พันแสงราตรี

9.9

เขียนโดย กุลภัสสร์

วันที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 15.17 น.

  4 บท
  6 วิจารณ์
  7,008 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 15.37 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) บทที่ ๑ - "จิ้งจอกไฟ"

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
  •  ***ก่อนอื่น อ่านบทนำหน่อยนะคะทุกท่าน 

 

บทที่ 1

 

 “จิ้งจอกไฟ”



 

 

 

                ‘เจ้าน่ะ ได้ยินรึยัง พวกโทรล์วนักรบที่เข้าไปบุกเมืองเอลฟ์เมื่อคืนหายสาปสูญไปหลายตนเลยนี่!’

  

                ‘หา จริงเหรอ ญาติข้าก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยนะ! ถึงว่า…หายไปไม่ยอมติดต่อกันเลย’

  

               ‘เอลฟ์เนี่ย…จริงๆแล้วเป็นเผ่าที่รักสงบไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้มีข่าวลือว่ามีพวกกระหายเลือดรวมอยู่ด้วยล่ะ?’

  

                ‘เจ้านี่โง่จริงเชียว ไม่เคยได้ยินรึไง หน่วยอัคนีพิฆาตน่ะ’

 

                ‘หน่วยอัคคี…พิฆาต?’

  

                ‘ก็ว่ากันว่าเป็นหน่วยที่คอยดูแลความสงบของเมืองต้นไม้ของพวกเอลฟ์ในยามค่ำคืนยังไงล่ะ ข้าเองก็ไม่เคยเห็นพวกนั้นหรอก แต่…มีเรื่องเล่ามานะว่า คนในหน่วยนี้น่ะ นัยน์ตาจะเป็นสีโกเมนไร้ความเมตตา ผิวจะขาวเหมือนหิมะ เพราะพวกมันไม่ค่อยออกแดดเสียเท่าไหร่ แถม…ยังมีหัวใจเป็นเพลิงไฟ!’

  

                ‘หัวใจเป็นไฟ!’

  

                ‘…เพราะมันขายวิญญาณให้แก่ซาตานยังไงล่ะ ขายวิญญาณให้แก่พวกปีศาจ เพื่อแลกมาซึ่งพลัง แต่ก็ต้องปกป้องพิทักษ์หมู่บ้านเพื่อการตอบแทน…แถมยังอายุไม่ยืนเท่าไหร่อีกด้วย’

  

                ‘ฟังๆดูเหมือนพวกลัทธิประหลาดที่รักพวกพ้องมากเกินไปเท่านั้น… ก็น่าสงสารนิดๆนะ’

  

                ‘เจ้าบ้า! น่าสงสารอะไรกัน พวกนั้นมันฆ่าพวกพ้องของเราอย่างเลือดเย็น ยังจะไปให้ความเมตตามันอีกอย่างนั้นเรอะ!’

  

                ‘ก็จริงของเจ้า…ถึงจะดูดีแค่ไหน นักฆ่า…ยังไงก็นักฆ่า ไม่มีทางเป็นคนน่าสงสารได้หรอก’

 

 

 


 

 

 

                หน่วยอัคคีพิฆาต…นักรบแห่งรัตติกาล…ผู้พิทักษ์ความสงบสุขของหมู่บ้าน…

  

                หึ

 

                แม้จะพูดให้ดูโก้หรูเช่นไร สุดท้าย…ก็เป็นแค่นักฆ่าอยู่ดี

 

                “ไล่ข้าให้ทันสิ เจ้าบื้อเอ๊ย”

  

                “หนอย! เกรแฮม! อย่าให้ข้าจับเจ้าได้นะ จบแน่!”

  

                “ฮ่าๆๆ”

  

                เสียงหัวเราะคิกคักมีความสุขของเหล่าเด็กๆ…เหล่าเอลฟ์ตัวน้อยผู้ที่จะเพิ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกได้ไม่ถึงครึ่งชีวิตของเอลฟ์หนุ่มผู้ซึ่งกำลังแอบฟังความร่าเริงของพวกเขาอยู่นั้นช่างฟังดูไร้เดียงสาและสดใสเหลือเกิน

  

                มันเป็นเสียงหัวเราะในแบบที่เขาไม่ได้ยินจากลำคอของตนเอง มาเนิ่นนาน  

  

                จะว่าไปแล้ว แม้แต่ความทรงจำในช่วงเวลานั้นมันก็ช่างห่างไกลและรางเลือนเสียจริง

  

               …ความสุขและความสิ้นหวัง เหอะ เพียงพูดก็ฟังดูเหมือนคนละโลก แม้จะอยู่ใกล้กันเพียงแค่ผนังกั้นก็ตาม  

  

                “จิ้งจอกไฟ”

 

                น้ำเสียงเรียบเฉยที่ดังมาจากอีกฟากของห้องเรียกให้สติของเอลฟ์หนุ่มที่เหมือนจะลอยไปไกลแล้วต้องพุ่งกลับมาเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว เขากระพริบตาเบาๆ ขนตาที่ติดกันเป็นแพงดงามจนแทบจะไม่น่าเป็นขนตาของบุรุษทำให้นัยน์ตาสีโกเมนดูเด่นขึ้นมาในทันที

  

                ในใจของ ‘จิ้งจอกไฟ’ รู้สึกถึงเศษเสี้ยวความขอบคุณที่มีต่อเจ้าของเสียงเย็นชานั่นขึ้นมา

  

                เกือบไปแล้ว เกือบปล่อยให้ใจควบคุมความคิด…

  

                จิ้งจอกไฟลอบถอนหายใจแผ่วเบาในแบบที่หากคนทั่วไปก็คงแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็น ก่อนที่จะหันไปมองเจ้าของเสียงคนนั้นให้เต็มตา

  

                คนที่เรียกชื่อเขาเมื่อครู่คือเอลฟ์บุรุษผมสีเงิน

  

               สีเดียวกับเขา

  

               พวกเขาคงจะคล้ายกันไปเสียทุกอย่างตามมาตรฐานของหน่วยที่เขาประจำอยู่ แต่…แทนที่จะใส่ชุดคลุมสีดำสนิท ฝ่ายนั้นกลับใส่สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าคนมาใหม่เพิ่งเข้ากองมาได้ไม่นานนัก

  

                และหลักฐานความเป็น ‘มือใหม่’ อีกอย่างก็เห็นจะเป็น ‘นัยน์ตา’

 

                แทนที่จะไร้วิญญาณโดยสิ้นเชิงเช่นเขา นัยน์ตาสีแดงดั่งเลือดของเจ้าเด็กใหม่ยังคงเต้นระริกอย่างสนอกสนใจในสิ่งรอบข้างอยู่แม้ว่าใบหน้าของมันจะนิ่งแค่ไหนก็เถอะ

  

                อ่อนหัด

 

                ตอนนั้นเองที่จิ้งจอกไฟนึกได้

 

 

                จริงสิ เพราะเจ้านั่นเป็นเด็กใหม่ เขาก็เลยต้องเป็นพี่เลี้ยงให้… 

  

                “มีอะไร” น้ำเสียงที่หลุดออกไปจากริมฝีปากรูปกระจับนั้นเย็นเฉียบราวหิมะ หาได้มีความอบอุ่นแฝงปนอยู่แม้สักนิดไม่ เอลฟ์หนุ่มหวังจะให้เจ้าเด็กตรงหน้ารู้สึกตัวขึ้นมาบ้างว่ากำลังทำตัวอวดเก่งอยู่ตรงหน้าใคร

  

               จิ้งจอกไฟเริ่มหน้าที่พี่เลี้ยงของตนเองโดยการสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายเงียบๆ นัยน์ตาสีโกเมนหรี่ลงเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขยับตัวนิดหนึ่งอย่างอึดอัดกับบรรยากาศกดดันที่เขาแผ่ออกไป ก่อนที่เจ้าตัวจะกระพริบตาสองครั้ง แล้วกลับมายืนตัวตรงนิ่งดังเดิมราวกับนึกได้ว่าตัวเองปล่อยให้ความกลัวที่มีต่อ ‘คนตรงหน้า’ เข้าครอบคลุมความรู้สึก แล้วพูดขึ้นว่า

  

                “วันนี้ข้าต้องเริ่มงานพร้อมท่าน” พูดจบเจ้าเด็กใหม่ก็มองจ้องมาที่จิ้งจอกไฟเขม็งเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่

  

                “…”

  

                เมื่อรอมาหลายสิบวินาทีแต่เอลฟ์รุ่นพี่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะพูดอะไรขึ้นมา ใบหน้าที่พยายามทำให้ดูนิ่งเรียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหงุดหงิด น้ำเสียงที่ปรากฏอยู่ในคำถามที่ตามมาจึงแข็งขึ้นตามอารมณ์

  

                “ข้าอยากรู้ว่าต้องไปที่ไหน”

 

                “ประตูเมืองฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ” จิ้งจอกไฟเลือกที่จะตอบอย่างสั้นๆแต่ได้ใจความ สีหน้าเคร่งขึงของเขาค่อยคลายลงราวกับพึงพอใจที่อีกตนถามสิ่งที่อยากรู้ออกมาตริงๆ แล้วตั้งคำถามให้เอลฟ์อีกตนตอบว่า “แล้วฉายาของเจ้าล่ะ?”

  

                “หมาป่าทมิฬ”

  

               ‘แม้น้ำเสียงที่ตอบกลับมาดูจะสบายๆแค่ไหน แต่ก็ดูจะเต็มไปด้วยความทะนงและภาคภูมิใจในชื่อพิเศษที่เพิ่งได้มาไม่นานของตัวเองเป็นอย่างมากเลยทีเดียว’ จิ้งจอกไฟคิดในใจพลางหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งอย่างพินิจพิจารณา ‘เจ้านี่คงจะไม่รู้ล่ะสิ ว่าชื่อนี้ก็เคยมีเอลฟ์ตนหนึ่งได้ไปแล้ว…’

 

               แวบแรกที่ข้อสรุปนี้ผุดขึ้นมาในหัว ความคิดชั่วร้ายบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน

  

               ‘หรือจะเล่าให้ฟังดีว่าเจ้าคนก่อนมันมีจุดจบยังไง’

  

               ..

 

               อย่าเลยดีกว่า เขาไม่จำเป็นต้องบอกอีกฝ่ายให้รับรู้หรอก… จะรู้ไปทำไมว่าเจ้าหมาป่าทมิฬคนก่อนมันตายไปในวันที่สามของการปฏิบัติงานจริงน่ะ

  

               หลังจากนั้น เมื่อไม่มีท่าทีว่าใครจะพูดอะไรขึ้นมาเพราะหมาป่าทมิฬมัวแต่จ้องจิ้งจอกไฟอย่างรอคอย ในขณะที่จิ้งจอกไฟก็ยุ่งอยู่กับการทำเป็นมองไม่เห็น ความเงียบค่อยๆโรยตัวเข้าปกคลุมห้องสี่เหลี่ยมแคบๆที่มีเตียงตั้งอยู่สองเตียงนี้อย่างช้าๆ… เอลฟ์รุ่นพี่จึงตัดสินใจว่าจะทำเป็นลืมตัวตนของเจ้าหมาป่าทมิฬที่ยืนหัวโด่อยู่ไปเสียแล้วนอนงีบจริงๆจังๆ 

  

               เอลฟ์หนุ่มหลับตาลงช้าๆ

 

               ทว่า…

  

               “จิ้งจอกไฟ”

  

               เรียกทำไม

 

               เอลฟ์หนุ่มที่กำลังจะพักผ่อนมีอันต้องลืมตาโพลง

 

               “มีอะไร” จิ้งจอกไฟนึกพอใจกับน้ำเสียงเหี้ยมกระหายเลือดของตนเอง แต่เมื่อสบกับสายตาไม่เกรงกลัวของเจ้าหมาป่าทมิฬแล้ว ความพอใจก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปเป็นความหงุดหงิดรำคาญที่เขาพยายามไม่ให้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า  

 

               …เจ้าหมาป่านี่ท่าทางจะไม่ได้รอดถึงพรุ่งนี้แน่ จิ้งจอกไฟรู้ดี เจ้าหมอนี่กวนประสาทเกินไป ไม่ตายเพราะปีศาจ ก็เพราะเขานี่แหละ

 

               ในเมื่อดั้นด้นจนได้เข้ามาอยู่แล้ว ก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง…คติประจำใจของหัวหน้าของเขาเลยล่ะ

 

               ถึงจะแปลกใจกับน้ำเสียงเหมือนอยากเด็ดหัวของเขาออกจากบ่าของ ‘อาจารย์’ แค่ไหน แต่หมาป่าทมิฬก็ยังคงพยายามทำหน้านิ่งเรียบท้าทาย แล้วถามต่อไปด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า  

 

               “ข้า…แค่สงสัย”  

               

               จิ้งจอกไฟเงียบ  

 

                หมาป่าทมิฬเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำสีหน้ารำคาญใจอะไรออกมา จึงรีบขยายความต่อ “ได้ยินมาว่าตำแหน่งของเหล่าอัคคีพิฆาตจะได้รับสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ท่านเป็นผู้สืบทอดของ ‘จิ้งจอกไฟ’ ใช่ไหม? แล้วเป็นรุ่นที่เท่าไหร่?’

 

                เอลฟ์หนุ่มที่ถูกถามไม่ได้ตอบ เพราะมัวแต่รู้สึกมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองกว่าเดิม ‘ไม่น่าจะรอดไปได้เกินสามวัน พูดมากจนน่าจับหักคอ ถ้าหากไม่มีกฏว่าห้ามฆ่าพวกพ้องเดียวกันล่ะก็…’

  

                “นี่…ข้าถามท่าน” น้ำเสียงที่ไม่แสดงความรู้สึกอะไรเลยเมื่อตอนแรกพบถูกแทนที่ด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ดูเหมือนหมาป่าทมิฬจะสูญเสียความอดทนที่จะรักษาท่าทางเยือกเย็นเอาไว้ไปแล้วจริงๆ

  

                จิ้งจอกไฟสังเกตเห็นความพลาดพลั้งของเอลฟ์อีกตนไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ชี้แจงอะไร เขาพยักหน้าเบาๆแล้วพูดสั้นๆว่า

  

                “ประมาณนั้น”

 

                “ตอบแค่นี้เองเรอะ”

  

                แล้วจะให้ตอบยาวแค่ไหน?

  

                “แล้วท่านเป็นรุ่นที่เท่าไหร่กันแน่?”

 

                จิ้งจอกไฟไม่ตอบ นัยน์ตาสีโกเมนวาวโรจน์เพราะความรำคาญใจไม่น้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบัดนี้ขีดความอดทนของเจ้าตัวใกล้จะถึงจุดสูงสุดเต็มที

 

               ไม่รู้ว่าหมาป่าทมิฬคิดไปเองรึเปล่า แต่รู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘ผึง’ คล้ายๆกับอะไรบางอย่างที่ขาดสะบั้นลง และน่าแปลกที่ตอนนั้นเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่ความกดดันอะไรบางอย่างแผ่ออกมาจากร่างของเอลฟ์ที่เขาบังเอิญเป็นคนไปขัดจังหวะนอนเข้า

 

               บรรยากาศอึดอัดและอุณหภูมิที่ดิ่งลงต่ำภายในระยะเวลาไม่ถึงสามวินาทีทำให้สมาชิกใหม่ของหน่วยอัคคีพิฆาตต้องกลั้นหายใจ สัญชาตญาณร้องเตือนในใจ ‘ระวัง! ระวัง!’

  

               “ถ้าหากยังถามอีก…ล่ะก็…”

  

               พูดไม่ทันขาดคำ น้ำเสียงเย็นเฉียบระคนจิตสังหารก็ดังขึ้น แม้ว่าความจริงจิ้งจอกไฟจะไม่ได้ตั้งใจพูดให้เสียงดังเลย แต่ในความคิดของหมาป่าทมิฬนั้น…มันกลับชัดเจนในหูเสียยิ่งกว่าเสียงตะโกนเชิญชวนให้ซื้อโน่นซื้อนี่ของพวกแม่ค้าพ่อค้าเสียอีก

 

               แถม…

 

               ทำไมเหมือนเสียงของจิ้งจอกไฟคนนั้นถึงได้เปลี่ยนไปล่ะ?

 

               น้ำเสียงที่ทำให้หมาป่าทมิฬที่ถูกฝึกมาอย่างดีในเรื่องการลอบฆ่าต้องใจกระตุกด้วยความหวาดกลัว น้ำเสียงที่เย็นเยียบ ไร้ความเมตตา เต็มไปด้วย จิตที่ปราถนาจะฆ่า

 

               คล้ายกับ…

 

               ปีศาจ 

 

               ในใจของหมาป่าทมิฬนั้นไปด้วยความรู้สึกฉงนสงสัย แต่ถึงจะอยากรู้แค่ไหน เขาก็ไม่โง่พอที่จะถามอะไรเอลฟ์รุ่นพี่หรอก…

  

               ‘ดูเหมือนว่าเรื่องที่เราได้ยินมาเกี่ยวกับ จิ้งจอกไฟ ในตำนานนั่น จะไม่ได้เป็นแค่ตำนานเสียแล้วล่ะมั้ง’  

 

               เอลฟ์ ที่ขายวิญญาณให้กับปีศาจงั้นหรือ?

 

               น่าสนใจ น่าสนใจ

 

 


 

-จบ บทที่ ๑-

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.8 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา