ลิขิตรักคำสั่งวิวาห์ NC+ (หวานๆ กุ๊กกิ๊กน่ารัก)
9.0
เขียนโดย สุภาวดี
วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.22 น.
15 ตอน
3 วิจารณ์
26.08K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557 19.39 น. โดย เจ้าของนิยาย
10) ตอนที่ 5 คำขอโทษ 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความต่อจาก 50%
วิทยาใช้เวลาขับรถเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านเรือนไทยของนายแพทย์รุ่นใหญ่ ทันทีที่ร่างสูงก้าวลงมาจากรถก็พบกับสาวใช้ประจำบ้านยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เชิญขึ้นเรือนก่อนค่ะคุณหมอ คุณท่านกำลังรออยู่” สาวใช้ส่งยิ้มให้เขาอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินนำเขาขึ้นไปบนเรือน การมาที่นี่ถือเป็นครั้งที่สองสำหรับเขา ครั้งแรกคือเมื่อวานที่เขามาในฐานะเจ้าบ่าว แต่วันนี้เขามาในฐานะลูกเขย ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้กับเมื่อวานไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด เพราะเขายังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นอยู่มาก
“สวัสดีครับคุณลุง... เอ่อ คุณพ่อ คุณแม่” หมอหนุ่มยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ อดไม่ได้ที่จะเรียกขานท่านในแบบเดิมๆ ที่เคยถนัด จนได้รับสายตาดุเข้มของพ่อตาจ้องเขม็งนั่นแหละ เขาจึงรีบแก้คำให้เหมาะสมขึ้น
“สวัสดีลูก มารับหนูอรเหรอ” นายแพทย์สินชัยถามอย่างรู้ทัน เพราะก่อนหน้านี้คุณนายกมลวรรณแม่ของอีกฝ่ายได้โทรมาเล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ แล้ว และเขาก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นรอยฝ่ามือที่ฝังอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของบุตรเขย ทำให้เขานึกตำหนิบุตรสาวของตัวเองด้วยซ้ำที่ลงไม้ลงมือกับสามีตัวเองแบบนั้น
“ครับคุณพ่อ” วิทยาตอบเสียงเรียบพลางยกมือหนาขึ้นลูบรอยช้ำบนแก้มสากเป็นการแก้เก้อ เมื่อรู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองกำลังจ้องมองอยู่ คุณนายมณีนุชที่ตอนแรกจะรอต่อว่าบุตรเขย แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้วนางถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะดูท่าบุตรสาวของนางก็แผลงฤทธิ์กับอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน
“เอ่อ... คือ... ผมขอโทษครับ ที่ทำให้น้องโกรธจนต้องหนีมา” คนเป็นเขยกล่าวขอโทษจากใจ โดยยอมรับความผิดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พ่อตานึกชื่นชมในตัวบุตรเขยมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไร พ่อเข้าใจ คนสองคนเพิ่งรู้จักกันและต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนั้น ก็ต้องมีปากเสียงกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้หนักหนาจนเกินทนใช่ไหมหมอวิท” พ่อตาบอกบุตรเขยพร้อมกับถามถึงความหนักแน่นของอีกฝ่ายไปด้วยในตอนท้าย
“ครับ” วิทยาตอบเสียงเข้มให้คนเป็นพ่อตาได้ชื่นใจ
“น้องยังมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง เพราะความเป็นลูกคนเดียว บางครั้งน้องก็ยังมีความคิดแบบเด็กๆ หมอวิทต้องให้เวลาน้องบ้างนะลูก ค่อยๆ ปรับกันไป แม่ไม่สบายใจเลยที่เห็นลูกร้องไห้กลับมาแบบนี้” คุณนายมณีนุชอธิบายพร้อมกับฝากฝังกับบุตรเขยอย่างนุ่มนวล ไหนๆ ก็ยกลูกสาวให้เขาไปแล้ว คงทำได้แค่ภาวนาของให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง
“ครับ ผมเข้าใจ... ผมต้องกราบขอโทษคุณแม่อีกครั้งนะครับ ที่ทำให้เป็นกังวลและไม่สบายใจไปด้วย” วิทยาพูดพลางยกมือพนมไหว้คนเป็นแม่ยายอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจากใจ
คุณนายมณีนุชรับคำขอโทษของบุตรเขยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น อดจะนึกชื่นชมในความนอบน้อมและมีสัมมาคารวะของอีกฝ่ายไม่ได้ แวบหนึ่งนางชักเริ่มเห็นพ้องกับคนเป็นสามีที่ยกบุตรสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักให้กับชายหนุ่มตรงหน้าได้เป็นผู้ดูแลต่อไปอย่างหมดห่วง ‘สมคำร่ำลือจริงๆ หล่อ สุภาพ อบอุ่นนุ่มนวล มีความเป็นสุภาพบุรุษ และไม่เจ้าชู้’ คนเป็นแม่ยายแอบรำพึงในใจยิ้มๆ นางพอจะมีเพื่อนที่อยู่ในวงการแพทย์ด้วยเหมือนกัน จึงแอบถามไถ่พฤติกรรมของลูกเขยมาบ้าง และก็ไม่ผิดหวัง เพราะทุกคนต่างก็เอ่ยชื่นชมในตัวหมอหนุ่มคนนี้ให้ฟังทั้งนั้น
“งั้นอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะลูกแล้วค่อยกลับ เดี๋ยวแม่ไปดูน้องก่อนและจะไปบอกให้เด็กตั้งโต๊ะด้วย” แม่ยายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเข้าไปตามบุตรสาวและดูความเรียบร้อยของโต๊ะอาหาร
“ครับคุณแม่ ขอบคุณครับ” คนเป็นเขยรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเพราะความจำเป็นและมารยาท ที่สำคัญยัยตัวแสบของเขายังไม่โผล่หน้ามาเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขารับผิดกับผู้ใหญ่แต่เพียงผู้เดียว นี่แสดงว่าคุณแม่ของเขาต้องโทรมารายงานพ่อตาแล้วแน่ๆ ท่านถึงไม่ซักถามอะไรให้มากความอีก
เมื่อคุณนายมณีนุชออกไปแล้ว เหลือเพียงพ่อตากับลูกเขยที่ยังนั่งสนทนาหารือกันด้วยเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่อง โดยนายแพทย์สินชัยตั้งใจจะให้บุตรเขยเข้าไปรับตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลสินกมลของเขาก่อน เพื่อเป็นการปูทางและเตรียมความพร้อมสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการคนต่อไปที่หมอวิทยาจะต้องรับผิดชอบแทนเขาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งคนเป็นเขยก็น้อมรับด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
สองหนุ่มต่างวัยนั่งคุยกันอย่างถูกคอประกอบกับมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ทำให้คนในบ้านพลอยยิ้มตามไปด้วย ก่อนทั้งสองจะถูกเชิญให้เข้าไปที่โต๊ะอาหารเมื่อทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว โดยบรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นมีเพียงเสียงพูดคุยของพ่อตาและลูกเขยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนเป็นแม่ยายก็มีร่วมสนทนาบ้างเป็นครั้งคราว มีแต่ลูกสาวคนเดียวของบ้านเท่านั้นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบๆ ไม่สนใจใคร โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับเธอ
หลังจากทั้งหมดรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วก็พากันมาพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งทานของว่างไปพลางๆ ด้วย จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควรกับมารยาทแล้ว หมอหนุ่มจึงเอ่ยล่ำลาผู้ใหญ่ทั้งสอง
“งั้นผมขอลากลับก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่” วิทยาพนมมือขึ้นไหว้ลาประมุขของบ้านด้วยความนอบน้อม ก่อนจะได้รับรอยยิ้มอบอุ่นจากใจของท่านเป็นการตอบรับ
“จ้ะลูก ไปกันเถอะเดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน แม่ฝากผลไม้กับขนมไปให้คุณวรรณด้วยนะลูกหมอวิท” คุณนายมณีนุชบอกฝากอย่างมีน้ำใจ เพราะได้ยินที่บุตรเขยบอกว่าจะพาบุตรสาวของนางไปหาคุณนายกมลวรรณที่บ้านตามคำบัญชาในวันพรุ่งนี้ นางจึงถือโอกาสฝากผลไม้และขนมไปให้เพื่อเป็นการเชื่อมไมตรีที่ดีต่อกัน
“ครับคุณแม่ ขอบคุณครับ” วิทยายิ้มรับพลางค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน
“แล้วเราด้วยนะหนูอร แม่ฝากไปให้ตานนท์กับหนูก้อยด้วย” คนเป็นแม่ไม่วายเอ่ยฝากไปถึงเพื่อนรักของบุตรสาว
“ค่ะคุณแม่” อรณิชารับคำมารดา แต่ยังคงนั่งอิดออดอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ ทำให้ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นก่อนต้องยืนนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก เมื่อคนที่เขามารับกลับทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ซะงั้น
“เอ้า! ไปสิลูก พี่เขายืนรออยู่นะ” คุณนายมณีนุชตีที่แขนของบุตรสาวเบาๆ เป็นการเตือน
“ให้อรขับรถไปเองนะคะคุณแม่” อรณิชาบ่ายเบี่ยงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่กับเขาตามลำพัง เพราะเธอยังหวาดหวั่นกับการกระทำของเขาอยู่
“ไม่ได้ลูก หนูนั่งรถไปกับพี่เขานั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวรถของหนูแม่จะให้ชื่นกับคนขับรถขับตามไปให้พร้อมกับของฝาก” คนเป็นแม่รีบแย้งทันควัน เพราะเข้าใจดีในความต้องการของบุตรสาว นางจึงหาทางออกเตรียมไว้หมดแล้ว
“แต่...” อรณิชาเตรียมจะอ้าปากคัดค้าน แต่เมื่อเจอกับสายตาดุๆ ของคนเป็นแม่ที่บ่งบอกว่ายังไงก็ไม่ยอม เธอจึงก้มหน้ารับด้วยความจำใจ
“ก็ได้ค่ะ”
“แม่ฝากด้วยนะหมอวิท มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะลูก” คุณนายมณีนุชกล่าวฝากอีกครั้งเมื่อบุตรสาวและบุตรเขยกำลังเดินออกไป
“ครับ” คนเป็นเขยรับคำอีกครั้งเพื่อให้ผู้ใหญ่หมดความกังวล แต่ภายในใจนึกมันเขี้ยวอยากจะจับยัยตัวแสบมาฟาดก้นซะให้เข็ดโทษฐานที่ดื้อรั้นนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้บุพการีถึงบ้าน แถมยังทำให้เขาไม่ได้อยู่เล่นกับหลานสาวตัวน้อยให้หนำใจอีกด้วย
เมื่อเดินมาถึงรถ อรณิชาก็เปิดประตูแล้วกระแทกก้นลงไปที่เบาะข้างๆ กับตำแหน่งของคนขับด้วยใบหน้าบึ้งตึง ส่วนเจ้าของรถที่เดินตามมาติดๆ ก็เปิดประตูอีกฝั่งก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเองโดยไม่ได้สนใจอาการกระฟัดกระเฟียดของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
“ไหนว่าไม่ใช่เด็ก” วิทยาโพล่งขึ้นมากลางอากาศ เมื่อเขาเลี้ยวรถออกมาจากบ้านเรือนไทยแล้ว
“อะไรของคุณอีกล่ะ” อรณิชาหันมาแหวใส่ทันทีที่เขาต่อว่าเธอ
“ก็ไอ้อาการที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับบ้านมาฟ้องแม่เนี่ย... ไม่ใช่นิสัยของเด็กหรือไง” ชายหนุ่มว่าพลางปลายตามองหญิงสาวข้างกายนิดนึงอย่างนึกหมั่นไส้
“เรื่องของฉัน” คนเอาแต่ใจกระแทกเสียงพร้อมกับเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น
“ผมรู้ว่าเรื่องของคุณ แต่คุณก็ควรจะคิดบ้าง คุณโตแล้วจะเอาเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านเป็นกังวลทำไม หัดแก้ปัญหาเองซะบ้างสิ” หมอหนุ่มบอกเสียงจริงจัง ลึกๆ เขาก็หวังดีอยากให้หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมานั้นได้มีความคิดแบบผู้ใหญ่และรู้จักพึ่งพาตัวเองบ้าง
“นี่คุณคิดจะสั่งสอนฉันหรือไง” อรณิชาทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกไม่พอใจที่เขาทำตัววางอำนาจและสั่งสอนเธอราวกับพ่อแม่
“แล้วสอนได้ไหมล่ะ” วิทยาย้อนกลับเสียงเข้ม บ่งบอกว่าเขาตั้งใจจะสอนเธอจริงๆ อย่างที่ปากว่านั่นแหละ
“เชอะ!ถ้าคุณไม่รังแกฉันก่อน ฉันจะร้องไห้หนีกลับมาแบบนี้เหรอ” หญิงสาวว่าพลางสะบัดหน้าพรืดหันไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกรถต่อไป
“เรื่องนั้น... ผมขอโทษ” ชายหนุ่มเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่กลั่นออกมาจากใจจริง เพราะเรื่องนี้เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่มาก ผิดที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ และไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจให้ได้
“เก็บคำขอโทษของคุณไว้เถอะ ฉันไม่ต้องการ แต่ฉันอยากให้คุณสัญญากับฉันมากกว่าว่าจะไม่แตะต้องและทำแบบนั้นกับฉันอีก” อรณิชาหันมาบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และหวังว่าเขาจะทำให้เธอได้
“ผมก็บอกแล้วไง ถ้าคุณไม่ยั่ว” คนทำหน้าที่ขับรถพูดพลางหยักยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะสายตาคมยังคงจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้า ‘ที่แท้ก็กลัวเขาปล้ำนี่เอง ฮึ! ทำเป็นไม่เคยไปได้ ทั้งที่ประกาศอยู่ปาวๆ ว่ามีแฟนแล้ว’
“ฉันยั่วยวนคุณตรงไหนไม่ทราบ” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนที่ถูกกล่าวหาว่ายั่วหันมาตะคอกใส่ทันควัน
“ผมหมายถึงยั่วโมโห ไม่ใช่ยั่วยวนสักหน่อย... คนอย่างคุณไม่มีอะไรมายั่วยวนผมได้หรอก” หมอหนุ่มพูดเสียงดังอย่างจงใจให้เธอได้ยินชัดเจน ก่อนจะปลายตามองคนตัวเล็กข้างกายแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณวิทยา!” อรณิชากระชากเสียงเขียวแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกไว้แน่นเมื่อเจอสายตาคมของเขาจ้องมอง
ชายหนุ่มทำเพียงหยักยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากพร้อมกับทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป จากนั้นบรรยากาศภายในรถก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย มีเพียงเสียงแอร์และเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังดังอยู่เท่านั้น
จนกระทั่งรถแล่นเข้ามายังบริเวณบ้านที่เป็นเรือนหอของทั้งคู่ พอรถจอดสนิทหญิงสาวก็เปิดประตูแล้วก้าวลงไปโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินลิ่วๆ เข้าไปในบ้านทันที
อรณิชาเข้ามาหยุดยืนที่ห้องรับแขกเพื่อตัดสินใจว่าจะขึ้นไปบนห้องหรือจะนั่งรอพี่เลี้ยงของเธอก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องขนข้าวของเพื่อแยกห้องนอนกับเขาดี ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดพร้อมกับมีแรงฉุดดึงที่ข้อมือบาง
“ขึ้นห้องสิคุณ ยืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้ หรือว่าหิว” วิทยาว่าพลางดึงแขนของคนตัวเล็กให้เดินตามเขาขึ้นไปข้างบน
“ฉันไม่ได้หิว แต่ฉันยังไม่อยากขึ้นไป ฉันจะรอพี่ชื่นก่อน” อรณิชาพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม แต่ก็เหมือนเขายิ่งบีบรัดข้อมือของเธอแน่นขึ้นไปอีกจนรู้สึกเจ็บ หญิงสาวจึงต้องยอมหยุดนิ่ง
“จะรอทำไม เดี๋ยวสายใจก็รอรับเองนั่นแหละ”
สายใจที่กำลังปัดถูทำความสะอาดอยู่หลังบ้าน เมื่อได้ยินเสียงรถของคนเป็นเจ้านายจึงรีบวิ่งออกมาต้อนรับ ก็พบสองหนุ่มสาวกำลังฉุดดึงกันอยู่ตรงบันได ก่อนที่คนเป็นเจ้าของบ้านจะออกคำสั่ง
“เดี๋ยวรอรับชื่นด้วยนะ แล้วก็ปิดบ้านให้เรียบร้อยด้วยไม่มีใครเข้าออกแล้วหละ”
“ค่ะคุณหมอ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วค้อมตัวเดินกลับไปทันที
เมื่อสั่งสาวใช้เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ออกแรงดึงรั้งร่างบางให้เดินตามเขาขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี
หมอหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นบางๆ ที่มุมปาก เมื่อคนตัวเล็กไม่ได้ดื้อดึงดีดดิ้นด้วยแรงกายอีกแล้วแต่กำลังทำปากขมุบขมิบด่าทอเขาเบาๆ อย่างไม่พอใจอยู่ เขาเลยนึกอยากจะแกล้งขึ้นมา มือแกร่งจึงกระชากร่างบางเข้ามาชิดกับอกกว้างของเขาทันทีโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“โอ๊ย!” ร่างบางของอรณิชาลอยหวือเข้าไปในวงแขนของเขาทันทีด้วยความตั้งใจของคนเป็นเจ้าของ
“นี่คุณ!” หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างเอาเรื่อง ฝ่ามือบางฟาดลงไปที่แขนของชายหนุ่มเต็มแรงเพื่อให้เขาปล่อยเธอออกมา
“อ้าว มาตีผมทำไมเนี่ย ก็ผมได้ยินไม่ถนัดว่าคุณพูดอะไรก็เลยอยากได้ยินใกล้ๆ” ชายหนุ่มพูดพลางส่งยิ้มยียวนให้เธอ วงแขนแกร่งยังคงกอดรัดเอวบางของหญิงสาวเอาไว้แน่นแม้จะรู้สึกเจ็บนิดๆ บริเวณที่ถูกเธอกระหน่ำทุบตีก็ตาม
“ปล่อยนะ! ฉันไม่ได้พูดกับคุณ” คนตัวเล็กเริ่มโวยวาย เรียวแขนบางพยายามผลักดันอกแกร่งให้ออกห่างเมื่อเขาเริ่มก้มตัวลงมาใกล้มากขึ้นทำให้เธอยิ่งรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาจับใจ ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหวั่นไหวแปลกๆ เพราะหัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัวแรงไม่เป็นจังหวะ เมื่อสบกับสายตาคมที่มองเธอราวต้องมนต์สะกด
ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาหวานของเธอนิ่งเหมือนต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม รู้แต่เพียงว่าลึกๆ แล้วเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาอยากเห็นตัวเองอยู่ในแววตาหวานซึ้งคู่นั้นของเธอ
ทั้งสองสบตากันนิ่งนานชั่วอึดใจ ก่อนที่วิทยาจะเป็นฝ่ายคลายวงแขนออกจากร่างบางที่เขากอดไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งไม่เข้าใจตัวเอง โกรธตัวเอง และเกือบจะยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่อยู่อีกครั้ง ‘เธอเป็นแม่มดหรือยังไงนะ อรณิชา ทำไมเขาถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ’
ทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ อรณิชารีบขยับตัวออกห่างจากเขาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เขาแตะต้องเธอได้อีก
“คุณต้องการแยกห้องใช่ไหม” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความหวั่นไหวที่ทั้งสองเริ่มมีให้กันทีละน้อย เขาตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะแยกห้องนอนกับเธอ เพราะยังไงเขากับเธอก็ไม่ประสงค์จะมีความสัมพันธ์ใดๆ ที่มากไปกว่าคนรู้จักและเพื่อนร่วมบ้านที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น
“ใช่” หญิงสาวตอบเสียงหนักแน่น
“งั้นก็เชิญ... ห้องของคุณอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมให้เด็กทำความสะอาดไว้แล้ว” หมอหนุ่มผายมือไปทางประตูเหมือนเป็นการไล่กลายๆ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของมุมห้อง
อรณิชาเดินไปเปิดตู้หลังใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าทั้งของเขาและของเธอซึ่งถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ คนตัวเล็กพยายามรวบรวมเสื้อผ้าของตัวเองออกมาถือไว้ในมือเพื่อจะย้ายไปที่ห้องของเธอตามที่ชายหนุ่มบอก
อาการเก้ๆ กังๆ ทุลักทุเลของร่างบางตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองการกระทำของเธออยู่เงียบๆ ต้องอมยิ้มชอบใจในความเป็นเด็กของเธอ เมื่อเห็นท่าว่าคนตัวเล็กจะเอาจริง เขาจึงช่วยแนะนำให้ด้วยความสงสาร
“ก็เอาไปเฉพาะที่ต้องใช้ก่อนสิคุณ พรุ่งนี้ค่อยให้พี่ชื่นของคุณมาขนไปจัดให้”
‘เออ จริงสิ เราจะขนไปทำไมทีเดียวหมด’ อรณิชาเห็นด้วยทันทีกับคำพูดของชายหนุ่ม แต่แสร้งทำเป็นไม่ยอมรับกับคำแนะนำของเขา แล้วเถียงกลับไปอย่างข้างๆ คูๆ
“ฉันก็ว่าจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละ ไม่ต้องมาบอกหรอก”
“เหรอ... แล้วไอ้ที่เอาออกมาถือไว้น่ะ จะทำอะไรล่ะแม่คุณ” ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามอย่างรู้ทันนึกหมั่นไส้ในความอวดดีของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ ‘ก็เห็นอยู่ยังจะกล้าเถียงอีก อย่างนี้มันน่าจับตีก้นซะให้เข็ด’ วิทยาคิดในใจอย่างมันเขี้ยว
“กะ ก็เอาออกมาเลือกว่าจะใช้ตัวไหนยังไงล่ะ” คนตัวเล็กไม่วายเถียงต่อ ก่อนจะหันไปหยิบเสื้อผ้ากับของใช้ที่จำเป็นอีกสองสามอย่าง แล้วตรงดิ่งไปที่ประตูห้องทันที แต่ก่อนจะก้าวเท้าออกไปหญิงสาวหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มเป็นการยียวน เมื่อเห็นเขาทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาเธอก็รีบแทรกตัวเผ่นออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว
“ฮึ้ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ยัยเด็กแสบ” เจ้าของห้องสบถอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาในความแก่นและกวนประสาทของเธอ
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรเช่นนี้ บางครั้งการที่เขาแต่งงานกับเธอคงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อมากนัก เพราะเพียงแค่วันสองวันที่เขาได้ทำความรู้จักและได้ใกล้ชิดเธอ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนลืมเรื่องราวมัวหมองในใจไปได้หลายเรื่องทีเดียว ที่สำคัญหัวใจดวงแกร่งของเขากลับเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างประหลาดอีกด้วย ทั้งๆ ที่เขาเคยคิดว่ามันจะไม่หวั่นไหวให้กับใครได้อีกแล้วด้วยซ้ำไป ‘หรือเขาจะตกหลุมรักเธอจริงๆ แต่คงไม่ใช่หรอก ที่เขาหวั่นไหวแบบนี้คงเพราะผู้หญิงคนนั้นใกล้ชิดเขามากเกินไปต่างหากล่ะ ทางที่ดีต่อจากนี้ไปควรอยู่ห่างๆ กันไว้จะดีกว่า เมื่อถึงวันที่ต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ’ หมอหนุ่มพึมพำบอกตัวเองก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ยังติดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
อรณิชาเปิดประตูเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านบอกว่าเป็นห้องของเธอ หญิงสาวกวาดตามองอย่างสำรวจจนทั่วบริเวณแม้จะเล็กกว่าห้องที่เธอเพิ่งเดินออกมาแต่ก็ถือว่ากว้างขวางอยู่สบายสำหรับเธอแล้ว ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกชิ้นอย่างที่ห้องนอนควรจะมี ไม่เว้นแม้แต่เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าคนที่จัดห้องให้เธอใส่ใจในสุขภาพขนาดไหน แม้มันจะไม่จำเป็นสำหรับเธอเลยก็ตาม แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านใจดีหยิบยื่นให้เธอเองก็ไม่ขอคัดค้าน
เมื่อสำรวจห้องจนพอใจแล้วหญิงสาวจึงเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นขึ้น จากนั้นร่างบางก็ขึ้นไปนอนเอกเขนกบนเตียงกว้างอย่างสบายใจ ก่อนจะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงชายหนุ่มห้องตรงข้ามอย่างไม่รู้ตัว เธอยอมรับว่าเขาหล่อเหลาและมีเสน่ห์น่ามองกว่าผู้ชายคนไหนที่เธอเคยพบมาก่อน แม้แต่นนท์ประวิธที่ว่าหล่อเหลาคมคายแต่ก็ยังไม่กระตุกหัวใจของเธอเช่นนี้
หญิงสาวพยายามสลัดความหวั่นไหวที่มีอยู่ตอนนี้ออกไปจากใจให้หมด เพราะถ้าหากเธอคิดถึงเขามากไปกว่านี้ มีหวังหัวใจดวงน้อยของเธอจะต้องโบยบินไปอยู่กับเขาทั้งคืนเป็นแน่ แค่ตอนนี้เวลาเธอหลับตาใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาทุกที ซึ่งนั่นทำให้เธอไม่อยากหลับตาลงเลย แต่ก็ฝืนความเหนื่อยล้าไม่ไหวจำต้องปล่อยให้ใบหน้าหล่อๆ ของเขาวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดจนหลับไปในที่สุด
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
www.chalawanhunsa.com หรือwww.nongoil.com
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
วิทยาใช้เวลาขับรถเพียงไม่นานก็มาถึงบ้านเรือนไทยของนายแพทย์รุ่นใหญ่ ทันทีที่ร่างสูงก้าวลงมาจากรถก็พบกับสาวใช้ประจำบ้านยืนรออยู่ก่อนแล้ว
“เชิญขึ้นเรือนก่อนค่ะคุณหมอ คุณท่านกำลังรออยู่” สาวใช้ส่งยิ้มให้เขาอย่างนอบน้อมก่อนจะเดินนำเขาขึ้นไปบนเรือน การมาที่นี่ถือเป็นครั้งที่สองสำหรับเขา ครั้งแรกคือเมื่อวานที่เขามาในฐานะเจ้าบ่าว แต่วันนี้เขามาในฐานะลูกเขย ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้กับเมื่อวานไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด เพราะเขายังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นอยู่มาก
“สวัสดีครับคุณลุง... เอ่อ คุณพ่อ คุณแม่” หมอหนุ่มยกมือไหว้ผู้ใหญ่ด้วยความเคารพ อดไม่ได้ที่จะเรียกขานท่านในแบบเดิมๆ ที่เคยถนัด จนได้รับสายตาดุเข้มของพ่อตาจ้องเขม็งนั่นแหละ เขาจึงรีบแก้คำให้เหมาะสมขึ้น
“สวัสดีลูก มารับหนูอรเหรอ” นายแพทย์สินชัยถามอย่างรู้ทัน เพราะก่อนหน้านี้คุณนายกมลวรรณแม่ของอีกฝ่ายได้โทรมาเล่าเรื่องราวให้ฟังคร่าวๆ แล้ว และเขาก็ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นรอยฝ่ามือที่ฝังอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของบุตรเขย ทำให้เขานึกตำหนิบุตรสาวของตัวเองด้วยซ้ำที่ลงไม้ลงมือกับสามีตัวเองแบบนั้น
“ครับคุณพ่อ” วิทยาตอบเสียงเรียบพลางยกมือหนาขึ้นลูบรอยช้ำบนแก้มสากเป็นการแก้เก้อ เมื่อรู้ว่าผู้ใหญ่ทั้งสองกำลังจ้องมองอยู่ คุณนายมณีนุชที่ตอนแรกจะรอต่อว่าบุตรเขย แต่พอมาเห็นแบบนี้แล้วนางถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เพราะดูท่าบุตรสาวของนางก็แผลงฤทธิ์กับอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกัน
“เอ่อ... คือ... ผมขอโทษครับ ที่ทำให้น้องโกรธจนต้องหนีมา” คนเป็นเขยกล่าวขอโทษจากใจ โดยยอมรับความผิดทั้งหมดไว้แต่เพียงผู้เดียว ซึ่งนั่นยิ่งทำให้พ่อตานึกชื่นชมในตัวบุตรเขยมากขึ้นไปอีก
“ไม่เป็นไร พ่อเข้าใจ คนสองคนเพิ่งรู้จักกันและต้องมาอยู่ด้วยกันตามลำพังแบบนั้น ก็ต้องมีปากเสียงกันบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่ได้หนักหนาจนเกินทนใช่ไหมหมอวิท” พ่อตาบอกบุตรเขยพร้อมกับถามถึงความหนักแน่นของอีกฝ่ายไปด้วยในตอนท้าย
“ครับ” วิทยาตอบเสียงเข้มให้คนเป็นพ่อตาได้ชื่นใจ
“น้องยังมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง เพราะความเป็นลูกคนเดียว บางครั้งน้องก็ยังมีความคิดแบบเด็กๆ หมอวิทต้องให้เวลาน้องบ้างนะลูก ค่อยๆ ปรับกันไป แม่ไม่สบายใจเลยที่เห็นลูกร้องไห้กลับมาแบบนี้” คุณนายมณีนุชอธิบายพร้อมกับฝากฝังกับบุตรเขยอย่างนุ่มนวล ไหนๆ ก็ยกลูกสาวให้เขาไปแล้ว คงทำได้แค่ภาวนาของให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันไปตลอดรอดฝั่ง
“ครับ ผมเข้าใจ... ผมต้องกราบขอโทษคุณแม่อีกครั้งนะครับ ที่ทำให้เป็นกังวลและไม่สบายใจไปด้วย” วิทยาพูดพลางยกมือพนมไหว้คนเป็นแม่ยายอีกครั้งด้วยความรู้สึกผิดจากใจ
คุณนายมณีนุชรับคำขอโทษของบุตรเขยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น อดจะนึกชื่นชมในความนอบน้อมและมีสัมมาคารวะของอีกฝ่ายไม่ได้ แวบหนึ่งนางชักเริ่มเห็นพ้องกับคนเป็นสามีที่ยกบุตรสาวเพียงคนเดียวอันเป็นที่รักให้กับชายหนุ่มตรงหน้าได้เป็นผู้ดูแลต่อไปอย่างหมดห่วง ‘สมคำร่ำลือจริงๆ หล่อ สุภาพ อบอุ่นนุ่มนวล มีความเป็นสุภาพบุรุษ และไม่เจ้าชู้’ คนเป็นแม่ยายแอบรำพึงในใจยิ้มๆ นางพอจะมีเพื่อนที่อยู่ในวงการแพทย์ด้วยเหมือนกัน จึงแอบถามไถ่พฤติกรรมของลูกเขยมาบ้าง และก็ไม่ผิดหวัง เพราะทุกคนต่างก็เอ่ยชื่นชมในตัวหมอหนุ่มคนนี้ให้ฟังทั้งนั้น
“งั้นอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันก่อนนะลูกแล้วค่อยกลับ เดี๋ยวแม่ไปดูน้องก่อนและจะไปบอกให้เด็กตั้งโต๊ะด้วย” แม่ยายบอกพลางขยับตัวลุกขึ้นเพื่อเข้าไปตามบุตรสาวและดูความเรียบร้อยของโต๊ะอาหาร
“ครับคุณแม่ ขอบคุณครับ” คนเป็นเขยรับคำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเพราะความจำเป็นและมารยาท ที่สำคัญยัยตัวแสบของเขายังไม่โผล่หน้ามาเลยด้วยซ้ำ ปล่อยให้เขารับผิดกับผู้ใหญ่แต่เพียงผู้เดียว นี่แสดงว่าคุณแม่ของเขาต้องโทรมารายงานพ่อตาแล้วแน่ๆ ท่านถึงไม่ซักถามอะไรให้มากความอีก
เมื่อคุณนายมณีนุชออกไปแล้ว เหลือเพียงพ่อตากับลูกเขยที่ยังนั่งสนทนาหารือกันด้วยเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่อง โดยนายแพทย์สินชัยตั้งใจจะให้บุตรเขยเข้าไปรับตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการที่โรงพยาบาลสินกมลของเขาก่อน เพื่อเป็นการปูทางและเตรียมความพร้อมสำหรับตำแหน่งผู้อำนวยการคนต่อไปที่หมอวิทยาจะต้องรับผิดชอบแทนเขาในอนาคตอันใกล้ ซึ่งคนเป็นเขยก็น้อมรับด้วยความยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
สองหนุ่มต่างวัยนั่งคุยกันอย่างถูกคอประกอบกับมีเสียงหัวเราะดังแว่วมาเป็นระยะๆ ตลอดเวลา ทำให้คนในบ้านพลอยยิ้มตามไปด้วย ก่อนทั้งสองจะถูกเชิญให้เข้าไปที่โต๊ะอาหารเมื่อทุกอย่างจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว โดยบรรยากาศการรับประทานอาหารเย็นมีเพียงเสียงพูดคุยของพ่อตาและลูกเขยเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคนเป็นแม่ยายก็มีร่วมสนทนาบ้างเป็นครั้งคราว มีแต่ลูกสาวคนเดียวของบ้านเท่านั้นที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารเงียบๆ ไม่สนใจใคร โดยเฉพาะชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามกับเธอ
หลังจากทั้งหมดรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วก็พากันมาพักผ่อนที่ห้องนั่งเล่น พร้อมทั้งทานของว่างไปพลางๆ ด้วย จนเวลาล่วงเลยไปพอสมควรกับมารยาทแล้ว หมอหนุ่มจึงเอ่ยล่ำลาผู้ใหญ่ทั้งสอง
“งั้นผมขอลากลับก่อนนะครับคุณพ่อคุณแม่” วิทยาพนมมือขึ้นไหว้ลาประมุขของบ้านด้วยความนอบน้อม ก่อนจะได้รับรอยยิ้มอบอุ่นจากใจของท่านเป็นการตอบรับ
“จ้ะลูก ไปกันเถอะเดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อน แม่ฝากผลไม้กับขนมไปให้คุณวรรณด้วยนะลูกหมอวิท” คุณนายมณีนุชบอกฝากอย่างมีน้ำใจ เพราะได้ยินที่บุตรเขยบอกว่าจะพาบุตรสาวของนางไปหาคุณนายกมลวรรณที่บ้านตามคำบัญชาในวันพรุ่งนี้ นางจึงถือโอกาสฝากผลไม้และขนมไปให้เพื่อเป็นการเชื่อมไมตรีที่ดีต่อกัน
“ครับคุณแม่ ขอบคุณครับ” วิทยายิ้มรับพลางค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นยืน
“แล้วเราด้วยนะหนูอร แม่ฝากไปให้ตานนท์กับหนูก้อยด้วย” คนเป็นแม่ไม่วายเอ่ยฝากไปถึงเพื่อนรักของบุตรสาว
“ค่ะคุณแม่” อรณิชารับคำมารดา แต่ยังคงนั่งอิดออดอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ ทำให้ชายหนุ่มที่ลุกขึ้นก่อนต้องยืนนิ่งงันทำอะไรไม่ถูก เมื่อคนที่เขามารับกลับทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ซะงั้น
“เอ้า! ไปสิลูก พี่เขายืนรออยู่นะ” คุณนายมณีนุชตีที่แขนของบุตรสาวเบาๆ เป็นการเตือน
“ให้อรขับรถไปเองนะคะคุณแม่” อรณิชาบ่ายเบี่ยงเพื่อหลีกเลี่ยงการอยู่กับเขาตามลำพัง เพราะเธอยังหวาดหวั่นกับการกระทำของเขาอยู่
“ไม่ได้ลูก หนูนั่งรถไปกับพี่เขานั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวรถของหนูแม่จะให้ชื่นกับคนขับรถขับตามไปให้พร้อมกับของฝาก” คนเป็นแม่รีบแย้งทันควัน เพราะเข้าใจดีในความต้องการของบุตรสาว นางจึงหาทางออกเตรียมไว้หมดแล้ว
“แต่...” อรณิชาเตรียมจะอ้าปากคัดค้าน แต่เมื่อเจอกับสายตาดุๆ ของคนเป็นแม่ที่บ่งบอกว่ายังไงก็ไม่ยอม เธอจึงก้มหน้ารับด้วยความจำใจ
“ก็ได้ค่ะ”
“แม่ฝากด้วยนะหมอวิท มีอะไรก็ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะลูก” คุณนายมณีนุชกล่าวฝากอีกครั้งเมื่อบุตรสาวและบุตรเขยกำลังเดินออกไป
“ครับ” คนเป็นเขยรับคำอีกครั้งเพื่อให้ผู้ใหญ่หมดความกังวล แต่ภายในใจนึกมันเขี้ยวอยากจะจับยัยตัวแสบมาฟาดก้นซะให้เข็ดโทษฐานที่ดื้อรั้นนำพาเรื่องเดือดร้อนมาให้บุพการีถึงบ้าน แถมยังทำให้เขาไม่ได้อยู่เล่นกับหลานสาวตัวน้อยให้หนำใจอีกด้วย
เมื่อเดินมาถึงรถ อรณิชาก็เปิดประตูแล้วกระแทกก้นลงไปที่เบาะข้างๆ กับตำแหน่งของคนขับด้วยใบหน้าบึ้งตึง ส่วนเจ้าของรถที่เดินตามมาติดๆ ก็เปิดประตูอีกฝั่งก้าวขึ้นไปนั่งประจำที่ของตัวเองโดยไม่ได้สนใจอาการกระฟัดกระเฟียดของหญิงสาวเลยแม้แต่น้อย
“ไหนว่าไม่ใช่เด็ก” วิทยาโพล่งขึ้นมากลางอากาศ เมื่อเขาเลี้ยวรถออกมาจากบ้านเรือนไทยแล้ว
“อะไรของคุณอีกล่ะ” อรณิชาหันมาแหวใส่ทันทีที่เขาต่อว่าเธอ
“ก็ไอ้อาการที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งกลับบ้านมาฟ้องแม่เนี่ย... ไม่ใช่นิสัยของเด็กหรือไง” ชายหนุ่มว่าพลางปลายตามองหญิงสาวข้างกายนิดนึงอย่างนึกหมั่นไส้
“เรื่องของฉัน” คนเอาแต่ใจกระแทกเสียงพร้อมกับเชิดหน้าอย่างดื้อรั้น
“ผมรู้ว่าเรื่องของคุณ แต่คุณก็ควรจะคิดบ้าง คุณโตแล้วจะเอาเรื่องไม่สบายใจมาให้ท่านเป็นกังวลทำไม หัดแก้ปัญหาเองซะบ้างสิ” หมอหนุ่มบอกเสียงจริงจัง ลึกๆ เขาก็หวังดีอยากให้หญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมานั้นได้มีความคิดแบบผู้ใหญ่และรู้จักพึ่งพาตัวเองบ้าง
“นี่คุณคิดจะสั่งสอนฉันหรือไง” อรณิชาทำเสียงขึ้นจมูกอย่างนึกไม่พอใจที่เขาทำตัววางอำนาจและสั่งสอนเธอราวกับพ่อแม่
“แล้วสอนได้ไหมล่ะ” วิทยาย้อนกลับเสียงเข้ม บ่งบอกว่าเขาตั้งใจจะสอนเธอจริงๆ อย่างที่ปากว่านั่นแหละ
“เชอะ!ถ้าคุณไม่รังแกฉันก่อน ฉันจะร้องไห้หนีกลับมาแบบนี้เหรอ” หญิงสาวว่าพลางสะบัดหน้าพรืดหันไปมองวิวทิวทัศน์ด้านนอกรถต่อไป
“เรื่องนั้น... ผมขอโทษ” ชายหนุ่มเงียบไปนานก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยเสียงนุ่มทุ้มที่กลั่นออกมาจากใจจริง เพราะเรื่องนี้เขาเองก็มีส่วนผิดอยู่มาก ผิดที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ และไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจให้ได้
“เก็บคำขอโทษของคุณไว้เถอะ ฉันไม่ต้องการ แต่ฉันอยากให้คุณสัญญากับฉันมากกว่าว่าจะไม่แตะต้องและทำแบบนั้นกับฉันอีก” อรณิชาหันมาบอกกับเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง และหวังว่าเขาจะทำให้เธอได้
“ผมก็บอกแล้วไง ถ้าคุณไม่ยั่ว” คนทำหน้าที่ขับรถพูดพลางหยักยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะสายตาคมยังคงจับจ้องไปที่ถนนเบื้องหน้า ‘ที่แท้ก็กลัวเขาปล้ำนี่เอง ฮึ! ทำเป็นไม่เคยไปได้ ทั้งที่ประกาศอยู่ปาวๆ ว่ามีแฟนแล้ว’
“ฉันยั่วยวนคุณตรงไหนไม่ทราบ” คำพูดของชายหนุ่มทำให้คนที่ถูกกล่าวหาว่ายั่วหันมาตะคอกใส่ทันควัน
“ผมหมายถึงยั่วโมโห ไม่ใช่ยั่วยวนสักหน่อย... คนอย่างคุณไม่มีอะไรมายั่วยวนผมได้หรอก” หมอหนุ่มพูดเสียงดังอย่างจงใจให้เธอได้ยินชัดเจน ก่อนจะปลายตามองคนตัวเล็กข้างกายแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ
“คุณวิทยา!” อรณิชากระชากเสียงเขียวแล้วยกแขนขึ้นมากอดอกไว้แน่นเมื่อเจอสายตาคมของเขาจ้องมอง
ชายหนุ่มทำเพียงหยักยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากพร้อมกับทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป จากนั้นบรรยากาศภายในรถก็มีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย มีเพียงเสียงแอร์และเสียงเครื่องยนต์ที่กำลังดังอยู่เท่านั้น
จนกระทั่งรถแล่นเข้ามายังบริเวณบ้านที่เป็นเรือนหอของทั้งคู่ พอรถจอดสนิทหญิงสาวก็เปิดประตูแล้วก้าวลงไปโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่น้อย ก่อนจะเดินลิ่วๆ เข้าไปในบ้านทันที
อรณิชาเข้ามาหยุดยืนที่ห้องรับแขกเพื่อตัดสินใจว่าจะขึ้นไปบนห้องหรือจะนั่งรอพี่เลี้ยงของเธอก่อนแล้วค่อยจัดการเรื่องขนข้าวของเพื่อแยกห้องนอนกับเขาดี ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงพูดพร้อมกับมีแรงฉุดดึงที่ข้อมือบาง
“ขึ้นห้องสิคุณ ยืนเหม่ออะไรอยู่ตรงนี้ หรือว่าหิว” วิทยาว่าพลางดึงแขนของคนตัวเล็กให้เดินตามเขาขึ้นไปข้างบน
“ฉันไม่ได้หิว แต่ฉันยังไม่อยากขึ้นไป ฉันจะรอพี่ชื่นก่อน” อรณิชาพยายามสะบัดแขนให้หลุดจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม แต่ก็เหมือนเขายิ่งบีบรัดข้อมือของเธอแน่นขึ้นไปอีกจนรู้สึกเจ็บ หญิงสาวจึงต้องยอมหยุดนิ่ง
“จะรอทำไม เดี๋ยวสายใจก็รอรับเองนั่นแหละ”
สายใจที่กำลังปัดถูทำความสะอาดอยู่หลังบ้าน เมื่อได้ยินเสียงรถของคนเป็นเจ้านายจึงรีบวิ่งออกมาต้อนรับ ก็พบสองหนุ่มสาวกำลังฉุดดึงกันอยู่ตรงบันได ก่อนที่คนเป็นเจ้าของบ้านจะออกคำสั่ง
“เดี๋ยวรอรับชื่นด้วยนะ แล้วก็ปิดบ้านให้เรียบร้อยด้วยไม่มีใครเข้าออกแล้วหละ”
“ค่ะคุณหมอ” สาวใช้รับคำสั่งแล้วค้อมตัวเดินกลับไปทันที
เมื่อสั่งสาวใช้เรียบร้อยแล้วชายหนุ่มก็ออกแรงดึงรั้งร่างบางให้เดินตามเขาขึ้นไปบนห้องแต่โดยดี
หมอหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนใหญ่ ก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นบางๆ ที่มุมปาก เมื่อคนตัวเล็กไม่ได้ดื้อดึงดีดดิ้นด้วยแรงกายอีกแล้วแต่กำลังทำปากขมุบขมิบด่าทอเขาเบาๆ อย่างไม่พอใจอยู่ เขาเลยนึกอยากจะแกล้งขึ้นมา มือแกร่งจึงกระชากร่างบางเข้ามาชิดกับอกกว้างของเขาทันทีโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว
“โอ๊ย!” ร่างบางของอรณิชาลอยหวือเข้าไปในวงแขนของเขาทันทีด้วยความตั้งใจของคนเป็นเจ้าของ
“นี่คุณ!” หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาอย่างเอาเรื่อง ฝ่ามือบางฟาดลงไปที่แขนของชายหนุ่มเต็มแรงเพื่อให้เขาปล่อยเธอออกมา
“อ้าว มาตีผมทำไมเนี่ย ก็ผมได้ยินไม่ถนัดว่าคุณพูดอะไรก็เลยอยากได้ยินใกล้ๆ” ชายหนุ่มพูดพลางส่งยิ้มยียวนให้เธอ วงแขนแกร่งยังคงกอดรัดเอวบางของหญิงสาวเอาไว้แน่นแม้จะรู้สึกเจ็บนิดๆ บริเวณที่ถูกเธอกระหน่ำทุบตีก็ตาม
“ปล่อยนะ! ฉันไม่ได้พูดกับคุณ” คนตัวเล็กเริ่มโวยวาย เรียวแขนบางพยายามผลักดันอกแกร่งให้ออกห่างเมื่อเขาเริ่มก้มตัวลงมาใกล้มากขึ้นทำให้เธอยิ่งรู้สึกกลัวเขาขึ้นมาจับใจ ก่อนจะค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหวั่นไหวแปลกๆ เพราะหัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นรัวแรงไม่เป็นจังหวะ เมื่อสบกับสายตาคมที่มองเธอราวต้องมนต์สะกด
ชายหนุ่มจ้องมองดวงตาหวานของเธอนิ่งเหมือนต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาทำแบบนี้ไปทำไม รู้แต่เพียงว่าลึกๆ แล้วเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาอยากเห็นตัวเองอยู่ในแววตาหวานซึ้งคู่นั้นของเธอ
ทั้งสองสบตากันนิ่งนานชั่วอึดใจ ก่อนที่วิทยาจะเป็นฝ่ายคลายวงแขนออกจากร่างบางที่เขากอดไว้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งไม่เข้าใจตัวเอง โกรธตัวเอง และเกือบจะยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่อยู่อีกครั้ง ‘เธอเป็นแม่มดหรือยังไงนะ อรณิชา ทำไมเขาถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ทุกครั้งที่เข้าใกล้เธอ’
ทันทีที่ถูกปล่อยให้เป็นอิสระ อรณิชารีบขยับตัวออกห่างจากเขาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เขาแตะต้องเธอได้อีก
“คุณต้องการแยกห้องใช่ไหม” จู่ๆ ชายหนุ่มก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความหวั่นไหวที่ทั้งสองเริ่มมีให้กันทีละน้อย เขาตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะแยกห้องนอนกับเธอ เพราะยังไงเขากับเธอก็ไม่ประสงค์จะมีความสัมพันธ์ใดๆ ที่มากไปกว่าคนรู้จักและเพื่อนร่วมบ้านที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกันเท่านั้น
“ใช่” หญิงสาวตอบเสียงหนักแน่น
“งั้นก็เชิญ... ห้องของคุณอยู่ฝั่งตรงข้าม ผมให้เด็กทำความสะอาดไว้แล้ว” หมอหนุ่มผายมือไปทางประตูเหมือนเป็นการไล่กลายๆ ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งที่โซฟาตัวยาวซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของมุมห้อง
อรณิชาเดินไปเปิดตู้หลังใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าทั้งของเขาและของเธอซึ่งถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ คนตัวเล็กพยายามรวบรวมเสื้อผ้าของตัวเองออกมาถือไว้ในมือเพื่อจะย้ายไปที่ห้องของเธอตามที่ชายหนุ่มบอก
อาการเก้ๆ กังๆ ทุลักทุเลของร่างบางตรงหน้า ทำให้ชายหนุ่มที่กำลังนั่งมองการกระทำของเธออยู่เงียบๆ ต้องอมยิ้มชอบใจในความเป็นเด็กของเธอ เมื่อเห็นท่าว่าคนตัวเล็กจะเอาจริง เขาจึงช่วยแนะนำให้ด้วยความสงสาร
“ก็เอาไปเฉพาะที่ต้องใช้ก่อนสิคุณ พรุ่งนี้ค่อยให้พี่ชื่นของคุณมาขนไปจัดให้”
‘เออ จริงสิ เราจะขนไปทำไมทีเดียวหมด’ อรณิชาเห็นด้วยทันทีกับคำพูดของชายหนุ่ม แต่แสร้งทำเป็นไม่ยอมรับกับคำแนะนำของเขา แล้วเถียงกลับไปอย่างข้างๆ คูๆ
“ฉันก็ว่าจะทำอย่างนั้นอยู่แล้วแหละ ไม่ต้องมาบอกหรอก”
“เหรอ... แล้วไอ้ที่เอาออกมาถือไว้น่ะ จะทำอะไรล่ะแม่คุณ” ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามอย่างรู้ทันนึกหมั่นไส้ในความอวดดีของอีกฝ่ายขึ้นมาตงิดๆ ‘ก็เห็นอยู่ยังจะกล้าเถียงอีก อย่างนี้มันน่าจับตีก้นซะให้เข็ด’ วิทยาคิดในใจอย่างมันเขี้ยว
“กะ ก็เอาออกมาเลือกว่าจะใช้ตัวไหนยังไงล่ะ” คนตัวเล็กไม่วายเถียงต่อ ก่อนจะหันไปหยิบเสื้อผ้ากับของใช้ที่จำเป็นอีกสองสามอย่าง แล้วตรงดิ่งไปที่ประตูห้องทันที แต่ก่อนจะก้าวเท้าออกไปหญิงสาวหันมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ชายหนุ่มเป็นการยียวน เมื่อเห็นเขาทำท่าจะวิ่งเข้ามาหาเธอก็รีบแทรกตัวเผ่นออกไปทันทีด้วยความรวดเร็ว
“ฮึ้ย! ฝากไว้ก่อนเถอะ ยัยเด็กแสบ” เจ้าของห้องสบถอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะหัวเราะพรืดออกมาในความแก่นและกวนประสาทของเธอ
นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้รู้สึกสนุกอะไรเช่นนี้ บางครั้งการที่เขาแต่งงานกับเธอคงไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อมากนัก เพราะเพียงแค่วันสองวันที่เขาได้ทำความรู้จักและได้ใกล้ชิดเธอ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนลืมเรื่องราวมัวหมองในใจไปได้หลายเรื่องทีเดียว ที่สำคัญหัวใจดวงแกร่งของเขากลับเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างประหลาดอีกด้วย ทั้งๆ ที่เขาเคยคิดว่ามันจะไม่หวั่นไหวให้กับใครได้อีกแล้วด้วยซ้ำไป ‘หรือเขาจะตกหลุมรักเธอจริงๆ แต่คงไม่ใช่หรอก ที่เขาหวั่นไหวแบบนี้คงเพราะผู้หญิงคนนั้นใกล้ชิดเขามากเกินไปต่างหากล่ะ ทางที่ดีต่อจากนี้ไปควรอยู่ห่างๆ กันไว้จะดีกว่า เมื่อถึงวันที่ต้องจากกันจะได้ไม่เสียใจ’ หมอหนุ่มพึมพำบอกตัวเองก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ที่ยังติดอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาของเขา
อรณิชาเปิดประตูเข้าไปในห้องฝั่งตรงข้ามที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านบอกว่าเป็นห้องของเธอ หญิงสาวกวาดตามองอย่างสำรวจจนทั่วบริเวณแม้จะเล็กกว่าห้องที่เธอเพิ่งเดินออกมาแต่ก็ถือว่ากว้างขวางอยู่สบายสำหรับเธอแล้ว ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกชิ้นอย่างที่ห้องนอนควรจะมี ไม่เว้นแม้แต่เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งบ่งบอกได้ว่าคนที่จัดห้องให้เธอใส่ใจในสุขภาพขนาดไหน แม้มันจะไม่จำเป็นสำหรับเธอเลยก็ตาม แต่ในเมื่อเจ้าของบ้านใจดีหยิบยื่นให้เธอเองก็ไม่ขอคัดค้าน
เมื่อสำรวจห้องจนพอใจแล้วหญิงสาวจึงเตรียมตัวอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและสดชื่นขึ้น จากนั้นร่างบางก็ขึ้นไปนอนเอกเขนกบนเตียงกว้างอย่างสบายใจ ก่อนจะปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปถึงชายหนุ่มห้องตรงข้ามอย่างไม่รู้ตัว เธอยอมรับว่าเขาหล่อเหลาและมีเสน่ห์น่ามองกว่าผู้ชายคนไหนที่เธอเคยพบมาก่อน แม้แต่นนท์ประวิธที่ว่าหล่อเหลาคมคายแต่ก็ยังไม่กระตุกหัวใจของเธอเช่นนี้
หญิงสาวพยายามสลัดความหวั่นไหวที่มีอยู่ตอนนี้ออกไปจากใจให้หมด เพราะถ้าหากเธอคิดถึงเขามากไปกว่านี้ มีหวังหัวใจดวงน้อยของเธอจะต้องโบยบินไปอยู่กับเขาทั้งคืนเป็นแน่ แค่ตอนนี้เวลาเธอหลับตาใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาทุกที ซึ่งนั่นทำให้เธอไม่อยากหลับตาลงเลย แต่ก็ฝืนความเหนื่อยล้าไม่ไหวจำต้องปล่อยให้ใบหน้าหล่อๆ ของเขาวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดจนหลับไปในที่สุด
ขอบคุณที่ติดตามค่ะ
^_^
สนใจนิยายเล่มนี้ในรูปแบบ E-Book สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่
www.chalawanhunsa.com หรือwww.nongoil.com
หากสนใจสั่งซื้อในรูปแบบเล่ม สามารถติดต่อผู้แต่งได้โดยตรงทาง
E-mail : oilza24@hotmail.com
โทร/ไลน์ : 094-4942566
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ