ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี)
8.3
เขียนโดย พลอยลภัสร์
วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 13.02 น.
19 chapter
9 วิจารณ์
24.31K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557 20.25 น. โดย เจ้าของนิยาย
12) บทที่ 11
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่ 11
ภูผาถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ ก่อนจะบอกถึงสาเหตุที่บ้านใหญ่มักโทร. มาตามตัวให้เขาไปกินข้าวเย็นด้วยเสมอ ซึ่งดูเหมือนช่วงนี้จะโทร. มาถี่เหลือเกิน “อื้อ...นั่นแหละ เรื่องเดิมๆ ให้ไปดูตัวลูกสะใภ้”
“พี่ภูก็รีบมีสักคนซิค่ะ คุณลุงจะได้เลิกหาให้สักที หรือไม่ก็เลือกสักคนที่คุณลุงหาให้ก็ได้” ศศิธรแสดงความคิดเห็น พร้อมกับลอบสังเกตปฏิกิริยาของพยาบาลสาวที่กำลังลุกขึ้นจัดที่หลับที่นอนให้แม่ของเธอไปด้วย
หญิงสาวค่อนข้างมั่นใจ ว่าพี่ชายของเธอนั้น...คิดอะไรๆ กับพยาบาลพิเศษของแม่คนนี้
อะไรๆ...ที่มันมากกว่านายจ้างกับลูกจ้าง หรือพี่ชายกับน้องสาวเหมือนที่พี่ชายมักพูดเสมอ
แต่ในส่วนของนกน้อยนั้น ศศิธรเดาไม่ถูกจริงๆ เพราะเธอดูไม่ออกว่านกน้อยคิดอย่างไรกับพี่ชายของเธอมากกว่านายจ้างกับลูกจ้างหรือพี่ชายกับน้องสาว(ข้างบ้าน)หรือเปล่า เพราะนกน้อยไม่เคยแสดงท่าทางอะไรที่มากไปกว่าลูกจ้างเลยสักนิด ไม่ว่าจะกับเธอหรือกับภูผา
“ก็อยากจะรีบมีอยู่หรอกนะ” ภูผาพูดพลางเพ่งมองไปที่หญิงสาวที่ยืนหันหลังอยู่ตรงมุมห้อง เนื่องจากพ่อต้องการให้เขาเลือกลูกสะใภ้ที่มีธุรกิจเกื้อหนุนกับครอบครัวของเขา ทำให้เขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดที่จะเลือกผู้หญิงด้วยตนเอง ถึงแม้จะแอบชอบพยาบาลพิเศษของศมนอยู่ก็ตาม
เขาจึงไม่เคยคิดจะจีบ หรือรีบทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้นกน้อยได้รับรู้ถึงความรู้สึกของเขา เพราะเขาคิดว่า อย่างไรซะเขาก็ต้องเลือกลูกสะใภ้จากผู้หญิงสักคนที่พ่อพามาให้รู้จักอยู่ดี เขาจึงแสดงออกกับเธอเฉกเช่นน้องสาวคนหนึ่ง
และก็ดูเหมือนว่าบุหรงก็พยายามจะแสดงออกว่าเธอเป็นเพียงแค่ลูกจ้างของเขาเท่านั้นเช่นกัน...ทำให้เขาไม่กล้าจะจีบเธออย่างจริงจังนัก
“อยากรีบมี...ก็มีเลยซิค่ะ เดี๋ยวมีใครมาคว้าไปไม่รู้ด้วยนะคะ หรือรออะไรอยู่ รอมานานแล้วนะคะ” ศศิธรเอ่ยกระตุ้นพี่ชายเต็มที่ ปกติแล้วพี่ชายเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเปิดเผยความรู้สึกเท่าไร จะดีใจ เสียใจ ยิ้ม หัวเราะ ก็หน้านิ่งๆ เหมือนกันตลอด
เพิ่งจะมีเรื่องของนกน้อยนี่แหละ ที่ดูเหมือนจะแสดงออกมากเป็นพิเศษ แต่ก็คงจะไม่มากพอที่จะทำให้สาวเจ้ารู้ตัว แต่ออกตัวแรงไปก็เท่านั้น เมื่อสาวเจ้าไม่ชายตาแลมาทางพี่ชายเธอแม้แต่น้อย
“ก็...รอให้คนบางคนแถวนี้โตกว่านี้อีกหน่อย แบบนี้ไม่ไหว อาจจะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์ได้” ภูผารีบเอ่ยรัวเร็วเชิงกระเซ้าเย้าแหย่พยาบาลสาวที่กำลังจะเดินพ้นขอบประตูห้องออกไปจากห้อง เพื่อให้เธอกลับมาพูดจากับเขาเช่นเดิม แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์เพราะหญิงสาวเดินหลังตรงออกไป โดยไม่เหลือบแลหันหลังกลับมามองที่เขาเลยสักนิด จนเขาต้องถอนหายใจยาวออกมา
“พี่ภูทำอะไรนกน้อย” ศศิธรถามออกมาทันทีที่คล้อยหลังพยาบาลสาวน้อย
“เปล่า”
“แล้วทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
ภูผายังคงสายหน้าปฏิเสธข้อกล่าวหาของน้องสาว เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเผลอไปทำอะไรให้สาวน้อยไม่พอใจ ถึงขนาดคอยหลบหน้าหลบตา แถมยังไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับเขาอีกด้วย สงสัยงานนี้ต้องมีเคลียร์กันยาว
//////////////////////////
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียง ‘ทุบ’ ประตูที่แทบจะพังประตูห้องนอนของศศิธร ทำให้เธอต้องรีบลุกมาเปิดประตูออกมาดูหน้าคนที่คิดจะพังประตูห้องนอนของเธออย่างรวดเร็ว โดยที่ในมือยังมีผ้าขนหนูผืนเล็กที่เธอกำลังใช้เช็ดผมที่ยังคงเปียกชื้นถือค้างอยู่
“ข้าเจอมันแล้ว” อินทุเอ่ยออกมาแทบจะทันทีที่เจ้าของห้องเปิดประตูออกมาแรงๆ ด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“จะพังประตูกันหรืออย่างไร แล้วอะไร...ท่านเจออะไร”
ชายหนุ่มไม่ได้สนใจท่าทีไม่สบอารมณ์ของหญิงสาว เพราะเขามีสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่า และเขาก็ยื่นสิ่งที่เขากำอยู่ในมือไปตรงหน้าเธอ สิ่งที่เขาเพียรหามาหลายวันให้เธอได้มองมันอย่างชัดเจน ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าเขาจะหามันเจอได้โดยง่ายในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง
“เจ้าดูนี่...ข้าเจอมันแล้ว”
“สร้อยจันทร์เสี้ยว!”
“เจ้าพูดถูก มันสะท้อนแสงจันทร์จริงๆ”
หญิงสาวกระโดดเข้าไปตะครุบสร้อยจันทร์เสี้ยวที่มีลักษณะเหมือนกับสร้อยของเธอเปี๊ยบ ขึ้นมาจ้อง พลางยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แล้วก็โผเข้าไปกอดชายหนุ่มด้วยความลืมตัว “หญ้าอาบจันทร์...กลาพิมพ์ ข้าจะได้ไปหาหญ้าอาบจันทร์แล้ว”
“ใช่...พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ข้าจะได้กลับกลาพิมพ์...ข้าจะได้กลับกลาพิมพ์แล้ว” ด้วยอารามดีใจที่จะได้กลับบ้าน ทำให้ชายหนุ่มเผลอสวมกอดตอบหญิงสาวในอ้อมแขนไว้แน่น..ทั้งตัว
อินทุกอดจนขาของศศิธรลอยขึ้นเหนือพื้น แล้วยังหมุนตัวเธอไปรอบๆ อีกด้วย และเพราะความแข็งแกร่งของร่างหนา จึงเหมือนกับว่าเขากำลังเหวี่ยงหญิงสาวให้ปลิวละล่องอย่างไรอย่างนั้น จนหญิงสาวที่กลัวจะถูกเหวี่ยงผวาเข้ากอดคอเขาไว้...จนทั้งสองร่างแทบจะแนบสนิทไปด้วยกัน
“วิเศษที่สุด...ข้าจะได้กลับบ้านแล้ว”
เมื่อเหวี่ยงศศิธรจนพอใจแล้ว อินทุก็ปล่อยตัวเธอลงยืนกับพื้น พร้อมกับกอดเธอไว้แนบอกนิ่งๆ...เนิ่นนาน และคงจะนานกว่านี้ ถ้าไม่มีเสียงร้องประท้วงออกมาจากหญิงสาวในอ้อมแขนซะก่อน
“นี่! ปะ...ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ ทำไมท่านถึงชอบถึงเนื้อถึงตัวข้านัก...” ศศิธรร้องประท้วงเมื่อสำนึกได้ว่าชายหนุ่มตัวเย็นที่ยืนกอดกับเธออยู่นี่ เปลือยหน้าอก ไม่ยอมใส่เสื้ออีกแล้ว โดยที่ลืมไปเสียสนิทว่าเธอเป็นฝ่ายโผเข้าหาเขาก่อน
“ข้าหรือ...เจ้าเป็นคนเข้ามากอดข้าก่อนนะ เมื่อเช้าเจ้าก็เป็นฝ่าย...”
“พอๆ...” ศศิธรเอ่ยขัดขึ้นแทบจะทันที เมื่อเดาได้ว่าชายหนุ่มจะพูดว่าอย่างไร “ไปอาบน้ำไป เช็ดตัวใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยด้วย ตัวเย็นเฉียบขนาดนี้ เดี๋ยวไม่สบายไปจะยุ่ง...ส่วนเรื่องสร้อยจันทร์เสี้ยว พรุ่งนี้เราค่อยมาคุยกันอีกที”
“อยู่แบบนี้ก็อุ่นดีนะ” แต่คนที่ยังไม่อยากไปอาบน้ำ กลับพูดไปอีกทาง แถมยังไม่พูดเปล่า เขากลับกระชับกอดหญิงสาวแน่นขึ้น และมือไม้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข เริ่มขยับลูบไล้ไปตามแขนเล็กๆ อย่างหลงใหลและอดใจไม่อยู่ เมื่อได้กลิ่นหอมของแชมพูอ่อนๆ บนศรีษะเปียกชื้นของเธอ และสัมผัสใกล้ชิดทั้งตัวเป็นครั้งแรก
“ท่าน!” ศศิธรเงยหน้าขึ้นขึงตาดุใส่ชายหนุ่มที่เริ่มจะเกเร และ...อ่อยเธออีกแล้ว ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ มันเหมือนเมื่อเช้าไม่มีผิด
เมื่ออินทุก้มหน้าลงมาเจอเข้ากับสายตาดุ แต่ก็แฝงไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น อยากลิ้มลอง สายตาที่กึ่งๆ จะผลักไส กึ่งๆ จะดึงดูดของเธอ เขาก็หยุดการกระทำหยอกเอินกับแขนเรียวเล็กลงทันที พร้อมกับก้มหน้าลงไปหาหญิงสาวดั่งต้องมนต์ โดยที่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ดวงตาหวานคมของเธอตลอด
เขารู้มานานแล้วว่า...เธอแพ้สายตาของเขา
แล้วเขาก็หยุดค้างไว้เพียงแค่นั้น ค้างในลักษณะที่ริมฝีปากหนาอยู่ห่างจากริมฝีปากบางไม่ถึงเซนติเมตร
และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจของสายตาคมของชายหนุ่ม หรืออำนาจของอะไรก็สุดแล้วแต่ ทำให้ศศิธรเผลอเขย่งปลายเท้าขึ้นมาสัมผัสกับริมฝีปากหนาเบาๆ ราวกับผีเสื้อตัวน้อยบินเข้าไปดอมดมดอกไม้งามแล้วก็บินหนีไปอย่างรวดเร็วเพียงเพราะกลัวกลีบดอกไม้จะช้ำ
ซึ่งเขาเป็นผู้ชาย และเธอก็เป็นผู้หญิง...แล้วเธอทำอะไรลงไป
เมื่อตอนเช้า ตอนที่เธอสอนเขาโกนหนวดก็ทีหนึ่งแล้ว เธอเผลอจ้องใบหน้าคมเข้มของเขานานไป นานจนเขาคงจะกลัวใบมีดโกนในมือจะบาดเขา เขาถึงต้องเอ่ยเตือนเธอว่า...‘เจ้ากำลังจะทำให้ข้าได้เลือดนะ’
และก็เพราะว่าเธอไม่รู้จะตอบโต้ข้อกล่าวหาของเขาว่าอย่างไรดี เธอจึงเถียงออกไปข้างๆ คูๆ ตามที่เธอคิดออกขณะนั้นว่า...‘ก็ท่านอ่อยข้าก่อน’
ซึ่งคำแก้ตัวของเธอก็เรียกเสียงหัวเราะนุ่มลึกจากชายหนุ่มได้ในทันทีเช่นกัน ‘ข้าเนี่ยนะ...อ่อย’
ทว่าครั้งนี้กลับต่างกับเมื่อเช้า ไม่มีเสียงหัวเราะเยาะดังเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากหนา มีเพียงคำว่า “ราตรีสวัสดิ์” เท่านั้นที่เขาพูดกับเธอ ก่อนที่ชายหนุ่มจะรีบหุนหันเดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง ทิ้งไว้แต่ความกระดากอายของหญิงสาว ที่ก็เอาแต่อ้างกับตนเอง ในสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั้น เป็นเพราะว่า...เขาอ่อยเธอก่อน
////////////////////////////
ศศิธรจ้องมองสร้อยจันทร์เสี้ยวในมือด้วยสายตาท้อแท้ เมื่อเธอพยายามจับสร้อยจันทร์เสี้ยวทั้งสองเส้นมาต่อกันแล้วไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เธอก็ทำตามที่อินทุบอกทุกประการ เริ่มจากการนำสร้อยมาต่อกัน ท่องคาถา...แต่ประตูเวลาก็ไม่เห็นจะเปิดสักที “ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย”
“คืนนั้น เจ้าท่องอะไรบ้าง” ชายหนุ่มเจ้าของสร้อยจันทร์เสี้ยวอีกเส้นถามหญิงสาวที่นั่งหน้าบูดอยู่ตรงข้ามกันในศาลาริมน้ำบริเวณสวนหลังบ้าน
หญิงสาวหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดหากระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ที่เธอสอดไว้สักหน้าในหนังสือ เมื่อเจอก็ยื่นให้ชายหนุ่มดู “ข้าท่องตามนี้”
“แต่ในหนังสือเล่มที่ข้าอ่าน มันถูกฉีกขาดหายไปหนึ่งหน้า...มันอาจจะมีอะไรมากกว่าแค่นำสร้อยจันทร์เสี้ยวมาต่อกัน และท่องคาถา”
ภูผาดึงกระดาษจากมือของชายหนุ่มมาดู แล้วก็เอ่ยถามน้องสาวที่นั่งอยู่ติดกัน “แล้วศศิได้กระดาษแผ่นนี้มาได้อย่างไร”
“ศศิได้มันมาจากร้านซ่อมรองเท้าที่ท่าพระจันทร์” ศศิธรจำได้ว่าวันนั้นเธอไปห้องสมุดของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่แถวท่าพระจันทร์ และก่อนจะกลับบ้าน เธอก็แวะเดินเที่ยวเล่น จนไปเจอสร้อยจันทร์เสี้ยวจากร้านขายของเก่า ด้วยความถูกใจในแบบและความวิเศษของมันตามคำบอกเล่าของเจ้าของร้าน ทำให้เธอตัดสินใจซื้อมันมาอย่างง่ายดาย
และพอเดินออกมาจากร้าน ส้นรองเท้าของเธอก็ไปติดกับตะแกรงทางเดิน เธอจึงพยายามดึงรองเท้าออกมาจนส้นรองเท้าหัก เธอก็เลยเดินหาร้านซ่อมรองเท้าแถวๆ นั้น และก็ได้เจอร้านของชายชราคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งซ่อมรองเท้าอยู่กับพื้นทางเดินติดกับรั้วกำแพงของมหาวิทยาลัย ซึ่งร้านของคุณลุงเป็นเพียงร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งมีรองเท้าหนังที่วางรอซ่อมอยู่เพียงไม่กี่คู่เท่านั้น
ศศิธรเห็นไม่มีลูกค้ารออยู่หน้าร้าน ก็เลยเดินไปทรุดนั่งบนม้านั่งไม้เตี้ยๆ ที่มีวางไว้สำหรับลูกค้า แล้วก็ถอดรองเท้าให้ชายชราคนนั้นซ่อมให้ ระหว่างที่นั่งรอเธอก็อ่านคำกลอน คำคม ข้อคิด ปรัชญาชีวิต จากแผ่นกระดาษเล็กๆ มากมายที่ติดอยู่ที่ฝาด้านในกระเป๋าลากใบใหญ่ของคุณลุงที่เปิดโชว์ไว้ให้คนที่มารอซ่อมรองเท้าได้อ่านระหว่างนั่งรอซ่อม
แต่ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นหลังจากจ่ายค่าซ่อมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว ชายชราเจ้าของร้านซ่อมรองเท้าก็ดึงกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้เธอ ‘ลุงให้...มันอาจจะมีประโยชน์กับหนู’
“เราต้องไปหาคุณลุงคนที่ให้กระดาษแผ่นนี้กับศศิ”
หลังจากได้ข้อสรุปร่วมกันแล้วว่าพวกเธอต้องไปตามหาชายชราเจ้าของร้านซ่อมรองเท้าคนนั้น ทุกคนก็ลุกขึ้นแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเพื่อออกเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงของประเทศไทย โดยมีพี่ชายสุดหล่อที่วันนี้ยอมสละเวลามาเป็นสารถีขับรถให้
///////////////////////////
หลังจากวนรถเข้าไปหาที่จอดภายในมหาวัทยาลัยเรียบร้อยแล้ว ศศิธรก็เดินนำผู้ชายสองคนมายังร้านซ่อมรองเท้าเป้าหมายทันที “นั่นไงคะ...คุณลุงเจ้าของกระดาษแผ่นนั้น”
“ตาเฒ่าเจ้าปัญหา” อินทุครางคนเดียวเบาๆ ในลำคอ โดยไม่มีใครได้ยิน เพราะไม่คาดคิดว่าเขาจะได้เจอใครที่หน้าเหมือนคนที่กลาพิมพ์ นอกเหนือจากพยาบาลสาวและพี่ชายของศศิธรแล้วซะอีก
ศศิธรรีบเดินไปทรุดนั่งตรงหน้าชายชรา ตามด้วยพี่ชายของเธอ ส่วนชายหนุ่มอีกคนเพียงแค่ยืนกอดอกสังเกตอยู่ไม่ห่าง จากนั้นเธอก็หยิบกระดาษที่มีตัวหนังสือโย้เย้ออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้ชายชราดู “คุณลุงคะ คุณลุงจำกระดาษแผ่นนี้ได้ไหมคะ ที่คุณลุงเคยให้หนูไว้”
ชายชราเจ้าของร้านซ่อมรองเท้าไม่ได้ตอบคำถามของหญิงสาว เขาแค่เงยหน้าขึ้นมามองกระดาษในมือเธอด้วยสายตานิ่งๆ ทำให้คนเป็นพี่ที่รู้ดีว่าน้องสาวร้อนใจกับเรื่องนี้แค่ไหน ต้องถามย้ำไปอีกครั้ง “คุณลุงเขียนมันเอง ใช่หรือเปล่าครับ”
“คุณลุงเขียนเอง หรือว่าลอกมาจากไหนคะ”
“เขียนเองมั้ง...หรือลอกมาหว่า จำไม่ได้แล้วเหมือนกัน”
“คุณลุง...” และ “ตาเฒ่า...”
คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของชายชราเป็นประโยคแรกนั้น ทำให้หนึ่งหนุ่มกับหนึ่งสาวที่กำลังรอลุ้นคำตอบอยู่ ครางออกมาเสียงแผ่วพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“คุณลุงช่วยคิดหน่อยซิครับ...คุณลุงลอกมันมาจากไหน”
“ไม่รู้...จากกระดาษ หรือหนังสือ หรืออาจจะคิดเองมั้ง”
“คุณลุง...ช่วยคิดให้ดีหน่อยซิคะ”
“ในกองนั้น หาดูเอาเอง” ชายชราตอบ พลางชี้ไปที่เศษกระดาษมากมายที่มีหนังสืออยู่สอง-สามเล่ม วางทับอยู่ภายในกระเป๋าลากใบใหญ่นั้นให้พวกเธอค้นหาได้ตามใจชอบ
อินทุส่ายหน้าหลังจากลงไปนั่งค้นหาเศษกระดาษเหล่านั้นสักพักแล้วไม่เจออะไร “ไม่เห็นจะมี” และก็อดที่จะบ่นเบาๆ กับตัวเองไม่ได้ “ตาเฒ่านะตาเฒ่า จะที่นี่หรือที่กลาพิมพ์ก็เป็นตัวปัญหาได้ทุกที่ซินะ”
“คุณลุง...ถือว่าพวกเราขอร้อง เรามีเรื่องจะเป็นที่ต้องใช้กระดาษแผ่นนั้นจริงๆ คุณลุงช่วยพวกเราหน่อยเถอะครับ”
ชายชราหยิบรองเท้าคู่หนึ่งลงจากถังไม้ใบเล็กที่มีฝาปิด แล้วเลื่อนมันมาตรงหน้าชายหนุ่มที่ดูจะใจเย็นที่สุด “ในถังนี้...มีหรือเปล่า หากันเอาเอง”
“ข้าเจอแล้ว” อินทุเอ่ยขึ้นหลังจากช่วยภูผาค้นหากระดาษในถังไม้นั้นสักพัก
“มันเขียนว่าอะไร”
“สร้อยจันทร์เสี้ยวจะสัมฤทธิ์ผลในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ถ้าผู้ครอบครองอยู่คนละมิติ...พระจันทร์จะเต็มดวงพร้อมกันทุกๆ แปดร้อยแปดสิบแปดวัน”
และเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ทุกคนก็กล่าวขอบคุณชายชราและพากันเดินออกมาจากร้านซ่อมรองเท้า ทว่าก่อนที่ทุกคนจะเดินออกมา ชายชราก็ท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มน่าฟัง
‘มิติกาลเชื่อมได้ด้วยแรงรัก ซึ่งประจักษ์ในคืนจันทร์วันสุกใส
ทิฆัมพรสะท้อนส่องผ่องประไพ เกิดคลื่นใหญ่ในธาราขึ้นบัดดล
เปิดประตูข้ามห้วงแห่งเวลา ชักนำพาสองใจภักดิ์ดั่งเล่ห์มนต์
ก่อกำเนิดสายสวาทมิคลาดคน ผูกพันธ์จนเป็นรักนิจนิรันดร์’
ถึงจะเป็นครั้งที่สอง ที่ศศิธรได้ยินกลอนบทนี้ แต่เธอก็ยังคงรู้สึกขนลุก ใจเต้นแรงแบบแปลกๆ กับกลอนบทนี้ แต่ดูครั้งนี้จะมีอิทธิพลมากกว่าครั้งแรก เมื่อเธอเผลอเงยหน้าขึ้นไปสบกับสายตาคมที่จ้องมองเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว จนต้องเสมองเลยไปทางอื่น
และเมื่อชายชราท่องกลอนจบบท เขาก็ยังเอ่ยออกมาอีกประโยค ประโยคที่อินทุไม่ได้อ่านออกมาให้ใครฟัง เพราะคิดว่าคงไม่มีใครคิดจะข้ามเวลากลับไปกลับมาเล่นๆ
“ผู้ครอบครองสร้อยจันทร์เสี้ยวจะสามารถข้ามเวลาได้คนละสามครั้งเท่านั้น จากนั้นมนต์ของจันทราจะดับลง จนกว่าจะได้เจอผู้ครอบครองที่เหมาะสมคนใหม่”
///////////////////////////
นกน้อยนั่งมองหญิงสาวเจ้าของบ้านที่เอาแต่มานั่งขลุกตัวพูดคุยกับคนป่วยบนเตียงอยู่ในห้องนี้ ตั้งแต่ตัดสินใจว่าพระจันทร์เต็มดวงรอบหน้าศศิธรจะเดินทางไปกลาพิมพ์ ดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปราวห้าร้อยปี ก่อนจะเอ่ยย้ำถามด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ “คุณศศิจะไปกลาพิมพ์ จริงๆ หรือคะ”
ศศิธรพยักหน้ารับ “มันเป็นความหวังเดียวที่จะหาตัวยามารักษาแม่ได้”
เมื่อได้รับคำตอบรับด้วยน้ำเสียงและแววตาที่มุ่งมั่น นกน้อยก็รีบบอกว่าจะดูแลคนป่วยบนเตียงอย่างดีเพื่อให้ศศิธรคลายความกังวลใจเกี่ยวกับคนป่วย “คุณศศิไม่ต้องห่วงคุณป้านะคะ นกน้อยจะคอยดูแลท่านให้เอง”
“ขอบใจนะ...ถ้า...ถ้าศศิไม่ได้กลับมา ศศิฝากแม่ด้วยนะ”
“ทำไมคุณศศิพูดแบบนั้นคะ”
“อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น” หญิงสาวเจ้าของบ้านเอ่ยออกมาเหมือนคนปลงตก เธอไม่รู้ว่าเธอจะข้ามเวลาไปได้จริงๆ ไหม หรือถึงจะข้ามไปได้จริง แล้วเธอจะสามารถกลับมาที่นี่ได้อีกหรือเปล่า เธอจึงใช้เวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ให้มีค่ามากที่สุด ด้วยการนั่งเฝ้านั่งคุยกับแม่ทุกวัน “แล้วก็...ฝากดูแลพี่ภูด้วยนะ”
“คุณภูคงไม่ต้องมั้งคะ อีกไม่นานก็คงจะมีคนมาคอยดูแลแล้ว” นกน้อยเอ่ยออกมาอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ แต่ก็พยายามจะเก็บอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่ เพราะเธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงความรู้สึกใดๆ กับชายหนุ่มเจ้าของบ้าน
แล้วเธอยังเคยแอบได้ยินภูผาคุยโทรศัพท์กับทางบ้านเรื่องที่เขามีผู้หญิงที่อยากจะแต่งงานด้วยอยู่แล้ว มันจึงทำให้เธอต้องรีบตัดใจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรู้สึกถลำลึกไปมากกว่า...การแอบชอบ
ตั้งแต่นกน้อยได้พบได้รู้จักภูผา ช่วงที่เขาเข้ามาปรับปรุงรีสอร์ทแห่งนี้ เธอก็แอบชอบหนุ่มใหญ่เจ้าของรีสอร์ทมาโดยตลอด เพราะความมีน้ำใจที่เขามอบให้กับเธอและครอบครัว เขาไม่ได้ไล่เธอและครอบครัวให้ย้ายบ้านออกไปจากพื้นที่รีสอร์ทของเขา ทั้งที่เขามีสิทธิ์จะทำมัน แต่กลับให้งานในการดูแลรีสอร์ทกับพ่อและแม่ของเธอ แล้วยังให้งานดูแลคุณศมนกับเธออีกด้วย
ซึ่งความมีน้ำใจของภูผา ทำให้เธอชอบเขาโดยไม่รู้ตัว เธอไม่รู้ว่าความรู้สึกแอบชอบหรืออาจจะถึงขั้นแอบรักนี้ มันเริ่มมาได้อย่างไร และตั้งแต่ตอนไหน พอรู้ตัวอีกที เธอก็ตัดใจจากเขาไม่ได้แล้ว
แต่เธอก็พยายามแอบชอบเขา แบบที่ไม่ให้เขาหรือใครรู้ เพราะเธอรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้ชอบหรือรักเธอเลย เพราะเขาไม่เคยแสดงท่าทางหรือมีทีท่าอะไรกับเธอเลยสักนิด เขาเห็นเธอเป็นเพียงแค่น้องสาวตัวน้อยเท่านั้น
+++++++++++++++
ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
หาซื้อลิขิตแห่งจันทร์ ได้แล้วตามร้านหนังสือชั้นนำนะคะ
หรือสั่งซื้อออนไลน์ได้ที่ เวปสถาพรบุ๊คส์
แบบ e-Books ก็มีนะคะ สั่งได้ที่ Meb
ฝากติดตามเพจ พลอยลภัสร์
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ