แล้วเราจะอาบได้อย่างไร ที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำ หรือลำธาร หรือบ่อน้ำรึ”
“เอ่อ...อ่างอาบน้ำไม่มีค่ะ แต่บ่อน้ำอยู่ด้านหลังบ้าน แต่คุณเพิ่งหายดี อย่าเพิ่งลงไปอาบที่นั่นเลยค่ะ อาบในนี้แทนนะคะ เดี๋ยวคุณศศิรู้เข้าจะโกรธเอาอีก”
นกน้อยเอ่ยจบ ก็ส่ายหน้าอย่างระอา เมื่ออินทุร้องจะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ ถ้าศศิธรรู้เข้า ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ ต้องโดนบ่นว่าเรื่องมากอีกเป็นแน่ เพราะแค่เรื่องป้อนข้าวป้อนน้ำเมื่อเช้า ยังทำให้ศศิธรพร่ำบ่นชายหนุ่มคนนี้ ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายแก่ด้วยประโยคที่ว่า ‘ท่านอินทุของนกน้อยนี่ เรื่องมากจริงๆ บ้าอำนาจอีกต่างหาก’ เอ่ยซ้ำไปซ้ำมาจนเธอจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว
“เจ้าออกไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้”
ทว่าคนเรื่องมากกลับเอ่ยตัดบทอออกมาด้วยประโยคง่ายๆ ที่ทำให้นกน้อยแปลกใจจนต้องมองนิ่งไปที่คนเรื่องมากอย่างขอยืนยำคำตอบอีกครั้ง และอาการพยักหน้าไล่ให้เธอออกไปจากห้องก็เป็นการยืนยันคำพูดของเขาได้ดี นกน้อยจึงทิ้งให้คนที่ดูแลตัวเองได้อยู่ตามลำพังกับอุปกรณ์อาบน้ำ
+++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
รัก
พลอยลภัสร์
หลังจบคำถามว่า ‘คุณเป็นใคร’ คนป่วยก็หันขวับมาจ้องตาคนถามแทบจะทันทีด้วยสายตาไม่พอใจ ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงห้วนจัด “ข้าก็เป็นข้า ทำไมเจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่จันทรพิมพ์ ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ ฉันจึงไม่รู้จักคุณ ฉันถึงต้องถามว่าคุณเป็นใคร มาจากไหน” ศศิธรพยายามพูดออกอย่างใจเย็นกับคนป่วย เพราะเธอไม่อยากจะเถียงกับเขาแล้ว ตอนนี้เธออยากจะรู้เรื่องราวของเขามากกว่า
“แต่ข้ารู้จักเจ้า”
“ท่านจะมารู้จักข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าไม่เคยเห็นท่านมาก่อน” หญิงสาวเผลอแหวออกไปอย่างอดไม่อยู่ แต่ก็อดที่จะล้อเลียนสรรพนามแทนตัวเธอและเขาตามแบบที่เขาใช้พูดกับเธอไม่ได้
นกน้อยซึ่งกำลังตั้งใจฟังศศิธรซักไซร้คนป่วย หลุดหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดกึ่งโมโห กึ่งล้อเลียนของหญิงสาวเจ้าของบ้าน
“งั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่อศศิธร หรือเรีอกสั้นๆ ว่าศศิก็ได้ ส่วนนางคนนั้นชื่อนกน้อย เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ข้า...ทีนี้ก็ถึงคราวท่านแนะนำตัวเองบ้างแล้ว”
“เจ้าคือจันทรพิมพ์”
“นี่!...ข้าบอกให้ท่านแนะนำตัว ว่าเป็นใคร มาจากไหน ไม่ใช่ให้มาเถียงกับข้า” ศศิธรเกือบจะเผลอตัวปรี่เข้าไปประทุษร้ายชายหนุ่มบนเตียงนอนอยู่แล้ว ทันทีที่เขาเถียงเธอออกมาแบบนี้ แต่เมื่อสำนึกได้ว่า เธออยากจะรู้จักหัวนอนปลายเท้าของชายหนุ่ม เธอจึงพยายามจะระงับอารมณ์โมโหโกรธาลง
ภูผามักจะพูดเสมอว่าเธอเป็นคนดื้อ ชอบเถียง ชอบเอาชนะ แต่เธอก็มักจะเถียงกลับไปเสมอว่า เธอไม่ได้เถียง เธอแค่จะอธิบายเหตุผลที่ถูกต้องให้ฟังเท่านั้น ก็ผู้ชายที่เธอเคยรู้จักแต่ละคน...ทั้งพ่อ ทั้งคุณลุง รวมทั้งพี่ชายของเธอ...มักชอบคิดว่า ความคิดของตัวเองนั้นถูกเสมอ โดยที่ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด
และเธอก็เป็นคนที่มักไม่ยอมกับอะไรที่มันไม่ถูกต้อง...เธอก็เลยต้องพยายามที่จะอธิบายสิ่งที่เธอคิดบนพื้นฐานของความถูกต้องและมีสัมมาคารวะ...แต่ก็ยังถูกมองว่า...ดื้อและชอบเถียงอยู่ดี
แต่ตอนนี้ เธอคิดว่าเธอกำลังเจอคู่แข่งคนสำคัญเข้าให้แล้ว
“ข้าชื่ออินทุ”
“บ้านท่านอยู่ที่ไหน”
“เมืองกลาพิมพ์ เมืองของเทพแห่งจันทรา”
“กลาพิมพ์...ข้าไม่รู้จัก เป็นอำเภอหรือ แล้วอยู่จังหวัดอะไร” ศศิธรเอ่ยทวนชื่อเมืองของเขาอีกครั้ง เหมือนเธอเคยได้ยินจากไหนมาก่อน แต่ให้นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“ก็อยู่ที่นี่”
เมื่อรู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่องถามใหม่ทันที “แล้วท่านมาทำอะไรที่กาญจนบุรี”
“กาญจนบุรี...คือที่ไหน แคว้นใหม่รึ”
“ที่นี่แหละ จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ใช่แคว้นมงแคว้นใหม่อะไรทั้งนั้น” ยิ่งคุยกัน ศศิธรก็ยิ่งสงสัยว่าพ่อเทพบุตรตกสวรรค์ของเธอ สงสัยจะตกลงมาจากโรงลิเก เพราะคำพูดคำจาแต่ละคำนั้น เหมือนหลุดออกมาจากโรงลิเกที่เธอชอบไปนั่งดูสมัยเป็นเด็ก
“ที่นี่ไม่ช่สวรรค์หรอกรึ”
“สวรรค์...ก็ไม่ใช่นะซิ” หญิงสาวตอบพลางเพ่งมองหน้าหนุ่มที่ตกลงมาจากโรงลิเกด้วยแววตาครุ่นคิด หรือเขาจะเป็นคนไข้สติไม่ดีที่พลัดหลงเข้ามาในรีสอร์ทของพี่ชายเธอ
“แสดงว่าข้ายังไม่ตาย และเจ้าก็ยังไม่ตาย”
ศศิธรถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มบนเตียง ตัวเธอเอง และพยาบาลสาวน้อย พร้อมทั้งอธิบายช้าๆ ชัดๆ ให้เขาได้เข้าใจ “ท่าน ข้า และนาง ยังไม่มีใครตายทั้งนั้น ทุกคนยังมีชีวิตดีอยู่ บนโลกอันสับสนวุ่นวายใบนี้”
“ถ้าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์ และข้าก็ยังไม่ตายอย่างที่เจ้าบอก แล้วข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร...ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก่อน ข้ายังนั่งมองพระจันทร์เต็มดวงอยู่ที่ริมแม่น้ำคชาธารที่เมืองกลาพิมพ์ของข้าอยู่เลย” อินทุเอ่ยถามออกมาด้วยแววตาสงสัย
“ท่านถามข้า!” ศศิธรยกนิ้วชี้มาที่หน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่ายิ่งเธอคุยกับเขา เธอก็ยิ่งดูเป็นคนเจ้าอารมณ์มากขึ้น เขามักจะพูดอะไรออกมาให้เธอได้ปรี๊ดแตกกลายเป็นคนอารมณ์ร้อนทุกที
“ถ้าข้าไม่ถามเจ้า แล้วข้าจะถามใคร”
น้ำเสียงที่เอ่ยถามกลับมานิ่งๆ ของอินทุช่างกวนโมโหศศิธรยิ่งนัก ตอนนี้เธอรู้สึกว่ากำลังมีควันพวยพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างของเธอ และก็อดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไป “ข้ามากกว่านะ ที่สมควรจะถามคำถามนี้กับท่าน...ว่าท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบคำถามของเธอ เขากลับนั่งนิ่ง กอดอก และเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี พร้อมกับจ้องมองมาที่เธอนิ่งๆ ศศิธรเห็นอาการเหมือนคนดื้อที่ไม่ยอมลงให้กับใครง่ายๆ ของอินทุ ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ อย่างยอมแพ้ แล้วเอ่ยสรุปออกมาในที่สุด “สรุปตอนนี้คือ ข้าไม่ใช่จันทรพิมพ์ นางไม่ใช่บุหรง และท่านคืออินทุ...ทีนี้ก็เล่ามาว่าท่านมาทำอะไรที่นี่ แล้วมาที่นี่ได้อย่างไร”
“ข้า...” อินทุทำเหมือนจะเอ่ยอะไรออกมา แต่แล้วก็เงียบเสียงลง พร้อมกับค่อยๆ เบือนหน้ามองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่คุ้นเคยภายในห้องกว้าง แล้วก็มองตรงไปที่บุหรงนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็มาหยุดนิ่งลงที่ใบหน้าของหญิงสาวซึ่งกำลังจ้องมองไปที่เขาอย่างรอคอยคำตอบ
ทว่าเขากลับปิดเปลือกตาลงเสียดื้อๆ เหมือนเขาก็คิดไม่ตกกับคำถามที่ศศิธรถามเขาว่า เขาโผล่มาอยู่ที่บ้านของเธอได้อย่างไร และมาด้วยวิธีใด
เมื่อเห็นว่าคนป่วยยังไม่อยากเล่า แถมยังหลับตาเพื่อหลีกหนีคำถามของเธอเสียดื้อๆ ศศิธรก็เลยหันไปชวนพยาบาลพิเศษ ไปดูแม่ที่ห้องข้างๆ แทนการซักไซร้ไล่เรียงหัวนอนปลายเท้าของคนป่วย ที่ดูจะไร้ผล ซึ่งดูเป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ “เราออกไปดูแม่กันเถอะ ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว”
////////////////////////////////////////////////
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้าของสองสาวทยอยก้าวออกไปจากห้องจนหมด พร้อมกับเสียงปิดประตูบาๆ ตามมา อินทุก็ลืมตาขึ้นแล้วหันไปยังทิศทางที่หญิงสาวคนที่บอกว่าเธอชื่อ...ศศิธร...เดินออกไปทันที
“เธอไม่ใช่จันทรพิมพ์” อินทุเอ่ยยอมรับกับตนเองเบาๆ หลังจากที่เขาได้สบตาเธอตรงๆ หลายครั้ง เขาก็สรุปได้ทันทีว่าเธอไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เธอแค่มีใบหน้าละม้ายคล้ายภรรยาของเขาเท่านั้น
ศศิธร เธอมีนัยตาสีดำคลับ...แววตาที่ช่างดูกล้าหาญชาญชัย ไม่เกรงกลัวกับอะไรทั้งนั้น แม้แต่เขา...เธอคนนี้ ไม่ใช่จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาจริงๆ
เพราะภรรยาของเขานั้น นางมีดวงตาสีเขียวสดใสราวกับสีของแม่น้ำคชาธารยามกระทบแสงจันทร์ ที่แฝงไปด้วยความโอนอ่อนและอ่อนโยน
ถึงแม้ว่าเธอทั้งสองจะมีใบหน้าเหมือนกันราวกับคนๆ เดียวกัน แต่สายตาของพวกเธอ นิสัยของพวกเธอ ช่างต่างกันราวกลางวันกับกลางคืน
อินทุหลับตาลงอีกครั้ง พร้อมกับทบทวนความทรงจำอันแสนลางเลือนของเขา ก่อนที่เขาจะมานอนอยู่ในโลกแปลกใหม่ใบนี้...
/////////////////////////////////////////
“ท่านอินทุ ท่านจะไปไหน”
นายทหารคนสนิทตะโกนถามจากบนหลังม้าของตน เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มที่นั่งหลังตรงอยู่บนหลังม้านำอยู่หน้าสุดของขบวนกำลังชักม้าเบี่ยงออกนอกเส้นทางกลับบ้านของพวกตน
“พวกเจ้ากลับไปที่ปราสาทกันก่อน ข้าขอไปล้างตัวที่ลำธารแล้วจะตามไป” ชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยสีดำสนิทตลอดทั้งลำตัว ไม่เว้นแม้กระทั่งม้าของเขาก็มีสีดำสนิทเฉกเช่นเขา หันกลับมาบอกชายบนหลังม้าที่รีบควบม้ามาหยุดอยู่ข้างตัวเขาเพื่อถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
“ไม่ต้อง เราอยู่ได้”
“มันอันตราย”
“สุมะ...ที่นี่มันอยู่ในเขตแดนของเรา ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอันตรายเราหรอก”
“แต่...” นายทหารที่ยังรู้สึกเป็นห่วงคู่สนทนาบนหลังม้าตัวงาม ยังพยายามจะหาข้ออ้างมาพูดเพื่อให้เขาได้ตามไปเฝ้าอารักขาชายหนุ่มต่อ
ทว่า ‘สุมะ’ กลับถูกขัดด้วยประโยคทอง...ประโยคที่มักใช้ได้ผลกับเขาเสมอมา...
“เมียเจ้ากำลังรอเจ้ากลับบ้านอยู่นะ...เราไม่อยากคิด...ว่าเจ้าจะเจอกับอะไร ถ้าเจ้ากลับบ้านผิดเวลา” อินทุพูดทิ้งท้ายเพียงเท่านี้ ก็ควบม้าหนีออกมาจากคู่สนทนา ทิ้งให้ทหารเกือบร้อยชีวิต ที่มีเขาเป็นผู้กุมอำนาจสั่งการทั้งหมดอยู่เบื้องหลัง และทหารเหล่านั้นก็กำลังมองมายังเขาด้วยสายตาแห่งความจงรักภักดิ์ บวกความเป็นห่วงเป็นใย...
ซึ่งอินทุก็สุดจะคาดเดาว่า...นายทหารเหล่านั้นเป็นห่วงในความปลอดภัยของเขา
หรือเป็นห่วง...จิตใจของเขาที่ต้องอยู่คนเดียวในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้กันแน่
หลังจากที่ควบม้าผ่านแนวป่าทึบที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่นานาพันธุ์ ชายหนุ่มก็มองเห็นสายธารสีเขียวดังมรกตสะท้อนรับกับแสงจันทร์ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงลอดผ่านแนวป่าไผ่เบื้องหน้า ส่องสว่างเจิดจรัสเหมือนดั่งแสงไฟนำทางให้กับเขา
อินทุลงจากหลังม้าสีดำตัวใหญ่ ‘เจ้าสีนิล’ แล้วกระซิบบอกม้าของเขาให้รอเขาอยู่บริเวณต้นไม้ใหญ่ที่มีหญ้าขึ้นอยู่โดยรอบเพื่อให้มันได้แทะเล็มยอดหญ้าฆ่าเวลาระหว่างรอเขาไปพลางๆ “กินหญ้า รอข้าอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน”
หลังจากลูบหัวลูบคอทำความเข้าใจกับสีนิลเรียบร้อยแล้ว อินทุก็เดินผ่านแนวป่าไผ่เข้ามายังบริเวณน้ำตก ที่มีแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า
ซึ่งเมื่อเพ่งมองพิจารณาแอ่งน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่นี้ให้ดี จะเห็นว่ามีลักษณะคล้ายเศียรช้างสามเศียร จนชาวเมืองกลาพิมพ์ต่างขนานนามน้ำตกแห่งนี้ว่า ‘คชาธาร’
และเมื่อเขาเข้ามายืนอยู่บริเวณลำธารแห่งนี้ แล้วมองออกไปยังด้านนอกแนวป่าไผ่ เขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย ที่นี่เหมือนเมืองๆ หนึ่ง ที่มีป่าไผ่เป็นม่านบางๆ กั้นสรรพสิ่งด้านนอกไม่ให้รุกล้ำเข้ามายังที่แห่งนี้ เรื่อยไปตลอดแนวของลำธาร ที่มีต้นกำเนิดจากช้างสามเศียรสายนี้...เป็นความสวยงามที่ธรรมชาติแต่งแต้มไว้อย่างลงตัว
ชายหนุ่มจัดการถอดชุดสีดำสนิทออกจากตัว แล้วนำไปซุกไว้กับพุ่มไม้เตี้ยข้างโขดหิน เมื่อเขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ผิวกายสีดำแดงที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ปกปิดก็สะท้อนเข้ากับแสงจันทร์ ส่องให้เห็นถึงร่างกายกำยำสมส่วนได้อย่างชัดเจน บวกกับใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตร
ในแอ่งน้ำสีเขียวใสนั้น จึงสะท้อนให้เห็นเป็นภาพประติมากรรมอันงดงามของบุรุษเพศขึ้นมาทันที
ชายหนุ่มกระโดดลงไปแหวกว่ายลอยคออยู่ในแอ่งน้ำเย็นจัดขนาดใหญ่เพื่อชำระคราบไคลและกลิ่นเหงื่อออกจากตัว หลังจากที่เขาต้องพาขบวนทหารออกลาดตระเวณตามแนวเขตแดนโดยมิได้อาบน้ำมาตลอดหนึ่งอาทิตย์
อินทุนอนหลับตาลอยคออยู่ในน้ำนิ่งๆ โดยไม่สะทกสะท้านถึงความหนาวเหน็บของสายธาร หลังจากที่ชำระล้างร่างกายเรียบร้อยแล้ว พลันเขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นชินของหญิงสาวอันเป็นที่รัก กำลังท่องอะไรสักอย่าง ท่องวนซ้ำๆ กลับไปกลับมา
“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า
ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...”
อินทุคิดว่าตนเองนั้นหูแว่ว เหมือนเช่นทุกครั้งที่เขาคิดถึงเธอ แต่ทว่าเมื่อเขายิ่งพยายามทำเป็นไม่ได้ยิน เขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจนมากขึ้น จนเขาทนไม่ไหวต่อเสียงร่ำร้องในหัวใจ จนต้องลืมตาเพื่อมองหาทิศทางของเสียงที่เขาได้ยิน
และเขาก็ได้เห็นเธอ...จันทรพิมพ์ ภรรยาของเขาที่เพิ่งเสียไปเมื่อประมาณสามเดือนก่อน ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวงเฉกเช่นคืนนี้
เขาเห็นเธอจากในแอ่งน้ำซึ่งอยู่ไม่ห่างจากบริเวณที่เขาลอยคออยู่ อินทุพยายามเพ่งมองว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้น เป็นภาพลวงตาหรือเรื่องจริง โดยการพยายามดำน้ำเข้าไปให้ใกล้กับตำแหน่งที่เขาเห็นเธอให้มากที่สุด
แต่เหมือนยิ่งดำน้ำลงไปลึกมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่า เธอห่างไกลจากเขามากขึ้นเท่านั้น
เขาจึงพูดในสิ่งที่เขาได้ยินด้วยแรงปรารถนาจากส่วนลึก...“ด้วยมนต์แห่งจันทรา และอำนาจของข้า...จงดลให้...ข้าได้พบนางอันเป็นที่รักอีกครั้ง”
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าสายธารที่นิ่งสงบเมื่อสักครู่ กำลังเกิดคลื่นใหญ่ถาโถมเข้าหาเขา พลันเขาก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นที่สร้อยคอที่เขาแขวนติดตัวไว้ตลอดเวลา
แล้วหลังจากนั้นอินทุก็ไม่รับรู้อะไรอื่นอีกเลย นอกจากเสียงเหมือนมนต์บางอย่างที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้จากที่ไกลแสนไกล ทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นเธอ เขาไม่รู้ว่าเขากับเธอมาเจอกันได้อย่างไร แต่เขาเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เทพแห่งจันทราเป็นผู้นำพาให้เขามาเจอเธออีกครั้ง “จันทรพิมพ์”
//////////////////////////////////////////
นกน้อยเดินเข้ามาดูชายหนุ่มในห้องนอนตามคำสั่งของน้องสาวเจ้าของบ้าน หลังจากที่เมื่อเช้าพวกเธอช่วยกันป้อนข้าวป้อนน้ำป้อนยาให้ แล้วชายหนุ่มก็หลับยาวจนบ่ายแก่ แบบไม่มีทีท่าจะตื่นขึ้นมาง่ายๆ
จนเมื่อสักครู่เธอเห็นเขานอนกระสับกระส่ายเหมือนกำลังไขว่คว้าอะไรสักอย่าง พร้อมกับหลุดตะโกนออกมาเสียงดังว่า...จันทรพิมพ์ แล้วก็ตามมาด้วย ศศิธร
เธอจึงรีบรุดเดินเข้าไปหาเขาที่ข้างเตียงนอน พร้อมกับจับแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่มเอาไว้ และก็ตะโกนเรียกเขาเสียงดัง เพื่อเป็นการปลุกให้เขาตื่นจากฝันร้าย
“คุณอินทุ คุณอินทุ...คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ชายหนุ่มบนเตียงนอนค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง พร้อมทั้งหันมองรอบตัว เหมือนต้องการจะทบทวนเรื่องราวบางอย่างในห้วงฝันของเขา ที่คงจะเหมือนจริงมาก จนทำให้เขาตื่นมาด้วยสภาพหน้านิ่วคิ้วขมวด และเหงื่อเต็มตัว
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เรา..เราไม่ได้เป็นอะไร...เราแค่...” อินทุส่ายหน้า พร้อมทั้งจ้องนิ่งไปที่หญิงสาวที่กำลังจับแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้แน่น
“เอ่อ...ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว คุณหลับไปทั้งวันแล้วนะคะ ลุกขึ้นมาอาบน้ำอาบท่าบ้างได้แล้ว คุณจะได้รู้สึกดีขึ้น” นกน้อยเอ่ยจบ ก็รีบปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของชายหนุ่ม พร้อมทั้งถอยออกมายืนอยู่ห่างๆ อย่างเกรงๆ เมื่อเจอสายตานิ่งๆ ของชายหนุ่มบนเตียง
สายตาที่ไม่ได้แสดงอารมณ์กราดเกรี้ยว แต่เหมือนกับว่ามีอำนาจแห่งมนต์อะไรบางอย่าง ที่ทำให้เธอเกรงกลัวในตัวชายหนุ่มคนนี้
อินทุขยับตัวลุกขึ้นนั่งห้อยเท้ากับเตียงนอน ลูบหน้าตัวเองเบาๆ พร้อมกับสะบัดคอ สะบัดแขน สะบัดขาเพื่อไล่ความเมื่อยขบตามเนื้อตามตัว แล้วจึงหันมาถามถึงเจ้านายสาวของเธอ ที่ดูเหมือนจะวนเวียนอยู่ทั้งในห้วงฝันและห้วงตื่นของชายหนุ่มไปเสียแล้ว
“แล้วจันทร...ศศิธรล่ะ”
“คุณศศิกำลังดูแลคุณแม่ของเธออยู่ค่ะ” นกน้อยตอบ แล้วก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูที่โต๊ะมุมห้องที่หญิงสาวเจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้กับชายหนุ่มตั้งแต่เมื่อตอนกลางวันมาส่งให้กับเขาถึงมือ “นี่ชุดของคุณภู คุณอินทุน่าจะใส่ได้ คุณเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนใส่ชุดนี้นะคะ”
“อาบน้ำ ที่ไหน” อินทุถาม แล้วจึงเอื้อมมือไปรับเสื้อผ้าในมือของพยาบาลสาวไว้ ด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ เหมือนคนที่ไม่คุ้นเคยกับสิ่งของเหล่านี้
นกน้อยเดินไปเปิดประตูห้องน้ำภายในห้องนอนให้ชายหนุ่มบนเตียงได้ดู “อาบในนี้ค่ะ”
อินทุเดินตามหญิงสาวไปที่ห้องสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดเล็กๆ พร้อมกับมองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ไปด้วย “แล้วเราจะอาบได้อย่างไร ที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำ หรือลำธาร หรือบ่อน้ำรึ”
“เอ่อ...อ่างอาบน้ำไม่มีค่ะ แต่บ่อน้ำอยู่ด้านหลังบ้าน แต่คุณเพิ่งหายดี อย่าเพิ่งลงไปอาบที่นั่นเลยค่ะ อาบในนี้แทนนะคะ เดี๋ยวคุณศศิรู้เข้าจะโกรธเอาอีก”
นกน้อยเอ่ยจบ ก็ส่ายหน้าอย่างระอา เมื่ออินทุร้องจะอาบน้ำในอ่างอาบน้ำ ถ้าศศิธรรู้เข้า ชายหนุ่มรูปงามคนนี้ ต้องโดนบ่นว่าเรื่องมากอีกเป็นแน่ เพราะแค่เรื่องป้อนข้าวป้อนน้ำเมื่อเช้า ยังทำให้ศศิธรพร่ำบ่นชายหนุ่มคนนี้ ตั้งแต่เช้าจรดบ่ายแก่ด้วยประโยคที่ว่า ‘ท่านอินทุของนกน้อยนี่ เรื่องมากจริงๆ บ้าอำนาจอีกต่างหาก’ เอ่ยซ้ำไปซ้ำมาจนเธอจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว
“เจ้าออกไปเถอะ เราดูแลตัวเองได้”
ทว่าคนเรื่องมากกลับเอ่ยตัดบทอออกมาด้วยประโยคง่ายๆ ที่ทำให้นกน้อยแปลกใจจนต้องมองนิ่งไปที่คนเรื่องมากอย่างขอยืนยำคำตอบอีกครั้ง และอาการพยักหน้าไล่ให้เธอออกไปจากห้องก็เป็นการยืนยันคำพูดของเขาได้ดี นกน้อยจึงทิ้งให้คนที่ดูแลตัวเองได้อยู่ตามลำพังกับอุปกรณ์อาบน้ำ
+++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
รัก
พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ