ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)

8.3

เขียนโดย พลอยลภัสร์

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.

  19 chapter
  9 วิจารณ์
  24.28K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4) บทที่ 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่ 3

 

          ศศิธรเสมองสำรวจข้าวของเครื่องใช้ สีผนังห้อง หรือแม้แต่สีของพื้นห้องนอนของพี่ชายไปเรื่อยเปื่อย เพราะรู้สึกประหม่ากับสายตาคมที่จ้องมองมาที่เธอนิ่ง ราวกับว่าเธอไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน ทั้งที่ปกติแล้ว เธอก็มักจะเข้ามาคอยจัด คอยทำความสะอาดห้องให้พี่ชายเป็นประจำอยู่แล้ว

          และเมื่อมองสำรวจจนทั่ว จนไม่รู้จะมองอะไรแล้ว ศศิธรก็เอ่ยขอตัวเพื่อออกไปจากสถานการณ์ชวนอึดอัดใจทันที เพราะเธอไม่รู้จะคุยอะไรกับพ่อเทพบุตรที่เอาแต่นั่งจ้องหน้าเธอไม่วางตา “ฉะ...ฉันออกไปช่วยนกน้อยทำอาหารดีกว่า จะได้เสร็จเร็วๆ”

          แต่ทว่าเทพบุตรรูปงามบนเตียงกลับดึงมือของเธอไว้ พร้อมกับเรียกชื่อเธอด้วยชื่อที่เธอมักได้ยินเขาละเมอถึงบ่อยๆ “จันทรพิมพ์”

          และเมื่อเธอหันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง พ่อเทพบุตรรูปงามที่เธอยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามก็ทำในสิ่งที่เธอไม่คาดคิด

          ใบหน้าของเขาโฉบเข้ามาอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว พร้อมกับมอบจุมพิตอันแสนหวานที่แฝงไปด้วยความโหยหาให้แก่เธอ

          จุมพิตที่เหมือนจะสูบเอาจิตวิญญาณของเธอออกไปจากร่าง ทันทีที่ลิ้นร้อนๆ ของเขาสัมผัสกับลิ้นอุ่นๆ ของเธอ

          ทว่าปฏิกิริยาของเธอก็ไวใช่เล่น เมื่อเขาปล่อยให้เธอเป็นอิสระ เธอก็ปล่อยหมัดใส่ดั้งจมูกโด่งเป็นสันของเขาแทบจะทันทีแบบที่เขาไม่ทันได้ตั้งตัวเช่นกัน

          “โอ๊ย!”

          “นกน้อยๆ ช่วยด้วย ช่วยศศิด้วย” ศศิธรร้องเรียกพยาบาลพิเศษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเพราะความกลัว ทันทีที่วิญญาณที่เขาสูบไปเมื่อสักครู่ หาทางวิ่งกลับเข้าสู่ร่างของเธอเจอแล้ว

          “เจ้า!”

          “ปล่อย...ปล่อยนะ ช่วยด้วย”

          “เจ้าต่อยข้า” คนถูกต่อย ยกมือข้างที่ว่างขึ้นลูบสันจมูกตัวเองเบาๆ ตรงบริเวณที่โดนหญิงสาวชกเข้าเต็มแรงแบบไม่ทันได้ตั้งตัว

          “ปล่อยฉันนะ” ศศิธรพยายามสะบัดแขนข้างที่ชายหนุ่มยึดไว้ให้หลุดจากการบีบรัด แต่ก็เหมือนกับการเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง นอกจากมันจะไม่ได้ผลแล้ว ก็เหมือนว่าไม่ซีกที่ใช้จะหักอีกต่างหาก เมื่อเทพบุตรรูปงามไม่ยอมปล่อยมือจากแขนของเธอที่พยายามจะดิ้นลงไปจากเตียงนอนโดยง่าย

          ชายหนุ่มยึดแขนของหญิงสาวแน่นมากขึ้นไปอีกด้วยแขนกำยำเพียงข้างเดียว พร้อมทั้งหันไปตวาดถามด้วยน้ำเสียงดุดันอย่างลืมตัว “ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้”

          “แล้วทะ...ทำไมคุณถึงทำแบบนี้” ศศิธรแทบจะร้องไห้ออกมา เมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของเทพบุตรรูปงามที่ตอนนี้เหมือนเขากำลังจะกลายร่างเป็นอสูรร้าย หลังจากที่เธอเผลอมือไวต่อยหน้าเขาไปอย่างแรง โทษฐานที่เขาโขมยจูบแรกของเธอไปแบบไม่ทันตั้งตัว

          “ทำไมข้าจะทำไม่ได้ ก็เจ้าเป็นภรรยาของข้า”

          “ภรรยาอะไรกัน...ฉันไม่ใช่ภรรยาของคุณ และฉันก็ไม่รู้จักคุณด้วย” ศศิธรเถียงออกมาแทบจะทันทีเช่นกัน เมื่อได้ฟังเหตุผลในการกระทำอันอุกอาจของชายหนุ่มบนเตียง

          เหตุผล...ที่เขาแอบอ้าง ทึกทัก ขี้ตู่เอาเองฝ่ายเดียว

          “จันทรพิมพ์” ชายหนุ่มครางเรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าเสียงทุ้มต่ำ อย่างพยายามจะระงับอารมณ์กรุ่นโกรธบวกความน้อยใจทั้งหมดทั้งมวลที่กำลังก่อตัวเป็นพายุขนาดย่อมเอาไว้

          แต่ทว่าตอนนี้ หญิงสาวที่เพิ่งโดนขโมยจูบแรกไป กลับไม่ได้รู้ซึ้งถึงอารมณ์โกรธปนน้อยใจของชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด เพราะเธอก็กำลังกรุ่นโกรธเขาอยู่เช่นกัน เธอจึงเถียงกลับไปอย่างที่ใจนึก “อีกอย่าง...ฉันก็ไม่ใช่จันทรพิมพ์ด้วย”

          “เจ้าคือ...จันทรพิมพ์” ส่วนชายหนุ่มก็เถียงกลับอย่างไม่ลดละเช่นกัน ในเมื่อหลักฐานก็ชี้ชัดอยู่บนใบหน้าของเธอเอง ว่าเธอนั้นคือภรรยาของเขา “และเจ้าก็เป็นภรรยาของข้า”

          “ไม่ใช่” แต่มีหรือที่ศศิธรจะยอม ในเมื่อเธอไม่ได้เป็นภรรยาของพ่อเทพบุตรรูปงามคนนี้

          ทว่าคนที่น้อยใจและอยากเอาชนะก็เถียงกลับทันควันเช่นกัน “ใช่”

          “พอๆ พอเถอะ ฉันไม่อยากจะเถียงกับคุณแล้ว...คุณคงยังไม่ได้สติพอ” ศศิธรรีบเอ่ยเบรกไว้ก่อน เมื่อเห็นว่าเธอกับเขาชักจะคุยกันไม่รู้เรื่องเข้าไปทุกที

          แต่เหมือนชายหนุ่มที่ไม่เคยมีใครเถียงแบบเอาเป็นเอาตายต่อหน้าแบบนี้มาก่อน จะยังไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ เมื่อเขาหันไปเห็นหลักฐานอีกหนึ่งชิ้นเดินเข้ามาภายในห้อง

          หลักฐาน…ที่ชี้ให้เขามั่นใจมากขึ้นว่าเธอคือภรรยาของเขาจริงๆ

          “ข้ามีสติดี เจ้าคือจันทรพิมพ์ และนางคนนั้นก็คือบุหรง สาวใช้ของข้า”

          “บุหรง! สาวใช้!” ศศิธรแทบจะตะโกนออกมาเมื่อได้ยินเขาเรียกสาวน้อยพบาบาลพิเศษที่เพิ่งเดินถือชามข้าวต้มหอมฉุยเข้ามาในห้องว่าบุหรง

          ซึ่งนอกจากเขาจะแอบอ้างว่าเธอเป็นภรรยาของเขาแล้ว เขายังทึกทักเอาพยาบาลพิเศษของแม่เธอ ว่าเป็นสาวใช้ของเขาอีกด้วย

          “คุณคงจะเพ้อเพราะพิษไข้ หรือคุณอาจจะความจำเสื่อม ฉันจะไม่ถือสาหาความกับคุณ” ศศิธรเอ่ยพร้อมกับส่ายหัวอย่างปลงๆ พ่อเทพบุตรรูปงามของเธอคงจะตกน้ำ แล้วหัวคงจะไปกระแทกเข้ากับโขดหิน ถึงได้ความจำเลอะเลือน อาการหนักมากกว่าที่เธอเห็นจากภายนอกมากนัก

          เมื่อคิดได้ดังนี้ ศศิธรจึงเลิกสนใจชายหนุ่มบนเตียงทันทีที่สรุปได้ว่าที่เขาพูดจาเพ้อเจ้อไม่รู้เรื่องเพราะอะไร แล้วจึงหันไปสั่งความเอากับพยาบาลสาวที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวชวนหวามไหวเมื่อสักครู่ระหว่างเขากับเธอ และไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเธอเลยสักนิด “นกน้อย เดี๋ยวช่วยวัดไข้เขาด้วยนะ”

          สั่งเสร็จก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มปล่อยแขนเธอพอดี ศศิธรจึงถอยออกมายืนห่างๆ เพราะยังนึกเคืองในการกระทำอันอุกอาจของชายหนุ่มบนเตียงไม่หาย

          ถึงแม้ว่าจูบของเขามันจะชวนให้เคลิบเคลิ้ม หรือเธอจะหลงใหลในใบหน้าอันหล่อเหลาราวเทพบุตรของเขา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถขโมยจูบแรกของเธอไปได้ง่ายๆ เช่นนี้

          “กินข้าวต้มร้อนๆ ก่อนดีกว่าค่ะ อิ่มแล้วนกน้อยจะวัดไข้ วัดความดันให้อีกครั้ง”

          “ข้าไม่ได้ความจำเสื่อม แต่...ข้าอาจจะตายแล้ว” ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าความจำเสื่อม เอ่ยออกมาเบาๆ เหมือนเพิ่งจะได้คิดไตร่ตรอง แล้วระลึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร

          “ตายแล้ว!”

          หญิงสาวสองคนในห้องตะโกนออกมาพร้อมกันทันทีโดยมิได้นัดหมาย เมื่อได้ยินชายหนุ่มหนึ่งเดียวบอกว่า...ตัวเขาเองตายแล้ว

          “บุหรง...เจ้าก็ตายแล้วเช่นกัน ใช่ไหม ไม่งั้นเรากับเจ้าคงจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่กับจันทรพิมพ์”

          แต่สองสาวในห้องกลับนิ่งเฉยและส่ายหัวอย่างเอือมระอา แถมยังไม่ใส่ใจที่จะตอบคำถามของชายหนุ่มที่บอกว่าตัวเองตายแล้วเลยสักนิด

          หนึ่งสาวรีบยกโต๊ะตัวเล็กและชามข้าวต้มเข้าไปวางตรงหน้าคนป่วย เพื่อให้เขาได้มีอะไรตกถึงท้องบ้าง

          ส่วนอีกหนึ่งสาวเดินเข้าไปประชิดตัวพยาบาลพิเศษ พร้อมทั้งกระซิบถามออกไปเบาๆ ให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนในเชิงปรึกษาหารือ “นกน้อยว่า ศศิควรจะพาคุณเทพบุตรไปตรวจเช็คสมองหน่อยดีไหม เขาอาจจะจมน้ำนานเกินไปจนขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง หรือตอนตกน้ำหัวเขาอาจจะไปโขกกับก้อนหิน จนสติเลอะเลือนก็เป็นได้”

          แต่เหมือนคนที่ถูกใส่ความว่าสติเลอะเลือนจะยังหูและปากดีอยู่ จึงเอ่ยปฏิเสธออกมาด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ “ข้าไม่ได้สติเลอะเลือน”

          ซึ่งหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก เพราะอยากให้คนป่วยได้กินข้าวต้มมากกว่าที่จะมาทุ่มเถียงทะเลาะกัน สองสาวจึงถอยมายืนมองคนป่วยบนเตียงที่กำลังจ้องมองชามข้าวต้มร้อนๆ เบื้องหน้านิ่งโดยไม่ยอมแตะแม้แต่น้อย

          จนนกน้อยทนไม่ไหว ต้องเอ่ยเชื้อเชิญเบาๆ “คุณกินข้าวต้มสักหน่อยซิคะ กำลังร้อนๆ เลย”

          “ข้าไม่กิน”

          “ทำไมถึงไม่กิน ไม่หิวหรือไง”

          “ข้า...ข้ากินไม่เป็น”

          “กินไม่เป็น...ทำไมถึงกินไม่เป็น” ศศิธรยังคงทำหน้าที่ซักถามคนเรื่องมากต่อไปอย่างพยายามระงับอารมณ์ให้เย็นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

          “ก็ที่กลาพิมพ์มันไม่มีแบบนี้ ไอ้นี่มันคืออะไร แล้วข้าจะกินอย่างไร ทำไมที่สวรรค์ ถึงมีของใช้หน้าตาแปลกประหลาดเช่นนี้”

          “พรืดดด...สวรรค์ ฮ่าๆๆๆ”

          ครานี้สองสาวส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกันทันทีที่ได้ยินคนป่วยบ่นออกมาอย่างหงุดหงิดโดยมิได้นัดหมาย และไม่แคร์สายตาที่จ้องมองมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อของคนป่วยเลยสักนิด

          “นี่พวกเจ้ารวมหัวกันขำข้ารึ” ชายหนุ่มที่คิดว่าตนเองตายไปแล้ว และกำลังอยู่บนสรวงสวรรค์ กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เมื่อเห็นหญิงสาวสองคนกำลังหัวเราะเยาะเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

          แต่เหมือนเขายิ่งพูด หญิงสาวทั้งสองคนก็ยิ่งพากันขำเขาเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มก็เลยหันไปใช้สายตาคมดุจ้องมองหญิงสาวอีกคนที่ดูจะหัวอ่อนกว่าอีกคน พร้อมทั้งเรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงเย็นๆ เพื่อให้เธอหยุดหัวเราะเขาสักที

          “บุหรง! หยุด!”

          นกน้อยหุบยิ้มแทบจะทันที ด้วยความเกรงกลัวต่อน้ำเสียงและสายตาคมดุคู่ที่กำลังจ้องมองมาที่เธออย่างวางอำนาจ ถึงแม้ชื่อที่เขาใช้เรียกขานเธอจะไม่ถูกก็ตาม

          พานทำให้หญิงสาวเจ้าของบ้านหุบยิ้มตามไปด้วย พร้อมทั้งตวัดสายตาค้อนชายหนุ่มที่เหมือนจะชอบวางอำนาจและชอบออกคำสั่งจนเคยชิน ทั้งที่ตอนนี้กำลังอาศัยอยู่ในบ้านคนอื่นโดยแท้

          เมื่อเห็นว่าพวกเธอทั้งสองพยายามกลั้นหัวเราะ จนกลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว ชายหนุ่มก็ออกคำสั่งใหม่กับภรรยาของเขาในสิ่งที่เขากำลังสงสัยใคร่รู้ทันที “จันทรพิมพ์...ข้ากินไม่เป็น เจ้ามาสอนข้าหน่อย”

          ทว่าหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าจันทรพิมพ์ กลับหันไปบอกสาวน้อยหน้าหวานอีกคนให้ทำหน้าที่แทนเธอ “นกน้อยไปป้อนเขาหน่อยไป”

          “จันทรพิมพ์...ข้ากำลังสั่งเจ้าอยู่นะ”

          ศศิธรส่ายหน้าอย่างเอือมระอากับคนบ้าอำนาจ ชอบสั่ง พร้อมทั้งพูดออกไปอย่างใจเย็น “ก็คุณสั่งจันทรพิมพ์ ส่วนฉันชื่อศศิธร ไม่ใช่จันทรพิมพ์...ฉันไม่ทำ ก็ไม่เห็นว่ามันจะแปลกตรงไหน”

          สิ่งที่หญิงสาวพูดออกไปนั้น เธอไม่ได้นึกเคืองเรื่องที่เขาออกคำสั่งกับเธอ แต่เธอแค่อยากจะเอาชนะเขามากกว่า เพราะเขาทำเหมือนไม่รับรู้ในสิ่งที่เธอพร่ำบอกกับเขาว่า เธอไม่ใช่หญิงสาวที่ชื่อจันทรพิมพ์ ภรรยาของเขา

          และประโยคที่หญิงสาวพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นๆ นั้น ก็กลายเป็นเหมือนน้ำร้อนที่ไปกวนโทสะของพ่อเทพบุตรตกสวรรค์เข้าเต็มๆ จนดวงตาของเขาลุกวาวขึ้นมาแทบจะทันที

          “เจ้า!”

          “คุณศศิ...พอเถอะค่ะ” แต่ยังดีที่มีเสียงใสๆ จากกรรมการสาวน้อยเข้ามาขวางไว้ซะก่อน ที่จะเกิดเหตุการณ์เลือดตกยางออกขึ้นภายในห้องนี้ “มาค่ะ เดี๋ยวนกน้อยป้อนให้เอง”

          “ไม่! เราไม่อยากกินแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยออกมาด้วยอารมณ์น้อยใจสุดๆ

          “ไม่อยากกิน ก็ไม่ต้องกิน”

          นกน้อยส่ายหน้าอย่างคิดไม่ตก เมื่อฝ่ายแดงก็ไม่ยอม ฝ่ายน้ำเงินก็ไม่ยอมแบบนี้ แล้วกรรมการอย่างเธอจะตัดสินใจอย่างไรกับคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อเช่นนี้

          “คุณศศิคะ” เมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างจ้องหน้ากันนิ่งๆ โดยใช้สายตาคุมเชิงกันและกัน อย่างไม่มีใครยอมใคร กรรมการสาวก็ทำได้แค่เพียงส่งเสียงหวานเรียกหญิงสาวเจ้าของบ้าน พร้อมกับใช้สายตาอ้อนวอนให้หญิงสาวหยุดการถกเถียงเหมือนเด็กๆ กับคนป่วยขี้น้อยใจบนเตียง

          “ก็ได้ๆ” หญิงสาวที่ยืนกอดอกจ้องมองชายหนุ่มอย่างต้องการจะเอาชนะคนหัวดื้อ ยอมลดมือลง แล้วเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขาบนเตียงนอน เพื่อเป็นการแสดงออกว่าเธอยอมแพ้กับความดื้อดึงของเขา แต่ก็ไม่วายที่จะบ่นออกไปดังๆ ให้คนป่วยบนเตียงได้ยิน “ฉันเห็นว่าคุณป่วยหรอกนะ ยอมเป็นแม่นางจันทรพิมพ์อะไรนั่นให้วันหนึ่งก็ได้”

          ศศิธรยอมตักข้าวต้มป้อนให้ชายหนุ่มรูปงามบนเตียงนอนไปเรื่อยๆ จนหมดชาม แบบที่คนป้อนและคนถูกป้อน ไม่มีใครยอมเอ่ยปากพูดกับใครก่อน

          “ให้ฉันป้อน ก็เลอะเทอะไปหมดแบบนี้ เห็นไหม” หญิงสาวบ่นออกมาดังๆ เมื่อรู้สึกว่า เธอป้อนเขาไปก็ต้องหยิบทิชชูมาคอยเช็ดข้าวต้มที่เธอป้อนเลอะบริเวณมุมปากให้เขาไปด้วย

          แล้วพอเริ่มเช็ด ก็เริ่มคิดถึงลิ้นร้อนๆ ของเขา ก็พานทำให้เธอหวนคิดไปถึงจูบอันแสนร้อนแรงเมื่อสักครู่ระหว่างเขากับเธอ และเมื่อสมองของเธอ เริ่มจะคิดเรื่องทะลึ่งออกนอกลู่นอกทาง ใบหน้าของเธอก็เริ่มจะเห่อร้อนขึ้นมาแทบจะทันที  ก็เลยต้องเสเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “นกน้อยมีหน้าที่เป็นพยาบาลพิเศษของแม่ฉัน เธอเรียนด้านนี้มาโดยตรง เธอจะดูแลคุณได้ดีกว่าฉัน...ถ้าคุณไม่เรื่องมาก ยอมให้เธอป้อนตั้งแต่แรก คุณก็จะไม่เลอะเทอะแบบนี้...ทำไมคุณต้องดื้อ ทำตัวเป็นเด็ก ไม่เข้าท่าแบบนี้ด้วยนะ”

          “ข้าไม่ได้ดื้อ และข้าก็ไม่ใช่เด็กๆ”

          “ไม่ดื้อเลยเนอะ” ศศิธรเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

          ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าดื้อ อุบอิบพูดอยู่ในลำคอเบาๆ อย่างต้องการให้เธอได้รับรู้ถึงความรู้สึกจริงๆ ของเขาว่า เขาโหยหาเธอมากแค่ไหน “ข้าแค่ต้องการเจ้า”

          “แล้วทำไมต้องเป็นฉัน” หญิงสาวซึ่งนั่งอยู่ชิดกันเอ่ยออกมาทันที เมื่อได้ยินประโยคอุบอิบอยู่ในลำคอนั้น...ชัดเจน

          “ก็ข้า...ก็เจ้าเป็นภรรยาของข้า” คนป่วยอยากจะบอกว่า ที่เขาทำไปทั้งหมดเพราะเขารักเธอและคิดถึงเธอ แต่ต้องเก็บคำพูด เก็บความคิดทั้งหมดทั้งมวลเอาไว้ เมื่อหันไปเห็นสายตาที่เธอจ้องมองเขา...สายตาที่เหมือนคนที่ไม่คุ้นเคย คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาก็รีบกลับคำพูดของเขาทันที โดยอ้างสิ่งที่เขาคิดว่า มันสามารถใช้เหนี่ยวรั้งเธอเอาไว้ใกล้ตัวเขาได้...อีกครั้ง

          “เฮ้อออ...” ศศิธรถอนหายใจทันทีที่ได้ยินเขาบอกว่าเธอเป็นภรรยาของเขา ซึ่งยืนยันได้ว่าตั้งแต่ที่เธอคุยกับเขา เขาไม่ได้ซึมซับในสิ่งที่เธอพร่ำบอกกับเขาเลยสักนิด

          “ถ้าฉันเป็นภรรยาของคุณจริงๆ นะ จำเอาไว้ว่าฉันจะเอาข้าวต้มถ้วยนี้ ไปเททิ้งทันทีที่คุณบอกว่าไม่หิวและไม่กินนั่นแล้ว” หญิงสาวพูดจบก็ลงมายืนอยู่ข้างเตียง แล้วหันไปเรียกพยาบาลสาวให้มาดูแลชายหนุ่มต่อ เพื่อเป็นการตัดบทการสนทนาระหว่างเขากับเธอเอาดื้อๆ “นกน้อยมาวัดไข้เขาหน่อย”

          ทว่าคนป่วยกลับไม่อยากให้เปลี่ยนตัวคนมาดูแลตนเอง จึงบอกปัดความห่วงใยของเธออย่างไม่ใยดี “ไม่ต้อง...ข้าหายดีแล้ว”

          แต่หญิงสาวทั้งสองคนกลับไม่สนใจในคำทัดทานของชายหนุ่ม พยาบาลสาวน้อยรีบเดินไปหยิบปรอทวัดไข้และอุปกรณ์วัดความดันเพื่อมาตรวจเช็คอาการของคนป่วย ก่อนจะหันมาบอกกับเจ้านายสาวให้คลายความกังวลกับอาการป่วยของชายหนุ่มที่นั่งหน้าบูดอยู่บนเตียงเพราะถูกขัดใจ

          “ไม่มีไข้แล้วนะคะ ความดันก็เป็นปกติ”

          “ก็ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าข้าหายดีแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยออกมา เหมือนจงใจจะบอกกับหญิงสาวที่ยืนดูอยู่ห่างๆ มากกว่าหญิงสาวที่เป็นคนตรวจดูอาการของเขาด้วยเครื่องมือแปลกๆ

          “ถ้าหายดีแล้ว เราก็คุยกันได้แล้วนะซิ” พูดจบ ศศิธรก็เดินไปลากเก้าอี้จากโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง เข้ามานั่งข้างเตียงคนป่วย แล้วก็เริ่มซักถามในสิ่งที่เธออยากรู้มาตั้งนานแล้วทันที “คุณเป็นใคร มาจากไหน แล้วมาเล่นน้ำในบ้านฉันได้อย่างไร บ้านอยู่แถวนี้หรือเปล่า...แล้วจันทรพิมพ์กับบุหรงเป็นใคร”

          “คุณศศิคะ”

          “หือ”

          “ใจเย็นๆ ค่ะ...คุณเทพบุตรเขาเพิ่งจะหายป่วย”

          “เราไม่ได้เป็นป่วย”

          “อ่อ...เอ่อ...ทีละคำถามก็ได้” ศศิธรไม่ได้สนใจประโยคเอ่ยแทรกคำพูดของนกน้อยเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจของคนป่วย เธอกลับพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของนกน้อย แล้วจึงเริ่มต้นตั้งคำถามใหม่อีกครั้ง แบบทีละคำถามกับคนป่วยจอมเอาแต่ใจที่เพิ่งจะล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทางหงุดหงิดหลังจากนกน้อยเอายาให้กินเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง “คุณเป็นใคร”

 

 

+++++++++++++

 

ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ

 

รัก

พลอยลภัสร์ 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา