The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]
9.0
เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร
วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.
24 ตอน
0 วิจารณ์
25.70K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย
5)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ'ไม่มี จะที่ไหนๆ ก็ไม่มี!'
เมอยาสก้ากรีดเสียงร้องคำรามลั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ เธอไล่ทำลายข้าวของทุกชิ้นในหมู่บ้านด้วยแรงโมโหเป็นกำลัง ก่อนจะกลับมายังบ้านของตัวเอง บัดนี้มันมีร่องรอยการทำงานของเจ้าหน้าที่ และเทปสีเหลืองกั้นห้ามคนเข้าอยู่ แน่นอนว่าเธอฉีกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี
เด็กสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองในห้องที่ประดับของทุกชิ้นด้วยสีชมพูช็อคกิ้งพิงค์และดำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในชุดคนไข้สีฟ้าพาสเทลจืดชืดแลดูอ่อนแอและไร้รสนิยมเป็นที่สุด เธอถอดชุดทั้งหมดออก พลางพิจารณารูปร่างในกระจกด้วยความชื่นชมในตนเอง ยอดเยี่ยมมากแล้วสำหรับเด็กสาววัยสิบสี่ปี และไร้รอยแผลเป็นใดๆ จากเหตุการณ์นั้น หากแต่...ถ้ามันจะมีขึ้นมา เธอจะนิยมบูชามันในฐานะร่องรอยของการก้าวไปสู่เผ่าพันธุ์อันสมบูรณ์แบบ
อ่างชำระกายเล็กๆ ในห้องที่มีประตูเข้าในห้องส่วนตัวห้องนั้น ถูกเติมด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิอุ่นกำลังพอดี เธอหย่อนปลายเท้าลงไปเพื่อแช่ตัวและชำระกาย กลิ่นเลือดติดตามร่างกายของเธอเหมือนน้ำหอมที่ประพรมทั่วกาย แต่ช่างน่าประหลาดใจ เมื่อกลิ่นคาวเจือสนิมเหล็กที่ไม่เคยน่าอภิรมย์ยามเป็นมนุษย์เลยสักนิด ยามนี้กลับหอมหวานชวนให้หลงใหล มันคงเข้ากันได้กับน้ำหอมตัวใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมา หรืออย่างน้อย เธอต้องฉีดมันเพื่อกลบกลิ่นเลือดไม่ให้ 'พวกมนุษย์' รู้ตัว
แต่เมื่อขึ้นจากน้ำ สิ่งที่ประดังประเดเข้ามาในความรู้สึกของเธอคือความง่วงงุนที่มากมายมหาศาล อาจเป็นเพราะเธอตื่นขึ้นมาตลอดทั้งวันและยังไม่ได้นอนพักเลยสักครั้ง เธอเปลี่ยนมาเป็นชุดนอนสีชมพูแปร๋นแกมดำ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กริมหน้าต่างของตน
เสียงกรี๊ดของเธอดังขึ้นในตอนเช้า พลางหดเรียวเท้าหนีแทบไม่ทัน
แสงแดดที่ส่องเข้ามาผ่านรูผ้าม่านอยู่ห่างจากปลายเท้าเธอเพียงไม่กี่มิลเมตร เมอยาสก้าคิดด้วยความเสียวสันหลังวาบถึงสภาพของตนเองยามต้องแสงแดด ถึงจะเป็นแสงยามเช้าอันแสนอ่อนโยน แต่เธอรู้ตัวดีว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว มันอันตรายเกินไปในการเสี่ยงโดนดูสักครั้ง
เธอมีครีมบำรุงผิวมากมายหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในความสวยความงามของร่างกาย นั่นหมายความว่าเธอรักผิวพรรณของตัวเองเกินกว่าจะลองเสี่ยงยื่นมือไปถูกแสงแดดดูสักครั้ง และเธอเคยเห็นวาเลนเซียเดินทางมาจับจ่ายซื้อของหลายต่อหลายครั้งแล้ว ไม่มีส่วนใดเลยที่จะเล็ดลอดออกมานอกผ้าคลุม
เธอใช้ผ้าห่มคลุมกายเอาไว้ระหว่างฝ่าแสงแดดที่ลอดออกมาเป็นเส้นยาวไปถึงผนังอีกด้าน ความรู้สึก ณ เวลาเดินผ่านเสมือนเธอมีเพียงกระดาษบางๆ คลุมตัวขณะเดินผ่านแสงเลเซอร์ที่พร้อมจะตัดร่างเธอเป็นชิ้นๆ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
เสียงฝีเท้าคน!
มันเป็นเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาจากภายนอก ทั้งที่ห้องนี้อยู่ชั้นสองและไม่เคยมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาถึงได้ แต่ประสาทสัมผัสของแวมไพร์ทำให้หูเธอกระดิกด้วยความตื่นเต้น เธอได้ยินอะไรๆ ได้ไกลกว่ามนุษย์ทั่วไปเสียอีก แต่ความรู้สึกที่สองหลังความดีใจคือความร้อนรน เธอพยายามชูกระจกเงาให้สะท้อนภาพภายนอกและระวังไม่ให้มือของตัวเองโดนแสงแดดโดยการสวมถุงมือหนังที่ยาวถึงข้อศอก พวกที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านเธอเป็นตำรวจ!
‘แย่ละคราวนี้’
เธอรีบตาลีตาลานวิ่งไปคว้าชุดเสื้อผ้าที่ชอบที่สุด (ไม่เสียเวลามาก เพราะเธอเรียงลำดับความชอบจากมากถึงน้อยที่สุดไว้แล้ว) ตลับแป้ง บลัชออน น้ำหอม ชุดเครื่องสำอาง รวมไปถึงเสื้อกันฝนสีช็อคกิ้งพิ้งค์ทึบแสงกับแว่นตากันแดดอันโตเปรี้ยวจี๊ด แล้วกระโจนออกจากบ้านด้วยความเร็วสูงสุด พวกนั้นเข้ามาในบ้านแล้ว ภายนอกไม่มีเสียงฝีเท้าอื่น เธอใช้หูของตัวเองตรวจสอบทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี
เห็นทีว่าเธอคงต้องไปซ่อนตัวในคฤหาสน์บนเขานั่นก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือให้ใครเห็นสภาพของคนบ้าหอบฟางที่ทั้งตัวพันไว้ด้วยผ้าห่มและเสื้อกันแดดจนรูปร่างดูอ้วนป้อม ทั้งยังหิ้วของพะรุงพะรังเป็นพะเรอเกวียน
“ยังหาไม่เจอ เข้าใจหน่อยได้ไหมว่ามันเพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
ฮิโรมิอดโวยขึ้นไม่ได้ หนังตาเธอปรือชนิดจะหลับไม่หลับแหล่เพราะเพลียจากการเดินทาง อีกทั้งความกลัวยังสูบฉีดในร่างเธอวิ่งขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะไม่หยุดในเวลาที่ผ่านมา ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งผ่านการวิ่งหนีฝ่ากับระเบิดมาตลอดวัน แถมยังโดนปลุกแต่เช้าทั้งที่ไม่ใช่เวลาตื่น สภาพของเธอดูซีดเซียวที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดเป็นคุณหนูน้อยของบ้านมา ขนาดพี่ชายตัวร้ายของเธอยังไม่ทำขนาดนี้เลย!
อย่างไรก็ดี เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าดังขึ้น มันเป็นเสียงข้อความที่ตั้งไว้เป็นพิเศษสำหรับลูกน้องทีมสืบค้นที่อยู่ฮิโรชิกับทริสทรี่โดยเฉพาะ ฮิโรมิอยากนอนต่ออีกสักงีบ แต่เมื่อคิดอีกที สู้ลุยไปให้จบๆ เรื่องแล้วนอนรวดเดียวดีกว่า
“ฮ่องกง!? ฮ่องกงเนี่ยนะ!” ฮิโรมิอุทาน เธอหันไปหาคนที่กำลังจ้องเขม็ง “รู้แล้วล่ะ เป้าหมายต่อไป สายของฉันรายงานมาว่า...”
“ข้าไม่สนว่าคนของเจ้าจะว่ายังไง ข้าต้องการที่อยู่ของนายท่านเท่านั้น” วาเลนเซียเตรียมจะก้าวเดิน แต่ร่างนั้นกลับสงบนิ่งอยู่กับที่ในวินาทีต่อมา หญิงสาวกล่าวอย่างมีมาด “นำไปซิ”
เท่านั้นเองที่ทำฮิโรมิค้อนแทบตาคว่ำ
เมอยาสก้าไม่อยากฆ่าคนพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ทั้งสองที่มาตรวจทานที่เกิดเหตุซ้ำอีกรอบ การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงแดดไม่ได้เป็นจุดอ่อนมากเกินไป เธอยังไม่ชินกับการใช้พลัง และสัชาตญาณของมนุษย์ยังบอกให้เธอกลัวปืน เรื่องโดนยิงเสียพรุนไม่ใช่จุดจบอันแสนสวยงามที่เธอวาดหวังเลยสักนิด
เด็กสาวกัดเล็บนั่งอยู่กับที่ในห้องรับแขก...ยังมีความปรารถนาที่เธอต้องทำให้สำเร็จเสียก่อน
แต่ในขณะเดียวกัน เธอหิวแทบบ้าอยู่แล้ว
เบอร์โทรของแท็กซี่คนนั้นก็ดันไม่ได้ขอไว้ จะเรียกมาเป็นมื้อเช้าก็ทำไม่ได้ สิ่งที่อยู่กับเธอตอนนี้มีเพียงความหงุดหงิดงุ่นง่านใจเท่านั้น ถ้าเธอฆ่าคนโดยมีผ้าคลุมเป็นยัยเพิ้งหอบฟางล่ะก็ เจ้าหน้าที่ได้กรูกันเข้ามาจับภายในสิบนาทีแน่ และถ้าพวกนั้นดึงผ้าคลุมร่างเธอออกกลางแจ้งล่ะก็ จบเห่แน่นอน
แต่เธอหิวเกินไปแล้ว!
‘อา...นั่นสินะ มีเจ้าหน้าที่อยู่ใกล้ๆ นี้เอง ใช้ประโยชน์หน่อยจะเป็นไรไปเล่า...’
เมอยาสก้าหยิบโทรศัพท์สีช็อคกิ้งพิ้งค์ขึ้นมากดหมายเลขฉุกเฉิน ก่อนจะกรอกน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงลงไป “ช่วยฉันด้วย...”
ปลายสายถามไถ่อาการของเธออย่างร้อนรนและตำแหน่งที่อยู่
“ฉัน...อึก...มาเยี่ยมเพื่อนในหมู่บ้านที่เกิดคดี แต่โรคประจำตัวกำเริบขึ้นมาน่ะค่ะ ฉันต้องการเลือด ช่วยติดต่อโรงพยาบาลให้เตรียมไว้หน่อยได้ไหมคะ แล้วก็...ส่งคนมารับฉันที...”
“ครับ! ทางเราจะส่งคนไปรับคุณเดี๋ยวนี้เลย...”
“แล้วอีกอย่าง...” เมอยาสก้าขัดขึ้นกะทันหันด้วยสีหน้าพึงพอใจ “...ฉันขอบอกเลยว่าฉันแพ้แสง”
“ระบุลงไปว่าแค่เติมเลือดเพราะโรคอะไรก็ได้แล้วกัน”
เมอยาสก้านั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องตรวจฉุกเฉิน รอบกายเธอคือแพทย์และพยาบาลที่ยืนตรงด้วยนัยน์ตาที่ไม่สื่อความใดๆ ราวกับรอรับคำสั่งจากเจ้านาย เธอเลียมุมปาดเปื้อนเลือดด้วยความพึงพอใจยิ่ง เธอไม่ได้โกหกเสียหน่อย ทั้งต้องการเลือด ทั้งแพ้แสง เธอคือแวมไพร์สาวน้อยผู้น่าสงสารที่กำลังหิวโซสุดๆ เลยล่ะ
ถุงเลือดว่างเปล่าถูกโยนลงถังขยะที่อยู่บริเวณนั้น ก่อนที่เมอยาสก้าจะเดินออกไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บริเวณนั้นเหมือนเพิ่งส่งผู้ป่วยเข้าตรวจเสร็จ เธอยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “คุณช่วยฉันได้ไหม”
เขาดูประหลาดใจ คงเพราะเด็กสาวตรงหน้าไม่น่าจะมีเรื่องให้ขอความช่วยเหลือ หรืออย่างน้อย ปัญหาของเธอก็ไม่น่าจะต้องถึงมือตำรวจ เขาหวังว่าปัญหาที่ว่านั่นคงไม่ใช่เรื่องแบบวัยรุ่นๆ อย่างการไปจับศัตรูหัวใจข้อหาประกาศสงครามความรัก อะไรทำนองนั้น
เธอก้มหน้าลงสบตาเขา “ฉันต้องการหาตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่เคย ‘ฆ่า’ ฉัน”
ในห้องว่างของภัตตาคารลี่หลี่
“ไม่ไหวแล้วลี่อินแทบจะขุดทุกอย่างในชีวิตมาคุยกับฮิโรชิจังแล้วนะ”
คนที่กำลังบ่นด้วยความทดท้อปนอ่อนล้าตรงหน้าชายหนุ่มสายเลือดซามูไรคนนี้คือลูกเจ้าของภัตตาคารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงคนเดิม หากแต่ท่วงท่ายั่วยวนที่ราวกับหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนสมัยเรียนอยู่ตลอดเวลาได้ถูกถอดออกมาทั้งหมด รวมถึงซิลิโคนใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสดเช่นกัน
หากเป็นเพื่อนสมัยเรียนธรรมดา...ไม่สิ หากเป็นเพื่อยสมัยเรียนที่เป็น ‘ผู้หญิง’ ธรรมดา การออกอาการใกล้ชิดขนาดนั้นคงจะเรียกได้ว่าทุ่มเทมากจนเกินไป แต่ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดเว้าสูงโชว์เรียวขาแสนสวยคนนี้มิใช่สตรีโดยเพศกำเนิด จะมีก็เพียงความพิศสมัยในการแต่งกายดุจหญิงสาวก็เท่านั้น
ลี่อินรู้จักเขาดี การจะเปิดตัวว่าเดตกับใครสักคนเป็นเรื่องยาก หรือจะเรียกได้ว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะข้องแวะกับใครในลักษณะนั้น ถึงจะอยู่ร่วมห้องนอนร่วมเตียง (โดยไม่มีเรื่องเกินเลย) กันมาตลอดหลายปี แต่เธอก็รู้สึกว่าเขามีคนในใจที่ไม่เคยบอกให้ใครรู้อยู่คนหนึ่ง เมื่อคนคนนั้นมาปรากฏตัวกะทันหัน ไหนเลยเพื่อนสนิทอย่างเธอจะไม่แกล้งเอาเสียหน่อย ให้คนจอมอุบได้รู้เสียบ้างว่าเวลามีความรักต้องกระจายให้เพื่อนฝูงทราบทั่วทุกตัวคน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออารมณ์อันแสนสงบเงียบ ยิ่งกว่านักพรตที่กำลังจิบชาเสียอีก
เพื่อทดสอบต่อไป ลี่อินผู้ข้องใจในความสัมพันธ์ของคนรักคู่นี้ยิ่งตีบทแตกเข้าไปใหญ่ ทั้งงัดเอาคำพูดยั่ว (ยวน) ฮิโรชิ และกระทำการยั่ว (โมโห) ทริสทรี่ คู่เดตผู้มีความงามอันแฝงความเย็นชายามนัยน์ตาคู่นั้นเหม่อลอยในห้วงความคิด แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ยังคงมีเพียงการชิมอาหารจานต่อไปก็เท่านั้น
ลี่อินใช้พัดหุบในมือปัดขึ้นลง “ไม่ไหวๆ ลี่อินว่างานนี้ฮิโรชิจังพลาดแล้วล่ะ แน่ใจนะว่าเขาเต็มใจมาเดตน่ะ หน้าเหม่อออกอย่างนั้นไม่ใช่ว่าคิดถึงคนที่ชอบอยู่หรือไง...”
นัยน์ตาของฮิโรชิไม่บ่งบอกความเป็นมิตรเลยสักนิด นั่นทำให้คนงามในชุดกี่เพ้ายอมหุบปากของตนแต่โดยดี เธอฟังเขาด้วยสายตาเห็นใจ
“ทริสทรี่น่ะรักฉันคนเดียว เขาแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง”
“ลี่อินก็อวยพรให้เป็นอย่างนั้นแล้วกัน”
เธอมองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินออกไป ก่อนจะคลี่พัดปิดใบหน้าให้เหลือเพียงนัยน์ตาเจ้าเล่ห์เท่านั้น เธอตวัดขาไขว่กันด้วยท่วงท่าประหนึ่งนางมารร้ายผู้เย้ายวน “จะหลบอยู่ตรงนั้นทำไม อุตส่าห์ส่งคนมาก่อกวนมื้ออาหารตลอดทั้งคืนเลยไม่ใช่รึ ผู้จัดการ”
ชายหนุ่มในชุดสูทปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดประจำตัว แต่ดูเหมือนความเครียดในแววตาคู่นั้นจะฉายขึ้นอีกหลายเท่าตัวจากสิ่งที่ลี่อินทำกับเพื่อนสมัยเรียน ทั้งความใกล้ชิดที่ชวนให้หึงหวง ทั้งคำพูดที่ไม่อยากจะให้พูดกับใครอื่น แม้เขาจะเป็นเพียงของเล่นอันน่าสนุกของผู้สวมกี่เพ้าแดง และไม่มีวันเป็นเจ้าของและเหนี่ยวรั้งสิ่งใดในตัวอีกฝ่ายได้ แต่อารมณ์ขึ้งโกรธนี้ก็พลุ่งพล่านเสียจนเขาแทบจะใช้ดาบคมวาวของประดับในร้าน ฟันร่างของบุรุษแดนปลาดิบนั้นให้ขาดเป็นท่อนๆ เสีย
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ ฉันเคยพูดเมื่อไหร่กันว่าตัวฉันเป็นของนาย”
คำพูดนั้นตอกย้ำลงในจิตใจ ผู้จัดการพยายามฝืนไม่ให้สีหน้าของตนแสดงอาการใดๆ ออกไปมากกว่านี้ อีกฝ่ายกล่าวถูกต้อง เขาไม่มีสิทธิ์นั้นเลยแม้เพียงน้อยนิด ไม่...แม้เพียงจะคิดด้วยซ้ำ
“แต่ว่า...” ลี่อินลุกขึ้นสัมผัสใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักพร้อมด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล “...ฉันยังไม่เลิกเล่นกับนายตอนนี้หรอก มากับฉันสิ เรื่องเมื่อคืนน่าเบื่อกว่าที่นายคิดเยอะเลย หวังว่าเช้านี้นายจะทำให้ฉันจะหายเซ็งเสียทีนะ”
‘เพราะนายเป็นของของฉัน’
To be continue.
เมอยาสก้ากรีดเสียงร้องคำรามลั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ เธอไล่ทำลายข้าวของทุกชิ้นในหมู่บ้านด้วยแรงโมโหเป็นกำลัง ก่อนจะกลับมายังบ้านของตัวเอง บัดนี้มันมีร่องรอยการทำงานของเจ้าหน้าที่ และเทปสีเหลืองกั้นห้ามคนเข้าอยู่ แน่นอนว่าเธอฉีกมันทิ้งอย่างไม่ไยดี
เด็กสาวล้มตัวลงนอนบนเตียงของตัวเองในห้องที่ประดับของทุกชิ้นด้วยสีชมพูช็อคกิ้งพิงค์และดำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังอยู่ในชุดคนไข้สีฟ้าพาสเทลจืดชืดแลดูอ่อนแอและไร้รสนิยมเป็นที่สุด เธอถอดชุดทั้งหมดออก พลางพิจารณารูปร่างในกระจกด้วยความชื่นชมในตนเอง ยอดเยี่ยมมากแล้วสำหรับเด็กสาววัยสิบสี่ปี และไร้รอยแผลเป็นใดๆ จากเหตุการณ์นั้น หากแต่...ถ้ามันจะมีขึ้นมา เธอจะนิยมบูชามันในฐานะร่องรอยของการก้าวไปสู่เผ่าพันธุ์อันสมบูรณ์แบบ
อ่างชำระกายเล็กๆ ในห้องที่มีประตูเข้าในห้องส่วนตัวห้องนั้น ถูกเติมด้วยน้ำที่มีอุณหภูมิอุ่นกำลังพอดี เธอหย่อนปลายเท้าลงไปเพื่อแช่ตัวและชำระกาย กลิ่นเลือดติดตามร่างกายของเธอเหมือนน้ำหอมที่ประพรมทั่วกาย แต่ช่างน่าประหลาดใจ เมื่อกลิ่นคาวเจือสนิมเหล็กที่ไม่เคยน่าอภิรมย์ยามเป็นมนุษย์เลยสักนิด ยามนี้กลับหอมหวานชวนให้หลงใหล มันคงเข้ากันได้กับน้ำหอมตัวใหม่ที่เธอเพิ่งซื้อมา หรืออย่างน้อย เธอต้องฉีดมันเพื่อกลบกลิ่นเลือดไม่ให้ 'พวกมนุษย์' รู้ตัว
แต่เมื่อขึ้นจากน้ำ สิ่งที่ประดังประเดเข้ามาในความรู้สึกของเธอคือความง่วงงุนที่มากมายมหาศาล อาจเป็นเพราะเธอตื่นขึ้นมาตลอดทั้งวันและยังไม่ได้นอนพักเลยสักครั้ง เธอเปลี่ยนมาเป็นชุดนอนสีชมพูแปร๋นแกมดำ ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กริมหน้าต่างของตน
เสียงกรี๊ดของเธอดังขึ้นในตอนเช้า พลางหดเรียวเท้าหนีแทบไม่ทัน
แสงแดดที่ส่องเข้ามาผ่านรูผ้าม่านอยู่ห่างจากปลายเท้าเธอเพียงไม่กี่มิลเมตร เมอยาสก้าคิดด้วยความเสียวสันหลังวาบถึงสภาพของตนเองยามต้องแสงแดด ถึงจะเป็นแสงยามเช้าอันแสนอ่อนโยน แต่เธอรู้ตัวดีว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว มันอันตรายเกินไปในการเสี่ยงโดนดูสักครั้ง
เธอมีครีมบำรุงผิวมากมายหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในความสวยความงามของร่างกาย นั่นหมายความว่าเธอรักผิวพรรณของตัวเองเกินกว่าจะลองเสี่ยงยื่นมือไปถูกแสงแดดดูสักครั้ง และเธอเคยเห็นวาเลนเซียเดินทางมาจับจ่ายซื้อของหลายต่อหลายครั้งแล้ว ไม่มีส่วนใดเลยที่จะเล็ดลอดออกมานอกผ้าคลุม
เธอใช้ผ้าห่มคลุมกายเอาไว้ระหว่างฝ่าแสงแดดที่ลอดออกมาเป็นเส้นยาวไปถึงผนังอีกด้าน ความรู้สึก ณ เวลาเดินผ่านเสมือนเธอมีเพียงกระดาษบางๆ คลุมตัวขณะเดินผ่านแสงเลเซอร์ที่พร้อมจะตัดร่างเธอเป็นชิ้นๆ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
เสียงฝีเท้าคน!
มันเป็นเสียงฝีเท้าที่ดังเข้ามาจากภายนอก ทั้งที่ห้องนี้อยู่ชั้นสองและไม่เคยมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาถึงได้ แต่ประสาทสัมผัสของแวมไพร์ทำให้หูเธอกระดิกด้วยความตื่นเต้น เธอได้ยินอะไรๆ ได้ไกลกว่ามนุษย์ทั่วไปเสียอีก แต่ความรู้สึกที่สองหลังความดีใจคือความร้อนรน เธอพยายามชูกระจกเงาให้สะท้อนภาพภายนอกและระวังไม่ให้มือของตัวเองโดนแสงแดดโดยการสวมถุงมือหนังที่ยาวถึงข้อศอก พวกที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านเธอเป็นตำรวจ!
‘แย่ละคราวนี้’
เธอรีบตาลีตาลานวิ่งไปคว้าชุดเสื้อผ้าที่ชอบที่สุด (ไม่เสียเวลามาก เพราะเธอเรียงลำดับความชอบจากมากถึงน้อยที่สุดไว้แล้ว) ตลับแป้ง บลัชออน น้ำหอม ชุดเครื่องสำอาง รวมไปถึงเสื้อกันฝนสีช็อคกิ้งพิ้งค์ทึบแสงกับแว่นตากันแดดอันโตเปรี้ยวจี๊ด แล้วกระโจนออกจากบ้านด้วยความเร็วสูงสุด พวกนั้นเข้ามาในบ้านแล้ว ภายนอกไม่มีเสียงฝีเท้าอื่น เธอใช้หูของตัวเองตรวจสอบทางหนีทีไล่ไว้เป็นอย่างดี
เห็นทีว่าเธอคงต้องไปซ่อนตัวในคฤหาสน์บนเขานั่นก่อนพระอาทิตย์ตก เพราะสิ่งสุดท้ายที่เธอต้องการคือให้ใครเห็นสภาพของคนบ้าหอบฟางที่ทั้งตัวพันไว้ด้วยผ้าห่มและเสื้อกันแดดจนรูปร่างดูอ้วนป้อม ทั้งยังหิ้วของพะรุงพะรังเป็นพะเรอเกวียน
“ยังหาไม่เจอ เข้าใจหน่อยได้ไหมว่ามันเพิ่งผ่านมาไม่กี่ชั่วโมงเองนะ”
ฮิโรมิอดโวยขึ้นไม่ได้ หนังตาเธอปรือชนิดจะหลับไม่หลับแหล่เพราะเพลียจากการเดินทาง อีกทั้งความกลัวยังสูบฉีดในร่างเธอวิ่งขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะไม่หยุดในเวลาที่ผ่านมา ไม่แปลกที่เด็กหญิงจะรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งผ่านการวิ่งหนีฝ่ากับระเบิดมาตลอดวัน แถมยังโดนปลุกแต่เช้าทั้งที่ไม่ใช่เวลาตื่น สภาพของเธอดูซีดเซียวที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดเป็นคุณหนูน้อยของบ้านมา ขนาดพี่ชายตัวร้ายของเธอยังไม่ทำขนาดนี้เลย!
อย่างไรก็ดี เสียงแจ้งเตือนข้อความเข้าดังขึ้น มันเป็นเสียงข้อความที่ตั้งไว้เป็นพิเศษสำหรับลูกน้องทีมสืบค้นที่อยู่ฮิโรชิกับทริสทรี่โดยเฉพาะ ฮิโรมิอยากนอนต่ออีกสักงีบ แต่เมื่อคิดอีกที สู้ลุยไปให้จบๆ เรื่องแล้วนอนรวดเดียวดีกว่า
“ฮ่องกง!? ฮ่องกงเนี่ยนะ!” ฮิโรมิอุทาน เธอหันไปหาคนที่กำลังจ้องเขม็ง “รู้แล้วล่ะ เป้าหมายต่อไป สายของฉันรายงานมาว่า...”
“ข้าไม่สนว่าคนของเจ้าจะว่ายังไง ข้าต้องการที่อยู่ของนายท่านเท่านั้น” วาเลนเซียเตรียมจะก้าวเดิน แต่ร่างนั้นกลับสงบนิ่งอยู่กับที่ในวินาทีต่อมา หญิงสาวกล่าวอย่างมีมาด “นำไปซิ”
เท่านั้นเองที่ทำฮิโรมิค้อนแทบตาคว่ำ
เมอยาสก้าไม่อยากฆ่าคนพร่ำเพรื่อ โดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่ทั้งสองที่มาตรวจทานที่เกิดเหตุซ้ำอีกรอบ การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางแสงแดดไม่ได้เป็นจุดอ่อนมากเกินไป เธอยังไม่ชินกับการใช้พลัง และสัชาตญาณของมนุษย์ยังบอกให้เธอกลัวปืน เรื่องโดนยิงเสียพรุนไม่ใช่จุดจบอันแสนสวยงามที่เธอวาดหวังเลยสักนิด
เด็กสาวกัดเล็บนั่งอยู่กับที่ในห้องรับแขก...ยังมีความปรารถนาที่เธอต้องทำให้สำเร็จเสียก่อน
แต่ในขณะเดียวกัน เธอหิวแทบบ้าอยู่แล้ว
เบอร์โทรของแท็กซี่คนนั้นก็ดันไม่ได้ขอไว้ จะเรียกมาเป็นมื้อเช้าก็ทำไม่ได้ สิ่งที่อยู่กับเธอตอนนี้มีเพียงความหงุดหงิดงุ่นง่านใจเท่านั้น ถ้าเธอฆ่าคนโดยมีผ้าคลุมเป็นยัยเพิ้งหอบฟางล่ะก็ เจ้าหน้าที่ได้กรูกันเข้ามาจับภายในสิบนาทีแน่ และถ้าพวกนั้นดึงผ้าคลุมร่างเธอออกกลางแจ้งล่ะก็ จบเห่แน่นอน
แต่เธอหิวเกินไปแล้ว!
‘อา...นั่นสินะ มีเจ้าหน้าที่อยู่ใกล้ๆ นี้เอง ใช้ประโยชน์หน่อยจะเป็นไรไปเล่า...’
เมอยาสก้าหยิบโทรศัพท์สีช็อคกิ้งพิ้งค์ขึ้นมากดหมายเลขฉุกเฉิน ก่อนจะกรอกน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงลงไป “ช่วยฉันด้วย...”
ปลายสายถามไถ่อาการของเธออย่างร้อนรนและตำแหน่งที่อยู่
“ฉัน...อึก...มาเยี่ยมเพื่อนในหมู่บ้านที่เกิดคดี แต่โรคประจำตัวกำเริบขึ้นมาน่ะค่ะ ฉันต้องการเลือด ช่วยติดต่อโรงพยาบาลให้เตรียมไว้หน่อยได้ไหมคะ แล้วก็...ส่งคนมารับฉันที...”
“ครับ! ทางเราจะส่งคนไปรับคุณเดี๋ยวนี้เลย...”
“แล้วอีกอย่าง...” เมอยาสก้าขัดขึ้นกะทันหันด้วยสีหน้าพึงพอใจ “...ฉันขอบอกเลยว่าฉันแพ้แสง”
“ระบุลงไปว่าแค่เติมเลือดเพราะโรคอะไรก็ได้แล้วกัน”
เมอยาสก้านั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียงผู้ป่วยในห้องตรวจฉุกเฉิน รอบกายเธอคือแพทย์และพยาบาลที่ยืนตรงด้วยนัยน์ตาที่ไม่สื่อความใดๆ ราวกับรอรับคำสั่งจากเจ้านาย เธอเลียมุมปาดเปื้อนเลือดด้วยความพึงพอใจยิ่ง เธอไม่ได้โกหกเสียหน่อย ทั้งต้องการเลือด ทั้งแพ้แสง เธอคือแวมไพร์สาวน้อยผู้น่าสงสารที่กำลังหิวโซสุดๆ เลยล่ะ
ถุงเลือดว่างเปล่าถูกโยนลงถังขยะที่อยู่บริเวณนั้น ก่อนที่เมอยาสก้าจะเดินออกไปหาเจ้าหน้าที่คนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่บริเวณนั้นเหมือนเพิ่งส่งผู้ป่วยเข้าตรวจเสร็จ เธอยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร “คุณช่วยฉันได้ไหม”
เขาดูประหลาดใจ คงเพราะเด็กสาวตรงหน้าไม่น่าจะมีเรื่องให้ขอความช่วยเหลือ หรืออย่างน้อย ปัญหาของเธอก็ไม่น่าจะต้องถึงมือตำรวจ เขาหวังว่าปัญหาที่ว่านั่นคงไม่ใช่เรื่องแบบวัยรุ่นๆ อย่างการไปจับศัตรูหัวใจข้อหาประกาศสงครามความรัก อะไรทำนองนั้น
เธอก้มหน้าลงสบตาเขา “ฉันต้องการหาตัวผู้หญิงคนหนึ่งที่เคย ‘ฆ่า’ ฉัน”
ในห้องว่างของภัตตาคารลี่หลี่
“ไม่ไหวแล้วลี่อินแทบจะขุดทุกอย่างในชีวิตมาคุยกับฮิโรชิจังแล้วนะ”
คนที่กำลังบ่นด้วยความทดท้อปนอ่อนล้าตรงหน้าชายหนุ่มสายเลือดซามูไรคนนี้คือลูกเจ้าของภัตตาคารที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงคนเดิม หากแต่ท่วงท่ายั่วยวนที่ราวกับหว่านเสน่ห์ใส่เพื่อนสมัยเรียนอยู่ตลอดเวลาได้ถูกถอดออกมาทั้งหมด รวมถึงซิลิโคนใส่ชุดกี่เพ้าสีแดงสดเช่นกัน
หากเป็นเพื่อนสมัยเรียนธรรมดา...ไม่สิ หากเป็นเพื่อยสมัยเรียนที่เป็น ‘ผู้หญิง’ ธรรมดา การออกอาการใกล้ชิดขนาดนั้นคงจะเรียกได้ว่าทุ่มเทมากจนเกินไป แต่ร่างบอบบางที่อยู่ในชุดเว้าสูงโชว์เรียวขาแสนสวยคนนี้มิใช่สตรีโดยเพศกำเนิด จะมีก็เพียงความพิศสมัยในการแต่งกายดุจหญิงสาวก็เท่านั้น
ลี่อินรู้จักเขาดี การจะเปิดตัวว่าเดตกับใครสักคนเป็นเรื่องยาก หรือจะเรียกได้ว่าชั่วชีวิตที่ผ่านมานี้ไม่มีเลยสักครั้งที่เขาจะข้องแวะกับใครในลักษณะนั้น ถึงจะอยู่ร่วมห้องนอนร่วมเตียง (โดยไม่มีเรื่องเกินเลย) กันมาตลอดหลายปี แต่เธอก็รู้สึกว่าเขามีคนในใจที่ไม่เคยบอกให้ใครรู้อยู่คนหนึ่ง เมื่อคนคนนั้นมาปรากฏตัวกะทันหัน ไหนเลยเพื่อนสนิทอย่างเธอจะไม่แกล้งเอาเสียหน่อย ให้คนจอมอุบได้รู้เสียบ้างว่าเวลามีความรักต้องกระจายให้เพื่อนฝูงทราบทั่วทุกตัวคน
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคืออารมณ์อันแสนสงบเงียบ ยิ่งกว่านักพรตที่กำลังจิบชาเสียอีก
เพื่อทดสอบต่อไป ลี่อินผู้ข้องใจในความสัมพันธ์ของคนรักคู่นี้ยิ่งตีบทแตกเข้าไปใหญ่ ทั้งงัดเอาคำพูดยั่ว (ยวน) ฮิโรชิ และกระทำการยั่ว (โมโห) ทริสทรี่ คู่เดตผู้มีความงามอันแฝงความเย็นชายามนัยน์ตาคู่นั้นเหม่อลอยในห้วงความคิด แต่ปฏิกิริยาของเขาก็ยังคงมีเพียงการชิมอาหารจานต่อไปก็เท่านั้น
ลี่อินใช้พัดหุบในมือปัดขึ้นลง “ไม่ไหวๆ ลี่อินว่างานนี้ฮิโรชิจังพลาดแล้วล่ะ แน่ใจนะว่าเขาเต็มใจมาเดตน่ะ หน้าเหม่อออกอย่างนั้นไม่ใช่ว่าคิดถึงคนที่ชอบอยู่หรือไง...”
นัยน์ตาของฮิโรชิไม่บ่งบอกความเป็นมิตรเลยสักนิด นั่นทำให้คนงามในชุดกี่เพ้ายอมหุบปากของตนแต่โดยดี เธอฟังเขาด้วยสายตาเห็นใจ
“ทริสทรี่น่ะรักฉันคนเดียว เขาแค่แสดงออกไม่เก่งเท่านั้นเอง”
“ลี่อินก็อวยพรให้เป็นอย่างนั้นแล้วกัน”
เธอมองแผ่นหลังของเพื่อนที่เดินออกไป ก่อนจะคลี่พัดปิดใบหน้าให้เหลือเพียงนัยน์ตาเจ้าเล่ห์เท่านั้น เธอตวัดขาไขว่กันด้วยท่วงท่าประหนึ่งนางมารร้ายผู้เย้ายวน “จะหลบอยู่ตรงนั้นทำไม อุตส่าห์ส่งคนมาก่อกวนมื้ออาหารตลอดทั้งคืนเลยไม่ใช่รึ ผู้จัดการ”
ชายหนุ่มในชุดสูทปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดประจำตัว แต่ดูเหมือนความเครียดในแววตาคู่นั้นจะฉายขึ้นอีกหลายเท่าตัวจากสิ่งที่ลี่อินทำกับเพื่อนสมัยเรียน ทั้งความใกล้ชิดที่ชวนให้หึงหวง ทั้งคำพูดที่ไม่อยากจะให้พูดกับใครอื่น แม้เขาจะเป็นเพียงของเล่นอันน่าสนุกของผู้สวมกี่เพ้าแดง และไม่มีวันเป็นเจ้าของและเหนี่ยวรั้งสิ่งใดในตัวอีกฝ่ายได้ แต่อารมณ์ขึ้งโกรธนี้ก็พลุ่งพล่านเสียจนเขาแทบจะใช้ดาบคมวาวของประดับในร้าน ฟันร่างของบุรุษแดนปลาดิบนั้นให้ขาดเป็นท่อนๆ เสีย
“สีหน้าดูไม่ดีเลยนะ ฉันเคยพูดเมื่อไหร่กันว่าตัวฉันเป็นของนาย”
คำพูดนั้นตอกย้ำลงในจิตใจ ผู้จัดการพยายามฝืนไม่ให้สีหน้าของตนแสดงอาการใดๆ ออกไปมากกว่านี้ อีกฝ่ายกล่าวถูกต้อง เขาไม่มีสิทธิ์นั้นเลยแม้เพียงน้อยนิด ไม่...แม้เพียงจะคิดด้วยซ้ำ
“แต่ว่า...” ลี่อินลุกขึ้นสัมผัสใบหน้าของบุคคลอันเป็นที่รักพร้อมด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล “...ฉันยังไม่เลิกเล่นกับนายตอนนี้หรอก มากับฉันสิ เรื่องเมื่อคืนน่าเบื่อกว่าที่นายคิดเยอะเลย หวังว่าเช้านี้นายจะทำให้ฉันจะหายเซ็งเสียทีนะ”
‘เพราะนายเป็นของของฉัน’
To be continue.
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ