Easy Mode ; Hard Mode
-
เขียนโดย Hungshu
วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.25 น.
10 ตอน
1 วิจารณ์
13.35K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 16.17 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) Easy Mode
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความถ้าชีวิตของคุณเปรียบเสมือนเกม
คุณคิดว่าชีวิตของคุณอยู่ในระดับความยากระดับไหน
ง่าย?
ปานกลาง?
ยาก?
‘ผสมกันไป’ น่าจะเป็นคำตอบที่ตอบมากที่สุดล่ะมั้ง
แน่นอนเพราะเราต่างมีจังหวะการใช้ชีวิตที่ผสมกันปนเปกันไป
บางครั้งก็ยาก บางครั้งก็ง่าย
แม้แต่บางครั้งที่ในวันนี้เราคิดว่ายาก
แต่เมื่ออายุมากเข้ากลับรู้สึกว่าในสมัยนั้นมันง่ายก็มีถมไป
ผมต้องการจะสื่ออะไรน่ะหรอ…
ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่อยากจะบอกว่า…
ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
กลับรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า
การใช้ชีวิตทุกวันบนโลกใบนี้มันอยู่แค่ระดับง่ายมาตลอด
ง่าย... Easy
ถ้าเป็นเกมบางเกมต่ำกว่าง่ายก็ยังมี
Newbie หรือ Beginner
เอาเป็นว่าชีวิตของผมทุกวันนี้มันคงอยู่ในความยากระดับต่ำสุดนั่นแหละ
อยากรู้เหมือนกันว่าก่อนจะเกิดมายมบาล (ถ้ามีน่ะนะ)
เขาให้ผมเลือกก่อนจะเกิดรึเปล่าเนี่ยว่าอยากใช้ชีวิตที่ความยากระดับไหน
ผม นถา ปัจจุบันอายุครบรอบ 25 ปีวันนี้
ตั้งแต่เกิดมาก็ราวกับว่าผมถือบทสรุปการใช้ชีวิตมาด้วย
อ่า...ผมไม่ได้หมายถึงมีของอะไรติดตัวมาหรอกนะ
จะพูดยังไงดี
คล้ายกับว่าเวลาเราเล่นเกมหากเราติดขัดอะไร
แล้วไปเปิดบทสรุปตาม website ต่างๆเราก็จะรู้วิธีไปต่อได้ไม่ยาก
ผมไม่ได้หมายถึงผมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้หรอกนะ
คือทุกครั้งที่ผมกำลังจะเจอปัญหาอะไรซักอย่างในชีวิต
ผมกลับมีบางสิ่งที่จะแก้ปัญหานั้นไว้แล้ว
อย่างในสมัยเรียนเวลาจะทำข้อสอบ
ทั้งๆที่ผมไม่ใช่พวกหมั่นทบทวนบทเรียน
ไม่แม้แต่จะอ่านหนังสือหนักๆก่อนสอบ
แค่อ่านเนื้อหาบางส่วนที่จดมาในคาบก่อนสอบไม่กี่ชั่วโมง
เนื้อหาที่ออกสอบกลับ ‘บังเอิญ’ ตรงกลับที่ผมอ่านมาเสียได้
ถ้าพูดเป็นเกมก็คงเหมือนถ้าเราจะไปสู้บอสตัวนึงที่ต้องใช้ไอเทมพิเศษจัดการ
หรือ ทำเควส ที่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหาของในฉากก่อนหน้า
ตัวผมกลับ ‘บังเอิญ’ มีไอเทมนั้นอยู่แล้วนี่สิ
ยังกลับผมกำลังโกงคนอื่นอยู่เลยใช่ไหมล่ะ
ชีวิตผมจะอยู่ในลักษณะนี้มาตลอด
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นโหมดยาก
ผมกลับ ‘บังเอิญ’ มีสิ่งที่จำเป็นจะใช้ในเหตุการณ์นั้นอยู่แล้ว
ถ้าคุณใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอด
ใช้ชีวิตในโหมด Easy มาโดยตลอดคุณจะรู้สึกยังไง?
น่าเบื่อ?
ถ้าให้ผมเดาผมคงเดาว่าหลายคนน่าจะตอบ ‘น่าเบื่่อ’ ล่ะมั้ง
แต่สำหรับผมคำที่ใช้บรรยายความรู้สึกได้ดีที่สุดคงเป็น ‘พอใจ’ ล่ะมั้ง
ไม่ถึงกับน่าเบื่อ ไม่ได้สนุก แต่ค่อนข้างพอใจกับทุกวันนี้
ทำไมน่ะหรอ...ก็ผมเป็นพวกขี้เกียจน่ะสิ
ผมยอมที่จะทำเรื่องที่ไม่ชอบ (เช่น อ่านหนังสือ)
ด้วยเวลาที่น้อยสุด เพื่อให้ผมสบายได้นานที่สุด
ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะมันจำเป็นที่จำทำให้ผมขี้เกียจได้นานที่สุดนั่นแหละ
ด้านการงานก็เหมือนกัน
ก่อนที่จะจบ ม.6 ผมสามารถเลือกเข้าเรียนมหาลัยดีๆ คณะดีๆ ที่อาจารย์บอกว่าจบออกมาแล้วได้เงินเดือน 6 - 7 หลักได้ (ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะได้จริงหรือไม่รู้แค่ถ้าผมสอบติดอาจารย์อาจจะได้หน้า)
แต่ผมเลือกแค่หลักหมื่นก็เหลือเฟือ
ผมเลือกทางเดินที่เหมาะกับผมนิสัยที่ขี้เกียจของผมที่สุด
ชีวิตปัจจุบันของผมก็ซ้ำๆวนไปมา
ตื่นเช้า ทำงาน
เย็น เลิกงาน
หลังเลิกงาน บางวันก็เล่นก๊ฬากับเพื่อน บางวันกลับมานั่งเล่นเกมที่บ้าน
เสาร์ อาทิตย์ เที่ยวเล่นกับเพื่อน
แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว…
ชีวิตในแบบ Easy Mode ของผมมันควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆแท้ๆ…
************************************************************
7 กรกฎาคม 2557 เวลา ประมาณ 15.00 น.
“สุขสันข์วันเกิดจ๊ะเมฆ”
แม่ผมโทรศัพท์เข้ามาอวยพรวันเกิด
แม้จะอยู่ในช่วงเวลางาน
แต่ทางบ้านมักจะรู้อยู่แล้วว่าเวลาป่านนี้ผมมักจะเคลียร์งานของตัวเองเสร็จตั้งแต่บ่ายสองกว่า
เวลาที่เหลือหากไม่ไปเดินเล่นคุยกับเพื่อนร่วมงาน ก็จะนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต
“ขอบคุณครับ”
หลังคุยเรื่องจิปาทะกันต่อซักพัก
แม่ก็ส่งสายต่อให้พ่อพูดด้วย
พ่อเป็นคนที่พูดค่อนข้างน้อย
ต่างกับแม่ที่สามารถคุยได้ทั้งวัน (ต่อให้ไม่มีประเด็นจะพูดก็เถอะ)
แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนพ่อจะเป็นคนที่ได้รับความใจวางใจจากคนรอบข้าง
แม้ว่าทั้งพ่อ และ แม่ต่างเกษียณออกมาทำสวนตั้งแต่ปีที่แล้ว
แต่ดูเหมือนจะยังมีคนเข้ามาขอคำปรึกษากับพ่ออยู่เสมอ
ส่วนแม่ด้วยนิสัยทีเข้ากับคนอื่นง่าย
ลูกน้อง และ เพื่อนต่างแวะเวียนไปเยี่ยมที่บ้านไม่ขาด
ทำให้ผมโล่งใจเปราะนึงเพราะอย่างน้อย
ท่านทั้งสองคงไม่เหงานัก
หลังพ่ออวยพรวันเกิดให้สั้นๆ ‘สุขสันน์วันเกิดนะเมฆ’
พ่อได้เงียบไปครู่นึงก่อนจะพูดอะไรแปลกๆขึ้นมา
“เมฆ...ปีนี้เรา 25 แล้วสินะ”
น้ำเสียงนิ่งๆที่ผมฟังไม่ออกว่าท่านพูดในอารมณ์ไหน
“ครับ?”
“ตามตำราสมัยก่อนเขาว่าเป็นวัยเบญจเพส ทำอะไรก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
“...ครับพ่อ....”
เบญจเพส
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ยินคำนี้เท่าไรแหะ
รู้สึกว่าจะเป็นช่วงที่คนอายุ 25 จะขึ้น 26 จะมีเคราะห์
เอาเถอะถึงมันจะฟังดูแปลกๆไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ปรกติพ่อที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ กลับมาพูดเรื่องนี้…
ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่เสียหายล่ะนะ
……………………………..
7 กรกฎาคม 2557 เวลาประมาณ 18.00 น.
หลังเลิกงานตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็น
เพื่อนร่วมงานประจำชวนไปกินเหล้าแต่ผมปฏิเสธไป
แล้วขับรถกลับบ้าน
ที่ผ่านๆมาผมไปกินเหล้ากับเพื่อนร่วมงานไม่บ่อยนัก
สาเหตุหนึ่งคงเพราะผมเมาค่อนข้างง่าย
แถมพอตื่นขึ้นมากว่าจะหายอาการเมาค้างก็หลายชั่วโมง
ทำให้ถ้าหลีกเลี่ยงได้ผมก็อยากจะหลีกเลี่ยง
กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม…
ใครเป็นคนคิดระบบนี้ขึ้นมากันนะ
ผมถามคนต้นคิดค่านิยมแบบนี้ขึ้นมาเสียจริง
เพื่อนบางคนเคยบอกว่าเวลาเรากินเหล้ากัน
เราจะพูดความในใจออกมาทำให้เราสามารถเข้ากันได้ดีขึ้น
มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรอ
จะกี่ครั้งผมก็เห็นคนเริ่มเมาแล้วส่วนใหญ่บ่นไปเรื่อยเปื่อยที่เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น
ส่วนเพื่อนร่วมวงคนอื่นก็จะเห็นด้วยตามน้ำกันไป
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมเข้าสังคมไม่ได้หรอกนะ
แค่วางตัวให้มันดีไม่เด่นอะไรเกินไป
มันก็พอจะทำให้ผมใช้ชีวิตในระดับ Easy mode ต่อไปได้แล้ว
ระหว่างทางกลับบ้าน
ปรกติแล้วจะกินเวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
ก็ควรจะถึงบ้านราวๆ 5 โมงเย็นแต่เพราะวันนี้ฝนดันเทลงมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากที่ทำงาน
ทำให้รถติดจนกว่าจะกลับบ้านได้ก็เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงกว่า
ที่ที่ผมอยู่เป็นคอนโดสิบกว่าชั้น ผมอยู่ที่ชั้น 9
เป็นหนึ่งใน ‘ความบังเอิญ’ ของผมล่ะมั้งที่เล็งที่นี่ไว้ตั้งแต่มันเริ่มสร้าง
ซึ่งมันก็ตั้งแต่สมัยที่ผมเพิ่งเข้าเรียนมหาลัยใหม่ๆนี่แหละ
ในสมัยนั้นราคายังอยู่แค่ประมาณ 1 ล้านเศษๆ
แต่หลังจากมีโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า BTS เพิ่มหลังจากโครงสร้างสร้างเสร็จแล้ว
ตอนนี้ราคาอัพมาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านกว่า และดูเหมือนว่าพอรถไฟฟ้าสร้างเสร็จแล้วราคาน่าจะขยับสูงขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คงไม่คิดจะขายมันหรอกนะ
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจหลังเดินเข้าห้องของตน
ถึงจะชินแล้วที่ ฝนตก รถติด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
ผมเดินเข้าห้องครัวแล้วหยิบกับข้าวที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าออกมา
เป็นแค่หมูผัดน้ำมันหอยแบบง่ายๆ
เทลงใส่ข้าวที่หุงเอาไว้ แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ
แล้วก็เดินไปอาบน้ำ
……………………………..
7 กรกฎาคม 2557 เวลาประมาณ 18.10 น.
แกร๊ก!
ห้องของผมนั้นหากเดินเปิดประตูเข้ามาจะเจอห้องนั่งเล่นและประตู 3 บาน
ประตูห้องน้่ำ
ประตูห้องนอน
ประตูห้องครัว
ที่ห้องครัวจะมีประตูอีกบานที่ติดกับระเบียง
แกร๊ก! แกร๊ก!
หลังอาบน้ำเสร็จผมก็เอาข้าวที่อุ่นมานั่งกินไปพร้อมกับนั่งเล่นเกมในห้องนั่งเล่น
ระหว่างนั้นเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากตรงระเบียง
ดูเหมือนลมจะแรงหน้าดูแหะ
ตอนแรกผมเข้าใจเช่นนั้นเพระมองออกไปทางหน้าต่าง ฝนก็ยังคงตกหนักไม่หยุด
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงยังคงดังอยู่
ให้ตายสิรบกวนตอนคนกำลังยุ่ง (เล่นเกม) อยู่ชะมัด
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงเริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ผมเริ่มใจคอไม่ดี
ใจหนึ่งเริ่มคิดว่ามันเหมือนไม่ใช่เสียงลม แต่อีกใจหนึ่งยังคงบอกว่าไม่มีอะไร
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
โธ่เว๊ย อะไรนักหนาเนี่ย
ผมทนไม่ไหวเดินไปยังห้องครัวเพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น
………………………………..
แสงสีเขียว และ เหลือง
เมื่อผมเดินเข้าห้องครัวที่ไม่ได้เปิดไฟเอาไว้
ทันทีที่มองไปทางระเบียงผ่านประตูกระจกใส
ตรงระเบียงที่ควรมีเพียงราวตากผ้า และเครื่องซักผ้า
กลับมีร่างของอะไรซักอย่างที่สูงไล่เลี่ยกับผมจ้องมา
ดวงตาสีเขียวจดจ้องมาทางผม
ราวกับตาฟาด
ไม่ว่าจะขยี้ตาเพื่อหวังว่าภาพตรงหน้าผมแค่คิดไปเองซักกี่ครั้ง
ร่างนั้นก็ยังคงอยู่เบื้องหน้าผม
ภายในห้องครัวและระเบียงที่มืด
ผมกลับมองเห็นดวงตาสีเขียวนั้นได้อย่างชัดเจนราวกับกำลังเรืองแสง…
ไม่สิมันเรืองแสงจริงๆนี่
ราวกับเวลาเรากดสวิตเครื่องคอมในที่มืด
ดวงตาของร่างเบื้องหน้าอยู่ในลักษณะเดียวกัน
ด้านข้างของร่างที่คล้ายมนุษย์ที่มีดวงตาสีเขียว
อะไรซักอย่างที่มีรูปร่างทรงกลมลอยอยู่ด้านข้าง มีแสงสีเหลืองส่องออกมา
ยังกับโดรนที่เคยเห็นในมังงะบางเรื่อง
“...”
แกร๊ก! แกร๊ก!
ผมหลุดจากผวังเมื่อร่างเบื้องหน้าเคาะกระจก
ร่างนั้นเหมือนจะพยายามพูดอะไรซักอย่าง
แต่เพราะฝนที่ตกหนัก และ ประตูที่ขั้นกลางทำให้ผมจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พูด
ใจเย็นไว้
ผมบอกกับตนเองก่อนจะทำอะไรต่อก็เอื้อมมือกดสวิตต์ไฟ
…
เป็นครั้งที่สองของวัน
รึจะเรียกว่าครั้งที่สองของชีวิตก็ได้
เป็นครั้งที่สองที่อยู่ๆสมองผมหยุดทำงาน
ครั้งแรกก็เมื่อครู่ที่ดันเจอร่างอะไรซักอย่างมาอยู่ที่ระเบียง
ทำให้ผมสมองโล่งคิดอะไรไม่ออกไปครู่นึง
คราวนี้พอเปิดไฟเห็นเจ้าของร่างนั้นสมองของผมก็ราวกับหยุดทำงานไปอีกรอบ
เบื้องหน้า
หญิงสาว
หญิงสาวสูงราว 160
ผมสีเขียวยาวถึงกลางหลัง
ใบหน้าไม่กลม หรือ เรียวไปหรือเรียกสั้นๆว่ากำลังได้รูป
ดวงตาสีเขียว ไร้อารมณ์
ใส่ชุดสีเขียวคล้ายคลึงกับ Battle Suit จากเกมบางเกมที่เปลี่ยนเครื่องเกมเป็นสาวน้อยมาสู้กัน
ผ้าผันคอสีแดง
ถึงผมจะไม่ค่อยได้สุงสิงกับผู้หญิงมากนัก
แต่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าหญิงสาวเบื้องหน้า
สวยที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา
ราวกลับหลุดมาจากเกม หรือ อนิเมะยังไงยังงั้น
แกร๊ก! แกร๊ก!
หญิงสาวเคาะกระจกอีกครั้ง
ราวกับกำลังจะบอกให้เปิดประตูให้หน่อย
ผมที่หลุดจากภวังเป็นครั้งที่สอง
เริ่มเดินจะไปเปิดประตูให้ราวกับต้องมนต์สะกด
แต่ก็ยังชะงักลังเลก่อนจะเปิดประตู
ถ้าเปิดประตูจะเกิดอะไรขึ้น
ผมมองในมือทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ไม่เห็นมีอาวุธอะไร
แต่ว่า…
ไอ้ลูกกลมๆที่ลอยอยู่นั่นล่ะ
ราวกับลางสังหรที่มีมาตั้งแต่เด็กบอกว่าอย่าเปิด
ไม่งั้นชีวิตในโหมด Easy ของผมต้องหายไปตลอดกาล
ผมเชื่อลางสังหรณ์นั้นจึงเริ่มถอยห่างออกจากประตูแทนที่จะเดินไปเปิดให้
ปึง! ปึง! ปึง!
หญิงสาวทุบกระจกด้วยท่าทีไม่พอใจ
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเธอยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม
ถึงจะรู้ว่าเสียมารยาทแต่มันก็ช่วยไม่ได้
ต่อให้เหตุการณ์ตอนนี้จะคล้ายกับเหตุการณ์ Boy meet girl ที่เห็นได้ตามนิยายหลายๆเรื่อง
ผมก็ขอผ่านแล้วกันเพราะผมยังอยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบนี้ต่อไปนี่น่า
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
“เสียใจด้วยนะ กระจกนั้นผู้ผลิตเขาบอกมาว่าต่อให้กระโดดถีบก็ยังไม่แตก”
ผมบอกหญิงสาวด้วยระดับเสียงธรรมดา
ไม่รู้ว่าเธอได้ยินหรือไม่
แต่ดูเหมือนเธอจะเลิกคิ้วเล็กน้อย
น่าเสียดาย
ไม่รู้ว่าเป็นความรัก หรือแค่ความหื่น
ก็พึ่งเจอกันยังไม่ถึงนาทีนี่น่า
แต่คงต้องตัดใจล่ะ
แกร็บ!!!
เสียงแปลกๆดังขึ้น
หญิงสาวใช้มือทาบลงบนกระจกแล้วขยุ้มมันราวกับกระดาษ
บ้า
นี่มันบ้าชัดๆ
กระจกมันจะถือขยุ้มเป็นก้อนได้ยังไงต่อให้มีแรงมากแค่ไหน
มันก็น่าจะแตกสิไม่ใช่ถูกขยุ้มกลายเป็นก้อนเหมือนที่หญิงสาวกำลังทำ
ตุบ!
“ขออภัยที่เสียมารยาท”
เธอโยนก้อนกระจกที่ถูกขยี้เป็นก้อนกลมๆมาทางผมแล้วเดินเข้ามาในห้องครัว
น่าแปลกที่ตัวเธอกลับไม่เปียกฝนซักนิด
ทั้งๆที่ผมยืนด้านในยังรู้สึกได้ถึงไอของฝน
เธอจ้องมาทางผมที่กำลังตะลึงกับเหตุการณ์
ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือไม่แต่ดูเหมือนว่านัยน์ตาของเธอหมุนเล็กน้อย
ราวกับกล้องกำลังโฟกัสภาพ
“ท่านผู้กล้า ได้โปรดช่วยโลกของฉันด้วยค่ะ”
“ได้สิ แต่เอามาก่อน 5 ล้านบาทนะ”
ผมดันเผลอตอบโดยไม่ทันคิดออกไปซะแล้ว...
คุณคิดว่าชีวิตของคุณอยู่ในระดับความยากระดับไหน
ง่าย?
ปานกลาง?
ยาก?
‘ผสมกันไป’ น่าจะเป็นคำตอบที่ตอบมากที่สุดล่ะมั้ง
แน่นอนเพราะเราต่างมีจังหวะการใช้ชีวิตที่ผสมกันปนเปกันไป
บางครั้งก็ยาก บางครั้งก็ง่าย
แม้แต่บางครั้งที่ในวันนี้เราคิดว่ายาก
แต่เมื่ออายุมากเข้ากลับรู้สึกว่าในสมัยนั้นมันง่ายก็มีถมไป
ผมต้องการจะสื่ออะไรน่ะหรอ…
ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก แค่อยากจะบอกว่า…
ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
กลับรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่า
การใช้ชีวิตทุกวันบนโลกใบนี้มันอยู่แค่ระดับง่ายมาตลอด
ง่าย... Easy
ถ้าเป็นเกมบางเกมต่ำกว่าง่ายก็ยังมี
Newbie หรือ Beginner
เอาเป็นว่าชีวิตของผมทุกวันนี้มันคงอยู่ในความยากระดับต่ำสุดนั่นแหละ
อยากรู้เหมือนกันว่าก่อนจะเกิดมายมบาล (ถ้ามีน่ะนะ)
เขาให้ผมเลือกก่อนจะเกิดรึเปล่าเนี่ยว่าอยากใช้ชีวิตที่ความยากระดับไหน
ผม นถา ปัจจุบันอายุครบรอบ 25 ปีวันนี้
ตั้งแต่เกิดมาก็ราวกับว่าผมถือบทสรุปการใช้ชีวิตมาด้วย
อ่า...ผมไม่ได้หมายถึงมีของอะไรติดตัวมาหรอกนะ
จะพูดยังไงดี
คล้ายกับว่าเวลาเราเล่นเกมหากเราติดขัดอะไร
แล้วไปเปิดบทสรุปตาม website ต่างๆเราก็จะรู้วิธีไปต่อได้ไม่ยาก
ผมไม่ได้หมายถึงผมสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในอนาคตได้หรอกนะ
คือทุกครั้งที่ผมกำลังจะเจอปัญหาอะไรซักอย่างในชีวิต
ผมกลับมีบางสิ่งที่จะแก้ปัญหานั้นไว้แล้ว
อย่างในสมัยเรียนเวลาจะทำข้อสอบ
ทั้งๆที่ผมไม่ใช่พวกหมั่นทบทวนบทเรียน
ไม่แม้แต่จะอ่านหนังสือหนักๆก่อนสอบ
แค่อ่านเนื้อหาบางส่วนที่จดมาในคาบก่อนสอบไม่กี่ชั่วโมง
เนื้อหาที่ออกสอบกลับ ‘บังเอิญ’ ตรงกลับที่ผมอ่านมาเสียได้
ถ้าพูดเป็นเกมก็คงเหมือนถ้าเราจะไปสู้บอสตัวนึงที่ต้องใช้ไอเทมพิเศษจัดการ
หรือ ทำเควส ที่จำเป็นต้องย้อนกลับไปหาของในฉากก่อนหน้า
ตัวผมกลับ ‘บังเอิญ’ มีไอเทมนั้นอยู่แล้วนี่สิ
ยังกลับผมกำลังโกงคนอื่นอยู่เลยใช่ไหมล่ะ
ชีวิตผมจะอยู่ในลักษณะนี้มาตลอด
ก่อนจะเกิดเหตุการณ์อะไรที่จะทำให้การใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นโหมดยาก
ผมกลับ ‘บังเอิญ’ มีสิ่งที่จำเป็นจะใช้ในเหตุการณ์นั้นอยู่แล้ว
ถ้าคุณใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอด
ใช้ชีวิตในโหมด Easy มาโดยตลอดคุณจะรู้สึกยังไง?
น่าเบื่อ?
ถ้าให้ผมเดาผมคงเดาว่าหลายคนน่าจะตอบ ‘น่าเบื่่อ’ ล่ะมั้ง
แต่สำหรับผมคำที่ใช้บรรยายความรู้สึกได้ดีที่สุดคงเป็น ‘พอใจ’ ล่ะมั้ง
ไม่ถึงกับน่าเบื่อ ไม่ได้สนุก แต่ค่อนข้างพอใจกับทุกวันนี้
ทำไมน่ะหรอ...ก็ผมเป็นพวกขี้เกียจน่ะสิ
ผมยอมที่จะทำเรื่องที่ไม่ชอบ (เช่น อ่านหนังสือ)
ด้วยเวลาที่น้อยสุด เพื่อให้ผมสบายได้นานที่สุด
ไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะมันจำเป็นที่จำทำให้ผมขี้เกียจได้นานที่สุดนั่นแหละ
ด้านการงานก็เหมือนกัน
ก่อนที่จะจบ ม.6 ผมสามารถเลือกเข้าเรียนมหาลัยดีๆ คณะดีๆ ที่อาจารย์บอกว่าจบออกมาแล้วได้เงินเดือน 6 - 7 หลักได้ (ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะได้จริงหรือไม่รู้แค่ถ้าผมสอบติดอาจารย์อาจจะได้หน้า)
แต่ผมเลือกแค่หลักหมื่นก็เหลือเฟือ
ผมเลือกทางเดินที่เหมาะกับผมนิสัยที่ขี้เกียจของผมที่สุด
ชีวิตปัจจุบันของผมก็ซ้ำๆวนไปมา
ตื่นเช้า ทำงาน
เย็น เลิกงาน
หลังเลิกงาน บางวันก็เล่นก๊ฬากับเพื่อน บางวันกลับมานั่งเล่นเกมที่บ้าน
เสาร์ อาทิตย์ เที่ยวเล่นกับเพื่อน
แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว…
ชีวิตในแบบ Easy Mode ของผมมันควรจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆแท้ๆ…
************************************************************
7 กรกฎาคม 2557 เวลา ประมาณ 15.00 น.
“สุขสันข์วันเกิดจ๊ะเมฆ”
แม่ผมโทรศัพท์เข้ามาอวยพรวันเกิด
แม้จะอยู่ในช่วงเวลางาน
แต่ทางบ้านมักจะรู้อยู่แล้วว่าเวลาป่านนี้ผมมักจะเคลียร์งานของตัวเองเสร็จตั้งแต่บ่ายสองกว่า
เวลาที่เหลือหากไม่ไปเดินเล่นคุยกับเพื่อนร่วมงาน ก็จะนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต
“ขอบคุณครับ”
หลังคุยเรื่องจิปาทะกันต่อซักพัก
แม่ก็ส่งสายต่อให้พ่อพูดด้วย
พ่อเป็นคนที่พูดค่อนข้างน้อย
ต่างกับแม่ที่สามารถคุยได้ทั้งวัน (ต่อให้ไม่มีประเด็นจะพูดก็เถอะ)
แต่ถึงอย่างนั้น ดูเหมือนพ่อจะเป็นคนที่ได้รับความใจวางใจจากคนรอบข้าง
แม้ว่าทั้งพ่อ และ แม่ต่างเกษียณออกมาทำสวนตั้งแต่ปีที่แล้ว
แต่ดูเหมือนจะยังมีคนเข้ามาขอคำปรึกษากับพ่ออยู่เสมอ
ส่วนแม่ด้วยนิสัยทีเข้ากับคนอื่นง่าย
ลูกน้อง และ เพื่อนต่างแวะเวียนไปเยี่ยมที่บ้านไม่ขาด
ทำให้ผมโล่งใจเปราะนึงเพราะอย่างน้อย
ท่านทั้งสองคงไม่เหงานัก
หลังพ่ออวยพรวันเกิดให้สั้นๆ ‘สุขสันน์วันเกิดนะเมฆ’
พ่อได้เงียบไปครู่นึงก่อนจะพูดอะไรแปลกๆขึ้นมา
“เมฆ...ปีนี้เรา 25 แล้วสินะ”
น้ำเสียงนิ่งๆที่ผมฟังไม่ออกว่าท่านพูดในอารมณ์ไหน
“ครับ?”
“ตามตำราสมัยก่อนเขาว่าเป็นวัยเบญจเพส ทำอะไรก็ระวังตัวด้วยล่ะ”
“...ครับพ่อ....”
เบญจเพส
เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ยินคำนี้เท่าไรแหะ
รู้สึกว่าจะเป็นช่วงที่คนอายุ 25 จะขึ้น 26 จะมีเคราะห์
เอาเถอะถึงมันจะฟังดูแปลกๆไม่มีเหตุผลรองรับ
แต่ปรกติพ่อที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ กลับมาพูดเรื่องนี้…
ระวังตัวไว้หน่อยก็ไม่เสียหายล่ะนะ
……………………………..
7 กรกฎาคม 2557 เวลาประมาณ 18.00 น.
หลังเลิกงานตั้งแต่ตอน 4 โมงเย็น
เพื่อนร่วมงานประจำชวนไปกินเหล้าแต่ผมปฏิเสธไป
แล้วขับรถกลับบ้าน
ที่ผ่านๆมาผมไปกินเหล้ากับเพื่อนร่วมงานไม่บ่อยนัก
สาเหตุหนึ่งคงเพราะผมเมาค่อนข้างง่าย
แถมพอตื่นขึ้นมากว่าจะหายอาการเมาค้างก็หลายชั่วโมง
ทำให้ถ้าหลีกเลี่ยงได้ผมก็อยากจะหลีกเลี่ยง
กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม…
ใครเป็นคนคิดระบบนี้ขึ้นมากันนะ
ผมถามคนต้นคิดค่านิยมแบบนี้ขึ้นมาเสียจริง
เพื่อนบางคนเคยบอกว่าเวลาเรากินเหล้ากัน
เราจะพูดความในใจออกมาทำให้เราสามารถเข้ากันได้ดีขึ้น
มันจะเป็นอย่างนั้นจริงหรอ
จะกี่ครั้งผมก็เห็นคนเริ่มเมาแล้วส่วนใหญ่บ่นไปเรื่อยเปื่อยที่เข้าข้างตัวเองทั้งนั้น
ส่วนเพื่อนร่วมวงคนอื่นก็จะเห็นด้วยตามน้ำกันไป
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผมเข้าสังคมไม่ได้หรอกนะ
แค่วางตัวให้มันดีไม่เด่นอะไรเกินไป
มันก็พอจะทำให้ผมใช้ชีวิตในระดับ Easy mode ต่อไปได้แล้ว
ระหว่างทางกลับบ้าน
ปรกติแล้วจะกินเวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
ก็ควรจะถึงบ้านราวๆ 5 โมงเย็นแต่เพราะวันนี้ฝนดันเทลงมาตั้งแต่ยังไม่ออกจากที่ทำงาน
ทำให้รถติดจนกว่าจะกลับบ้านได้ก็เสียเวลาไปเป็นชั่วโมงกว่า
ที่ที่ผมอยู่เป็นคอนโดสิบกว่าชั้น ผมอยู่ที่ชั้น 9
เป็นหนึ่งใน ‘ความบังเอิญ’ ของผมล่ะมั้งที่เล็งที่นี่ไว้ตั้งแต่มันเริ่มสร้าง
ซึ่งมันก็ตั้งแต่สมัยที่ผมเพิ่งเข้าเรียนมหาลัยใหม่ๆนี่แหละ
ในสมัยนั้นราคายังอยู่แค่ประมาณ 1 ล้านเศษๆ
แต่หลังจากมีโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า BTS เพิ่มหลังจากโครงสร้างสร้างเสร็จแล้ว
ตอนนี้ราคาอัพมาอยู่ที่ประมาณ 2 ล้านกว่า และดูเหมือนว่าพอรถไฟฟ้าสร้างเสร็จแล้วราคาน่าจะขยับสูงขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้นผมก็คงไม่คิดจะขายมันหรอกนะ
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจหลังเดินเข้าห้องของตน
ถึงจะชินแล้วที่ ฝนตก รถติด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังอดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
ผมเดินเข้าห้องครัวแล้วหยิบกับข้าวที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าออกมา
เป็นแค่หมูผัดน้ำมันหอยแบบง่ายๆ
เทลงใส่ข้าวที่หุงเอาไว้ แล้วเอาเข้าไมโครเวฟ
แล้วก็เดินไปอาบน้ำ
……………………………..
7 กรกฎาคม 2557 เวลาประมาณ 18.10 น.
แกร๊ก!
ห้องของผมนั้นหากเดินเปิดประตูเข้ามาจะเจอห้องนั่งเล่นและประตู 3 บาน
ประตูห้องน้่ำ
ประตูห้องนอน
ประตูห้องครัว
ที่ห้องครัวจะมีประตูอีกบานที่ติดกับระเบียง
แกร๊ก! แกร๊ก!
หลังอาบน้ำเสร็จผมก็เอาข้าวที่อุ่นมานั่งกินไปพร้อมกับนั่งเล่นเกมในห้องนั่งเล่น
ระหว่างนั้นเหมือนได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากตรงระเบียง
ดูเหมือนลมจะแรงหน้าดูแหะ
ตอนแรกผมเข้าใจเช่นนั้นเพระมองออกไปทางหน้าต่าง ฝนก็ยังคงตกหนักไม่หยุด
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงยังคงดังอยู่
ให้ตายสิรบกวนตอนคนกำลังยุ่ง (เล่นเกม) อยู่ชะมัด
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
เสียงเริ่มดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ผมเริ่มใจคอไม่ดี
ใจหนึ่งเริ่มคิดว่ามันเหมือนไม่ใช่เสียงลม แต่อีกใจหนึ่งยังคงบอกว่าไม่มีอะไร
แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก! แกร๊ก!
โธ่เว๊ย อะไรนักหนาเนี่ย
ผมทนไม่ไหวเดินไปยังห้องครัวเพื่อจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น
………………………………..
แสงสีเขียว และ เหลือง
เมื่อผมเดินเข้าห้องครัวที่ไม่ได้เปิดไฟเอาไว้
ทันทีที่มองไปทางระเบียงผ่านประตูกระจกใส
ตรงระเบียงที่ควรมีเพียงราวตากผ้า และเครื่องซักผ้า
กลับมีร่างของอะไรซักอย่างที่สูงไล่เลี่ยกับผมจ้องมา
ดวงตาสีเขียวจดจ้องมาทางผม
ราวกับตาฟาด
ไม่ว่าจะขยี้ตาเพื่อหวังว่าภาพตรงหน้าผมแค่คิดไปเองซักกี่ครั้ง
ร่างนั้นก็ยังคงอยู่เบื้องหน้าผม
ภายในห้องครัวและระเบียงที่มืด
ผมกลับมองเห็นดวงตาสีเขียวนั้นได้อย่างชัดเจนราวกับกำลังเรืองแสง…
ไม่สิมันเรืองแสงจริงๆนี่
ราวกับเวลาเรากดสวิตเครื่องคอมในที่มืด
ดวงตาของร่างเบื้องหน้าอยู่ในลักษณะเดียวกัน
ด้านข้างของร่างที่คล้ายมนุษย์ที่มีดวงตาสีเขียว
อะไรซักอย่างที่มีรูปร่างทรงกลมลอยอยู่ด้านข้าง มีแสงสีเหลืองส่องออกมา
ยังกับโดรนที่เคยเห็นในมังงะบางเรื่อง
“...”
แกร๊ก! แกร๊ก!
ผมหลุดจากผวังเมื่อร่างเบื้องหน้าเคาะกระจก
ร่างนั้นเหมือนจะพยายามพูดอะไรซักอย่าง
แต่เพราะฝนที่ตกหนัก และ ประตูที่ขั้นกลางทำให้ผมจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พูด
ใจเย็นไว้
ผมบอกกับตนเองก่อนจะทำอะไรต่อก็เอื้อมมือกดสวิตต์ไฟ
…
เป็นครั้งที่สองของวัน
รึจะเรียกว่าครั้งที่สองของชีวิตก็ได้
เป็นครั้งที่สองที่อยู่ๆสมองผมหยุดทำงาน
ครั้งแรกก็เมื่อครู่ที่ดันเจอร่างอะไรซักอย่างมาอยู่ที่ระเบียง
ทำให้ผมสมองโล่งคิดอะไรไม่ออกไปครู่นึง
คราวนี้พอเปิดไฟเห็นเจ้าของร่างนั้นสมองของผมก็ราวกับหยุดทำงานไปอีกรอบ
เบื้องหน้า
หญิงสาว
หญิงสาวสูงราว 160
ผมสีเขียวยาวถึงกลางหลัง
ใบหน้าไม่กลม หรือ เรียวไปหรือเรียกสั้นๆว่ากำลังได้รูป
ดวงตาสีเขียว ไร้อารมณ์
ใส่ชุดสีเขียวคล้ายคลึงกับ Battle Suit จากเกมบางเกมที่เปลี่ยนเครื่องเกมเป็นสาวน้อยมาสู้กัน
ผ้าผันคอสีแดง
ถึงผมจะไม่ค่อยได้สุงสิงกับผู้หญิงมากนัก
แต่ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่าหญิงสาวเบื้องหน้า
สวยที่สุดตั้งแต่ผมเคยเห็นมา
ราวกลับหลุดมาจากเกม หรือ อนิเมะยังไงยังงั้น
แกร๊ก! แกร๊ก!
หญิงสาวเคาะกระจกอีกครั้ง
ราวกับกำลังจะบอกให้เปิดประตูให้หน่อย
ผมที่หลุดจากภวังเป็นครั้งที่สอง
เริ่มเดินจะไปเปิดประตูให้ราวกับต้องมนต์สะกด
แต่ก็ยังชะงักลังเลก่อนจะเปิดประตู
ถ้าเปิดประตูจะเกิดอะไรขึ้น
ผมมองในมือทั้งสองข้างของหญิงสาวก็ไม่เห็นมีอาวุธอะไร
แต่ว่า…
ไอ้ลูกกลมๆที่ลอยอยู่นั่นล่ะ
ราวกับลางสังหรที่มีมาตั้งแต่เด็กบอกว่าอย่าเปิด
ไม่งั้นชีวิตในโหมด Easy ของผมต้องหายไปตลอดกาล
ผมเชื่อลางสังหรณ์นั้นจึงเริ่มถอยห่างออกจากประตูแทนที่จะเดินไปเปิดให้
ปึง! ปึง! ปึง!
หญิงสาวทุบกระจกด้วยท่าทีไม่พอใจ
แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเธอยังคงไร้อารมณ์เหมือนเดิม
ถึงจะรู้ว่าเสียมารยาทแต่มันก็ช่วยไม่ได้
ต่อให้เหตุการณ์ตอนนี้จะคล้ายกับเหตุการณ์ Boy meet girl ที่เห็นได้ตามนิยายหลายๆเรื่อง
ผมก็ขอผ่านแล้วกันเพราะผมยังอยากใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยแบบนี้ต่อไปนี่น่า
ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง! ปึง!
“เสียใจด้วยนะ กระจกนั้นผู้ผลิตเขาบอกมาว่าต่อให้กระโดดถีบก็ยังไม่แตก”
ผมบอกหญิงสาวด้วยระดับเสียงธรรมดา
ไม่รู้ว่าเธอได้ยินหรือไม่
แต่ดูเหมือนเธอจะเลิกคิ้วเล็กน้อย
น่าเสียดาย
ไม่รู้ว่าเป็นความรัก หรือแค่ความหื่น
ก็พึ่งเจอกันยังไม่ถึงนาทีนี่น่า
แต่คงต้องตัดใจล่ะ
แกร็บ!!!
เสียงแปลกๆดังขึ้น
หญิงสาวใช้มือทาบลงบนกระจกแล้วขยุ้มมันราวกับกระดาษ
บ้า
นี่มันบ้าชัดๆ
กระจกมันจะถือขยุ้มเป็นก้อนได้ยังไงต่อให้มีแรงมากแค่ไหน
มันก็น่าจะแตกสิไม่ใช่ถูกขยุ้มกลายเป็นก้อนเหมือนที่หญิงสาวกำลังทำ
ตุบ!
“ขออภัยที่เสียมารยาท”
เธอโยนก้อนกระจกที่ถูกขยี้เป็นก้อนกลมๆมาทางผมแล้วเดินเข้ามาในห้องครัว
น่าแปลกที่ตัวเธอกลับไม่เปียกฝนซักนิด
ทั้งๆที่ผมยืนด้านในยังรู้สึกได้ถึงไอของฝน
เธอจ้องมาทางผมที่กำลังตะลึงกับเหตุการณ์
ไม่รู้ว่าผมตาฝาดหรือไม่แต่ดูเหมือนว่านัยน์ตาของเธอหมุนเล็กน้อย
ราวกับกล้องกำลังโฟกัสภาพ
“ท่านผู้กล้า ได้โปรดช่วยโลกของฉันด้วยค่ะ”
“ได้สิ แต่เอามาก่อน 5 ล้านบาทนะ”
ผมดันเผลอตอบโดยไม่ทันคิดออกไปซะแล้ว...
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ