The last Blood.สายเลือด นิทรา [BL , Yaoi]

9.0

เขียนโดย เฟรล่าฟลอเร

วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 18.47 น.

  24 ตอน
  0 วิจารณ์
  25.68K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.00 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

19)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
แทบจะนับครั้งได้ที่ทริสทรี่พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาจากนิทราที่ไม่ได้ตั้งใจ
 
     ก่อนหลับไป เขารู้แต่ว่าตัวเองถูกโปะด้วยผ้าบางอย่าง จากนั้นสติก็ค่อยๆ ลอยหลุดไปเหมือนโดนสะกดจิต เขารู้ว่าฮิโรชิทำแบบนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทำให้เขาหลับคงเป็นบางอย่างที่อยู่ในผ้านั่น
 
     ทริสทรี่มองกุญแจมือเหล็กแน่นหนาที่คล้องไว้กับสายโซ่เส้นหนาที่ม้วนกองกันอยู่กับพื้น
 
     “ถ้าเป็นกุญแจมืออันนิดเดียวคงขาด แต่โซ่นั่นไม่ขาดง่ายเหมือนกุญแจมือหรอกนะ”
 
     ฮิโรชินั่งชันเข่าพิงผนัง มองเขามาจากข้างเตียง กลุ่มผมสีดำยุ่งเหยิง รอยยิ้มที่ส่งมาให้แฝงความอ่อนแรงเอาไว้
 
     ทริสทรี่มองสำรวจรอบๆ ในนี้เหมือนบ้านไม้หลังเล็กที่มีดีไซน์เรียบง่าย อากาศที่หนาวกว่าปกติทำให้ร่างงามกระชับผ้านวมขึ้นคลุมตัว หน้าต่างที่ถูกเปิดในลักษณะดึงสูงขึ้น โดยมีขาพับที่สามารถหดลงยืดขึ้นเป็นตัวยก ภายนอกคือท้องฟ้ายามราตรีอันพร่างพราวด้วยจุดเล็กๆ ระยิบระยับ
 
     เขาหันกลับมามองคนที่นั่งอยู่บนพื้นไม้เย็นๆ อีกครั้ง สิ่งที่อยู่บนร่างของฮิโรมีเพียงเสื้อเชิ้ตธรรมดากังกางเกงขายาวตัวหนึ่ง นัยน์ตาคู่นั้นเฝ้ามองเขาอย่างเงียบๆ แต่การถูกเฝ้ามองในลักษณะนี้ทำให้ทริสทรี่รู้สึกเหมือนตนเป็นของตั้งโชว์
 
     ร่างงามพบว่าโซ่เหล็กที่ล่ามข้อมืออยู่ทำให้การเคลื่อนไหวจำต้องใช้แรงมากกว่าปกติเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้ยากเย็นเกินไปนัก เขาพยายามดึงมันให้ขาดออกจากกันราวกับต้องการพิสูจน์ ในท้ายที่สุด...ผู้ที่ก้าวลงมาจากเตียงก็จำต้องปล่อยให้สายโซ่คล้องข้อมือของตนต่อไป เขาเดินไปริมหน้าต่างที่ถูกยกขึ้นบานนั้น ถึงจะมืดอยู่สักหน่อย แต่ดวงตาของแวมไพร์ก็เหมือนดวงตาสำหรับยามวิกาล ถึงจะมืดเพียงไรก็ยังเห็นได้ชัดเจนกว่ามนุษย์มากนัก ทิวทัศน์ด้านนอกทำให้เขาอดนึกถึงบ้านเกิดไม่ได้ สถานที่แห่งนั้นตั้งอยู่บนยอดเขา ดูเหมือนบ้านไม้หลังเล็กแห่งนี้ก็เช่นกัน
 
     เขามองดวงจันทร์ที่เหลือเวลาอีกสองสามชั่วโมงก่อนลับขอบฟ้า จากตอนนั้นคงผ่านมาเก้าถึงสิบชั่วโมงแล้ว คนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างได้นอนพักบ้างหรือยัง จุดนี้ทริสทรี่เองยังอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ หากไม่นับตอนสลบช่วงสั้นๆ ฮิโรชิแทบจะตื่นขึ้นมาครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว
 
     สัมผัสของอีกฝ่ายที่เอื้อมมาแตะเรียวขาของเขา ทำให้ร่างงามสะดุ้งอยู่ในที เขาย่อตัวลงสัมผัสแก้มแดงซ่านนั่นเบาๆ ผิวสัมผัสนั้นไม่ได้เย็นเยือกสมกับที่นั่งอยู่ท่ามกลางอากาศหนาว มันร้อนระอุดุจไฟเผาอย่างน่าประหลาด อนึ่ง...เขาเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูแบบวาเลนเซีย เธอมิได้เปิดโอกาสให้เขาคลุกคลี...หรือสัมผัสขีดจำกัดของมนุษย์ ตัวเธอเองก็เป็นแวมไพร์ การป่วยไข้ไม่ใช่สิ่งที่ปิศาจรัตติกาลพึงจะมี จึงเรียกได้ว่าเขาไม่รู้ว่าอะไรคืออาการที่ฮิโรชิเป็นอยู่ตอนนี้
 
     “น้องสาวของเจ้าคืออายาซาชิ ไม่เจ้าอย่างที่เคยกล่าวอ้างสินะ”
 
     ผู้โอบกอดรู้สึกเหมือนคำพูดนั้นเป็นเพียงคำพูดที่ลอยผ่านอากาศเย็นยะเยือกนี้เท่านั้น สมองของเขาเบลอมานับชั่วโมงเห็นจะได้ ทั้งที่เป็นอย่างนั้น เขากลับใช้แรงที่เหลืออยู่น้อยนิดในการสัมผัสมือที่กำลังแตะแก้มตนอยู่ มันยังคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนแรง แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นคือมันแฝงความอบอุ่นและซาบซึ้งเอาไว้อย่างล้นเหลือ
 
     “ฮิโรชิ?”
 
     “ขอบคุณนะ...ที่ยอมเข้าใกล้ฉัน”
 
     ทริสทรี่รีบพยุงร่างที่หมดสติกะทันหันไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น ถึงจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เขาพอจะมองออกว่าคนที่กำลังตัวร้อนจี๋อยู่นี้ไม่อยู่ในสภาวะปกติ
 
    
 
     หลังจากพระอาทิตย์ขึ้นและตกลงอีกครั้ง ฮิโรชิเริ่มรู้สึกตัว เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่าเมื่อคืนวานเสียอีก เขาหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงซึ่งกำลังมีสีหน้าเคร่งเครียด “ทริสทรี่...”
 
     ร่างงามสัมผัสมือคนที่คล้ายต้องการจะแตะต้อง “เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ตัวเจ้าเหมือนกำลังบาดเจ็บเลย”
 
     แทนที่จะสนใจเรื่องนั้น น้ำเสียงแหบแห้งระคนอ่อนแรงกลับแสดงความประหลาดใจออกมาในรูปของคำถาม “เธอไม่โกรธฉันหรือ ฉันหลอกเธอนะ”
 
     ตั้งแต่เดินทางมาถึงบ้านพักแห่งนี้ ความคิดตึงเครียดของฮิโรชิแตกสลายลง ความหวาดกลัวเข้าครอบงำหัวใจเขาเหมือนเงามืดของปิศาจร้าย ถึงจะเกลียด แต่ชื่อของอายาซาชิก็เป็นเหมือนหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ทริสทรี่ตามเขามา ถ้าเขาไม่ใช่คนที่อ้างว่าเป็น อีกฝ่ายยังจะมองเห็นค่าในตัวเขาหรือ ยังอยากจะเข้าใกล้เขาอีกหรือไร
 
     ทริสทรี่เอ่ยขึ้นช้าๆ
 
     “โกรธ...แต่ก็เข้าใจ” ร่างงามกล่าวโดยไร้แววเคืองขุ่นในกระแสเสียง “ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับน้องสาวหรืออายาซาชิ แต่เจ้าดูเหมือนจะยึดติดกับข้าเหลือเกิน มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลยจริงๆ”
 
     เมื่อพูดถึงนามนั้น ฮิโรชิอดตั้งคำถามข้อที่สองไม่ได้ มันเป็นคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจเขามาเนิ่นนานเหลือเกิน “แล้วทำไมเธอไม่โกรธอายาซาชิ ทั้งที่เขาทำให้เธอเสี่ยงอันตรายจนเกือบต้องตาย?”
 
     ชื่อของคนรักเมื่อร้อยปีก่อนกับคำถาม ทำให้ทริสทรี่ชะงักงันไปชั่วครู่ เขาไม่ทันสังเกตความหม่นหมองในแววตาคู่นั้น ร่างงามระบายลมหายใจออกมาเบาๆ เขาลูบใบหน้าของคนโดนพิษไข้เล่นงานอย่างอ่อนโยน ก่อนจะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมากับหัวใจตนเองที่สุด
 
     “เพราะข้ารักเขา...รักเกินกว่าจะเกลียดได้ลง”
 
     มือที่เขาสัมผัสอยู่สอดนิ้วเข้ามาตามช่องมือ ราวกับต้องการผสานกันให้แน่นหนากว่าเดิม นัยเนตรสีนิลคู่นั้นฉายแววร้าวรานออกมา
 
     “นานมาแล้วที่ฉันเคยฟังเรื่องของเธอผ่านทางฮิโรมิ น้องสาวตัวน้อยของฉัน” เขาหลับตาลงชั่วขณะราวกับหวนนึกถึงความหลัง “ฉันดูแลน้องสาววัยแรกเกิดตามหน้าที่พี่ชายทั่วไป กระทั่ง...วันที่เธอเริ่มพูดได้ เธอเล่าถึงความฝันอันน่าประหลาดและนิทานในความทรงจำของตัวเอง และฉันเชื่อคำบอกเล่านั้น เพราะนิทานของเธอถูกพิสูจน์ได้ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งคำบอกเล่าที่ตรงกับประวัติศาสตร์ สถานที่ หรืออะไรก็ตามที่เด็กอายุไม่กี่ขวบไม่น่าจะเก็บเอาไปฝันได้”
 
     ทริสทรี่เข้าใจในทันที ความฝันนั้นคงเป็นเหมือนสิ่งที่สะท้อนออกมาจากความทรงจำตกค้างจากอายาซาชิ
 
     “ฉันรับฟังนิทานตอนใหม่ในทุกๆ วัน เพราะความทรงจำของอายาซาชิเริ่มแจ่มชัดขึ้นทุกขณะ ตัวฉันไม่เคยมีความรัก แต่เรื่องราวระหว่างเธอและอายาซาชิทำให้ฉันจมดิ่งสู่ความรู้สึกนั้น นานวันเข้า ฉันเริ่มหลงใหลในนิทานของน้องสาว หลงใหลในเรื่องราว หลงใหลในตัวละครเอกของเรื่องเล่านั้น เธอรักเขาจากหัวใจจริงๆ ตัวเธอนั้นช่างสวยงาม ความอ่อนโยน ความไร้เดียงสา ความจริงใจ ผิดกับเขาที่ยอมมอบเธอให้กลุ่มนักล่าเพียงเพราะต้องการเงินและเรือสำหรับเดินทางกลับบ้าน และนั่นคือฉากจบของนิทานที่น้องสาวตัวน้อยของฉันเล่าให้ฟัง เธอเล่ามัน โดยไม่รู้เลยว่านิทานอันอ่อนโยนอย่างล้นเหลือในหัวใจได้แตกสลายลง”
 
     ฮิโรชิกล่าวต่อไป
 
     “เธอกอดร่างบาดเจ็บของคนที่ส่งเธอให้พวกนักล่าแวมไพร์เพื่อแลกเงินกับเรือกลับบ้าน กอดอายาซาชิซึ่งกำลังจะตายด้วยน้ำมือของวาเลนเซีย ตัวเขาในตอนนั้นเสียเลือดมาก ริมฝีปากขยับไม่ได้ ร่างกายก็ไม่มีแรงพอจะขยับได้อีก ถึงกระนั้น...น้องสาวที่น่ารักของฉันบอกว่าคนรักของเขาโอบกอดร่างเขาไว้ กระซิบถ้อยคำรักโดยไร้ซึ่งความเคืองโกรธใดๆ ปลอบประโลมและส่งเขาจนถึงลมหายใจสุดท้าย”
 
     ร่างงามรู้สึกเหมือนกำลังมองดูภาพเหตุการณ์ในอดีต ภาพนั้นแจ่มชัดราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน สัมผัสจากร่างที่เย็นลงเรื่อยๆ ความเจ็บปวดเสมือนมีดนับพันเล่มทิ่มแทงขั้วหัวใจ แต่เขายังคงยิ้มให้แก่อายาซาชิ ยิ้มให้เพื่อบอกกับอีกฝ่ายว่าเขาไม่ถือโทษโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แม้สิ่งที่คลอล้นอยู่ในคลองจักษุคือหยาดน้ำตาใสบริสุทธิ์ก็ตาม
 
     “คืนนั้น ฉันนอนมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางจินตนาการว่าจะเป็นไปได้ไหมที่เธอและฉันจะพบกันในสักวัน เธออาจจะปรากฏตัวที่ระเบียงเหมือนแวมไพร์ในหนัง แล้วถ้าเป็นแบบนั้น ฉันจะทักทายอย่างไรดี อะไรคือคำพูดแรกที่เราสองคนจะใช้กล่าวต่อกัน ฉันคิดถึงเรื่องนั้นด้วยความสุขระคนเศร้าใจ ฉันจะหาเธอในโลกอันแสนกว้างใหญ่นี้เจอได้อย่างไร ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกริษยาชิงชังต่ออายาซาชิได้ก่อเกิดขึ้น พร้อมด้วยคำถามข้อเดียวเท่านั้น...”
 
     ฮิโรชิเอ่ยขึ้นเบาๆ
 
     “ทำไมคนที่ได้พบเธอถึงไม่เป็นฉัน”
 
     ทริสทรี่รู้สึกถึงความหมายที่เบื้องหลังดวงตาคู่นั้น ราวกับมันสามารถถ่ายทอดมาสู่หัวใจของเขาได้ เช่นเดียวน้ำเสียงที่สดับฟังนั้นช่างให้ความรู้สึกอบอุ่นเหลือเกิน
 
     ฮิโรชิมองมือที่ผสานกันอยู่ระหว่างเขาและทริสทรี่ด้วยความรู้สึกพิเศษอันท่วมท้นหัวใจ “ตอนนี้ฉันถอดคอนแท็คเลนส์แล้ว เธอจะสะกดจิตฉันหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ขอร้อง...อย่าจากฉันไปเลยนะ”
 
     นัยน์ตาที่สบกันอยู่ถ่ายทอดทุกอย่าง เป็นสื่อระหว่างจิตวิญญาณสองดวงที่เชื่อมเข้าหากันได้ดีกว่ายามใด
 
     รอยยิ้มอันอ่อนโยนของทริสทรี่ ทำให้หัวใจของฮิโรชิเต้นผิดจังหวะไปชั่วครู่ ร่างงามกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและอบอุ่นราวกับคำปลอบประโลมของวีนัส
 
     “วางใจเถิด ข้าจะอยู่เคียงเจ้าเอง”
 
     ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวมันเพื่อรอเวลาจะโบยบินจากไป แต่ในปัจจุบันกาล ความหมายของวาจานี้ไม่มีนัยยะใดแฝงเร้นอยู่แม้เพียงน้อยนิด เสมือนเป็นคำพูดจากหัวใจบริสุทธิ์อันล้ำค่าดังที่ผู้ฟังปรารถนามาเนิ่นนาน หัวใจบริสุทธิ์ที่จริงใจต่อเขาและส่งมาเพื่อตัวของเขาอย่างแท้จริง
 
     ทริสทรี่มองความอิดโรยในดวงตาคู่นั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ “จริงสิ เจ้าบาดเจ็บอยู่นี่นา เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้...”
 
     “ไม่ใช่หรอก ฉันแค่เป็นไข้เท่านั้นแหละ อา...จริงสิ เธอคงไม่เคยเห็นคนป่วยอย่างนั้นสินะ” ฮิโรชินึกถึงสภาพร่างกายของแวมไพร์ที่มีความต่างจากมนุษย์ “คนทั่วไปเวลาที่อยู่ในสภาพอากาศอุณหภูมิต่ำก็มักจะมีอาการไข้ขึ้น อาการก็น่าจะเหมือนร่างกายอ่อนแอลง ปวดหัว อ่อนแรง แล้วเนื้อตัวก็จะร้อนขึ้น แต่คนป่วยน่ะจะรู้สึกหนาวมากเลยล่ะ ไม่ต้องห่วงนะ มันไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก”
 
     ทริสทรี่ไม่เข้าใจความขัดแย้งของอาการเหล่านั้นเลยสักนิด เขากล่าวด้วยความห่วงใย “ถ้าเจ้าดื่มเลือดแล้วจะดีขึ้นไหม”
 
     ฮิโรชิอยากจะส่ายหน้า แต่อาการป่วยของเขาไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น “ไม่ต้องหรอก แค่ให้ฉันนอนพักก็พอ ระหว่างนี้เธอจะเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวฉันก็ได้นะ มันจะทำให้ดีขึ้น ส่วนเรื่องเลือด ในห้องครัวจะมีตู้ใบใหญ่ๆ อยู่ ด้านในของมันจะเย็นกว่าปกติ ในนั้นมีเลือดอยู่ เธอดื่มได้เลย”
 
     ร่างงามผละจากไปโดยมีเสียงโซ่ดังลากพื้นเป็นของคู่กัน ฮิโรชิหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อน อาการปวดตุ้บที่รุมเร้าร่างกายให้ความรู้สึกราวกับถูกบีบด้วยอะไรสักอย่าง ย้อนแย้งกันกับเหงื่อที่ซึมจนเสื้อเปียกชุ่มไปทั้งตัว
 
     ขณะที่กำลังทรมานจากอาการป่วยไข้ เขาสัมผัสได้ถึงผ้าเย็นๆ แนบแก้มที่ไล้ไปตามใบหน้า เลื่อนลงมายังคอและข้อมือตามลำดับ เขาลืมตาขึ้นน้อยๆ เท่าที่แรงจะอำนวย ความใกล้ชิดผสานกับความอาทรทำให้หัวใจเขาเริ่มอบอุ่นขึ้นท่ามกลางความหนาวเหน็บของร่างกาย
 
     ถ้อยวลีที่ชวนให้สุขใจปรากฏขึ้นในห้วงคำนึงของผู้ที่เข้าสู่นิทราอีกครา
 
     ‘ฉันพบเธอแล้วนะ ทริสทรี่...’
 
    
 
To be continue.

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา