ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)

9.0

เขียนโดย สุภาวดี

วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.

  15 ตอน
  3 วิจารณ์
  26.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

12) ตอนที่ 6 มารร้ายในคราบนางฟ้า 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 ต่อจาก 50%
         
           เวลาล่วงเลยไปจนถึงห้าโมงเย็น พนักงานประจำออฟฟิศหลายคนกำลังเตรียมตัวกลับบ้าน ยังเหลือก็แค่บางคนที่อยู่ต่อเพื่อทำงานของตัวเองให้เสร็จ เช่นเดียวกับสองสาวมัณฑนากรที่กำลังก้มหน้าขีดเขียนไอเดียของตัวเองลงไปบนกระดาษสีขาวบนโต๊ะอย่างขะมักเขม้น แต่ไม่ใช่เพราะอยากให้งานเสร็จ แต่เพราะเธอสองคนมีนัดกับชายหนุ่มเจ้าของบริษัทที่บอกว่าจะเข้ามารับพวกเธอที่นี่เพื่อออกไปกินอาหารเย็นพร้อมกัน ดังนั้น สองสาวจึงนั่งทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ให้เวลาที่เหลือหมดไปอย่างเปล่าประโยชน์
            “ก้อย นนท์บอกจะมากี่โมงนะ” อรณิชาหันไปถามเพื่อนสาวที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เพื่อความแน่ใจ
            “ประมาณห้าโมงกว่าๆ น่ะ เดี๋ยวก็คงถึงแล้วหละ” กรรณิการ์ชะเง้อผ่านฉากกั้นเพื่อมองอีกฝ่าย
            “อืม... อรจะได้เตรียมตัวเคลียร์จุดสำคัญให้เสร็จ นนท์มาถึงจะได้ไปกันเลย อรเริ่มหิวแล้วด้วย” คนพูดยังคงก้มมองมือตัวเองที่กำลังขีดเขียนความคิดลงไปบนกระดาษ ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยด้วยเสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ไม่ไกลนัก
            อรณิชาขมวดคิ้วมุ่นมองเบอร์แปลกที่โชว์อยู่บนหน้าจออย่างใช้ความคิดจนสายตัดไปเอง          
            “ทำไมเหรออร” เพื่อนสาวโต๊ะข้างๆ ชะเง้อถามด้วยความแปลกใจ เมื่อเจ้าของโทรศัพท์เอาแต่จ้องหน้าจอจนเสียงเงียบไป
            “เบอร์ใครก็ไม่รู้ง่ะ อรไม่กล้ารับ กลัวเป็นพวกโรคจิต” สิ้นคำพูดของหญิงสาว โทรศัพท์ในมือก็กรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง
            “ไม่ใช่หรอกมั้ง... รับเถอะ... เผื่อเป็นคนรู้จัก” กรรณิการ์บอกย้ำเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมามองหน้าเธออย่างขอความเห็น
            ‘สวัสดีค่ะ’ อรณิชาตัดสินใจกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไปเบาๆ
            ‘นี่คุณ! มัวทำอะไรอยู่ถึงไม่รับโทรศัพท์’ ปลายสายตวาดลั่นทันทีอย่างนึกหงุดหงิดที่เธอไม่รับสายเขาในตอนแรกทำให้ต้องกดโทรซ้ำอีกครั้ง
            ‘เอ๊ะ! ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเป็นคุณ ฉันก็นึกว่าพวกโรคจิตน่ะสิ’ แค่ได้ยินเสียงเธอก็รู้แล้วว่าเป็นใคร ‘ตาหมอบ้านี่เอาเบอร์เธอมาจากไหนนะ’ หญิงสาวถามตัวเองในใจอย่างนึกฉุน
            ‘โรคจิตที่ไหนจะใช้มือถือโทร มันใช้โทรศัพท์สาธารณะไม่ดีกว่าหรือไง’ หมอหนุ่มตวัดเสียงขุ่นเมื่อที่ได้ยินคำแก้ตัวของหญิงสาว
            ‘กะ ก็ฉันไม่ทันคิดนี่ แล้วคุณเอาเบอร์ฉันมาจากไหนห๊ะ’ อรณิชาตะกุกตะกักเล็กน้อยเพราะเธอก็ไม่ทันคิดจริงๆ นั่นแหละ ก่อนจะย้อนถามในสิ่งที่ค้างคาใจทันที
            ‘จากไหนก็เรื่องของผม ว่าแต่ตอนนี้คุณออกมาจากบริษัทหรือยัง ผมกำลังจะไปรับคุณที่บ้าน’ วิทยาไม่สนใจคำถามของเธอแต่เปลี่ยนเป็นย้ำเตือนในสิ่งที่เธอควรจะทำ
            ‘คุณจะไปไหนก็ไปสิ... จะมารับฉันทำไม... ฉันไม่ว่าง’ อรณิชาตอบกลับอย่างดื้อรั้นรู้สึกมึนงงกับคำพูดของชายหนุ่ม ก่อนจะนึกขึ้นได้เมื่อเขาพูดในสิ่งที่เธอลืมไปเสียสนิทออกมา
            ‘นี่พี่ชื่นไม่ได้บอกคุณหรือไง ว่าเย็นนี้คุณต้องไปบ้านคุณแม่ผมด้วยกันน่ะ’
            ‘อะ เอ่อ บอกแล้ว แต่ฉันลืม’ คนขี้ลืมมีน้ำเสียงอ่อนลงทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด
            ‘ผมถึงได้โทรมาเตือนนี่ไง รู้แล้วก็เร็วๆ เข้า ผมไม่อยากเสียเวลา’ หมอหนุ่มกำชับพร้อมกับเร่งรัดอีกฝ่ายทันที
            ‘แต่...’ อรณิชาพยายามจะบ่ายเบี่ยง แต่เขาก็ขัดขึ้นมาอย่างรู้ทัน
            ‘คุณน่าจะรู้นะ ว่ามารยาทสะกดยังไง โตแล้วไม่ใช่เหรอ...’
            เมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไปไม่ส่งเสียงใดๆ อีก เขาจึงเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมกับคำขู่ในตอนท้าย
            ‘อีกสามสิบนาทีผมต้องเจอคุณที่บ้าน ไม่อย่างนั้นผมจะขอให้คุณลุงยึดรถของคุณซะ ต่อไปนี้ผมจะรับส่งคุณเอง’ จบคำสั่งเขาก็วางสายไปทันทีโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคัดค้านหรือโต้แย้งอะไรกลับมาอีก เพราะเขาก็คิดจะทำอย่างที่ขู่เอาไว้จริงๆ หากเธอยังดื้อรั้นกับเขาแบบนี้
            “อร... คุณหมอโทรมาเหรอ” กรรณิการ์ถามเพื่อความแน่ใจ แม้จะได้ยินการสนทนาของคนทั้งคู่บ้างแล้ว
            “อืม... อรลืมสนิทเลยว่าเย็นนี้ต้องไปบ้านคุณแม่ของเขาน่ะ” อรณิชาวางโทรศัพท์ในมือลงกับโต๊ะด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ เธอไม่อยากผิดนัดกับเพื่อนรักในครั้งนี้เพราะรู้ดีว่านนท์ประวิธต้องน้อยใจเธอแน่ๆ แต่เธอก็ไม่อาจเสียมารยาทกับผู้ใหญ่ได้ เมื่อเช้าพี่ชื่นก็พยายามย้ำกับเธอแล้วว่ายังไงเธอก็ต้องไปกับเขาด้วยหน้าที่ที่เธอเป็นสะใภ้
            “อรไปกับคุณหมอเถอะ เดี๋ยวก้อยคุยกับนนท์ให้เอง” กรรณิการ์อาสาด้วยความเต็มใจ แม้จะแอบหวั่นอยู่บ้างว่านนท์ประวิธคงไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แน่ โดยเฉพาะเรื่องนี้ และคนที่ต้องเหนื่อยที่สุดก็คงจะเป็นเธออีกตามเคย
            “นนท์ต้องโกรธอรแน่ๆ เลยก้อย” อรณิชาบอกเสียงเศร้าอย่างนึกกังวล
            “น่า... ไม่ต้องห่วง ก้อยจะพยายามอธิบายให้นนท์เข้าใจเอง อรรีบไปเถอะ เดี๋ยวคุณหมอจะรอ” กรรณิการ์ย้ำอีกครั้งก่อนจะเข้าไปช่วยคนเป็นเพื่อนเก็บข้าวของบนโต๊ะใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย แล้วเดินออกไปส่งที่ลิฟต์ ก่อนตัวเองจะกลับเข้ามาที่โต๊ะทำงานเพื่อโทรหาชายหนุ่มที่นัดเอาไว้เผื่อว่าเขาจะได้ไม่ต้องเข้ามาให้เสียเวลาเพราะหญิงสาวที่เขาอยากเจอนั้นกลับบ้านไปแล้ว แต่โทรกี่ครั้งก็ได้ยินเพียงสัญญาณฝากข้อความ เธอจึงจำเป็นต้องนั่งรอเขาที่นี่จนกว่าเขาจะมา
 
            วิทยากำลังพับเก็บงานบนโต๊ะให้เป็นระเบียบและพร้อมสำหรับการเริ่มงานในครั้งต่อไป ซึ่งอาจจะไม่ใช่พรุ่งนี้ เพราะเขาเคลียร์ตัวเองไว้สำหรับการเข้าไปศึกษางานและปรึกษาพูดคุยกับคนเป็นพ่อตาที่จะให้เขารับตำแหน่งรองผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลของท่านในสัปดาห์หน้า
            ชายหนุ่มเลือกเฉพาะเอกสารสำคัญสองสามฉบับและหนังสืออีกสองเล่มที่เขาอ่านเป็นประจำมาถือไว้ในมือ พร้อมด้วยกุญแจรถที่เพื่อนรักเพิ่งเอามาคืนให้เมื่อชั่วโมงก่อน จากนั้นเจ้าของร่างสูงก็ออกจากห้องไปที่ลานจอดรถทันที เพียงแค่คิดว่าหญิงสาวที่เป็นภรรยาในนามกำลังรอเขาอยู่ที่บ้าน หัวใจดวงแกร่งก็เต้นโครมครามขึ้นมาอย่างประหลาด เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้น และทำไมเขาต้องรู้สึกว่าอยากเจอเธอด้วย
            “คุณหมอวิทยาคะ คุณหมอ” มือหนาที่กำลังเปิดประตูรถต้องชะงักงันเมื่อได้ยินเสียงเรียกดังมาจากข้างหลัง และทันทีที่เจ้าของร่างสูงหันกลับไปมองก็พบพยาบาลสาวสวยที่เป็นผู้ช่วยของเขากำลังกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาทางนี้ พร้อมกับโบกมือให้เขาหยุดรอเธอก่อน
            “อ้าว คุณขิม ผมคิดว่าคุณกลับไปแล้วซะอีก... มีอะไรหรือเปล่าครับ” วิทยาถามอย่างนึกแปลกใจ พลางมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าที่อยู่ในชุดพยาบาลสีขาวแต่ถอดหมวกบนศีรษะออกแล้วเพื่อความสะดวกในการเดินทาง เรียวแขนบอบบางข้างหนึ่งสะพายกระเป๋าสวยเก๋แต่ดูเรียบร้อยสไตล์ผู้หญิง ส่วนอีกมือเป็นถ้วยโยเกิร์ตที่ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะเปิดทานพอดี
            “คือ... ขิมจะขอติดรถคุณหมอไปลงที่ซุปเปอร์มาเก็ตก่อนถึงยูเทิร์นได้ไหมคะ” ขณิษฐาเอ่ยปากขอพลางส่งยิ้มละลายใจให้หมอหนุ่มซึ่งเธอตั้งใจมาดักรอเขาอยู่บริเวณนี้ได้สักพักแล้ว
            “อ่อ ได้ครับ งั้นเชิญขึ้นรถเลย” วิทยาส่งยิ้มบางๆ ให้หญิงสาว ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถแล้วก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเอง
            “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณแล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งข้างๆ กับเขาด้วยหัวใจที่พองโตจนคับอก
            “ขอโทษนะคะ คือขิมยังทานโยเกิร์ตไม่หมดน่ะค่ะก็เลยถือติดมือมาด้วย” ขนิษฐาบอกชายหนุ่มเจ้าของรถด้วยน้ำเสียงเกรงใจ แต่ลึกๆ เธอก็รู้ว่าเขาคงไม่ว่าอะไรหรอก เพราะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
            “ครับ ไม่เป็นไรครับคุณขิม ตามสบายเลย” เจ้าของรถยิ้มให้อย่างใจดี
            “คุณหมอกลับบ้านตรงเวลาแบบนี้ทุกวันเลยหรือคะ” สาวสวยผู้อาศัยชวนคุยเพราะไม่อยากให้บรรยากาศภายในรถดูอึดอัด และเธอเองก็อยากสร้างความสนิทสนมกับเขาด้วย
           “ไม่หรอกครับ บางวันก็มีเคลียร์งานบ้างอาจจะกลับค่ำๆ หน่อย พอดีวันนี้ผมมีนัดทานข้าวที่บ้านคุณแม่น่ะครับก็เลยกลับตรงเวลา” ชายหนุ่มตอบเรียบๆ หันมามองหญิงสาวบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อรักษามารยาทในการพูดคุยกันในรถ
            “เอ่อ... แล้ว... คุณหมอไปกับใครคะ” แม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ควรถามแต่เธอก็อยากรู้ อย่างน้อยก็เพื่อความมั่นใจในแผนการของเธอ
            “ภรรยาครับ... ผมกำลังจะไปรับเธอแล้วไปบ้านคุณแม่พร้อมกัน” หมอหนุ่มตอบเสียงหนักแน่นเน้นย้ำชัดเจนที่คำว่า ‘ภรรยา’ ด้วยความภาคภูมิใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาแต่งงานมา เพราะอยากให้หญิงสาวข้างกายที่กำลังคิดไม่ซื่อกับเขาเปลี่ยนใจไปจากเขาซะ หน้าตาเธอก็ไม่ใช่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ออกจะสวยมากด้วยซ้ำ ผู้ชายโสดๆ ดีๆ น่าจะมีให้เธอเลือกมากมายที่ไม่ใช่เขา
            “ค่ะ” ขนิษฐารับคำเสียงแผ่วเบา เพราะคำตอบของเขาช่างสร้างความเจ็บปวดและตอกย้ำให้เธอตัดใจจากเขาเสียเหลือเกิน แต่ด้วยความรักที่เธอแอบมีใจให้เขามาก่อนที่เขาจะแต่งงาน เธอเชื่อว่าเธอรักเขามากกว่าผู้หญิงคนนั้นที่เพิ่งรู้จักและแต่งงานกันแค่ไม่กี่วัน ต่อให้เธอต้องกลายเป็นคนเลวที่แย่งชิงสามีของคนอื่นเธอก็จะทำ เพราะคำเดียวที่ดังก้องอยู่ในหัวใจก็คือ เธอรักเขา
            หญิงสาวเหลือบมองแหวนแต่งงานบนมือแกร่งข้างซ้ายของหมอหนุ่มอย่างนึกชิงชัง ก่อนที่ใบหน้าสวยจะผุดรอยยิ้มร้ายกาจขึ้นมาเมื่อนึกถึงแผนการที่เธอจะสร้างความร้าวฉานเล็กๆ ให้กับครอบครัวเขา เธอรอจังหวะที่เขาแตะเบรกซึ่งอาจจะไม่ได้กะทันหันมากนักเพื่อผลักกระเป๋าสะพายที่เธอเปิดซิบทิ้งไว้ให้ล่วงหล่นลงไปบนพื้นที่พักเท้า
            “อุ๊ย!” เสียงหวานอุทานเบาๆ แสร้งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะก้มลงไปเก็บข้าวของในกระเป๋าที่เทกระจัดกระจายอยู่ตรงเท้าของเธอ  
            “ขอโทษครับ ผมเบรกแรงไปหรือครับ” วิทยาเหลียวมองอย่างแปลกใจ เขาแค่แตะเบรกหยุดรถตามคันหน้าที่เริ่มชะลอตัวแล้วเท่านั้น ไม่ได้รุนแรงหรือกะทันหันจนทำให้ข้าวของล่วงหล่นได้ หมอหนุ่มคิดสับสนในใจเพียงครู่ก่อนจะรีบเบนสายตาหันกลับไปมองที่ถนนตามเดิม เมื่อท่าทีของหญิงสาวที่ก้มตัวจนต่ำกว่าระดับสายตานั้นทำให้คอเสื้อที่ซ้อนทับกันเปิดอ้าออกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เขาไม่มีวันได้รู้เลยว่านั่นแหละเป็นสิ่งที่เธอต้องการ
            “อ่อ ไม่ใช่หรอกค่ะ ขิมวางกระเป๋าไม่ดีเองเลยหล่นลงไป” ขนิษฐาละล่ำละลักบอก พลางก้มๆ เงยๆ เก็บของใช้ส่วนตัวลงกระเป๋าตามเดิม ถือเป็นโอกาสดีของเธอเพราะความเป็นสุภาพบุรุษของชายหนุ่มทำให้เขาไม่หันมามองเธออีกเลยขณะที่เธอกำลังก้มเก็บของและทิ้งสิ่งของบางอย่างเอาไว้พร้อมกับคราบความเหนียวเหนอะหนะ
            “ตายแล้วคุณหมอ! ขิมขอโทษค่ะ เมื่อกี้ไม่ทันระวังเลยทำให้โยเกิร์ตหกเลอะเทอะไปอีก” หญิงสาวร้องบอกด้วยความตกใจ ใบหน้าสวยมีแววจืดเจือนเล็กน้อยด้วยความสำนึกผิด มือบางที่ถือกระดาษทิชชู่พยายามเช็ดถูสะเปะสะปะไปทั่ว แต่ดูเหมือนการเช็ดถูทำความสะอาดของเธอจะกลายเป็นยิ่งทำให้เลอะเทอะมากขึ้นไปอีก
            “ชั่งมันเถอะครับไม่เป็นไร เดี๋ยวผมว่าจะล้างรถอยู่วันสองวันนี่แหละครับ... พอดีเลยคราวนี้จะได้ตัดสินใจล้างจริงๆ สักที ไม่งั้นก็ผลัดวันประกันพรุ่งอยู่นั่นเอง” วิทยาพูดกลั้วหัวเราะอย่างคนที่ไม่คิดอะไรมาก เพราะเขาก็ว่าจะเอารถไปล้างอย่างที่ปากว่าจริงๆ นั่นแหละ
            “ขอบคุณนะคะคุณหมอที่ให้ขิมติดรถมาด้วย แล้วก็ขอโทษอีกครั้งนะคะที่ทำให้รถคุณหมอเลอะเทอะ” เมื่อถึงที่หมายของเธอแล้ว ขนิษฐาจึงหันมายกมือไหว้คุณหมอใจดีด้วยท่าทางเกรงใจและรู้สึกผิด
            “ครับ ไม่เป็นไร” วิทยายกมือรับไหว้หญิงสาวพร้อมกับส่งยิ้มบางๆ ให้เธอสบายใจ
            ขนิษฐาก้าวลงมาจากรถด้วยรอยยิ้มหยันอย่างนึกสะใจ ที่แผนการของเธอผ่านพ้นไปได้ด้วยดี วันนี้เธอตั้งใจดักรอเขาเพื่อทำการอะไรบางอย่างที่เธอเพิ่งคิดวางแผนนี้ขึ้นมาได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนเลิกงาน สถานการณ์ง่ายๆ ที่อาจจะสร้างความร้าวฉานเล็กๆ แต่อาจดูไม่เล็กสำหรับคู่แต่งงานที่เพิ่งผ่านค่ำคืนอันหวานชื่นด้วยกันมาเพียงแค่สองวันอย่างคู่ของหมอหนุ่มกับภรรยาสาวที่ถูกคลุมถุงชน การแต่งงานท่ามกลางความรู้สึกที่เปราะบางแบบนี้ เธอแค่เติมเชื้อไฟนิดๆ หน่อยๆ ให้คนทั้งคู่ได้มีปากเสียงถกเถียงกันพอสมควรเพื่อก่อเกิดรอยร้าวที่รอวันแตกกระจาย
            ที่เธอกล้าทำเช่นนี้ก็เพราะบางสิ่งบางอย่างที่เธอตั้งใจทิ้งเอาไว้ในรถของเขาจะไม่พาดพิงมาถึงเธออย่างแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้นเธอจำได้ว่าก้องเกียรติมายืมรถของหมอวิทยาไปใช้ และยังพูดจาสองแง่สองง่ามว่าจะทำอะไรที่ชวนให้คิดลึกบนรถของหมอหนุ่มอีกด้วย ดังนั้น การที่มีของแบบนั้นตกอยู่ภายในรถก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และชายหนุ่มเจ้าของรถก็คงไม่คิดว่าเป็นของเธออย่างแน่นอนเธอมั่นใจ หรือถ้าเขาจะคิดก็คงไม่กล้ามาถามกับเธอตรงๆ เป็นแน่ เพราะเขามีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่นำเรื่องแบบนี้มาถามกับผู้หญิง
 
            นนท์ประวิธกลับเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อพาสองสาวเพื่อนรักไปกินข้าวเย็นตามที่ได้นัดกันไว้ หัวใจหนุ่มพองโตเมื่อรู้ว่าหญิงสาวอันเป็นที่รักยังคงห่วงใยความรู้สึกของเขาอยู่ แสดงว่าคำมั่นสัญญาและการรอคอยของเขาจะไม่มีวันสิ้นหวังอย่างแน่นอน
            “พร้อมหรือยังจ้ะสาวๆ” นนท์ประวิธเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงานของสองสาวอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อไม่เห็นหญิงสาวคนรักที่เขาตั้งใจมาหาเขาจึงเอ่ยถาม
            “อ้าว อรไปไหนล่ะ หรือว่าไปห้องน้ำ”
            “เอ่อ... อรมีธุระด่วนน่ะนนท์ เลยขอตัวกลับไปก่อน” กรรณิการ์ตอบอย่างไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้ดีว่าคำตอบของเธอต้องทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเกิดความไม่พอใจเป็นแน่ และก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้จริงๆ
            “ห๊า!... นี่มันอะไรกัน ทำไมอรต้องหลอกให้นนท์ดีใจด้วย” นนท์ประวิธโวยวายออกมาทันทีอย่างฉุนเฉียว ผสมกับความน้อยใจที่เจือปนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจดวงแกร่ง
            “ไม่ใช่อย่างนั้นนะนนท์ อรมีธุระด่วนและสำคัญมากจริงๆ อรไม่ได้ตั้งใจผิดนัดนนท์หรอกนะ” คนรับหน้าที่ไกล่เกลี่ยรีบอธิบายให้คนผิดหวังได้เข้าใจ
            “ธุระอะไร ก้อยบอกนนท์ได้ไหม ธุระอะไรที่มันสำคัญกับอรมากกว่าการไปกินข้าวกับนนท์” น้ำเสียงที่แสดงถึงความเจ็บปวดทำให้คนฟังยิ่งสะเทือนใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเธอสงสารเขา แต่อีกส่วนก็สงสารตัวเอง ยิ่งเห็นเขาเจ็บเธอก็เจ็บไปกับเขาด้วย
            เมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้ายังคงนิ่งงันเขาจึงคิดจะโทรไปถามกับคนผิดนัดด้วยตัวเอง มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วกดต่อสายถึงคนที่จะตอบคำถามของเขาได้
            “เอ่อ... เอาไว้พรุ่งนี้นนท์ค่อยคุยกับอรดีกว่านะ” กรรณิการ์รีบเข้าไปคว้ามือแกร่งของเขาเอาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะกดโทรออก เพราะการพูดคุยกันตอนนี้ก็มีแต่จะทำให้ผิดใจกันมากขึ้น ทางที่ดีรอให้ใจเย็นก่อนและคุยกันต่อหน้าจะดีกว่า
            “ธุระอะไร... ก้อย” นนท์ประวิธย้ำเสียงแข็งอีกครั้งเมื่อเขาอยากได้คำตอบจริงๆ ในเมื่อเธอไม่อยากให้เขาโทรไปถามกับอรณิชา เธอก็ต้องมีคำตอบให้กับเขา
            “อร... ปะ ไปกินข้าวที่บ้านคุณแม่ของคุณหมอน่ะ” กรรณิการ์ตะกุกตะกักบอกเขาเสียงแผ่วเบาด้วยความหวาดหวั่น
            “ก้อยกำลังจะบอกว่า อรให้ความสำคัญกับไอ้หมอนั่นมากกว่านนท์อย่างนั้นใช่ไหม” น้ำเสียงดุกร้าวของชายหนุ่มพร้อมกับมือแกร่งที่ตบลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังสนั่น ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สะดุ้งจนตัวโยนด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเอ่ยคำอธิบายให้ชายหนุ่มตรงหน้าได้เข้าใจ
            “ไม่ใช่อย่างนั้นนะนนท์... ไม่ใช่เพราะนนท์ไม่สำคัญ แต่เพราะเรื่องนั้นมันก็จำเป็นกับหน้าที่ลูกสะใภ้ หากอรไม่ไปก็จะเสียมารยาทและอาจจะทะเลาะกับคุณพ่อด้วย”
            คำพูดของเพื่อนสาวเหมือนเป็นการตอกย้ำสถานะของผู้หญิงที่เขารักว่าเธอไม่ใช่คนโสดอีกแล้ว ทำให้นนท์ประวิธรู้สึกเจ็บจุกนิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างตัวอย่างคนสิ้นหวังและหมดกำลังใจ
            “ตอนนี้นนท์ต้องอดทนใช่ไหมก้อย” น้ำเสียงเนือยๆ ที่เปล่งออกมานั้นเหมือนเป็นการบอกตัวเองให้ทำใจ
            “ก็... ใช่” กรรณิการ์ตอบเสียงเศร้าด้วยไม่รู้จะปลอบใจเขาอย่างไร
            “แล้วนนท์ต้องอดทนสักแค่ไหนกันล่ะ... ถึงจะพอ” คนผิดหวังมีท่าทีอ่อนลงเหมือนกับว่าเขากำลังท้อแท้และใกล้จะหมดแรงเต็มที
            “นนท์...” คนฟังคลางเรียกชื่อเขาเบาๆ หัวใจดวงน้อยรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นคนที่เธอรักกำลังเป็นทุกข์
            ก่อนที่ทั่วทั้งบริเวณจะมีแต่ความเงียบ เพราะหนุ่มสาวทั้งสองต่างก็จมอยู่กับความรู้สึกของตัวเอง จู่ๆ ชายหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะเป็นจะตายเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว ก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงปกติ
            “ไปกันเถอะ... นนท์ไปกินข้าวกับก้อยสองคนก็ได้” นนท์ประวิธว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ สะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่ทันตั้งตัว
            “ไม่เป็นไรหรอก นนท์กลับบ้านไปพักผ่อนเถอะ วันนี้นนท์เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยไปกินพร้อมกันกับอรก็ได้” กรรณิการ์บอกด้วยความเกรงใจ และเข้าใจว่าในเวลาแบบนี้เขาคงอยากอยู่ตามลำพังมากกว่าจะพาเธอไปกินข้าว แม้ลึกๆ ภายในใจของเธอจะเรียกร้องว่าต้องการอยู่กับเขาก็ตาม
            “นนท์ไม่อยากกลับบ้านน่ะ อยากไปหาอะไรดื่มหน่อย ก้อยไปเป็นเพื่อนนนท์นะ” คราวนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนจากคำชวนเป็นคำขอร้องแกมอ้อนวอนในท่าทีที่อ่อนโยน
            “อะ อือๆ ก็ได้ ไปสิ” หญิงสาวตัดสินใจเพียงครู่ ก่อนจะตอบตกลงแล้วหันไปคว้ากระเป๋าสะพายเดินตามชายหนุ่มไปเงียบๆ หัวใจดวงน้อยรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมาอย่างประหลาด เหมือนดอกไม้ที่กำลังแห้งเฉาได้น้ำทิพย์มาชโลมให้ชุ่มชื่นมีชีวิตชีวาขึ้นอีกนิด
 
            ร้านอาหารบรรยากาศดีริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเวลาพลบค่ำที่ให้ความโรแมนติคด้วยแสงไฟสีนวลตา ประกอบกับวิวทิวทัศน์ที่มองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำประดับประดาด้วยไฟระยิบระยับน่าหลงใหล สายลมเย็นพัดเอื่อยๆ ให้ผู้ที่มารับประทานอาหารได้รู้สึกผ่อนคลายและพักผ่อนไปในตัว
            ‘คงจะดีไม่น้อยหากเธอกับเขามานั่งอยู่ที่นี่ในฐานะคนรักไม่ใช่เพื่อนสนิทเหมือนที่เขาพยายามย้ำเตือนเธออยู่ตลอดเวลา’ กรรณิการ์คิดก่อนจะถอนหายใจออกมาบางๆ เพื่อระบายความอัดอั้นที่สุมอยู่ในอก
            นนท์ประวิธพาเธอมากินข้าวแต่เขากลับเอาแต่ดื่มเบียร์เงียบๆ คนเดียวโดยไม่พูดไม่จาสักคำ หากเธอไม่ถามหรือชวนคุย เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาดื่มแก้วต่อแก้วจนเธอรู้สึกน้อยใจเขาขึ้นมานิดๆ และอดคิดไม่ได้ว่าคืนนี้เขาต้องเมาจนเธอได้ลากกลับอีกเป็นแน่
            “หือ ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ นนท์ไม่เมาหรอกน่า... รับรองไปส่งก้อยถึงคอนโดอย่างปลอดภัยแน่นอน” นนท์ประวิธพูดออกมายิ้มๆ เมื่อเห็นเพื่อนสาวที่เขาพามาด้วยนั่งทำหน้าบึ้งตึงเหมือนกำลังไม่พอใจเขา
            “ก้อยว่า... ก้อยนั่งแท็กซี่กลับเองดีกว่านะ” หญิงสาวพูดขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยใจ เพราะดูท่าเขาคงจะดื่มอีกนานโดยไม่สนใจเธอตามเคย ไม่ใช่เธออยากทิ้งให้เขานั่งคนเดียวหรอกนะ แต่ตอนนี้เธอยากกลับไปพักผ่อนมากกว่า
            “ก้อยไม่ไว้ใจนนท์แล้วเหรอ... แค่เบียร์ไม่กี่ขวดเอง” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ และส่งยิ้มละลายใจให้หญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่รู้ตัว
            กรรณิการ์มองภาพนั้นด้วยดวงตาที่พร่าเลือนไปชั่วขณะ ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะยิ้มแบบนี้ให้เธอจริงๆ เพราะผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยยิ้มให้มีเพียงอรณิชาเพื่อนรักของเธอเท่านั้น
            “ไม่ใช่ไม่ไว้ใจ แต่ก้อยอยากให้นนท์กลับบ้านไปพักผ่อนเร็วๆ น่ะ คอนโดก้อยอยู่ใกล้ๆ นี่เอง เสียเวลานนท์ต้องย้อนไปย้อนมาอีก” หญิงสาวอมยิ้มบอกเขาอย่างนึกเกรงใจและเป็นห่วง
            “ก้อยรู้ไหม การไปส่งก้อยที่คอนโดไม่ได้เป็นการเสียเวลาเลยสำหรับนนท์ ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันไหนๆ เพราะเรา...” นนท์ประวิธพูดยังไม่ทันจบประโยค เสียงหวานของหญิงสาวตรงหน้าก็พูดต่อให้เขาทันทีอย่างรู้ใจ
            “เป็นเพื่อนกัน” กรรณิการ์ฝืนยิ้มให้เขา พยายามกล้ำกลืนก้อนสะอื้นลงไปไม่ให้ชายหนุ่มรับรู้และสัมผัสมันได้
            “ใช่แล้วครับ... ไปกันเถอะดึกมากแล้วสาวน้อย” ชายหนุ่มยิ้มจนตาหยีให้หญิงสาวที่เขาคิดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทที่เข้าใจเขามากที่สุด และคอยอยู่เคียงข้างเขาเสมอในวันที่เขาอ่อนแอหมดกำลังใจอย่างในวันนี้และวันที่ผ่านๆ มา โดยไม่รู้ตัวเลยว่าหัวใจดวงแกร่งกำลังเปิดรับหญิงสาวตรงหน้าเข้ามาทีละน้อยแล้ว
            เมื่อเช็คบิลค่าอาหารเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็ลุกขึ้นจากโต๊ะพร้อมกัน โดยหญิงสาวเป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อนเพราะเธออยู่ใกล้ทางเดินมากกว่าเขา
            “แน่ใจนะ... ว่าไม่เมา” กรรณิการ์หันมาเอ่ยแซวชายหนุ่มที่กำลังเดินตามหลังเธอมาไม่ไกลนัก
            “ฮึ้ย ไม่เมาๆ เดี๋ยวเดินให้ดู” นนท์ประวิธว่าพลางสาวเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดเพื่อให้หญิงสาวได้เห็นว่าเขาไม่ได้เมาจริงๆ
            “เห้ย!” ทำเก่งได้ไม่กี่ก้าวชายหนุ่มกลับสะดุดเท้าตัวเองจนหน้าคะมำ โชคดีที่มือหนาเอื้อมไปคว้าไหล่บอบบางของหญิงสาวเอาไว้ได้ทัน เขาจึงไม่ล่วงลงไปกองกับพื้น
            “อุ๊ย!” ด้วยความตกใจในเสียงร้องของเขา หญิงสาวจึงหันไปมอง ทำให้จมูกโด่งคมสันจรดลงที่พวงแก้มนุ่มของเธอเข้าเต็มเปาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แถมตัวเธอยังถูกวงแขนแกร่งของเขาโอบกอดไว้อีก เพียงชั่วอึดใจที่ได้ใกล้ชิดต่างฝ่ายต่างก็ตกตะลึงอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ก่อนที่ชายหนุ่มจะเป็นฝ่ายรู้สึกตัวแล้วค่อยๆ คลายวงแขนออกจากร่างบางช้าๆ
            “เอ่อ... ขอโทษนะ” นนท์ประวิธพูดด้วยความรู้สึกผิดปนเก้อเขิน ก่อนจะขยับตัวออกห่างเล็กน้อยเพื่อตั้งหลัก
            “มะ ไม่เป็นไร... ไหนว่าไม่เมาไง ทำไมเดินมาชนก้อยได้” คนโดนกอดโดนหอมอย่างไม่ทันตั้งตัวก้มหน้าบอกด้วยความเขินอาย ใบหน้าขาวเนียนแดงซ่านขึ้นมาจนร้อนผ่าวไปหมด ขณะที่หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงโครมครามจนแทบจะทะลุออกมานอกอก
            “แหม่ สะดุดขาตัวเองนิดหน่อยน่า ไม่เมาจริงๆ เชื่อสิ” ชายหนุ่มรีบพูดเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่กำลังก่อตัวขึ้นมาในหัวใจอย่างประหลาด เขาไม่เคยหวั่นไหวแบบนี้กับใครมาก่อนเลย แม้จะได้ใกล้ชิดกับอรณิชาบ้างแต่ก็ไม่เคยถึงขนาดได้หอมแก้มเธอเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่จับมือกันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
            “รีบไปเถอะ คนมองกันใหญ่แล้ว” คนขี้อายบอกปัดแล้วรีบจ้ำอ้าวไปที่รถทันที เพราะไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เจอสายตาของคนในร้านอาหารและที่ลานจอดรถจ้องมองมาที่เธอกับเขาเป็นตาเดียว
            นนท์ประวิธหันซ้ายแลขวารอบตัว เมื่อเห็นว่าเป็นอย่างที่หญิงสาวพูดจริงๆ เขาจึงรีบสาวเท้าก้าวตามออกไปอีกคน พร้อมทั้งล้วงมือหยิบกุญแจรถออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อกดปลดล็อคให้หญิงสาวเปิดขึ้นไปนั่งบนรถก่อน ส่วนเขาก็ก้าวขึ้นไปนั่งอีกฝั่งประจำที่ของตัวเอง แล้วขับออกไปทันทีทั้งๆ ที่หัวใจดวงแกร่งยังเต้นรัวแรงไม่เป็นจังหวะ และความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปโดยที่เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
 
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
 
สนใจสั่งซื้อนิยายเรื่องนี้ในแบบรูปเล่ม ติดต่อผู้แต่งโดยตรงได้ที่E-mail : oilza24@hotmail.comโทร/ไลน์ : 094-4942566 หรือสนใจในรูปแบบ E-Book สามารถเข้าดูรายละเอียดได้ที่www.chalawanhunsa.com  หรือwww.nongoil.com
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา